จางเฟิงสีหน้าลำบากใจพร้อมกับโบกมือ “ข้าเองก็อับจนหนทาง บัดนี้ทั่วทั้งเมืองเหลียงโจวของพวกเรากำลังขาดแคลนอาหาร” ผู้ว่าการอำเภอของอำเภอเหรากู่กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ใต้เท้าจาง ได้ยินว่าทางราชสำนักส่งเงินบรรเทาภัยพิบัติมาถึงเหลียงโจวแล้วมิใช่หรือ? หากในเมืองไม่มีเสบียงอาหารแล้วจริง ๆ เช่นนั้นท่านก็ช่วยจัดสรรเงินนั้นให้พวกเราสักหน่อยเถิด พวกเราจะได้นำไปซื้อเสบียงที่เมืองหรืออำเภออื่น” อีกสองคนก็เห็นด้วยเช่นกัน “ใช่แล้ว เสบียงหมดแล้วก็จัดสรรเงินให้เราไปซื้อเสบียงบรรเทาภัยพิบัติเถิด” “ว่ากันว่าราชสำนักส่งเงินมาถึงห้าแสนตำลึง อำเภอฉงซานของพวกเรามีจำนวนผู้ประสบภัยมากที่สุด ยามนี้ทุกครัวเรือนขาดแคลนน้ำและอาหาร ขอให้ทางที่ว่าการมณฑลจัดสรรเงินให้เราหนึ่งแสนตำลึงเพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วนนี้ด้วยเถิด” จางเฟิงทำสีหน้าเคร่งขรึมพร้อมตะคอกอย่างเย็นชาทันที “หนึ่งแสนตำลึงงั้นรึ? หึ เจ้าก็กล้าขออย่างเกินควรนักนะ!” “ใต้เท้าจาง ข้าน้อยหาได้ขอเกินควรไม่ จากสถานการณ์ในฉงซานยามนี้ต้องใช้เงินอย่างน้อยสองแสนตำลึงจึงจะผ่านพ้นภัยพิบัติครั้งนี้ไปได้นะขอรับ” “หยุดเลย อย่าว่าแต่หนึ่งแสนตำลึง ตอนนี้แม้แต
“องค์รัชทายาทประทับอยู่ในเมืองเหลียงโจวแล้วมิใช่หรือ หากวันพรุ่งที่ว่าการมณฑลยังคงนิ่งเฉย เช่นนั้นข้าก็จะมิสนใจอะไรแล้ว ข้าจะไปหาองค์รัชทายาทเพื่อขอคำอธิบายเอง” “ตกลง! เช่นนั้นพวกเราสามคนเจอกันวันพรุ่ง!” “ได้ รักษาตัวด้วย!” ทั้งสามกล่าวลากัน จากนั้นก็ต่างฝ่ายต่างขนส่งข้าวร้อยต้านกลับไปยังพื้นที่ของตน ในเวลาเดียวกัน ในเมืองเหลียงโจว ณ โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งชื่อว่าชี่ไพ่โจวเซินและสวี่โย่วไฉสองคนกำลังหารือเรื่องการซื้อเสบียงบรรเทาภัยพิบัติกับพ่อค้าขายข้าวในท้องถิ่นหลายคน ในเวลานั้นพ่อค้าข้าวหลายคนต่างมีสีหน้าหนักใจ บางคนถึงกับแสดงความมิพอใจออกมา โจวเซินยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างใจเย็นก่อนจะพูดขึ้นว่า “ทุกท่าน ข้าอธิบายชัดเจนเป็นอย่างยิ่งแล้ว อีกทั้งนี่คือความหมายของใต้เท้าเฉินด้วย พวกท่านเองก็พิจารณานานพอแล้ว ข้าขอคำตอบที่แน่ชัดเสียทีได้หรือไม่?” คนทั้งหลายต่างมองหน้ากัน ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะพูดว่า “ท่านผู้ช่วย เนื่องจากผลกระทบของภัยพิบัติเมื่อเร็ว ๆ นี้ ราคาข้าวจึงพุ่งสูงขึ้นทุกครั้ง แต่พวกท่านจะให้กำไรพวกเราแค่สองส่วนเท่านั้น เช่นนี้มันขาดทุนเห็น ๆ นะขอรับ” “ใช่แล้วผู้ช่วยโจว ถ
สวีหลายพูดอย่างจริงจังว่า “สังหารพวกเขาตอนนี้ก็เป็นเพียงการแหวกหญ้าให้งูตื่น จะเป็นการทำให้เฉินจางและพรรคพวกหนีรอดไปได้ พวกเราจะต้องถอนรากถอนโคนพวกนั้น!” “นับแต่โบราณนานนมราษฎรมิอาจต่อกรกับขุนนางได้ มันจะง่ายดังเช่นท่านพูดที่ไหนกัน” “สำหรับพวกเรามันยากก็จริง แต่ว่าในเมืองยามนี้มิได้มีคนที่สามารถชี้เป็นชี้ตายพวกมันได้แล้วหรือไร?” เฉิงอิงตาเป็นประกายแล้วเอ่ยถาม “สามี ท่านหมายถึงองค์รัชทายาทใช่หรือไม่?” สวีหลายพยักหน้าเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “ใช่แล้ว องค์รัชทายาททรงได้รับพระราชโองการให้มาสำรวจพื้นที่ภัยพิบัติและทรงมีอำนาจประหารก่อนรายงานทีหลัง” “แต่ว่าสามี ได้ยินว่าองค์รัชทายาททรงประพฤติผิดศีลธรรม ทั้งหมกมุ่นในสุรานารีทั้งวัน พระองค์จะออกหน้าเพื่อราษฎรหรือ?” “นั่นเป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น ระยะหลังการแสดงออกขององค์รัชทายาทกลับโดดเด่นกว่าองค์ชายพระองค์อื่นมากนัก นอกจากนี้ข้าเคยพบเขาที่หลงโย่วเมื่อมินานมานี้ เขาทำให้ข้ารู้สึกว่า เขามิเหมือนจวิ้นอ๋องที่เอาแต่แสวงหาความสำราญเลย” เฉิงอิงยังคงกังวลอยู่ “ถึงแม้องค์รัชทายาทจะประสงค์ดูแลเรื่องนี้จริง ๆ แต่เฉินจางกับโจวเซินล้วนเป็นพวกมากเล่ห์เ
“เดิมสำนักหอดูดาวหลวงก็มีอำนาจประหารก่อนรายงานทีหลังอยู่แล้ว หากนางค้นพบหลักฐานความผิดของเฉินจางจริงก็ถือว่าเขาสมควรตาย แต่เฉินจางเป็นถึงผู้ว่าการมณฑล หลักฐานกระทำผิดจะถูกเปิดเผยง่าย ๆ ได้อย่างไร” “เช่นนั้นแล้วองค์รัชทายาทก็ยังให้กู้เสวี่ยเจี้ยนแอบไปสืบที่จวนผู้การมณฑลงั้นหรือเพคะ?” “นางเอาแต่พูดจ้อใส่หูข้ามิหยุด หูข้าแทบจะด้านอยู่แล้ว” เช่นนี้เซี่ยหลานถึงได้ยิ้มอย่างจนใจ “อารมณ์ของกู้เสวี่ยเจี้ยนนั้นยากที่จะคาดเดานักเพคะ ก่อนหน้านี้นางก็เย็นชาถึงเพียงนั้น” ฉินซูบ่นว่า “เย็นชาอะไรกัน อย่างนางเรียกว่าพวกซึนเดเระ” “ซึนเดเระหรือเพคะ?” เซี่ยหลานถามอยางสงสัย “องค์รัชทายาท ซึนเดเระหมายความว่ากระไรหรือเพคะ?” ฉินซูกำลังจะอธิบาย ตอนนี้เองตงฟางไป๋ได้เดินเข้ามา “องค์รัชทายาท มีคนด้านนอกนำจดหมายมาส่ง บอกว่ามอบให้ท่านขอรับ” ในขณะที่พูด ตงฟางไป๋ก็ยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้ ฉินซูเปิดอ่านเพียงแวบเดียวก่อนกล่าวว่า “เซี่ยหลาน ข้าต้องออกไปทำธุระสักครู่ เจ้าอยู่ที่นี่ก่อน หากพวกเฉินจางถามถึงก็บอกว่าข้าออกไปเดินเล่น” “เพคะ องค์รัชทายาทโปรดทรงระวังตัวด้วย” ฉินซูพยักหน้าเล็กน้อยแล้วออกไปพ
ฉินซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วสั่งตงฟางไป๋ว่า “เจ้านำคนจำนวนหนึ่งไปจับตาดูพ่อค้าขายข้าวในเมือง และต้องเฝ้าดูพวกเขาอย่างใกล้ชิด!” “น้อมรับพระบัญชา!” ตงฟางไป๋กำลังจะออกไป แต่กลับลังเลเล็กน้อยและถามว่า “องค์รัชทายาท หากข้าน้อยออกไปแล้ว ท่านเพียงพระองค์เดียว…” ฉินซูตอบอย่างมิสบอารมณ์ว่า “มิใช่ว่าเจ้ามิรู้ถึงพลังของข้า จะกังวลอะไรอีก” ตงฟางไป๋หัวเราะอย่างจริงใจ “นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ เป็นข้าน้อยที่คิดมากไปเอง” ตอนนี้เอง สายตาของฉินซูเย็นเยียบในฉับพลัน มือใหญ่ของเขาคว้าออกกลางอากาศโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า! “ปัง!” ประตูถูกกระแทกจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ ชายคนหนึ่งถูกฉินซูบีบคอไว้อย่างแน่นหนา! ชายผู้นี้คิ้วโก่งและตาเหมือนหนู มองปราดเดียวก็รู้ว่ามิใช่คนดี หลังจากถูกฉินซูบีบคอ เขาตกใจจนหน้าซีด แววตาเต็มไปด้วยความตื่นกลัว ฉินซูตะคอกถามว่า “เจ้าเป็นใคร เหตุใดถึงต้องทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ?” “ข้า… แค่ก ๆ…” ชายผู้นั้นพูดอย่างยากลำบาก ยังมิทันพูดจบประโยค ใบหน้าก็แดงก่ำฉินซูคลายมือเล็กน้อย ชายคนนั้นถึงรู้สึกดีขึ้นบ้าง หลังจากตั้งสติได้ เขาพูดด้วยใบหน้าขมขื่นว่า “องค์รัชทายาท ข้าน้อยแค่ผ่านม
เขานั่งลงพร้อมใบหน้าที่สนใจใคร่รู้และเอ่ยถามว่า “พี่น้องทั้งหลาย ที่พวกท่านเพิ่งพูดคือความจริงงั้นหรือ?” คนเหล่านั้นเห็นว่าฉินซูสวมเสื้อผ้าหรูหรา ท่าทางมิธรรมดาจึงเริ่มทำหน้าระมัดระวังในทันใด หนึ่งในนั้นส่ายหน้าและปฏิเสธว่า “เมื่อครู่พวกเรามิได้พูดอะไรเลย…”ฉินซูยิ้มอย่างใจดีและพูดว่า “พวกท่านอย่ากังวลไปเลย ข้าคือคนต่างถิ่น เมื่อครู่ข้าได้ยินพวกท่านพูดเช่นนั้นจึงรู้สึกสงสัยขึ้นมาเท่านั้นเอง” แต่ว่าคนเหล่านั้นยังเต็มไปด้วยความระแวดระวัง จึงไม่มีใครเปิดปากพูด เห็นท่าทีนั้น ฉินซูจึงหยิบเงินก้อนหนึ่งออกมาจากอกเมื่อเห็นเงิน ดวงตาของพวกเขาก็ส่องสว่างทันที ชายหนุ่มร่างผอมผู้หนึ่งเอ่ยถามว่า “คุณชายท่านนี้ เงินนี้…ให้พวกเรางั้นหรือ?” “ถูกต้อง ขอเพียงพวกท่านสามารถตอบคำถามของข้าสองสามข้อตามความจริงได้ เงินนี้จะเป็นของพวกท่าน” ได้ยินแล้วพวกเขาต่างแลกเปลี่ยนสายตากันจากนั้นก็พยักหน้ารัว ๆ จากนั้นฉินซูจึงถามเข้าประเด็นทันทีว่า “เมื่อครู่พวกท่านเพิ่งพูดว่า ที่ว่าการมณฑลกักตุนข้าวของเหลียงโจวไว้ นั่นหมายความว่าอย่างไร?” คนเหล่านี้ถอนหายใจออกมาแล้วเริ่มเล่าเรื่องราว แท้จริงแล้ว ห
“จิ๊! ก็เป็นไปได้!”“ถูกต้อง มิเช่นนั้นใครจะใจกว้างขนาดนี้เพื่อสืบหาข้อมูลพวกนี้กันเล่า”“หากเป็นเช่นนั้นจริง ชีวิตที่สุขกายสบายใจของพวกขุนนางกังฉินอย่างเสินจางก็ใกล้จะถึงจุดจบแล้ว ถือว่าสวรรค์มีตาฟ้ามีใจโดยแท้!”ขณะที่พูดคุยกัน พวกเขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทว่าหลังจากที่ฉินซูออกมาจากโรงน้ำชา เขาก็มิได้กลับไป แต่เดินสอบถามไปตามถนนและเมื่อสอบถามข้อมูลมาได้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจสถานการณ์ในเมืองเหลียงโจวแล้วนอกเหนือจากอำเภอทั้งสามอันได้แก่เหรากู่ ฉงซานและเป่ยเซียงที่ได้รับผลกระทบร้ายแรงจากภัยพิบัติครั้งนี้ ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในอำเภอที่เหลือก็มิได้ร้ายแรงมากนัก โดยอาศัยการกักตุนข้าวในโรงนาของที่ว่าการอำเภอในแต่ละอำเภอ ราษฎรผู้ประสบภัยจึงสามารถรอดพ้นจากความอดอยากไปได้อย่างปลอดภัยฉินซูยังตามหาพ่อค้าเหล่านั้นโดยเฉพาะเพื่อสอบถามเกี่ยวกับเรื่องที่ที่ว่าการอำเภอบังคับซื้อข้าวในราคาต่ำแต่พวกเขามีความกังวลบางอย่าง จึงมิได้ตอบกลับตรง ๆเมื่อเห็นสถานการณ์ ฉินซูก็รู้ว่าข้อมูลเหล่านี้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงแล้วหลังจากเดินเตร่ไปตามถนนได้สักพักเขาก็กลับมายังที่ว่าการมณฑลขณะเดียวกันห้อ
ฉินซูพยักหน้าอย่างมิหวั่น “ยากนักที่ใต้เท้าเฉินจะมีน้ำใจเช่นนี้ คืนนี้ข้าจะไปที่นั่นแน่นอน!”“ขอบพระทัยสำหรับพระกรุณา เช่นนั้นเหล่าข้าน้อยขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”เฉินจางโค้งคำนับด้วยความดีใจ จากนั้นจึงหันหลังกลับออกไปพร้อมกับโจวเซินและคนอื่น ๆทันทีที่พวกเขาออกไป ถานเหวยก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม“องค์รัชทายาท เมื่อครู่ข้าน้อยเห็นพวกเขาทำสายตาล่อกแล่ก เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องทำอะไรผิดมาแน่ อาจจะมีบางอย่างผิดปกติกับราคาที่พวกเขาเจรจากับพ่อค้าขายข้าวเหล่านั้น พวกเราจะมิสอบถามสักหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”ฉินซูยิ้มพลางส่ายหัว “ตอนนี้ปล่อยไปก่อน หากพวกเขากล้าที่จะโกยเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง ข้าจะทำให้พวกเขาต้องกระอักเลือดออกมาสิบครั้งร้อยครั้ง”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ถานเหวยก็ตกตะลึง จากนั้นดวงตาของเขาก็แวววาวคาดหวัง!ครึ่งวันถัดมา เฉินจางและคนอื่น ๆ ก็นำเงินห้าแสนตำลึงไปซื้อเสบียงระหว่างทางโจวเซินขมวดคิ้ว ดวงตาของเขาสั่นไหวและมิรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เฉินจางถามอย่างสงสัย “ผู้ช่วยโจว เจ้าคิดอะไรอยู่ถึงได้ขมวดคิ้วเช่นนี้?”“ใต้เท้าเฉิน ข้าแค่คิดว่าทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นเกินไป องค์รั
เซี่ยหลานตกใจลนลาน รีบแก้ตัวว่า “มิใช่อย่างนั้น ชูโม่ เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าจะกอดพระองค์ได้อย่างไร เจ้าก็รู้ว่าก่อนหน้านี้เขาทำกับข้าเช่นไร”ฉงชูโม่จึงนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เซี่ยหลานเคยถูกฉินซูฉีกอาภรณ์และทำให้อับอายนางจึงคลายความสงสัยในใจ “ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้นเอง จะตกใจไปไยเล่า”“หึ กล้าล้อข้ารึ ข้ามิคุยกับเจ้าแล้ว” เซี่ยหลานแสร้งทำเป็นโกรธแล้วหันหลังเดินไปฉงชูโม่เห็นดังนั้นจึงรีบตามไป “เซี่ยหลาน ข้าผิดไปแล้ว เจ้าอย่าใจน้อยนักเลย”มองดูทั้งสองคนที่ทำราวกับว่าตนเป็นอากาศธาตุ ฉินซูก็จนคำจะกล่าวโชคดีที่ในเวลานั้นหลินชิงเหยาเดินเข้ามานางคล้องแขนฉินซูพลางกล่าวด้วยความนัยลึกซึ้งว่า “องค์รัชทายาท อากาศหนาวเย็นเช่นนี้อย่าประทับอยู่ข้างนอกเลยเพคะ ข้างนอกแม้จะเย็น แต่ดีที่ตำหนักบูรพาของเรามีบ่อน้ำพุร้อน องค์รัชทายาทจะเสด็จลงไปแช่เพื่อคลายความหนาวเหน็บหรือไม่เพคะ?”“ไปสิ ไยจึงมิไป!”ฉินซูเข้าใจความหมายในทันที จึงจับมือหลินชิงเหยาแล้วรีบเข้าไปในโรงอาบน้ำอย่างใจจดใจจ่อจากนั้นเขาก็ได้รำลึกถึงความหลังกับหลินชิงเหยาอีกครั้งในขณะเดียวกันเหลยเจิ้นได้รับพระบัญชาให้มายังห้องทรงอัก
“อืม เพราะหากเป็นเช่นนั้น ก็อธิบายหลายสิ่งหลายอย่างได้”ฉงชูโม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “คนที่สามารถสั่งการยอดฝีมือจากวังหลวงได้ ตำแหน่งของเขาต้องมิธรรมดาอย่างแน่นอน หากคนเช่นนั้นลอบให้การช่วยเหลืออ๋องฉู่ ก็อาจจะปิดบังสายตาของสำนักโหรหลวงได้จริง ๆ”ฉินซูยักไหล่อย่างจนใจ “ดูเหมือนว่าการจะสาวถึงตัวคนที่อยู่เบื้องหลังอ๋องฉู่จะเป็นเรื่องยาก”“ถูกต้องแล้วเพคะ ครั้งนี้อ๋องฉู่ก่อกบฏมิสำเร็จ ต่อไปคงต้องระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น พวกเราคงจะจับจุดอ่อนของเขาได้ยากขึ้นด้วย” ฉงชูโม่เองก็รู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง“ช่างเถอะ พักเรื่องนี้ไว้ก่อน หากสืบสวนต่อไป เกรงว่าเสด็จพ่อจะทรงสงสัยว่าพวกเราสมคบคิดกันใส่ร้ายอ๋องฉู่”“แต่พวกเราจะปล่อยเรื่องนี้ไปเฉย ๆ หรือเพคะ? ในเมื่อที่อ๋องฉู่ตั้งใจจะก่อกบฏก็เป็นเรื่องจริง”ฉินซูกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “มิอาจปล่อยไปง่าย ๆ แน่นอน สิ่งที่เราทำได้ในยามนี้คือรอ รอให้ฉินอวี่ทำผิดพลาดอีกครั้ง ข้าเชื่อว่าเมื่อเรื่องนี้ซาลงไปแล้ว เขาจะต้องเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน เมื่อใดที่มีการเคลื่อนไหว ก็จะต้องมีพิรุธเป็นแน่”ฉงชูโม่ถามว่า “ให้หม่อมฉ้นแอบจับตาดูเขาดีหรือไม่?”
ฉินซูขมวดคิ้วกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าก็แค่คาดเดา ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด จะสอบสวนเลยได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเป็นศิษย์เอกของท่านทั้งสิ้น หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าจะส่งผลเสียได้”เหลยเจิ้นส่ายหน้าอย่างจนใจ กล่าวว่า “ที่แท้องค์รัชทายาทก็แค่คาดเดาไปเอง แต่ข้าน้อยบอกท่านได้เต็มปากว่า นอกจากเสวี่ยเจี้ยน โฉ่วเยวี่ยและจีอันแล้ว ข้าน้อยล้วนจับศิษย์คนอื่น ๆ ขังแยกกันไว้ในห้องลับของสำนักหอดูดาวหลวงตั้งแต่ครึ่งปีก่อน พวกเขาไม่มีรอดพ้นจากสายตาข้าน้อยได้อย่างเงียบเชียบแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ? ถูกท่านขังไว้หมดเลยหรือ?”ต่อมความอยากรู้อยากเห็นของฉินซูถูกกระตุ้นขึ้นมาทันที เขาถามต่อว่า “ท่านหัวหน้าโหรหลวงขังพวกเขาไว้ด้วยเหตุผลใดหรือ?”กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเหลยเจิ้นกระตุกสองสามครั้ง เขายกมือขึ้นลูบหน้าผากแล้วตอบว่า “ช่างเถิด ข้าน้อยมิกลัวองค์รัชทายาทจะหัวเราะเยาะอยู่แล้ว ศิษย์เอกของข้าน้อยแต่ละคนล้วนมีสันดานทรยศ ข้าน้อยแน่ใจว่าท่านก็พอจะรู้นิสัยใจคอของโฉ่วเยวี่ยและจีอันอยู่บ้าง ดังนั้นข้าน้อยจึงทำได้เพียงปล่อยให้พวกเขาไตร่ตรองถึงความผิดพลาดของตนเท่านั้น”“เช่นนั้น ศิษย์เอกทั้งเจ็ดคนของท
ทันทีที่เขาลงบันไดมา จีอันก็ถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “ศิษย์พี่รอง โดนดุมาหรือไร?”“ไป ๆ ๆ หัวโขกจนปูดไปหมด เรื่องนี้ข้ายังมิได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย!”“ดูเถอะ ขี้ใจน้อยเหมือนสตรีไปได้”“นี่ เจ้าอยู่ดี ๆ มิชอบใช่หรือไม่? ข้าจะฟาดเจ้าคอยดูเถอะ!” ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยไปหาแส้ยาวมาจากไหนก็มิทราบจีอันแคะขี้มูกแล้วกล่าวอย่างมิได้ยี่หระว่า “ข้ามิกลัวเจ้าหรอก ถึงอย่างไรท่านก็สู้ข้ามิได้”“ข้า… เจ้ามันร้ายกาจ ข้ายอมแพ้!”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยหมดความอดทนใดทันที จีอันผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องหนังหนา อีกทั้งยังเก่งกาจจนน่าขนลุก สู้มิได้ เขาหลบดีกว่าพูดจบเขาก็หันหลังเดินออกไปครู่ต่อมา ฉินซูและฉงชูโม่ก็มาถึงเมื่อเห็นฉินซู จีอันก็อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “โอ้โหแฮะ องค์รัชทายาท มิไปประกาศศักดาที่ใดหรือ ไฉนจึงมาเยือนสำนักหอดูดาวหลวงของเราได้?”ฉินซูงงงวยเล็กน้อย จึงถามกลับว่า “ตัวข้าต้องไปประกาศศักดาที่ใดเล่า? อวดอ้างกระไร?”“ท่านมิทรงทราบหรือ? ยึดครองแคว้นหนานเยวี่ยง่ายเหมือนปอกกล้วยเช่นนี้ ผลงานระดับนี้ไยมิไปประกาศให้ทั่วเล่า? หากเป็นข้าน้อย ข้าน้อยจะร้องแรกแหกกระเชอคุยโวไปสามวันสามคืนเต็ม ๆ ท่านนี่ช่าง
ชิวก่วนกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า “หาได้มีโจรผู้ร้ายบุกรุกเข้ามาไม่พ่ะย่ะค่ะ หูก่วงเซิงและพวกตายไปโดยไร้สาเหตุ ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีความผิดปกติใด ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“ว่ากระไรนะ? หูก่วงเซิงและพวกตายแล้วรึ?”ฉงชูโม่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าประหลาดใจฉินซูกล่าวอย่างมิสบอารมณ์ว่า “มิใช่แค่พวกเขา แม้แต่กองทัพส่วนตัวห้าหมื่นนายของอ๋องฉู่ก็ถูกคนช่วยออกไปแล้ว”“ว่ากระไรนะเพคะ?”ฉงชูโม่ตกตะลึงอ้าปากค้าง!เมื่อได้สติกลับมา นางก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ด้วยกำลังของอ๋องฉู่เพียงลำพัง ไม่มีทางทำเรื่องเหล่านี้ได้แน่ ดังนั้นเบื้องหลังของเขาต้องมียอดฝีมือคอยช่วยเหลือเป็นแน่เพคะ!”ฉินซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ศพของหูก่วงเซิงและพวกอยู่ที่ใด?”“ตอนนี้อยู่ที่ศาลต้าหลี่พ่ะย่ะค่ะ”“ไปดูกัน”ฉินซูกล่าวจบก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วหวังฉือเห็นเขาออกมาก็คำนับแล้วกำลังจะกล่าวทว่าฉินซูกลับพูดแทรกขึ้นก่อนว่า “ใต้เท้าหวัง ไปกันเถิด ไปศาลต้าหลี่ของท่านด้วยกัน”เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังฉือก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็รีบพยักหน้าหนึ่งชั่วยามต่อมาพวกเขาก็มาถึงศาลต้าหลี่เมื่อมองดูร่างไร้วิญญาณของหูก่วงเซิงและพวก ฉ
ฉงชูโม่พยักหน้าหนักแน่น “ถูกต้องแล้วเพคะ เรื่องนี้มิใช่แค่ข้าน้อยคนเดียวที่เห็นกับตา ทหารทั้งสามทัพหลายนายก็เห็นเช่นกัน”เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของฉินอู๋ต้าวก็มิสู้ดีขึ้นมาทันตาอดีตองค์รัชทายาทสำมะเลเทเมาบัดนี้กลับสร้างคุณงามความดีครั้งยิ่งใหญ่ อีกทั้งวรยุทธ์ก็ยังลึกล้ำเกินหยั่งถึง นี่มัน… เกินความคาดหมายของเขาไปมาก!ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาคิดว่าเบื้องหลังฉินซูต้องมียอดฝีมือคอยชี้แนะแต่จากที่เห็นในเวลานี้ ยอดฝีมือที่ว่านั้น แท้จริงแล้วก็คือฉินซูเองกล่าวคือ ฉินซูมิเพียงแต่มีกลยุทธ์ที่เหนือชั้น แต่วรยุทธ์ก็ยังก้าวเข้าสู่ระดับที่น่าตกตะลึงซ้ำร้ายฉินซูยังจงใจปิดบังวรยุทธ์ของตนอีกด้วย!เมื่อรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน ความระแวงที่ฉินอู๋ต้าวมีต่อฉินซูก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อเห็นฉินอู๋ต้าวนิ่งอึ้งไป ฉงชูโม่ก็กล่าวต่ออย่างมีนัยแฝงว่า “ฝ่าบาท ข่าวลือเรื่ององค์รัชทายาททรงทักษะยอดเยี่ยม เกรงว่าอีกมินานคงจะแพร่สะพัดไปทั่วหลงเฉิงเพคะแต่ก็ดีเหมือนกันเพคะ เหล่าคนชั่วที่คิดจะลอบสังหารองค์รัชทายาทจะได้ประมาณตนก่อนจะลงมือ เช่นนี้แล้ว ก็จะได้มิต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยขององค์รัชทายาทให้มา
สวี่จิ้นเสนาบดีกรมโยธาธิการกล่าวว่า “องค์รัชทายาท พระองค์ได้นำหนานเยวี่ยทั้งเจ็ดมณฑลสามสิบแปดเมืองมาอยู่ภายใต้ต้าเหยียนของเรา คุณูปการอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ สมควรได้รับการประทานเครื่องยศเก้าประการแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ฉินซูส่ายหน้าเล็กน้อย “ใต้เท้าสวี่ ท่านกล่าวผิดแล้ว มีคำกล่าวว่า ใต้หล้าไพศาลล้วนเป็นแผ่นดินขององค์จักรพรรดิ บนแผ่นดินนี้ล้วนเป็นข้ารองพระบาทขององค์จักรพรรดิ ข้าในฐานะองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน ย่อมถือเอาความผาสุกของราษฎรเป็นภารกิจของตน ทุกสิ่งที่ทำล้วนเป็นหน้าที่”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉินซูก็ประสานมือคำนับฉินอู๋ต้าวอีกครั้ง “เสด็จพ่อ ดังนั้นรางวัลอันยิ่งใหญ่อย่างเครื่องยศเก้าประการนี้ลูกมิกล้ารับไว้จริง ๆ หวังว่าเสด็จพ่อจะทรงเข้าพระทัยพ่ะย่ะค่ะ!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหล่าขุนนางระดับสูงก็อุทานด้วยความประหลาดใจอีกครั้งรางวัลอันยิ่งใหญ่เช่นเครื่องยศเก้าประการนี้ องค์รัชทายาทกลับปฏิเสธจริง ๆ หรือ?ต้องเท้าความว่า หากฉินซูในฐานะเป็นองค์รัชทายาทรับรางวัลนี้ ในภายภาคหน้า สถานะความสำคัญของเขาในสายตาของขุนนางและราษฎรแห่งต้าเหยียนก็แทบจะเทียบเท่ากับฉินอู๋ต้าวผู้เป็นองค์จักรพรรดิได้เลยทีเ
ฉงชูโม่กำลังจะกล่าวต่อ แต่กลับสังเกตเห็นว่าฉินซูกำลังส่ายหน้าให้นางเล็กน้อยเมื่อเห็นดังนั้น คิ้วเรียวก็ขมวดเล็กน้อยด้วยความสงสัยจากนั้นเสียงของฉินซูก็ดังขึ้นในหูของนาง “สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว หลักฐานสำคัญหายไป”ฉินซูใช้วิชาแห่งกระแสจิต ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตได้นอกจากฉงชูโม่เมื่อได้ยินถ้อยคำของฉินซู แววตาของฉงชูโม่ก็พลันไหววูบ จากนั้นจึงกล่าวกับฉินอู๋ต้าวว่า “ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยไม่มีสิ่งใดจะกล่าวทูลแล้วเพคะ”เมื่อเห็นเช่นนั้น ฉินอู๋ต้าวก็มองฉงชูโม่ด้วยความสงสัยผาดหนึ่งแล้วหันไปมองฉินซูแทน“องค์รัชทายาท รายงานเรื่องคลังหลวงของหนานเยวี่ยหน่อยซิ”“ลูกน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินซูประสานมือแล้วพูดต่อ “ทูลเสด็จพ่อ ในการตรวจค้นคลังหลวงของหนานเยวี่ยครั้งนี้ ลูกพบผ้าไหมแพรพรรณสูงค่ามากมายนับมิถ้วน เงินแท้รวมทั้งสิ้นสิบสามล้านกว่าตำลึง ทองคำสองล้านตำลึง เสบียงอาหารก็มีมากถึงเกือบแสนต้านพ่ะย่ะค่ะ”“ลูกได้จัดสรรเงินจำนวนหนึ่งล้านตำลึงจากทั้งหมดในพระนามของเสด็จพ่อ เพื่อใช้เป็นรางวัลแก่ทหารทั้งสามทัพ ส่วนพืชพรรณธัญหารก็ได้สั่งให้คนนำกลับไปเก็บไว้ที่เจียวโจวแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ยังมีอีกเรื่
ฉินอู๋ต้าวผงกศีรษะให้ฉินอวี่เล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “อ๋องฉู่ ในเมื่อชูโม่เข้าใจตัวเจ้าผิดไป เจ้าก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้งเถิด”“ลูกรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินอวี่ประสานมือคำนับ แล้วกล่าวช้า ๆ ว่า “ชูโม่ ตอนที่ลงใต้ไปยังเจียวโจว ยามนั้นข้าประมาทเลินเล่อ ถูกคนสนิทขโมยตราประจำตัวไป ภายหลังจึงได้ทราบว่าเจ้าคนสารเลวนั่นถูกเติ้งหม่างซื้อตัวไปนานแล้วแม้แต่หูก่วงเซิงและคนอื่น ๆ ก็ยังแปรพักตร์ไปเข้าข้างหนานเยวี่ย กว่าข้าจะรู้ตัวทัพหนานเยวี่ยก็บุกเข้าประตูเมืองเจียวโจวแล้วด้วยความจำเป็น ข้าจึงต้องถอยกลับมาก่อน จากนั้นก็เดินทางทั้งวันทั้งคืน เมื่อกลับมาถึงหลงเฉิงก็รีบทูลเรื่องนี้ให้เสด็จพ่อทรงทราบในทันที”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉงชูโม่ก็แค่นยิ้มหยันทันที “ท่านอ๋องฉู่ ท่านทรงคิดว่าแค่โยนความผิดทั้งหมดไปให้คนสนิทขอท่านแล้วเรื่องก็จะจบลงง่าย ๆ เช่นนั้นหรือ?”ฉินอวี่โต้กลับว่า “สิ่งที่ตัวข้าพูดมาทั้งหมดเป็นความจริง จะเรียกว่าโยนความผิดได้อย่างไร?”ฉงชูโม่มิได้โต้เถียงกับเขาต่อ แต่หันไปกล่าวกับฉินอู๋ต้าวว่า “ฝ่าบาท ที่ทะเลตงไห่ ท่านอ๋องฉู่...”ยังมิทันที่นางจะพูดจบ ขันทีน้อยคนหนึ่งก็วิ่งเข้าม