ภายในจวนฝู่กั๋วกง ทันทีที่ฉินเซียวเข้าประตูมา เขาก็คว่ำโต๊ะในห้องโถงอย่างโกรธจัด ชุดน้ำชาบนโต๊ะร่วงหล่นลงพื้นแตกเป็นชิ้น ๆ ในชั่วพริบตา เมื่อคนรับใช้ในจวนเห็นท่าทางเช่นนี้ ทุกคนต่างตกใจกลัวจนหน้าซีดมิกล้าแม้แต่หายใจ ตอนนี้เองชายชราวัยห้าสิบหรือหกสิบปีเดินเข้ามา เขาเหลือบมองห้องโถงที่เละเทะด้วยเอ่ยด้วยความเคารพ “ท่านอ๋อง ท่านมิได้เข้าวังไปฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของไทฮองไทเฮาหรือพ่ะย่ะค่ะ เหตุใดจึงกลับเร็วเช่นนี้ อีกทั้งยังดูโมโหมากด้วย?” ฉินเซียวหันกลับไปและถามด้วยความประหลาดใจ “ที่ปรึกษาจี้ ไฉนท่านจึงอยู่ที่นี่?” ที่ปรึกษาจี้ผู้นี้มีนามว่าจี้เหลียน เขาเป็นอดีตพ่อบ้านของจวนอ๋องหนิง หลังจากที่ฉินเซียวถูกลดตำแหน่งเป็นฝู่กั๋วกง ที่ปรึกษาจี้ถูกสำนักขุนนางใหญ่จัดให้ไปทำงานที่อื่น เมื่อเห็นว่าเขาปรากฏตัวในจวนฝู่กั๋วกง ฉินเซียวจึงรู้สึกสับสนเล็กน้อย จี้เหลียนอธิบายว่า “นับตั้งแต่ท่านอ๋องย้ายมายังจวนฝู่กั๋วกง ข้าน้อยก็รีบเขียนหนังสือส่งให้สำนักขุนนางใหญ่เพื่อขอติดตามท่านอ๋องมาที่นี่ทันที จนกระทั่งเช้านี้ คำสั่งของสำนักขุนนางใหญ่เพิ่งออกมาพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อฉินเซียวได้ยินสิ่
“ที่ผ่านมาองค์รัชทายาทมิเคยทำตัวให้เป็นที่สะดุดตา วันนี้กลับโดดเด่นในศึกประลองวรรณกรรมระหว่างสองแคว้น เขามากเล่ห์ซ่อนกลไว้อย่างลึกซึ้งเช่นนี้ ข้าน้อยคิดว่าองค์จักรพรรดิจะต้องทรงเฝ้าระวังเขาในภายภาคหน้า นี่มิใช่เรื่องดีพ่ะย่ะค่ะ” ฉินเซียวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าช้า ๆ “ที่ท่านพูดเช่นนี้ก็ถูก เสด็จพ่อทรงเป็นคนขี้ระแวง เมื่อฉินซูแสดงความสามารถโดดเด่นเช่นนี้ ย่อมทำให้พระองค์เกิดความสงสัยอย่างมากแน่นอน” “เช่นนั้น แล้วท่านอ๋อง ต่อไปเราควรเร่งหาทางให้องค์จักรพรรดิทรงฟื้นฐานะจวิ้นอ๋องของท่านกลับมา ส่วนการแก้แค้นองค์รัชทายาทพวกเรายังมีโอกาสในภายภาคหน้าพ่ะย่ะค่ะ” “ลูกผู้ชายล้างแค้นสิบปีก็มิสาย ได้ ข้าจะทำตามคำแนะนำของท่าน! เพียงแต่… จะมีวิธีใดที่ทำให้เสด็จพ่อฟื้นคืนตำแหน่งจวิ้นอ๋องให้ข้าได้หรือ?” จี้เหลียนกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ในแคว้นต้าเหยียนของเรามีภัยน้ำท่วมทางใต้และภัยแล้งทางเหนือ ถึงแม้ราชสำนักเริ่มทำการบรรเทาภัยพิบัติแล้ว ทว่าผู้คนจำนวนมากในเขตเมืองและมณฑลที่ได้รับผลกระทบรุนแรงนั้นยังไม่มีอาหารกินว่ากันว่าผู้คนในเขตเมืองและมณฑลเหล่านั้นเต็มไปด้วยความมิพอใจและเสียศรัทธาต
ฉินเหยี่ยนพูดอย่างจริงจัง “ว่ากันว่า เสด็จพ่อทรงวางแผนจะส่งองค์ชายไปตรวจสอบตามเขตเมืองและมณฑลที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากภัยพิบัติ นี่เป็นภารกิจที่สามารถสั่งสมบารมีได้ ไว้ตอนราชสำนักช่วงเช้า เสด็จพี่รัชทายาทลองหาโอกาสดูเถิดพ่ะย่ะค่ะ”ฉินซูยักไหล่เล็กน้อยและกล่าวว่า “ถึงแม้ว่าข้าเอ่ยปากทูลขอจริง เจ้าคิดว่าเสด็จพ่อจะส่งข้าไปจริงหรือ?” “เสด็จพี่รัชทายาท ในพระทัยของเสด็จพ่ออาจมิเต็มพระทัยทำเช่นนั้น แต่บัดนี้ท่านมิได้ต่อสู้ในราชสำนักเพียงลำพังแล้ว ตัวอย่างเช่น ตุลาการศาลต้าหลี่ ผู้ตรวจการฝ่ายซ้ายและคนอื่น ๆ จะต้องออกมาสนับสนุนท่านแน่นอน” พูดถึงสิ่งนี้แล้ว ฉินเหยี่ยนยังให้คำมั่นอีกว่า “และขอเพียงเสด็จพี่รัชทายาททูลขอ น้องผู้นี้ก็จะสนับสนุนท่านอย่างสุดใจโดยมิลังเลเลยพ่ะย่ะค่ะ” ฉงชูโม่ที่อยู่ด้านข้างแสดงสีหน้าสงสัยและถามว่า “ท่านอ๋องจิ้น เหตุใดท่านมิลองทูลขอภารกิจที่ดีเช่นนี้ให้ตัวท่านเอง ทว่ากลับสนับสนุนองค์รัชทายาทแทน ท่านหวังผลอะไร?” ฉินเหยี่ยนถอนหายใจอย่างจนใจ “มิว่าอย่างไรเสด็จพ่อก็มิส่งข้าไปแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น จะไม่มีขุนนางคนใดออกมาสนับสนุนข้า ในสถานการณ์ยามนี้ คนที่สามารถแย่งต
หลังจากฉินเหยี่ยนสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก็พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เสด็จพี่รัชทายาท กระหม่อมเองจะมิปิดบังท่าน หากเสด็จพ่อทรงส่งฉินเซียวไปตรวจสอบเขตภัยพิบัติจริง เช่นนั้นระหว่างทางกระหม่อมจะส่งคนไปลอบสังหารเขา หนหนึ่งมิสำเร็จก็จะมีหนที่สอง หนที่สองมิสำเร็จก็หนที่สาม มิว่าอย่างไร กระหม่อมจะมิยอมให้เขามีชีวิตกลับมาที่หลงเฉิง!” “ท่านอ๋องจิ้น หากท่านส่งคนไปลอบสังหารฉินเซียวจริง ๆ และหากองค์จักรพรรดิทรงทราบเรื่อง สถานการณ์ของท่านอาจจะ…” ฉงชูโม่พูดมิทันจบ ฉินเหยี่ยนก็พูดแทรกว่า “ขอเพียงแก้แค้นให้หลิงเอ๋อร์ได้ เรื่องอื่นล้วนมิสำคัญ” ได้ยินเช่นนี้ ฉงชูโม่จึงมิพูดอะไรอีกและมองไปที่ฉินซู ฉินซูยิ้มบาง ๆ “น้องหกอย่าได้ร้อนใจ รอดูราชสำนักช่วงเช้าวันพรุ่งก่อนเถิดว่า เสด็จพ่อจะทรงตัดสินพระทัยเช่นไร ข้าจะต่อสู้ในสิ่งที่สมควรเอง” “เช่นนี้ ทุกอย่างต้องขอพึ่งเสด็จพี่รัชทายาทแล้วพ่ะย่ะค่ะ น้องจะมิรบกวนท่านมากไปกว่านี้ ขอทูลลา!” ฉินเหยี่ยนโค้งคำนับแล้วหันหลังจากไป เซี่ยหลานขมวดคิ้วเล็กน้อยและถามว่า “อ๋องจิ้นมิลังเลที่จะส่งคนไปลอบสังหารฝู่กั๋วกง เขาเพียงแค่พยายามล้างแค้นให้ชายารองของเขาเท่านั้นจ
ฉงชูโม่พยักหน้าช้า ๆ และกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “อืม พวกเราสาบานได้ว่าจะมิพูดเรื่องนี้ให้ใครฟังแม้แต่คำเดียวรวมถึงองค์จักรพรรดิด้วย” ฉินซูกล่าวอย่างมิใจว่า “มิว่าพวกเจ้าจะเชื่อหรือไม่ ลับหลังข้าไม่มีผู้ยิ่งใหญ่คนใดเลยจริง ๆ หากจะยืนกรานว่ามี เช่นนั้นควรมีสามคน” “สามคนนั้นคือใคร?” เซี่ยหลานและฉงชูโม่ถามออกมาพร้อมกัน ฉินซูเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ชิงเหยาแล้วก็พวกเจ้าสองคน!” เซี่ยหลานขมวดคิ้วแล้วบ่นว่า “องค์รัชทายาท พวกเราจริงจังเพคะ ท่านยังมาล้อเล่นกับพวกเราอีก” ฉงชูโม่เองก็ม้วนแขนเสื้อขึ้น “ถูกต้อง พวกเราจะเป็นผู้ทรงภูมิอยู่เบื้องหลังท่านได้อย่างไร?” “กล่าวกันว่าบุรุษประสบความสำเร็จได้ ต้องมีสตรีคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง และพวกเจ้ามิใช่สตรีที่อยู่เบื้องหลังข้าหรอกหรือ!” “ถุย! สตรีที่อยู่เบื้องหลังท่านอะไรกัน พูดจาเหลวไหลทั้งเพ!” ใบหน้าสวยของเซี่ยหลานแดงขึ้นมาเล็กน้อย “ใช่แล้ว คำพูดเช่นนี้ท่านอย่าได้พูดให้ชิงเหยาฟังเชียว มิเช่นนั้นนางต้องเข้าใจผิดแน่” เมื่อเห็นท่าทีของนางเช่นนี้แล้ว ฉินซูรู้สึกว้าวุ่นในใจ ครั้นแล้วเขาก็มองไปรอบ ๆ แล้วเอ่ยกับฉงชูโม่ว่า “ชูโม่ วันนี้เป่ยเย
ฉินหงทุบโต๊ะพร้อมกับพูดอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า “เพราะเช่นนั้นข้าถึงได้ขอให้พวกเจ้าคิดมาตรการรับมืออย่างไรเล่า หากปล่อยให้เจ้ารัชทายาทไร้ค่าคนนั้นยืนหยัดในราชสำนักได้อย่างมั่นคงแล้วละก็ มิใช่เพียงแค่กับข้า แม้แต่พวกเจ้าก็จะไม่มีที่ยืนอยู่ในราชสำนักเช่นกัน!”ใบหน้าเซี่ยเหอเกิดความรู้สึกมิแน่นอนขึ้นมาทันที จากนั้นครู่หนึ่งแววตาของเขาก็ฉายประกายบางอย่างและกล่าวอย่างจริงจังว่า “ท่านอ๋อง สำหรับแผนการนี้ พวกเรามิควรสู้กับองค์รัชทายาทเพียงลำพัง สมควรหาพวกเพิ่มพ่ะย่ะค่ะ!” “เจ้าพูดน่ะง่าย แล้วเราจะไปหาพวกจากที่ไหนเล่า?” “อ๋องซิ่นพ่ะย่ะค่ะ เขาเองก็เกลียดองค์รัชทายาทจะตายอยู่แล้ว หากท่านอ๋องจับมือกับเขา ก็จะจัดการองค์รัชทายาทได้ง่ายขึ้นมากพ่ะย่ะค่ะ” ฉินหงลูบคางและไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง “ร่วมมือกับองค์ชายสามเป็นความคิดมิเลวจริง ๆ ทว่ายามนี้ฉินซูรุ่งโรจน์ขีดสุด กลัวว่าถึงแม้จะร่วมมือกับองค์ชายสามก็คงยากที่จะเอาชนะเขาได้อยู่ดี” หลินซีพยักหน้าช้า ๆ และกล่าวเห็นด้วย “ท่านอ๋องพูดถูก วันนี้องค์รัชทายาทพลิกวิกฤตทำให้คณะทูตเป่ยเยี่ยนปราชัยกลับไป ยิ่งกว่านั้นยังทำให้ไทฮองไทเฮากริ้วอีกด้วยแม้
ฉินหยางพยักหน้า “ถูกต้อง ตอนนี้ความมิพอใจของราษฎรในพื้นที่ภัยพิบัติได้ขยายเป็นวงกว้าง และการเดินทางในครั้งนี้จะเต็มไปด้วยอันตราย จึงมิใช่เรื่องง่ายที่องค์รัชทายาทจะกลับมาอย่างปลอดภัย!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ท่าทางของฉินหงและคนอื่น ๆ ก็เปลี่ยนไป!“เสด็จพี่สามต้องการยืมมือราษฎรที่ประสบภัยเพื่อทำให้องค์รัชทายาท…”ฉินหงพูดพร้อมกับทำท่าทางเชือดคอตัวเองฉินหยางเผยรอยยิ้มชั่วร้ายและพยักหน้าช้า ๆหลินซีขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ท่านอ๋องซิ่น ความคิดนี้ช่างดีเสียจริง เพียงแต่ก่อนหน้านี้อ๋องจิ้นได้ส่งยอดฝีมือจากยุทธภพไปลอบสังหารองค์รัชทายาท ทว่าก็คว้าน้ำเหลวกลับมา ยามนี้อาศัยเพียงราษฎรที่ประสบภัยเหล่านั้น แล้วจะทำสำเร็จได้อย่างไรกัน?”“คำพูดของใต้เท้าหลินมีเหตุผล เกรงว่าการลอบสังหารอาจมิสำเร็จ อีกทั้งอาจทำให้องค์รัชทายาทได้หน้าไปมิน้อย หากเป็นเช่นนั้น พวกเราก็จะสูญเสียทั้งขึ้นทั้งล่อง”ฉินหยางพูดอย่างมั่นใจ “ที่ฉินเหยี่ยนพลาดครั้งที่แล้วเป็นเพราะชูโม่อยู่ข้างกายองค์รัชทายาท แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากครั้งนี้นางมิสามารถติดตามเขาไปได้?”“หากเป็นเช่นนั้นจริง ข้าน้อยก็คิดว่ามันเป็นไปได้พ่ะย่ะค่ะ!”เซี่ยเ
“ในเมืองหลงเฉิงแห่งนี้พวกเขาคงมิกล้า ทว่าหากองค์จักรพรรดิทรงส่งท่านไปตรวจสอบพื้นที่ภัยพิบัติเล่าเพคะ?”เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซี่ยหลานก็รู้สึกกังวล “องค์รัชทายาท หากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ท่านก็จะตกอยู่ในอันตรายนะเพคะ มิเช่นนั้น วันพรุ่งหากองค์จักรพรรดิทรงส่งท่านไป ก็ทรงหาข้ออ้างหลบเลี่ยงเถิดเพคะ”ฉินซูพูดด้วยความโกรธ “หากเสด็จพ่อประสงค์ให้ข้าไปจริง ๆ ข้าจะปฏิเสธได้อย่างไร นอกจากนี้ หากข้ามิไป นั่นก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้ฉินเซียวได้กลับมาผงาดน่ะสิ!”เซี่ยหลานพูดอย่างกังวล “แต่หากทางหอดารารักษ์ส่งยอดฝีมือไปสกัดกั้นและสังหารท่านระหว่างทาง ท่านจะมิตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายหรอกหรือเพคะ?”“มิเป็นไร ข้าโชคดีมาโดยตลอด และข้าก็มีชูโม่คอยปกป้อง ไม่มีปัญหาใหญ่อะไรเกิดขึ้นกับข้าหรอก”ฉงชูโม่ถอนหายใจเบา ๆ และพูดว่า “ช่างเถิดเพคะ ถึงตอนนั้นพวกเราแค่ระมัดระวังกันให้มากขึ้นก็พอ”“เอาเถอะ นี่ก็ดึกแล้ว พวกเจ้ารีบไปพักผ่อนได้แล้ว”“เพคะ เช่นนั้นท่านก็ทรงพักผ่อนเถิดเพคะ”หลังจากที่ฉงชูโม่พูดจบ นางก็ดึงเซี่ยหลานเดินจากไปฉินซูส่งสายตาให้เซี่ยหลานอย่างมิแสดงอารมณ์ใดเซี่ยหลานลังเล แต่สุดท้ายก็แอบพยักหน้า
“ท่านแม่ทัพหู แผนนี้ยอดเยี่ยมจริง ๆ ออกจากประตูเมืองฝั่งเหนือแล้วอ้อมไปอีกหน่อย ก็ลอบโจมตีทัพหนานเยวี่ยได้เหมือนเดิม!”“ไป เร่งฝีเท้า!”ดังนั้น กองทหารของพวกเขาจึงเดินทางมายังใต้ประตูเมืองฝั่งเหนือแม่ทัพรักษาการณ์ที่นี่เห็นหูก่วงเซิงและพวก จึงไต่ถาม “ท่านแม่ทัพหู นี่พวกท่านจะทำการใด?”“ในเมืองผู้คนพลุกพล่านเกินไป พวกเราจะออกไปพักผ่อนนอกเมืองสักหน่อย วันพรุ่งพวกเราจะย้ายค่ายทหารไปตั้งไว้นอกเมืองฝั่งเหนือเช่นกัน เพื่อความสะดวกในการฝึกทหาร”เมื่อได้ยินดังนั้น ทหารรักษาการณ์ก็โบกมือให้คนเปิดประตูเมืองจะตำหนิว่าเขาประมาทเกินไปก็มิได้ ท้ายที่สุดแล้วนอกเมืองทางฝั่งเหนือยังมีทหารประจำการอยู่เป็นจำนวนมิน้อย ทหารที่เข้าออกประตูเมืองทางฝั่งเหนือจึงมีจำนวนมากเป็นทุนเดิมหลังจากที่ออกนอกเมืองได้อย่างราบรื่น หูก่วงเซิงจึงนำกองทัพทหารม้าพันนายมุ่งหน้าลงใต้!ขณะเดียวกันนอกประตูเมืองเจียวโจวทางฝั่งใต้ เงาร่างสิบกว่าร่างพุ่งออกมาจากป่าละเมาะห่างออกไปมิไกลนักพวกเขามีท่าทางคล่องแคล่ว เพียงชั่วพริบตาก็เข้าไปซุ่มซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้เตี้ย ๆ ฝั่งหนึ่งหลังจากที่สังเกตการณ์บนกำแพงเมืองอยู่ครู่หน
“ท่านแม่ทัพหู กองทัพหนานเยวี่ยแตกพ่ายในวันนี้ บัดนี้คงอกสั่นขวัญแขวนกันอยู่เป็นแน่ หากพวกเรานำทัพไปลอบโจมตี อย่างไรก็ต้องสำเร็จ! ถึงเวลานั้นหากสำเร็จ ท่านแม่ทัพใหญ่จะเอาผิดพวกเราที่ยกทัพไปโดยพลการได้อย่างไร?”ชายร่างกำยำอีกด้านกล่าวสำทับ “รองแม่ทัพหลิวกล่าวได้ถูกต้อง ท่านแม่ทัพหู พวกเราอุตส่าห์บุกป่าฝ่าดงมาถึงเจียวโจวก็มิใช่อื่นใด นอกเสียจากเพื่อสร้างความดีความชอบให้มากยิ่งขึ้นพวกเราสร้างความดีความชอบในเจียวโจวมากเท่าไร พระเกียรติของท่านอ๋องฉู่ในราชสำนักก็จะยิ่งสูงส่งมากขึ้นเท่านั้น ทุกสิ่งที่พวกเราทำ ล้วนเพื่อท่านอ๋องฉู่ทั้งสิ้น!”“ถูกต้อง พวกเราคือคนของท่านอ๋องฉู่ ท่านแม่ทัพใหญ่ย่อมมิอาจตำหนิพวกเราที่ออกรบโดยพลการได้ ท่านแม่ทัพหู ท่านรีบตัดสินใจเถิด โอกาสมิคอยท่า เวลามิหวนคืน!”“ท่านแม่ทัพหู คนขององค์รัชทายาทออกนอกเมืองไปครึ่งชั่วยามแล้ว หากพวกเรามิรีบเร่งติดตามไป เกรงว่าน้ำแกงก็มิได้ซด อย่าหวังจะได้กินเนื้อเลยขอรับ!”ด้วยคำยุยงของเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชา ดวงตาของหูก่วงเซิงก็ค่อย ๆ แน่วแน่ขึ้น!เขาพยักหน้าหนักแน่น กล่าวเสียงทุ้มต่ำ “สั่งให้เหล่าสหายทั้งหลายเตรียมตัวให้พร้อม อีกห
หูก่วงเซิงยกไหสุราขึ้นกระดกไปหลายอึก และแค่นเสียง “หึ ศึกที่ได้ชัยชนะในวันนี้ หากมิใช่เพราะทหารม้าหุ้มเกราะของพวกข้าบุกตะลุยอยู่แนวหน้า มีหรือกองทัพหนานเยวี่ยจะถูกสังหารจนแตกพ่ายยับเยิน?ทว่าในงานเลี้ยงฉลองชัย ท่านแม่ทัพใหญ่กลับมิเอ่ยถึงความดีความชอบของพวกข้าแม้แต่คำเดียว เอาแต่ชื่นชมองค์รัชทายาทมิขาดปากข้าสงสัยนัก องค์รัชทายาทเพียงแต่นำอาวุธที่กรมโยธาธิการประดิษฐ์ขึ้นใหม่มาด้วยเท่านั้น มีสิ่งใดน่าสรรเสริญกัน?”รองแม่ทัพที่นั่งอยู่ข้างกายเขาขมวดคิ้ว กล่าว “ท่านแม่ทัพหู ท่านว่าเช่นนี้เห็นทีจะมิถูกกระมัง อาวุธเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่องค์รัชทายาททรงออกแบบ ศึกครานี้ชนะได้ ก็เป็นเพราะพระองค์”“ใช่แล้ว อีกอย่างที่ทหารม้าหุ้มเกราะของพวกท่านบุกตะลุยกองทัพหนานเยวี่ยได้ไร้ผู้ใดขัดขวาง ก็มิใช่เป็นเพราะมีอาวุธที่องค์รัชทายาททรงออกแบบให้การคุ้มครองหรอกหรือ มิเช่นนั้นกองทัพหนานเยวี่ยจะปล่อยให้พวกท่านบุกตะลุยในแนวรบโดยมิอาจโต้ตอบได้เลยด้วยเหตุใดเล่า?”หูก่วงเซิงเผยสีหน้าดูแคลน หัวเราะเยาะ “องค์รัชทายาทที่เอาแต่เสพสุขไปวัน ๆ ไฉนจึงออกแบบอาวุธร้ายกาจถึงเพียงนี้ได้? พวกเจ้าก็ช่างหูเบากันเสียจริง ใ
หลังจากที่ฟังเขาจนจบ ฉงชูโม่ขมวดคิ้วถาม “แผนการของท่านดีก็จริง ทว่าหากพวกมันมิมาในคืนนี้เล่า?”“คืนนี้พวกเราจัดงานเลี้ยงฉลองชัย พวกมันต้องปักใจเชื่อว่ากำลังป้องกันเมืองของพวกเราหย่อนยาน คืนนี้หากพวกมันมิลงมือ ภายหน้าคงไม่มีโอกาสดีเช่นนี้อีกแล้ว ดังนั้นคืนนี้พวกมันต้องลงมือเป็นแน่”“เช่นนั้นก็ได้ ทำตามที่ท่านว่าก็แล้วกันเพคะ!”ฉินซูพยักหน้าเล็กน้อย แล้วกล่าวต่อ “อีกอย่าง คืนนี้เจ้าจงส่งทหารสองกองไปซุ่มอยู่หลินสุ่ยและเซี่ยอ้าว เมื่อทัพใหญ่หนานเยวี่ยปรากฏกาย จงปล่อยให้พวกมันเข้ามา รอจนกระทั่งเสียงฆ่าฟันนอกเมืองดังขึ้นค่อยตลบหลังโจมตีกองทัพหนานเยวี่ย จากนั้นจึงเข้าตีกระหนาบหน้าหลัง กวาดล้างพวกมันในคราเดียว!”ฉงชูโม่ถามอย่างตกตะลึง “ท่านคิดว่าคืนนี้พวกหนานเยวี่ยจะบุกโจมตีด้วยทัพใหญ่หรือเพคะ?”“พูดได้แต่เพียงมีความเป็นไปได้สูงนัก”“หม่อมฉันว่ามีความเป็นไปได้น้อย เนื่องจากเติ้งหม่างเพิ่งประสบความพ่ายแพ้ในวันนี้ ซ้ำร้ายทหารใต้บัญชาของเขายังหวาดหวั่นเกรงกลัวธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้าของพวกเราจนหัวหด หากยังมิล่วงรู้ว่าพวกเรามีธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้าเหลืออยู่มากน้อยเพียงใด พวกมันคงมิกล้าผล
ฉินซูหัวเราะแห้ง ๆ แล้วกล่าวติดตลก “ข้าแค่กังวลว่าเจ้าจะหึงหวงข้า”ฉงชูโม่ถ่มน้ำลาย “ถุย ใครจะหึงท่านกัน อย่าได้หลงตัวเองไปหน่อยเลย!”“อะแฮ่ม ๆ เรื่องนั้นช่างมันเถิด ที่จริงข้ามีธุระสำคัญ...”ฉงชูโม่ขัดขึ้นมาเสียก่อน “มีกระไรก็รีบว่ามา อย่ามัวอ้อมค้อม”ฉินซูปรับสีหน้าให้เคร่งขรึม แล้วเอ่ยถาม “วันนี้ที่พวกเรามีชัยเหนือแคว้นหนานเยวี่ย ในความเห็นของเจ้า พวกมันจะทำอย่างไรต่อไป?”“ชัยชนะในวันนี้ ต้องยกความดีความชอบให้กับพลานุภาพของธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้า กองทัพหนานเยวี่ยประสบความพ่ายแพ้ย่อยยับถึงเพียงนี้ หากหม่อมฉันเป็นเติ้งหม่าง คงต้องหาทางนำอาวุธทั้งสองชนิดนี้ไปให้ได้!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินซูจึงอดมิได้ที่จะมองนางด้วยสายตาชื่นชมสมแล้วที่ฉงชูโม่เป็นแม่ทัพขั้นหนึ่งที่มากล้นด้วยสติปัญญาและความกล้าหาญ สามารถเดาใจศัตรูได้ล่วงหน้าเช่นนี้“เมื่อรู้ถึงเจตนาของเติ้งหม่างผู้นั้นแล้ว เราควรจะลองมาล่อเสือออกจากถ้ำดูสักครา”“ตรัสเช่นนี้ แสดงว่าท่านทรงคิดแผนการรับมือไว้แล้วหรือ?”ฉงชูโม่เอี้ยวศีรษะมองฉินซู ดวงตาคู่งามกระจ่างใสนั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจหางตาฉินซูเหลือบมองอ่างอาบน้ำโดยม
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท ขอพระองค์โปรดเมตตา”ทั้งสองกล่าวพร้อมคุกเข่าลงต่อหน้าฉินซูฉินซูจนปัญญา จึงตะโกนเข้าไปในกระโจม “ชูโม่ ให้ข้าเข้าไปเถิด ข้าขออธิบายให้เจ้าฟังดี ๆ มิได้หรือ?”ทว่าข้างในกลับไร้เสียงตอบรับฉินซูยังคงมิยอมแพ้ กล่าวต่อไป “ชูโม่ เจ้าอย่าหึงหวงนักเลย อย่างน้อยก็ให้ข้าอธิบายสักหน่อยเถิด”เมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น ทหารยามทั้งสองก็อดมิได้ที่จะสบตากัน!ให้ตายสิ ท่านแม่ทัพใหญ่กับองค์รัชทายาทมีความสัมพันธ์ช่างลึกซึ้งเกินคาด!!สีหน้าของพวกเขาทั้งสองฉายแววตกตะลึง ราวกับได้รับข่าวเด็ดข่าวใหญ่ฉินซูเกลี้ยกล่อมอีกสองสามประโยค ทว่าในกระโจมก็ยังคงไร้เสียงตอบรับเมื่อเห็นดังนั้น ฉินซูจึงหันไปถามทหารยามทั้งสอง “ชูโม่อยู่ข้างในจริง ๆ หรือ?”“พ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท ท่านแม่ทัพใหญ่เข้าไปแล้วก็ยังมิได้ออกมาเลยพ่ะย่ะค่ะ”“ไม่มีประตูด้านหลังใช่หรือไม่?”“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”“มิได้การ ชูโม่อาจจะเป็นกระไรไปแล้วก็ได้!”กล่าวถึงตรงนี้ ฉินซูจึงตะโกนเข้าไปด้านใน “ชูโม่ ข้าจะเข้าไปแล้วนะ”ขณะที่ฉินซูกำลังจะก้าวเท้าเข้าไป ทหารยามทั้งสองก็รีบร้องทัดทาน “มิได้พ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท ห
ขณะเดียวกันกองหนุนทัพหนานเยวี่ยภายในค่ายทหารแม่ทัพนายกองทั้งหลายต่างจับจ้องไปยังบุรุษบนที่นั่งหัวโต๊ะด้วยใจระทึกบุรุษผู้นั้นสวมชุดเกราะสีเงินยวง ร่างกายสูงใหญ่ผึ่งผาย!เขาคือแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพหนานเยวี่ย เติ้งหม่าง!สายตาเย็นเยียบของเขากวาดมองไปยังกลุ่มคนทีละคน สุดท้ายจับจ้องที่แม่ทัพน้อยหม่า“หม่าเวย เจ้าสำนึกผิดหรือไม่?”หม่าเวยรีบคุกเข่าลงข้างหนึ่ง กล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น “ท่านแม่ทัพใหญ่ ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว ทว่าอาวุธของต้าเหยียนคราวนี้ร้ายกาจเหลือเกิน โล่เกราะหวายของพวกเราเมื่อเผชิญกับลูกธนูของพวกมันก็มิต่างกระไรจากดินเหนียว ยิงคราเดียวก็ทะลุง่ายดาย!”“ใช่แล้วท่านแม่ทัพใหญ่ โล่เกราะหวายที่พวกเราเคยภาคภูมิใจนักหนา บัดนี้มิอาจหวังพึ่งได้อีกแล้วขอรับ”“มิเพียงเท่านั้น ทางต้าเหยียนยังใช้อาวุธเพลิงร้ายกาจชนิดหนึ่ง ของสิ่งนั้นอานุภาพร้ายแรงยิ่งนัก ทหารมิใช่น้อยถูกระเบิดจนร่างแหลกมิเหลือชิ้นดีเลยขอรับ”เมื่อกล่าวถึงระเบิดเพลิง หลายคนยังคงหวาดผวาเติ้งหม่างขมวดคิ้วมุ่น และกล่าวพึมพำ “กองทหารรักษาการณ์เจียวโจวถูกพวกเราโจมตีมาเกือบเดือน บัดนี้จู่ ๆ กลับปรากฏอาวุธร้ายกาจถึงเพียงนี
วาจาล้ำสมัยปานนี้ ตี๋จิ่งผู้นี้คิดได้อย่างไร?มู่หรงจื่อเยียนเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “ฉินซู ท่านมิเป็นกระไรใช่หรือไม่?”“มิเป็นกระไร ไปเถิด”ขณะมองตามสองร่างหายลับไปจากสายตา สหายของตี๋จิ่งก็อดมิได้ที่จะหวั่นวิตกชายร่างกำยำผู้หนึ่งเอ่ยถาม “พี่ตี๋ แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี?”“หรือว่าพวกเราฟาดหัวองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียนให้สลบ แล้วลักพาตัวกลับเป่ยเยี่ยนดี?”“นั่นสิ หากเป็นเช่นนั้น ท่านหญิงจะได้ตามพวกเรากลับเป่ยเยี่ยนเสียที”ตี๋จิ่งโบกมือ และกล่าวว่า “มิได้ อย่าว่าแต่ท่านหญิงจะยอมให้เราทำหรือไม่เลย ลำพังแค่พวกทหารต้าเหยียนที่ยั้วเยี้ยไปทั่ว พวกเราก็มิมีทางทำสำเร็จแล้ว!”“ก็จริงดังว่า แล้วพวกเราจะทำอย่างไรเล่า?”“เฝ้าสังเกตการณ์ไปก่อน อารักขาความปลอดภัยท่านหญิงให้ดี”“ขอรับ”พวกเขาปรึกษาหารือกันครู่หนึ่ง จากนั้นก็ติดตามไปที่พักของฉินซูถูกจัดสรรให้อยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งใกล้กับประตูเมืองทางทิศเหนือที่นี่ห่างจากประตูเมืองทิศใต้ประมาณเจ็ดแปดลี้ จึงมิต้องกังวลว่าจะถูกผลกระทบจากไฟสงครามเมื่อเข้าสู่โรงเตี๊ยมและปิดประตูลง มู่หรงจื่อเยียนก็อดรนทนรอมิไหว โผเข้ากอดคอฉินซู นางเขย่งปลา
ฉินซูเองก็ประหลาดใจมิต่างกัน เมื่อเห็นสายตาของฉงชูโม่ เขาก็รู้สึกจนปัญญาในใจลอบคิดว่าคนที่มาหาตนนั้นจะเป็นใครกันแน่หรือจะเป็นเซี่ยหลาน หรือว่าหลินชิงเหยา?แต่เมื่อคิดดูอีกทีก็รู้สึกว่าเป็นไปมิได้ เพราะทั้งสองคนเคยรับปากตนว่าจะคอยเขากลับไปอยู่ที่ตำหนักบูรพาเมื่อเห็นฉินซูเงียบไปมิพูดจา ฉงชูโม่ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มคลุมเครือ "ฉินซู ดูเหมือนว่าช่วงเวลาที่หม่อมฉันมิอยู่ในเมืองหลวง พระองค์จะสำราญบานใจมิน้อยเลยกระมังเพคะ!"ฉินซูกล่าวอย่างใจเย็น "ข้าเปล่านะ""เปล่าหรือ? แล้วสตรีที่อยู่ข้างนอกนั่นเป็นใครกัน?""ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร อาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดก็ได้""คนผู้นั้นระบุชื่อเจาะจงว่าจะมาพบองค์รัชทายาท จะเป็นเรื่องเข้าใจผิดได้อย่างไร ไปเถิด ไปดูกันดีกว่าว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาจากที่ใด"เมื่อฉงชูโม่กล่าวจบก็เดินนำออกจากกระโจมบัญชาการไปก่อนฉินซูเดินตามไปด้วยความกระวนกระวายใจเดินไปได้มิไกล ฉินซูก็ถึงกับชะงักเท้าอยู่กับที่ จ้องมองหญิงงามที่อยู่เบื้องหน้ามิไกลอย่างเหม่อลอยเมื่อฉงชูโม่เห็นคนผู้นี้ ก็ขมวดคิ้วถาม "มู่หรงจื่อเยียน? ท่านเป็นถึงท่านหญิงแห่งเป่ยเยี่ยน มายังสนามรบต้าเหยียนด้วย