เมื่อได้เจอกับอ๋องซิ่น สองพี่น้องตงฟางไป๋ก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงมิได้เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็คือจวิ้นอ๋อง หากเขาคิดจะปลิดชีวิตของพวกตนนั้นก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายมากขณะที่ตงฟางไป๋กำลังคิดว่าจะพูดอะไร เสียงของฉินซูก็ดังมาจากด้านหลังฝูงชน“ฉินหยาง ข้าเป็นคนสั่งให้พวกเขาทำเช่นนั้นเอง เหตุใดเล่า มิพอใจรึ?”เมื่อได้ยินเสียงของฉินซู บรรดาองครักษ์ก็พากันมามองทีละคนหลังจากที่เห็นว่าคนที่มาคือฉินซู พวกเขาก็กระจายออกเป็นสองฝั่งเพื่อหลีกทางให้โดยสัญชาตญาณฉินหยางประหลาดใจ แม้จะมิน่าเชื่อเลยแม้แต่น้อย!เหตุใดฉินซูถึงยังมีชีวิตอยู่? สารเลวพวกนั้นจากสำนักเบญจพิษทำงานกันอย่างไร?ใจของฉินหยางตอนนี้อยากจะจับทุกคนในสำนักเบญจพิษมาซักถามเสียให้หมดแม้เขาจะหัวเสีย แต่ก็ประหลาดใจเล็กน้อยแต่เขาก็ยังคงพยายามสงบสติอารมณ์และถามว่า “ท่านส่งคนมาพังประตูจวนอ๋องซิ่นของกระหม่อมโดยไร้เหตุผล องค์รัชทายาททำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”ฉินซูยิ้มเบา ๆ แต่มิตอบอีกฝ่าย เขามองไปยังบุรุษที่สวมเครื่องแบบหัวหน้าองครักษ์แล้วถามว่า “เจ้าเข้าใจกฎเกณฑ์หรือไม่?”หัวหน้าองครักษ์ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่
ยังมิทันที่จะพูดจบเขาก็สั่นไปทั้งตัว!เพียงเพราะเขาสังเกตเห็นว่าสายตาของฉินซูที่มองมานั้นเย็นชาผิดปกติและเต็มไปด้วยกลิ่นอายมุ่งสังหารเขาเห็นฉินซูก้มลงไปหยิบก้อนอิฐขึ้นมาจากพื้นหัวใจของฉินหยางเต้นรัว เขาถามด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “ฉิน… องค์รัชทายาท ท่านคิดจะทำอะไร?”ฉินซูมิตอบคำถามของอีกฝ่าย แต่กลับทุบหัวเข่าของเขาด้วยก้อนอิฐ“กร๊อบ!!”กระดูกเข่าของฉินหยางคงหักไปแล้ว อีกทั้งยังมีเลือดไหลและชิ้นเนื้อปริออกเป็นแผ่น ช่างน่ากลัวเกินกว่าจะมอง!“อ๊าก!!”ฉินหยางระเบิดเสียงกรีดร้องโหยหวนและโมโหอย่างสุดขีดในเวลาเดียวกันฉินซูโน้มตัวมามองอีกฝ่ายอย่างถือตัวและพูดอย่างเย็นชา “หากมีครั้งหน้า ข้าจะฟันเจ้าให้ตายคามือด้วยตัวข้าเอง!”พูดจบ เขาก็ง้างมือฟาดหน้าผากของฉินหยางด้วยก้อนอิฐในมือหน้าผากของอีกฝ่ายปริแตกทันที และมีเลือดไหลออกมาราวกับกระแสน้ำ!เมื่อเห็นภาพนี้ สองพี่น้องตงฟางไป๋ก็อดมิได้ที่จะรู้สึกตกตะลึง องค์รัชทายาทที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาเป็นคนที่โหดเหี้ยมทำร้ายผู้อื่นโดยมิต้องใช้คำพูดใดฉินซูมิหันหลังเดินออกไปโดยมิแม้แต่จะมองฉินหยางฉงชูโม่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอื้อมมือไปสกัดจุดบ
ห้องทรงพระอักษรในพระราชวังฉินอู๋ต้าวกำลังอ่านฎีกาที่คณะขุนนางเสนอมาเว่ยเจิงขุนนางอาวุโสพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอยู่ทางด้านหนึ่ง “ฝ่าบาท ในครั้งนี้มีการระดมเงินบริจาคได้ทั้งหมดห้าล้านหกแสนตำลึงซึ่งรับมาจากซุยโจว จี้โจว หลงโย่วและพื้นที่อื่น ๆ ด้วยเงินจำนวนนี้ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้ประสบภัยทางตอนเหนือผ่านพ้นภัยแล้งไปได้พ่ะย่ะค่ะ”“แล้วผู้ประสบภัยน้ำท่วมทางตอนใต้เล่า? สถานการณ์ของพวกเขาน่าเป็นห่วงมากกว่าทางตอนเหนือเสียอีก”“ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย การระดมเงินทุนรอบที่สองได้เริ่มขึ้นแล้ว กระหม่อมเชื่อว่าอีกมินานทางเราจะรวบรวมเงินและเสบียงอาหารได้มากพอที่จะส่งไปทางตอนใต้เพื่อบรรเทาภัยพิบัติพ่ะย่ะค่ะ”ฉินอู๋ต้าวพยักหน้าช้า ๆ “เจ้าจัดการเรื่องนี้ได้ดี แต่ต้องใส่ใจกับความเหมาะสม ผู้ที่บริจาคไปแล้วก็อย่าให้พวกเขาบริจาคซ้ำอีก”เว่ยเจิ้งยกมือคำนับรับคำสั่ง “กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอฝ่าบาทโปรดทรงวางพระทัย”“ข้าได้ยินมาว่า ตอนที่องค์รัชทายาทเดินทางผ่านอำเภอหล่งเซียงที่อยู่ทางใต้ ราษฎรทุกคนที่นั่นปฏิเสธที่จะบริจาคเงิน ผู้บริจาคเงินจึงมีเพียงผู้ว่าการอำเภอหล่งเซียงและผู้ว่าการมณฑลสุยโจว ม
ฉินซูยิ้มอย่างมิแยแสพลางพูดว่า “หลายวันมานี้ข้าคิดถึงเจ้าจนแทบบ้า ไยเล่า เจ้ามิคิดถึงข้ารึ?”“แน่นอนว่าหม่อมฉันเองก็คิดถึงท่านเพคะ ในเมื่อองค์รัชทายาททรงโปรด หม่อมฉันก็จะปรนนิบัติท่านอย่างดีเพคะ”หลังจากมาถึงบ่อน้ำ หลินชิงเหยาให้ฉินซูนอนเอนในบ่อน้ำอย่างใกล้ชิด จากนั้นนางก็โอบคอของฉินซูและค่อย ๆ นั่งลงด้านนอกตำหนักบูรพาสองพี่น้องตงฟางไป๋กำลังพูดคุยกับองครักษ์ของตำหนักบูรพาเมื่อรู้ว่าพวกเขาเป็นคนที่องค์รัชทายาทพากลับมา เหล่าองครักษ์ก็อิจฉาเป็นอย่างยิ่งขณะนั้นเอง ม้าเร็วตัวหนึ่งก็มาหยุดอยู่หน้าประตูตำหนักบูรพาหลังจากที่ขันทีผู้นั้นพลิกตัวลงจากม้าแล้วก็ประกาศเสียงดังว่า “ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้องค์รัชทายาทไปเข้าเฝ้าที่พระราชวัง มิอนุญาตให้ฝ่าฝืนรับสั่ง!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของบรรดาองครักษ์ก็เปลี่ยนไป และหนึ่งในนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปในตำหนักบุรุษผู้นั้นค้นหาไปทั่วบริเวณตำหนักบูรพา และในที่สุดก็ทราบจากสาวใช้ว่าองค์รัชทายาทอยู่ในบ่อน้ำเขาจึงวิ่งโดยมิหยุดพักจนมาถึงที่หน้าประตูทางเข้าบ่อน้ำและพูดอย่างนอบน้อมว่า “องค์รัชทายาท ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้าโดยเร็วที่สุด
ฉินหยางก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว เขามิกล้ามองเข้าไปในดวงตาของฉินอู๋ต้าวโดยตรงเมื่อเห็นพฤติกรรมที่มีพิรุธของอีกฝ่าย ฉินอู๋ต้าวก็หรี่ตาพลางถามด้วยความสงสัย “ฉินหยาง เป็นฝีมือของเจ้าหรือไม่?”ฉินหยางตื่นตระหนก แต่เขาบังคับตัวเองให้แสร้งทำเป็นสับสนงุนงง “เสด็จพ่อ ลูกมิเข้าใจว่าพระองค์ตรัสถึงเรื่องอันใด ขอเสด็จพ่อโปรดทรงแถลงไขด้วยพ่ะย่ะค่ะ”“หึ หากเจ้ามิเข้าใจจริง ๆ ก็แล้วไป การลอบสังหารองค์รัชทายาทถือเป็นความผิดร้ายแรง ถือเป็นการตบหน้าราชวงศ์ และยังเป็นการท้าทายความยิ่งใหญ่ของราชสำนักด้วย”“เสด็จพ่อ ลูกถูกใส่ร้ายพ่ะย่ะค่ะ มิว่าอย่างไร ลูกก็มิมีวันทำความผิดร้ายแรงเช่นนั้นแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”สีหน้าที่ดูตื่นตระหนกของฉินหยางตะโกนกู่ร้องอย่างต่อเนื่องว่าเขาถูกใส่ร้ายฉินอู๋ต้าวโบกมืออย่างเหลืออด “เอาเถอะ กลับไปก่อน ดูแลรักษาอาการบาดเจ็บให้ดีด้วย”“เสด็จพ่อ แต่องค์รัชทายาทมาก่อเรื่องที่จวนอ๋องของลูกนะพ่ะ...”ก่อนที่เขาจะพูดจบ ฉินอู๋ต้าวก็พูดแทรกอย่างเย็นชา “ข้าจะจัดการเรื่องนั้นหลังจากที่ข้าเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดอย่างชัดเจน”แม้ฉินหยางจะรู้สึกมิพอใจ แต่เขาก็ยังทำความเคารพก่อนจากไป “ลูกเข้าใจแ
“ใช่เพคะฝ่าบาท มิเพียงเจอแต่ในหลงโย่วเท่านั้น แต่ยังรวมถึงในคืนแรกของการเดินทางไปทางใต้ด้วย ตอนที่พวกเราพักค้างแรมในเมืองอวี๋หาง ก็ตกไปอยู่ในกับดักของพวกโจรเข้าเพคะ”“ระบุตัวตนของโจรเหล่านั้นได้แล้วหรือยัง?”“ส่วนใหญ่ได้รับการระบุตัวตนแล้วเพคะ บางส่วนมาจากสำนักอาทิตย์อัสดง บางส่วนก็มาจากสำนักเบญจพิษ และยังมีบางส่วนที่มาจากสำนักบู๊ลิ้มที่มีรากฐานลึกซึ้งเพคะ”ดวงตาของฉินอู๋ต้าวขรึมลง สีหน้าของเขามิสู้ดีนัก เขาเปล่งเสียงเยือกเย็นออกมา “สำนักบางสำนักในยุทธภพกล้าทำร้ายองค์รัชทายาทรึ! พวกมันไปเอาความกล้ามาจากที่ใด!”ฉงชูโม่ยังคงเงียบและมิตอบอะไรฉินอู๋ต้าวถามอีกครั้ง “พวกโจรจากสำนักอาทิตย์อัสดงและสำนักเบญจพิษ มีคำอธิบายหรือไม่ว่าผู้ใดเป็นคนสั่งพวกเขา?”“มีเพคะ! หากอิงตามการส่งมอบงาน พวกเขาได้รับคำสั่งจากอ๋องจิ้นและอ๋องซิ่นตามลำดับเพคะ”เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของฉินอู๋ต้าวก็มิสู้ดียิ่งกว่าเดิมเขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “นอกจากเจ้าแล้ว มีใครอีกบ้างที่รู้เรื่องนี้?”ฉงชูโม่ตอบตามความจริง “องค์รัชทายาทเองก็ทรงทราบเพคะ”“พูดอีกอย่างก็คือ ไม่มีใครรู้นอกจากเจ้ากับองค์รัชทายาทใ
หลังจากที่ฉงชูโม่ออกมาจากวัง นางก็มิได้ตรงไปยังตำหนักบูรพา แต่ไปที่จวนชิ่งกั๋วกงก่อนเมื่อมาถึงจวนชิ่งกั๋วกง นางมิได้เข้าทางเข้าหลัก แต่กลับกระโดดขึ้นไปบนกำแพงและข้ามมาที่หน้าต่างห้องส่วนตัวของเซี่ยหลานตอนนี้เซี่ยหลานกำลังอ่านตำราบทกวีอย่างเพลิดเพลินเมื่อเห็นคนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่นอกหน้าต่าง นางก็ตกใจมากจนถอยหลังไปสองก้าวด้วยใบหน้าซีดเซียวหลังจากที่เห็นชัดเจนว่า คนที่มาคือฉงชูโม่ นางก็ถอนหายใจยาวพลางตบหน้าอกแล้วบ่นว่า “ชูโม่ เจ้าปีนกำแพงข้ามมาได้อย่างไร ทำเอาข้าตกอกตกใจหมด!”“ข้าขี้เกียจทักทายท่านปู่ของเจ้ากับคนอื่น ๆ น่ะ จะร้อนรนอะไรปานนั้น? หรือว่าเจ้าซ่อนบุรุษไว้ในห้อง?”ฉงชูโม่พูดติดตลกแล้วกระโดดข้ามหน้าต่างเข้าไปในห้อง แสร้งทำเป็นตรวจดูห้องส่วนตัวของเซี่ยหลานเซี่ยหลานกลอกตาใส่อีกฝ่ายแล้วพูดอย่างเคือง ๆ “ไปให้พ้นเลย เจ้าต่างหากที่ซ่อนบุรุษเอาไว้ อีกอย่างข้าก็มิได้ร้อนรน ข้าแค่ตกใจที่จู่ ๆ เจ้าก็โผล่พรวดมา ว่าแต่ นี่เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อใด?”“เพิ่งกลับมาวันนี้ นี่อย่างไรเล่า พอกลับมาข้าก็รีบมาหาเจ้าเลย”“แล้วการเดินทางไปทางใต้ของเจ้าราบรื่นหรือไม่?”“ก็ถือว่าราบรื่
ฉงชูโม่มิปฏิเสธและรีบเปลี่ยนอาภรณ์อย่างรวดเร็วเมื่อเห็นฉงชูโม่อยู่ในชุดที่พลิ้วไหว ใจของเซี่ยหลานก็เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาและความเกลียดชัง“ชูโม่ เวลาเจ้าสวมกระโปรงเจ้าเหมือนนางสวรรค์ลงมาจุติยังใต้หล้าเลย เสียดายที่ข้ามิใช่บุรุษ มิเช่นนั้นข้าจะไปสู่ขอเจ้าอย่างแน่นอน”“เจ้าก็พูดชมเกินจริง เจ้าเองก็ดูดี เอาเถอะ ข้ามิพูดกับเจ้าแล้วดีกว่า วันหลังหากข้าว่างจะมาหาเจ้าอีกนะ”หลังจากที่ฉงชูโม่พูดจบ นางก็กระโดดข้ามขอบหน้าต่างแล้วหายตัวไปเซี่ยหลานพึมพำกับตัวเองด้วยท่าทางแปลก ๆ “ชูโม่ รีบร้อนเช่นนี้อีกทั้งยังตั้งใจแต่งตัวผัดหน้าเป็นพิเศษ นางต้องไปหาคนในใจแน่ ๆ มิได้การ ข้าต้องตามไปด้วยเพื่อป้องกันมิให้นางถูกหลอก”แต่หลังจากที่นางออกมาจากประตู ฉงชูโม่ก็หายตัวไปแล้วนางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็มีความคิดหนึ่งแวบขึ้นมาในหัว นางพูดอย่างมีไหวพริบ “องค์รัชทายาทเดินทางไปยังทางใต้พร้อมกับชูโม่ เขาจะต้องรู้แน่ว่าใครเป็นคนในใจของนาง”พูดจบ นางก็มุ่งหน้าไปยังตำหนักบูรพา……ตำหนักบูรพาหลังจากที่ฉินซูจัดการหางานให้กับสองพี่น้องตงฟางไป๋ เขาก็ได้รู้จากผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาถึงเหตุการณ์สำคัญบา