เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉงชูโม่ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที ห้าปีแล้ว ในที่สุดก็มีข่าวของเขา!ฉินซูถามด้วยความสงสัยว่า "เหตุใดพวกเจ้าถึงเรียกเขาว่าสวีผู้ผดุงธรรม?" เสี่ยวเอ้อร์ก็เริ่มเล่าเรื่องราวอย่างลื่นไหลทันทีเรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อหนึ่งปีก่อน มีหมู่บ้านนอกเมืองหลงโย่วถูกกลุ่มโจรภูเขาบุกปล้น ชาวบ้านหลายคนถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม และทรัพย์สินทั้งหมดก็ถูกโจรปล้นไป ทางการส่งกองทหารออกไปปราบ แต่พวกโจรหลบหนีเข้าไปในภูเขาลึก จับตัวมิได้นับแต่นั้นมา พวกโจรภูเขาก็ออกมาอาละวาดเป็นระยะ ๆ เหตุการณ์ที่สร้างความวุ่นวายที่สุดครั้งหนึ่ง คือพวกโจรปะทะกับทหารที่ประจำการในเมือง ผลลัพธ์คือทั้งสองฝ่ายต่างมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ไม่มีฝ่ายไหนได้เปรียบ หลังจากนั้นสองเดือน โจรเหล่านั้นก็กลับมาบุกอีกครั้ง และทหารที่ประจำการในเมืองก็ออกไปต่อสู้ แต่ใครจะคาดคิดว่า นั่นเป็นกับดักของพวกโจรภูเขา เมื่อพวกทหารไล่ตามไปถึงเนินเขาสิบหลี่ พวกโจรที่ซุ่มอยู่ก็ปรากฏตัวออกมาล้อมพวกทหารเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าทหารเหล่านั้นถูกล้อมและกำลังจะถูกสังหาร แต่ในตอนนั้นเอง ชายผู้กล้าหาญคนหนึ่งก็ปรากฏตัวราวกั
ฉินซูพูดโดยมิต้องคิด “แทนที่จะไปหาตัวเขา สู้ทำเรื่องที่นี่ให้เอิกเกริกขึ้นหน่อย แล้วเขาจะมาหาเราเอง”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉงชูโม่ก็นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเห็นด้วยกับความคิดของฉินซู "ได้ งั้นทำตามที่ท่านว่า เช่นนั้นพวกเรามาก่อเรื่องใหญ่กันเถอะ!" เมื่อเห็นนางแสดงท่าทางร้อนใจเช่นนั้น ฉินซูก็พูดอย่างหมดความอดทนว่า "ตัวการยังมิมาเลย เจ้าจะร้อนใจหาปะไร รอให้พวกเขามาก่อนเถอะ ถึงตอนนั้นเจ้าก็แค่ปล่อยให้ตัวเองไปวุ่นวายเท่านั้น ถ้าเรื่องแพร่กระจายออกไป เจ้าคิดหรือว่าสวีหลายจะมิโผล่มาเอง" ฉงชูโม่ถอนหายใจเบา ๆ แล้วก็นั่งลง ฉินซูหันไปถามเสี่ยวเอ้อร์ว่า "เมื่อครู่ข้าขึ้นบันไดมา ข้าสังเกตว่าที่นี่ดูเหมือนจะมีที่พักด้วยใช่หรือไม่?" "มีขอรับ แขกผู้มีเกียรติ ที่ชั้นสามและชั้นสี่เป็นห้องพักทั้งหมด และเป็นห้องชั้นดีทั้งสิ้น หากท่านทั้งสองต้องการ ข้าน้อยจะจัดการให้เดี๋ยวนี้ขอรับ" "ดี ไปเถอะ" ฉินซูมิอยากเสียเวลาไปหาที่พักที่อื่นแล้ว มินานนัก ฉินซูกับฉงชูโม่ก็ขึ้นไปยังชั้นสาม และแยกกันเข้าห้องพักของตัวเอง ขณะที่ฉินซูกำลังจะเอนกายลงนอน ก็มีคนเปิดประตูเข้ามาอย่างกะทันหัน เขา
มิทันที่ฉินซูจะพูดจบ ฉงชูโม่ก็ขมวดคิ้วแล้วขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย "หากท่านพูดปลอบใจมิเป็น ก็อย่าพูดเลย ฟังท่านพูดจบ หม่อมฉันยิ่งรู้สึกแย่กว่าเดิมอีก" ฉินซูยักไหล่ "เช่นนั้นข้ามิพูดแล้ว เหล้านี่ก็แย่เกินจะดื่ม ข้าขอมิดื่มกับเจ้าแล้วกัน เดินทางมาตั้งไกล ข้าของีบสักหน่อยก่อน" พูดจบ ฉินซูก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงและหลับตาพักผ่อน ฉงชูโม่จ้องมองเขาด้วยความมิพอใจ ก่อนจะหันกลับมาดื่มเหล้าต่อไปเพียงคนเดียว มิรู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่จู่ ๆ ฉินซูก็ได้กลิ่นหอมละมุนลอยมาจากข้างกายเขาลืมตาขึ้น แต่แล้วก็ต้องตกใจจนตาเบิกกว้าง! ฉงชูโม่นอนอยู่ข้างเขา! มิเพียงแค่นั้น นางยังพลิกตัวพาดแขนขาวเนียนเหมือนรากบัวมาพาดไว้ที่คอของเขาอีกด้วย ร่างกายที่นุ่มนวลและอบอุ่นของนางแนบชิดกับเขาเต็มที่เมื่อได้สัมผัสถึงความอุ่นที่แผ่มาจากร่างของนาง ฉินซูรู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ เลือดลมในร่างกายพลันร้อนระอุ เขากลืนน้ำลายแล้วพูดกระซิบเบา ๆ "ชูโม่ ชูโม่ เจ้าตื่นสิ..." ฉงชูโม่ที่กำลังเมามายพูดเสียงอ้อแอ้ "อือ... ท่านจะอะไรนักหนา น่ารำคาญ อย่ากวนสิ" "มิใช่ ไยเจ้ามานอนเตียงข้าเล่
เมื่อริมฝีปากของทั้งสองได้สัมผัสกัน ฉงชูโม่ถึงกับมึนงงไปทันที ในขณะนั้นสมองของนางว่างเปล่า หัวใจเต้นรัวอย่างมิรู้ตัว ฉินซูเองก็ถูกการกระทำที่มิทันตั้งตัวของฉงชูโม่ทำให้ตกใจเช่นกัน เมื่อสติกลับคืนมา ดวงตาของเขาเบิกกว้าง เต็มไปด้วยความตกตะลึงทั้งสองคนต่างนิ่งค้างอยู่อย่างนั้นสักพัก ฉงชูโม่ก็เริ่มรู้สึกตัว ใบหน้านางเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ก่อนที่จะคิดถอยออกไป แต่ในตอนนั้นฉินซูโอบรัดเอวนางไว้ แล้วจุมพิตอย่างลึกซึ้งและอ่อนโยน แรกเริ่ม ฉงชูโม่ยังคงพยายามผลักเขาออกตามสัญชาตญาณ แต่ภายใต้การรุกของฉินซู นางพบว่าร่างกายของนางอ่อนยวบไปหมด ไม่มีเรี่ยวแรงจะต่อต้านแม้แต่น้อย พร้อมกันนั้น นางยังรู้สึกว่า ความรู้สึกนี้ช่างน่าพิศวงนักจนอดมิได้ที่จะโอนอ่อนตามไป สองแขนงามประหนึ่งหยกของนางคล้องคอฉินซูไว้โดยมิรู้ตัวเมื่อได้รับการตอบสนองจากฉงชูโม่ ฉินซูก็โอบรัดนางและล้มตัวลงบนเตียงไปตามธรรมชาติใบหน้าของฉงชูโม่แดงซ่านราวกับกลีบเมฆที่ต้องแสงอาทิตย์อัสดงภายใต้จูบของฉินซู ร่างของนางอ่อนระทวยราวกับคล้ายกับธารน้ำใสที่ดูเหมือนค่อย ๆ หลอมละลาย ฉินซูไปด้วยฉินซูจูบไปพลาง มือทั้งสองข้างไ
คนนี้มิใช่ใครอื่น นอกจากลูกน้องของหูก่วงเผิงที่ชื่อหวังอู่“ว่ามา คุณชายของเจ้าตอนนี้อยู่ที่ใด?”หวังอู่กัดฟันแน่น ส่ายหัวมิหยุด“มิพูดใช่หรือไม่? ดีมาก ข้าจะดูว่าเจ้าจะปากแข็งได้นานแค่ไหน”ฉงชูโม่แสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย ยกเท้าขึ้นอีกครั้งหวังอู่ตกใจกลัว รีบพูดว่า “ท่านจอมยุทธหญิงโปรดไว้ชีวิต ไว้ชีวิตด้วย คุณชายของพวกเราอยู่ที่โรงเตี๊ยมที่ท่านพักอาศัย รอให้พวกท่านถูกพิษสลบแล้วจะพังประตูเข้ามา…”“ดีเลย จะได้มิต้องไปหาเขาที่จวนผู้ว่าการมณฑล!”ได้ยินคำพูดของฉงชูโม่ หวังอู่ถึงกับตกตะลึงเขาประหลาดใจมากว่า เหตุใดอีกฝ่ายถึงกล้าหาญเพียงนี้ ทั้งที่รู้ว่าหูก่วงเผิงเป็นบุตรชายของผู้ว่าการมณฑล แต่ยังกล้าที่จะต่อต้านฉงชูโม่เตะด้วยขาเพียงครั้งเดียว หวังอู่ก็เหมือนว่าวที่เชือกป่านขาด พลันลอยละลิ่วออกไปจากนั้นก็ตกลงมาจากชั้นสามของโรงน้ำชา มิรู้ว่าเป็นหรือตายฉงชูโม่ก็ก็เคลื่อนไหวร่างกาย เหาะกลับไปที่โรงเตี๊ยมอย่างรวดเร็วในเวลาเดียวกันประตูห้องที่ฉินซูอยู่นั้นก็ถูกคนข้างนอกเตะจนเปิดออกชายร่างใหญ่หลายคนกระโดดเข้ามาผู้นำมิใช่ใครอื่นนอกจากหูก่วงเผิง!เขาเพิ่งเข้ามา ก็เห็นฉินซูที่ยังก
หนึ่งในนั้นตะโกนเสียงเข้มว่า “เจ้าอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม คุณชายของเราเป็นบุตรชายคนเดียวของผู้ว่าการหูโจว หากเขาเป็นอะไรไป เจ้ามีชีวิตอีกร้อยชีวิตก็ยังชดใช้มิพอ!”“งั้นก็ลองดูสิ!”ฉงชูโม่หน้าเปลี่ยนสีและกำลังจะลงมือทันใดนั้น ฉินซูก็ลุกขึ้นยืนและโบกมือว่า “ชูโม่ ช่างเถอะ อย่าฆ่าเขาเลย!”ฉงชูโม่ขมวดคิ้วและถามด้วยความสับสน “เขาหาเรื่องเรามาหลายครั้งแล้ว แถมยังวางยาพิษอีก เหตุใดต้องปล่อยเขาไปง่าย ๆ เช่นนี้?”ก่อนที่ฉินซูจะตอบ หูก่วงเผิงก็ฝืนความเจ็บปวดและพูดขึ้นก่อนว่า “เจ้าหนู ตอนนี้รู้สึกกลัวขึ้นมาแล้วใช่หรือไม่? สายไปแล้ว! ข้าบอกเจ้าไว้เลย เรื่องนี้ยังมิจบ พวกเจ้าสองคนเตรียมตัวติดคุกได้เลย รอข้าหายดีก่อนเถอะ ข้าจะคิดบัญชีกับพวกเจ้าทีละเรื่อง!”ฉินซูพูดอย่างมิใส่ใจว่า “ฆ่าคนก็แค่ตัดหัว ทว่าหากปล่อยให้เจ้าตายง่าย ๆ เช่นนั้นก็คงเสียเปล่า”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หัวใจของหูก่วงเผิงก็จมดิ่งลง และลางสังหรณ์ที่มิดีก็ผุดขึ้นมาฉินซูพยักหน้าไปทางฉงชูโม่ แล้วพูดเบา ๆ ว่า “ไว้ชีวิตสุนัขอย่างเขา ให้เขาได้ลิ้มรสชาติของการเป็นขันทีเถอะ”ฉงชูโม่ยิ้มและพยักหน้า มองไปที่หูก่วงเผิงด้วยสายตาเย็นชาร่างก
ฉินซูอดมิได้ที่จะยิ้มออกมา ฉงชูโม่เมื่อครู่นี้ช่างน่ารักเสียจริงหลังจากที่ฉงชูโม่กลับไปที่ห้องแล้ว สีหน้าของนางก็เริ่มซับซ้อนขึ้นเมื่อนึกถึงฉากที่นางจูบกับฉินซูเมื่อครู่ ความคิดของนางก็เริ่มสับสนวุ่นวาย“หรือว่า... ข้าชอบฉินซูเข้าแล้ว? มิใช่ มิใช่ แน่นอนว่ามิใช่แบบนั้น...”ฉงชูโม่รีบส่ายหัวอย่างรวดเร็ว เพื่อสลัดความคิดแปลก ๆ นี้ออกไปจากหัวของนาง……ภายในจวนผู้ว่าการมณฑลชายวัยกลางคนอายุประมาณห้าสิบปี กำลังจิบชาอยู่ในห้องโถงใหญ่บุคคลผู้นี้คือผู้ว่าการมณฑลหลงโย่ว หูเฟิงทันใดนั้น คนรับใช้คนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาด้วยท่าทีร้อนรน“นายท่าน นายท่าน มิดีแล้ว เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ!”หูเฟิงทำหน้าเคร่ง แล้วดุว่า “มีเรื่องอะไรต้องตะโกนโวยวาย เสียกิริยา!”“นายท่าน คุณชายโดนคนทำร้ายบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้กำลังรักษาตัวอยู่กับหมอหลี่ที่ข้างจวนขอรับ!”“ว่ากระไรนะ?!”หูเฟิงลุกขึ้นยืนทันที แล้วรีบก้าวออกจากประตู มุ่งหน้าไปยังโรงหมอข้างบ้านเมื่อมาถึงโรงหมอ เขาถามชายชราผมหงอกคนหนึ่งว่า “หมอหลี่ ลูกชายข้า ก่วงเผิง เขาเป็นอย่างไรบ้าง?”“ใต้เท้าหู นี่… เอ่อ…”หมอหลี่ถอนหายใจแล้วส่ายหัวหูเฟิงร้
เมื่อหูเฟิงสั่งการ พวกผู้ตรวจการและเจ้าหน้าที่ก็รีบเร่งเข้าไปในโรงเตี๊ยมซุ่นเฟิงอย่างรวดเร็วเจ้าของโรงเตี๊ยมถูกพวกเขาเตะจนล้มลงไปกองกับพื้นเห็นพวกเขามาด้วยท่าทีดุร้าย เสี่ยวเอ้อร์และลูกค้าในโรงเตี๊ยมต่างก็หลีกทางให้ ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวภายในห้องพักชั้นสามฉงชูโม่มาถึงหน้าห้องของฉินซู เคาะประตู แล้วตะโกนว่า “องค์รัชทายาท มีคนมาแล้ว”“โอ้ ข้ากำลังอาบน้ำ เจ้าไปรับมือแทนก่อน”เมื่อได้ยินคำพูดของฉินซู หน้าผากของฉงชูโม่ก็เผยความมิพอใจในเวลานี้ มีเสียงโกรธดังมาจากทางเดิน “เป็นนาง เป็นนางสารเลวนั่น!”เมื่อเห็นดังนั้น หัวหน้าผู้ตรวจการขมวดคิ้วทันทีและถามว่า “มิใช่หรอกกระมัง? เป็นนางที่ทำร้ายลูกชายของท่านผู้ว่าการมณฑลหูอย่างนั้นหรือ?”“ใช่แล้ว เป็นนาง นางยังมีผู้สมรู้ร่วมคิดอีกคน ตอนนี้น่าจะยังอยู่ในห้อง หัวหน้าผู้ตรวจการหลิว นางผู้นี้มีฝีมือมิธรรมดา ท่านอย่าประมาท รีบนำคนไปจัดการพร้อมกันเถอะ!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น หัวหน้าผู้ตรวจการหลิวก็ตะโกนออกมาทันที “นางแม่มด เจ้ากล้าทำร้ายบุตรชายของผู้ว่าการมณฑลหู ยังมิรีบมามอบตัวอีก!”ฉงชูโม่แสยะยิ้มอย่างดูถูกแล้วถามว่า “แล้วหูเฟิงอยู