เมื่อค่อย ๆ ได้ฟังสิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูด ฮูหยินเหยียนก็หันหน้าไปมองบุตรสาวและอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ“ลูกสาวของหม่อมฉันเก่งทุกอย่าง เว้นเสียแต่เป็นคนใจอ่อนเกินไป”“ในพระตำหนักอันชิ่ง ท่านกล่าวว่าตระกูลซ่างกวานถูกรื้อค้น หากไม่ได้พิจารณาอย่างรอบคอบและให้นางออกเรือนกับตระกูลร่ำรวยอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า ทั้งที่อีกฝ่ายเป็นคนไม่ดี เกรงว่าอนาคตของนางคงจะมืดมน และไม่ได้ดีไปกว่าตระกูลซ่างกวาน ฮูหยินเหยียน แม่ทุกคนย่อมรู้ดีว่าสำหรับสตรีไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ควรเตรียมพร้อมให้บุตรสาวมากกว่านี้หรือ?”คำพูดของฉู่เนี่ยนซีทั้งจริงใจและสมเหตุสมผลจนฮูหยินเหยียนเริ่มไตร่ตรองในความพูดของนาง “หม่อมฉันยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะ...”“ข้าไม่รู้ว่าจะมีใครมาสู่ขอหรือไม่ ไม่ต้องพูดถึงว่าใครจะมาสู่ขอเลย ข้าแค่ถือว่าจือซินเป็นสหาย ดังนั้นจึงได้พูดสิ่งมากมายกับท่านเช่นนี้ ฮูหยินเหยียน ท่านเองก็เคยเป็นบุตรสาวของบ้านเดิมตนเองมาก่อน แน่นอนว่าย่อมหวังให้จือซินได้ตบแต่งกับคนที่นางรักและดูแลนางได้”ฉู่เนี่ยนซีพูดแทรกฮูหยินเหยียน นางไม่ได้กลัวเย่เหลียน และไม่กลัวฮองเฮา เพียงแต่ไม่ต้องการสร้างปัญหาให้กับเย่เฟยหลีอีก เพราะนางสร้า
“ฮ่าฮ่า เจ้าเด็กฉลาด”องค์จักรพรรดิถูกเย่เซวียนเล่อทำให้รู้สึกขบขัน จนเกิดเส้นขีดที่หางตาของเขา“เสด็จพ่อเพคะ” เมื่อเห็นว่าองค์จักรพรรดิอารมณ์ดี เย่เซวียนเล่อจึงถือโอกาสกล่าวขึ้นว่า “เสด็จพ่อและลูกมีจิตเชื่อมโยงกัน แต่เสด็จแม่และลูกก็มีจิตเชื่อมโยงกันเช่นกัน ลูกรู้สึกว่าเสด็จแม่อยู่ในตำหนักเฟิงอี้อย่างยากลำบาก ลูกขอไปพบเสด็จแม่หน่อยได้หรือไม่เพคะ เพียงครู่เดียวก็ได้”รอยยิ้มบนใบหน้าขององค์จักรพรรดิจางหายไป เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “แม่ของเจ้าทำผิด ก็ต้องถูกลงโทษ ข้ามีราชโองการไปแล้วว่าไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออก เจ้ากลับไปเสียเถอะ”“เพคะ ลูกเองก็รู้ว่าเสด็จแม่ทรงทำผิด ดังนั้นจึงอยากจะไปเกลี้ยกล่อมพระองค์” เย่เซวียนเล่อส่ายแขนขององค์จักรพรรดิและพูดอย่างออดอ้อน “เสด็จพ่อ ได้โปรดให้ลูกได้ไปเกลี้ยกล่อมเสด็จแม่เถิด หากลูกไปแล้ว เสด็จแม่จะต้องฟังเล่อเอ๋อร์อย่างแน่นอนเพคะ”“เจ้าพูดฟังค่อนข้างมีเหตุผล รีบไปรีบกลับ อย่าได้อยู่นานจนเกินไป”องค์จักรพรรดิคิดว่ามันคงจะดีหากเย่เซวียนเล่อโน้มน้าวฮองเฮาได้จริง ๆเย่เซวียนเล่อรีบเข้าไปในตำหนักเฟิงอี้ทันที และร้องเรียก "เสด็จแม่" น้ำเสียงของนางกังวลมาก
“แต่เสด็จแม่เพคะ ตอนนี้พี่สามมีอำนาจสูงสุดอยู่ในมือแล้ว และอำนาจในท้องพระโรงก้กำลังรุ่งโรจน์ มีทั้งขุนนางบู๊บุ๋นคอยประจบประแจงเขา เสด็จแม่ ไม่ใช่ว่าลูกไหลตามกระแสน้ำ เพียงแต่คิดว่าเราควรพิจารณาให้รอบครอบว่าพี่สองควรค่าแก่การพึ่งพาหรือไม่?”“แน่นอนว่าพี่สองของเจ้าไม่คู่ควรกับการพึ่งพา เย่เฟยหลีเองก็เช่นกัน! เล่อเอ๋อร์ เราคนสองแม่ลูกพึ่งพาได้เพียงกันและกันเท่านั้น เจ้ามีเลือดของข้าไหลเวียนอยู่ในร่างกาย ดังนั้นก็ควรร่วมแรงร่วมใจกับข้า”ฮองเฮาก้มลงและจับไหล่ของเย่เซวียนเล่อด้วยมือทั้งสองข้างความสงบบนใบหน้าสามารถสะท้อนให้เห็นถึงการวางแผนและความยากลำบากมาหลายปี ดวงตาของนางเหมือนเปลวไฟ และพูดกับเย่เซวียนเล่อด้วยเสียงหนักแน่นว่า “เล่อเอ๋อร์เจ้าอย่าได้คิดที่จะแปรพักตร์ไปหาเย่เฟยหลีอีก เจ้าจะยอมจำนนต่อใครก็ได้ แต่ห้ามเป็นเขา”"เพราะเหตุใดเพคะ?"“เพียงจำคำของข้าไว้ก็พอ เล่อเอ๋อร์ เจ้าต้องรู้เอาไว้ว่าไม่มีใครให้พึ่งได้ มีเพียงตระกูลไป๋ของข้าเท่านั้นที่เจ้าสามารถไว้วางใจและพึ่งพาได้มากที่สุด เพราะนั่นไม่ใช่เพียงแต่เป็นตระกูลที่สนับสนุนข้า แต่ยังเป็นตระกูลที่หนุนหลังเจ้าด้วย”หลังจากได้ยินคำพ
ฉู่เนี่ยนซีลองชิมแล้วจึงพบว่ามันรสชาติดีมาก ขณะที่นางกำลังทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย เสี่ยวเถาก็เข้ามาส่งกระดาษใบหนึ่งให้กับฉู่เนี่ยนซี“ทูลท่านอ๋องและพระชายา ตระกูลเหยียนส่งข้อความมาว่าจะมีงานรวมตัวของผู้มีการศึกษาในวันพรุ่งนี้ และขอเชิญพระชายาไปร่วมด้วยเพคะ”“ตระกูลเหยียน?” เย่เฟยหลีมองฉู่เนี่ยนซีด้วยความสับสน “ใต้เท้าเหยียนสำเร็จการศึกษาจากเมืองหลวง และเขาเป็นข้าราชการที่ซื่อตรง เจ้าสามารถไปงานสังสรรค์ของตระกูลเขาได้ แต่เราไม่ได้ติดต่อกับตระกูลเหยียนมากนัก เหตุใดเขาถึงได้ส่งบัตรเชิญมาที่นี่กัน?”ฉู่เนี่ยนซีเล่าเรื่องเกี่ยวกับเหยียนจือซินให้เขาฟัง และบอกเขาว่าอย่าได้บอกใครในเรื่องนี้เกรงว่าวงค์ตระกูลที่มีบุตรสาวคนเดียว โดยเฉพาะคนที่ใสซื่ออย่างเหยียนจือซินมีแต่จะถูกนินทามากยิ่งขึ้น“เช่นนี้นี่เอง” เย่เฟยหลีพยักหน้าเล็กน้อย ขณะที่เขากำลังจะยกชามแกงปลาไนให้ฉู่เนี่ยนซี เย่ฉงเฉิงก็เข้ามาแล้วพูดว่า "ข้าได้กลิ่นอาหารโชยมา โชคดีที่ข้ายังไม่ได้ทานออะไรพอดี”เย่ฉงเฉิงเพิกเฉยต่อสายตาของเย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซี เขานั่งลงและเอื้อมมือไปหยิบชามน้ำแกงชามนั้นจากมือของเย่เฟยหลี“ขอบพระทัยพี่สามที่
“ไม่ได้ยินว่าฮูหยินฉู่ป่วยนะเพคะ ท่านบอกแค่ว่าอยากให้พระชายากลับไปเยี่ยม คงแค่เพราะคิดถึงท่านกระมัง”เมื่อมาถึงประตูจวนเสนาบดีฉู่ ฉู่เนี่ยนซีก็ลงจากรถม้าก่อนจะหอบชายกระโปรงวิ่งไปยังเรือนหลัก เมื่อนางเห็นฮูหยินฉู่และจ้าวม่อเหยียนนั่งคุยกันอย่างมีความสุข นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก“ท่านแม่ พี่สะใภ้” ฉู่เนี่ยนซีร้องเรียกและวิ่งไปหาฮูหยินฉู่ ทั้งรู้สึกเป็นกังวลทั้งรีบร้อน “ท่านแม่ไม่บอกว่ามีเรื่องอะไร ข้าก็นึกว่าท่านป่วย จึงรีบมาด้วยความเป็นกังวล”“เป็นพระชายามาครึ่งปีแล้ว ยังไม่มีความน่าเกรงขามใด ๆ เลย โชคดีที่ท่านอ๋องหลีไม่ได้ใส่ใจ”ดวงตาอันเปี่ยมด้วยความรักของฮูหยินฉู่จ้องมองผมถักเปียของฉู่เนี่ยนซี นางดึงฉู่เนี่ยนซีให้ย่อตัวลงก่อนจะเสียบปิ่นหยกให้“ใช่เจ้าค่ะ ทั้งเมืองหลวงต่างก็รู้ถึงความรู้สึกของท่านอ๋องหลีที่มีต่อน้องหญิง และทุกคนต่างก็อิจฉา ไม่มีใครพูดว่าน้องหญิงไม่น่าเกรงขามเลยสักคนเจ้าค่ะ”จ้าวม่อเหยียนยิ้มแย้มแจ่มใสด้วยความสุข นางนั่งเอนกายพิงหมอนขนห่านสีทองและมองไปที่ฉู่เนี่ยนซีด้วยความขอบคุณฮูหยินฉู่จับมือฉู่เนี่ยนซีแล้วขอให้นางนั่งลงข้าง ๆ ก่อนจะพูดกับฉู่เนี่ยนซีด้วยคว
เหยียนจือซินดึงฉู่เนี่ยนซีไปข้างหน้าฝูงชน ไม่มีสตรีนางใดในที่นี้ที่มีสถานะสูงกว่าฉู่เนี่ยนซี ดังนั้นพวกนางจึงได้แต่โค้งคำนับและทำความเคารพ “ถวายบังคมพระชายาหลีเพคะ”ฉู่เนี่ยนซีพยักหน้าให้ทุกคนอย่างเย็นชาและนั่งลงโดยไม่พูดอะไรกับพวกนางในการรวมตัวของสตรี หลังจากแต่งบทกวีได้สองสามบทแล้วก็กลายเป็นช่วงเวลาแห่งการสนทนากันเป็นส่วนใหญ่ทุกคนรู้สึกถึงความเย็นชาที่เล็ดลอดออกมาจากฉู่เนี่ยนซี ดังนั้นพวกนางจึงไม่ได้เข้าไปยั่วยุนาง และพูดคุยกันต่อเช่นก่อนหน้านี้“จือซิน ข้าว่าผิวของเจ้าดูขาวขึ้นนะ กระจุดบนใบหน้าก็ดูจางลง ดูไม่เหมือนใช้แป้งปกปิดเสียทีเดียว”สตรีที่มีใบหน้าเป็นมิตรกล่าวขึ้น“ข้า…” เหยียนจือซินมองไปที่สตรีนางนั้น ก่อจะมองไปที่ฉู่เนี่ยนซี และรวบรวมความกล้ากล่าวขึ้นว่า “เป็นเพราะพระชายาจ่ายยาให้ข้าน่ะ หลังจากที่ข้าทาบนใบหน้าก็เห็นผลตั้งแต่วันแรก เจ้าสังเกตเห็นด้วยงั้นหรือ?”หลังจากพูดเช่นนั้นแล้วเหยียนจือซินก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องยาก ทันใดนั้นนางก็รู้สึกราวกับได้ยกก้อนหินออกจากอก สีหน้าของนางก็ดูผ่อนคลายขึ้นมากเมื่อคนอื่น ๆ ได้ยินเช่นนี้ พวกนางก็ประหลาดใจที่เหยียนจือซินซึ่งป
ในขณะนี้ซุนจื่อซีที่ดูอ่อนแรงราวกับต้นหลิวต้นน้อยที่โอนเอนตามสายลมกำลังยิ้มอย่างอ่อนโยนและใจดี“หม่อมฉันทำได้เพียงซุกตัวอยู่แต่ในห้องนี้เพราะอาการป่วย โชคดีที่องค์หญิงห้ามาอยู่ที่นี่คุยเป็นเพื่อน ไม่เช่นนั้นหม่อมฉันคงจะอึดอัดแย่”นางกำนัลผู้น้อยที่อยู่ข้าง ๆ ขยับผ้าห่มให้ซุนจื่อซีอย่างปวดใจพลางพูดออกมาอย่างเหน็บแหนม“จะไปอึดอัดอะไรล่ะเจ้าคะ คำพูดไม่รื่นหูมีมากเสียขนาดนั้น ไม่อยากฟังก็คงยาก คุณหนูที่เป็นผู้มีจิตใจดีเช่นนี้คงไม่ลงโทษพวกปากมาก แต่คนเหล่านั้นกลับไม่เห็นแก่ความมีน้ำใจของท่านและพูดอะไรไม่เข้าท่ายิ่งกว่าเดิม”“สี่เชว่!”ซุนจื่อซีเอ็ดเบา ๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายโกรธ นางเริ่มไอไม่หยุด ใบหน้าเล็ก ๆ ซูบเซียวของนางเริ่มแดงจากการไอ“คนชั้นต่ำพวกนั้นคงลืมไปหมดแล้วว่าใครเป็นนายใครเป็นบ่าว!”ความโกรธในใจของเย่เซวียนเล่อปะทุขึ้นมาทันที อีกทั้งในน้ำเสียงก็มีความดุดันเพิ่มขึ้น“เป็นเพราะหม่อมฉันต่ำต้อย โชคดีที่เสด็จย่าทรงสงสาร จึงไม่ปล่อยหม่อมฉันให้เดียวดาย หม่อมฉันไม่อยากสร้างปัญหาให้เสด็จย่า ขอองค์หญิงโปรดทรงเมินเฉยต่อคำพูดเหล่านั้นไปและละโทสะลงเถิดนะเพคะ”ขณะที่พูด ดวงตาของซุนจื่อซ
แม้ว่าฉู่เนี่ยนซีจะสงสัย แต่สีหน้าของนางก็สงบราวกับน้ำแข็ง นางยืนขึ้นพลางก้าวไปหาฮูหยินเหยียน “ฮูหยินเหยียน ไม่ทราบว่า…”ทันใดนั้นฮูหยินเหยียนก็ยกฝ่ามือขึ้นหมายจะฟาดลงไปบนหน้าของฉู่เนี่ยนซี แต่ฉู่เนี่ยนซีคว้ามือของนางเอาไว้ได้อย่างรวดเร็วด้วยสายตาและมือที่ว่องไวดวงตาของฉู่เนี่ยนซีเต็มไปด้วยความโกรธ น้ำเสียงของนางฟังราวกับลมฤดูหนาวที่เยือกเย็นผสมกับน้ำแข็งและหิมะ “ฮูหยินเหยียน นี่หมายความเช่นไร? ท่านจะตบข้า ท่านรู้ถึงผลที่ตามมาหรือไม่?”“จะมีผลอะไรตามมาล่ะ?! ข้าก็นึกว่าท่านเป็นสตรีบริสุทธิ์ คิดว่าบุตรีที่ถูกเลี้ยงดูโดยตระกูลฉู่จะเป็นคนดี แต่นึกไม่ถึงเลยว่าท่านจะชั่วร้ายไม่ต่างกับงูพิษเช่นนี้!”ใบหน้าของฮูหยินเหยียนถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำ ดวงตาของนางมีฟ้าแลบและฟ้าร้องปะทุอยู่ในนั้น นางมองฉู่เนี่ยนซีด้วยความโกรธมากยิ่งขึ้น“เพียงคำพูดที่ท่านพูดมา ข้าก็สามารถทำให้ท่านถูกลงโทษในข้อหาใส่ความกันได้เลย”ฉู่เนี่ยนซีเหวี่ยงมือของฮูหยินเหยียนออกไป ดวงตาที่สดใสของนางมีประกายเย็นชาราวกับนางกำลังจะแช่แข็งอีกฝ่ายในน้ำแข็งและหิมะ“ใส่ร้ายหรือ? สมแล้วที่เป็นพระชายาหลี ช่างเป็นแผนที่ดี! ข้านึกว่ากา