“นายหญิง กระหม่อมกลับมาคราวนี้ มีเรื่องสำคัญจะรายงานให้ท่านทราบ” อวี๋ซียกมือคำนับอย่างเคร่งขรึม “มีคนติดต่อมาที่กองกำลังและเสนอรางวัลก้อนโตมาให้ พวกเขาบอกว่าหลังจากเรื่องนี้เสร็จสิ้น จะมีค่าตอบแทนเพิ่มเป็นทองคำอีกจำนวนหนึ่ง แต่ศีรษะของคนที่เขาต้องการคือศีรษะของท่าน”ลมที่พัดเข้ามาผ่านทางช่องว่างของหน้าต่างแกะสลักทำให้เปลวเทียนแกว่งไปมาจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง จนภาพสะท้อนบนใบหน้าของฉู่เนี่ยนซีสั่นไหวนางหลุบตาลง ในหัวคิดถึงความเป็นไปได้หลายอย่าง แต่ทั้งหมดก็ถูกตัดทิ้งไปทีละอย่างนางมองอวี๋ซีด้วยสายตาที่เย็นชาและสงสัย ต่างหูของนางยังคงสั่นไหวขณะที่นางหันกลับมา “มันผู้นั้นเป็นใคร?”“มีกฎของกองกำลังที่ว่าเมื่อรับคำสั่งว่าจ้างห้ามถามชื่อนายจ้างเหมือนฝ่ายนั้นจะได้ยินเรื่องนี้มาจึงไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริง เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายสงสัย กระหม่อมเพียงแต่บอกว่างานนี้ค่อนข้างยากจึงขอพิจารณาดูก่อน และได้ลองขอให้คนผู้นั้นกลับมาอีกในสามวัน และนี่ก็ผ่านไปหนึ่งวันแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ฉู่เนี่ยนซีเดินขึ้นไปที่โต๊ะกลม วางนิ้วเรียวเล็ก ๆ ของนางบนผ้าปูโต๊ะและสัมผัสลวดลายการปักที่ประณีต นางชะงักไปครู่หนึ่งแล้วเอ
“หากพรุ่งนี้ฉู่เนี่ยนซีไม่ออกไปข้างนอก หมายความว่าทุกอย่างที่วางแผนไว้จะพังทลายไม่ใช่หรือ ไม่ได้นะ”นางเรียกฝูหรงมาอยู่ข้าง ๆ พลางให้นางก้มลงแล้วป้องหูกระซิบ “พรุ่งนี้เช้า ให้อาศัยจังหวะที่มหาเสนาบดีฉู่…”เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่ฉู่เนี่ยนซีและเย่เฟยหลีกำลังรับประทานอาหารเช้า นางก็เหลือบมองเย่เฟยหลีที่ดูปกติแล้วถามว่า “เมื่อวานเป็นวันสุดท้ายของการกักบริเวณสิบห้าวัน และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องไปทำงานแล้ว ท่านจะไม่ไปหรือ?”“ข้าทำเรื่องลาไปแล้ว ไม่สำคัญอะไรหรอก วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เจ้าบอก หากอยู่ห่างจากเจ้าข้าคงวางใจไม่ได้”เย่เฟยหลีเอ่ยเสียงเรียบ มีร่องรอยของความกังวลซ่อนอยู่ในดวงตาของเขาฉู่เนี่ยนซีรู้อยู่แล้วว่าคนเหล่านั้นเป็นคนของอวี๋ซี และจะไม่ทำร้ายนางอย่างแน่นอน หลังจากอธิบายสถานการณ์ให้ เย่เฟยหลีฟังอย่างรวดเร็วแล้ว เสี่ยวเถาก็วิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนกทำให้นางกลืนคำพูดที่นางกำลังจะพูดกลับลงคอไป“ท่านอ๋อง พระชายา หม่อมฉันได้ยินมาว่าเมื่อเช้านี้ฮูหยินถูกพวกโจรจับขังไว้ในวัดขณะถวายเครื่องหอมที่วัดเป่าฮวา ตอนนี้สถานการณ์น่าเป็นห่วงมากเพคะ”เสี่ยวเถาวิ่งมาอย่างด้วยความใจจดใจจ่อ
เย่เฟยหลีเห็นฉู่เนี่ยนซีตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังและกำลังจะทะยานข้ามไป แต่ก็ถูกอวี๋ซีขวางไว้ เขาจึงทำได้เพียงแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าต่อไปถึงกระนั้นเขาก็ฟุ้งซ่านเล็กน้อยเพราะเขาคิดถึงฉู่เนี่ยนซี คนตรงหน้าเขาจับเขากระแทกหน้าอกทุ่มลงกับพื้นจนลุกขึ้นไม่ได้เขาทำได้เพียงมองดูอย่างช่วยไม่ได้ขณะที่มีดของนักฆ่าฟันลงอย่างรวดเร็วจนเห็นแสงเย็นยะเยือก เลือดกระเซ็นไปทั่ว คนที่เห็นก็ตกตะลึงตาค้างอยู่กับที่ราวกับว่าตัวเองกลายเป็นหินแข็ง“นายหญิง!”"พระชายา!"อวี๋ตงและเหลียงหยวนตะโกนไปยังทิศทางที่ฉู่เนี่ยนซีอยู่พร้อมกันชายทั้งสองหยิบหีบห่อที่ยังคงมีเลือดหยดขึ้นมา พลางผิวปากใส่คนอื่น ๆ และทั้งห้าคนก็หายตัวไปจากสายตาอย่างรวดเร็วอวี๋ตงและเหลียงหยวนรีบไปยังที่ที่ฉู่เนี่ยนซีอยู่ และกลั้นน้ำตาไม่ไหวอีกต่อไปเหลียงหยวนรีบวิ่งไปหาเย่เฟยหลีอีกครั้ง โดยพยุงร่างกายเขาให้ลุกขึ้น พลางพูดด้วยสีหน้าเศร้าและโกรธแค้น “พระชายาได้…”เย่เฟยหลีเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและโบกมือด้วยความงุนงง ส่งสัญญาณให้เหลียงหยวนไปจัดการร่างของฉู่เนี่ยนซี หลังจากเก็บสัมภาระแล้ว ทั้งสามคนก็กลับไปในทิศทางตรงกันข้ามหลังจากนั้นไม่
เป็นเรื่องไม่สบายใจที่ต้องหยุดก่อนที่จะแสดงท่าทางออกมาได้อย่างเต็มที่ ใบหน้าของซ่างกวานเยียนปรากฏแววตาซับซ้อนอยู่ครู่หนึ่ง“ท่านอ๋องทำอะไรอยู่เจ้าคะ?” ฝูหรงถามด้วยความสับสน“เราไม่อาจปกปิดความจริงไว้ได้ตลอด ถึงอย่างไรท่านอ๋องก็ต้องไปรายงานเรื่องนี้ให้ท่านมหาเสบาดีฉู่ที่จวนมหาเสนาดีทราบนะเพคะ เพียงแต่…”ซ่างกวานเยียนแสดงความกังวล แต่เมื่อทันทีที่ฉู่เนี่ยนซีเสียชีวิต เย่เฟยหลีก็จะได้รู้ว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง แต่หากเขาสืบไม่พบอะไรเลยจะเป็นดีกว่าแต่ความกังวลในขณะนี้ถูกชะล้างออกไปด้วยความสุขที่เติมเต็มหน้าอกของนางราวกับน้ำท่วมที่ล้นทะลักเข้ามา ถึงอย่างไรฉู่เนี่ยนซีก็ตายไปแล้ว และไม่ว่าจะตรวจพบอย่างไรนางก็ไม่มีทางรอดซ่างกวานเยียนเม้มปากยิ้ม แล้วกลับไปตามเส้นทางเดิมกับฝูหรงอวี๋ซีนำสิ่งของของเขาไปที่ป่าไผ่ในเขตชานเมืองตามเวลาที่ตกลงกัน เสียงเหยียบบนใบไม้แห้งกรอบในป่าไผ่อันเงียบสงบนั้นยิ่งน่าขนลุกมากขึ้นหลังจากเดินไปไม่กี่ก้าวเขาก็เห็นคนสองคนยืนอยู่ข้างหน้าไม่ไกล แม้ว่าแสงจันทร์จะถูกแยกส่วนโดยป่าไผ่ แต่อวี๋ซีก็ยังจำได้ว่าทั้งสองคนไม่ใช่คนที่ว่าจ้างเขามาถึงโดยห่างจากคนสองคนเพีย
บริเวณด้านหลังมีเสียงป่าไผ่สั่น ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาเห็นร่างสูงของเย่เฟยหลีกำลังเดินมาหานางเมื่อเย่เฟยหลีเห็นคนที่ถูกจับได้ ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความชั่วร้าย หลังจากเห็นคนที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างชัดเจน น้ำเสียงที่เย็นชาและดุดันของเขาก็ผสมปนเปด้วยความสงสัยเช่นกัน“ซ่างกวานชาง?”ซางกวน? เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฉู่เนี่ยนซีก็เกิดความสงสัยในใจว่าเรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับซ่างกวานเยียน“นำตัวกลับจวน!”ดวงตาที่คมกริบเหมือนมีดของเย่เฟยหลีแทงทะลุตัวซ่างกวานชาง และหลังจากพูดจบ เขาก็อยากจะพาฉู่เนี่ยนซีออกไป“นายหญิง ท่านไปก่อนเถิด กระหม่อมจะพาเขาตามไปทีหลัง” อวี๋ซีกล่าวด้วยความโกรธเล็กน้อยฉู่เนี่ยนซีพยักหน้าและกลับจวนไปพร้อมกับเย่เฟยหลีทั้งสองมาที่เรือนของฉู่เนี่ยนซี นั่งคนละฝั่งซ้ายขวาในห้องโถงใหญ่ หลังจากที่เสี่ยวเถานำชามาให้ทั้งคู่แล้ว นางก็ยืนข้างฉู่เนี่ยนซีด้วยความนอบน้อม เย่เฟยหลีพูดกับเหลียงหยวนว่า “ไปเรียกซ่างกวานเยียนมาที”ซ่างกวานเยียนดีใจมากเมื่อเห็นเหลียงหยวนรีบมาถ่ายทอดข้อความ โดยคิดว่าเย่เฟยหลียอมรับการเสียชีวิตของฉู่เนี่ยนซีแล้ว และได้หารือกับตระกูลเพื่อให้นางได้เป็นชายาเอกใน
ฉู่เนี่ยนซีมองไปที่ดวงตาไร้เดียงสาของนาง และอดไม่ได้ที่จะยิ้มเล็กน้อย “ที่แท้ก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของเจ้านี่เอง เขาจ้างวานนักฆ่าและจ่ายเงินมากกว่าสองเท่าหวังเอาชีวิตข้า แต่พระเจ้าไม่เข้าข้าง และข้ายังมีชีวิตสบายดี”นางจ้องมองทุกการแสดงออกบนใบหน้าของซ่างกวานเยียน หากนางไม่มีส่วนรู้เห็นจะต้องตกใจเป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้แม้ว่านางจะพยายามซ่อนมันไว้อย่างดีที่สุด แต่ก็ไม่สามารถซ่อนความตื่นตระหนกของตัวเองได้ฉู่เนี่ยนซีมั่นใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับซ่างกวานเยียน“ท่านพี่ ท่านทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร? การฆาตกรรมเป็นอาชญากรรมและท่านจะต้องติดคุก! แม้ว่าท่านจะอยากทำเพื่อข้าก็เถอะ แต่ท่านจะทำเรื่องโหดร้ายเช่นนี้ไม่ได้นะเพคะ ท่านพี่ หากข้ารู้ข้าจะต้องห้ามท่านแน่ ๆ ! เหตุใดท่านถึงทำเช่นนี้กันเพคะท่านพี่!!”ซ่างกวานเยียนมองซ่างกวานชางด้วยความไม่พอใจ “ท่านพี่ทำเช่นนี้ เคยนึกถึงข้าบ้างหรือไม่? ท่านทำให้ข้าตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ยุติธรรมนะเพคะ!”ซ่างกวานชางมองซ่างกวานเยียนด้วยความสับสน เมื่อเห็นนางจับท้อง เขาก็คิดว่าถ้านางมีส่วนเกี่ยวข้อง เด็กในท้องอาจจะซวยไปด้วยก็ได้ ดัง
เย่เฟยหลีไม่ต้องการได้ยินเรื่องหลอกลวงและคำโกหกจากซ่างกวานเยียนอีกต่อไป ดังนั้นจึงสั่งเหลียงหยวนทันที “นำตัวสองคนนี้ไปขังที่กองกิจการราชวงศ์ และรายงานให้เสด็จพ่อทราบในวันพรุ่งนี้ ดูว่าพระองค์จะจัดการเช่นไร”“ขอรับ”ซ่างกวานเยียนถอยหลังสองก้าวเพื่อขัดขืนเหลียงหยวน และมองเย่เฟยหลีด้วยดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง“ไม่นะเพคะ ท่านจะเช่นนี้ไม่ได้นะเพคะ ข้ามีบุญคุณต่อท่าน หากท่านทำเช่นนี้ก็เท่ากับเนรคุณ และท่านจะต้องถูกหลายพันคนประนาม”“เจ้าคิดว่าข้าสนใจอย่างนั้นหรือ?”เย่เฟยหลีเงยหน้าขึ้นและพูดอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นแววตาดุร้ายก็ฉายขึ้นในดวงตาของเขา “เดิมที ข้าตั้งใจจะไว้หน้าเจ้าเพราะดาบเล่มนั้น แต่เจ้าไม่ควรแตะต้องซีเอ๋อร์! เจ้าบังดาบให้ข้า วันนี้ข้าจะคืนกลับไป”ฉู่เนี่ยนซีรีบคว้ากริชที่เย่เฟยหลีหยิบออกมาอย่างรวดเร็ว และมองเข้าไปในดวงตาของเขาอย่างเคร่งขรึม“คนที่สามารถฆ่าลูกของตัวเองได้อย่างนาง จะเสียสละตัวเองเพื่อบังดาบให้ท่านได้อย่างไร บางทีเรื่องนี้อาจมีอะไรแอบแฝงอยู่ก็ฌ)้ฯได้”ดวงตาของเย่เฟยหลีมืดมนขึ้น และเขาถือกริซเดินเข้าไปหาซ่างกวานเยียน“ไม่นะ! เย่เฟยหลี ท่านจะโหด
ฉู่เนี่ยนซีอ้าปากแต่ไม่สามารถพูดถึงเรื่องบนเตียงกับเขาได้ แม้ว่าเย่เฟยหลีจะไม่ได้มีอะไรกับซ่างกวานเยียน แต่สำหรับผู้ชายนี่อาจเป็นการดูแคลนราวกับถูกมีดแทงเลยก็ว่าได้ เย่เฟยหลีลืมตาขึ้นช้า ๆ พร้อมกับหันหน้าไปมองฉู่เนี่ยนซีในดวงตาไม่มีความลำคาน ไม่ชอบ หรือไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย แต่มีเพียงการพึ่งพากันและกันของคนสองคนเท่านั้น“ซ่างกวานเยียนรับดาบแทนข้าในวันนั้น จนข้าไม่รู้เลยว่าจะชดใช้ให้นางอย่างไร ไม่คิดเลยว่าเรื่องนี้จะมีความอะไรซ่อนอยู่อีก ซีเอ๋อร์ ขอบใจเจ้ามาก”แม้ว่าใบหน้าของฉู่เนี่ยนซีจะยังคงเย็นชาเช่นเคย แต่นิ้วที่ประสานกันในแขนเสื้อของนางแสดงให้เห็นว่านางทำอะไรไม่ถูก และเพียงตอบไปสั้น ๆ ว่า “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”ดูเหมือนว่าฉู่เนี่ยนซีเองก็ไม่รู้ว่าจะจัดการกับอารมณ์นี้ได้อย่างไรในยุคปัจจุบัน ไม่ว่านางจะทำภารกิจอันโหดร้าย หรือทำการวิจัยสิ่งน่ากลัวต่าง ๆ หัวใจของนางก็ไม่เคยยุ่งเหยิงเช่นนี้เลยแม้แต่น้อยเพราะนางไม่เคยยอมให้ใครมาพึ่งพา และไม่เคยพึ่งพาใคร นางบีบนิ้วเพื่อบังคับตัวเองให้สงบสติอารมณ์ลง และน้ำเสียงของนางก็ยังคงเย็นชาราวกับกระแสน้ำช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง “หากท่านต้องการค