ฉู่เนี่ยนซีคนช้อน ความคิดมากมายติดอยู่ในใจ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดถึงเรื่องที่เย่เฟยหลีบุกไปยังจวนอ๋องเหลียน นางแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจและถามว่า “ท่านได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือไม่? ให้ข้าตรวจชีพจรดูไหม เผื่อเป็นอะไรขึ้นมาจะได้รักษาทันท่วงที”เย่เฟยหลีหยุดชะงักพลางหันไปเหลือบมองเหลียงหยวน เหลียงหยวนก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิดในทันทีโดยไม่เห็นแววตาชื่นชมที่เย่เฟยหลีส่งมาให้“เช่นนั้นรบกวนซีเอ๋อร์ด้วย”เย่เฟยหลียื่นข้อมือให้แล้วมองฉู่เนี่ยนซีอย่างอ่อนโยนพร้อมรอยยิ้มจาง ๆ หลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีจับชีพจรของเขา นางก็มองเย่เฟยหลีด้วยความสับสน “นี่ท่านสุขภาพแข็งแรงมากไม่ใช่หรือ?”“ข้าอาจจะกินยาจนหายดีแล้ว อีกทั้งข้าคงไม่ได้เจ็บหนักอะไร” เย่เฟยหลีพูดอย่างใจเย็น“จริงสิ แล้วเหตุใดวันนี้ท่านจึงไม่ไปทำงานล่ะเจ้าคะ?”ฉู่เนี่ยนซีที่กำลังกินโจ๊กก็นึกขึ้นได้ว่าเหตุใดในเวลานี้เย่เฟยหลีถึงยังอยู่ที่จวน“เป็นเพราะท่านอ๋องไปทำร้ายท่านอ๋องเหลียนเข้า องค์จักรพรรดิจึงมีรับสั่งให้กักบริเวณท่านอ๋องสิบห้าวัน ดังนั้นท่านอ๋องจึงไม่ต้องไปทำงานพ่ะย่ะค่ะ” เหลียงหยวนอธิบายอยู่ข้าง ๆเย่เฟยหลีพยักหน้าเล็กน้อย คิ
ในตอนแรก ฉู่เนี่ยนซีรู้สึกไม่พอใจอย่างมากที่เย่เฟยหลีมานอนในหอนอนของนาง พร้อมทั้งขู่ว่าหากเหลียงหยวนย้ายเตียงเข้าไป นางจะสับเตียงเป็นฟืนแล้วโยนเข้าไปในครัวเป็นเชื้อไฟทำอาหารเย่เฟยหลีปล่อยให้นางพูดคำจาด่าทอสารพัด แต่ยืนกรานที่จะนอนข้าง ๆ นาง เพราะอย่างไรนางก็ได้รับบาดเจ็บและขยับตัวไม่ได้ ดังนั้นนางจึงทำได้แค่ห้ามด้วยปากในคืนแรก ฉู่เนี่ยนซีปฏิเสธอย่างหนักที่จะให้เย่เฟยหลีนอนที่นี่ร่วมห้อง เมื่อเห็นเขานอนลง นางจึงอยากจะลุกขึ้นและไปนอนที่ห้องข้าง ๆ แต่เย่เฟยหลีแสร้งทำเป็นพูดว่านางได้รับบาดเจ็บและยังไม่หายดี นางจึงถอนหายใจบนเตียงโดยไม่ได้ตั้งใจ ฉู่เนี่ยนซีส่งเสียง “เฮ้อ” ก่อนจะนอนลงอีกครั้งด้วยความรู้สึกผิด“นอนได้แล้ว ตั้งแต่วันที่เจ้าถูกขังข้าก็นอนไม่ค่อยหลับเลย ตอนนี้ได้เห็นเจ้าอยู่ข้าง ๆ เช่นนี้ข้าก็สบายใจขึ้นมาก”หลังจากที่เย่เฟยหลีพูดจบ เขาก็หลับตานิ่งราวกับว่าเขาเหนื่อยมากจนหลับไปทันทีฉู่เนี่ยนซีมองแสงจันทร์ที่เด่นชัดด้านนอกหน้าต่างซึ่งตกลงมากระทบใบหน้าของเขา ทำให้เกิดความแวววาวราวหยก ราวกับคล้ายเป็นก้อนหินที่ทะลุเข้าไปในหัวใจของนาง ทำให้ทะเลสาบในใจผืนนั้นเกิดแรงกระเพื่อมอีกค
เย่เฟยหลียืนกรานที่จะดูฉู่เนี่ยนซีกินอาหารเย็นจนเสร็จ หลังจากเก็บโต๊ะแล้ว เขาก็เอ่ยขึ้นเบา ๆ “ข้าจะไปค่ายทหารในอีกสองวัน อีกทั้งช่วงนี้มีเรื่องที่ต้องจัดการมากมาย หากตอนกลางคืนเจ้าง่วงก็นอนก่อนได้เลย ต้องรอข้า”สาวใช้ตัวน้อยที่อยู่ข้าง ๆ พวกเขายิ้มอย่างเขินอายเมื่อได้ยินดังนั้น ต่างพากันมองหน้ากันเพื่อแสดงความชื่นชมในความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างท่านอ๋องและพระชายาฉู่เนี่ยนซีเพียงแค่ยิ้มแหย ๆ ให้เย่เฟยหลี หลังจากฟังเสียงรองเท้าของเขาหายไปจากเรือน นางก็จ้องมองสาวใช้ด้วยสายตาที่เย็นชาและเห็นว่าพวกนางกลับมามีท่าทางจริงจังและนอบน้อมอีกครั้ง นั่นจึงทำให้ทุกคนต้องออกไป“พระชายา นี่คือตำราแพทย์บางส่วนที่ท่านอ๋องนำมาให้ท่านโดยเฉพาะเพื่อคลายความเบื่อเพคะ”เสี่ยวเถามอบหนังสือให้ฉู่เนี่ยนซีด้วยความดีใจ เมื่อมองดูใบหน้าที่สดใสของฉู่เนี่ยนซี นางก็รู้สึกมีความสุขไม่น้อยฉู่เนี่ยนซีหยิบหนังสือขึ้นมาอย่างไม่พอใจพลางสุ่มพลิกดูสองสามหน้า “แต่ข้าอยากออกไปข้างนอก”“ท่านอ๋องบอกว่าท่านต้องพักฟื้นอีกสองสามวันเพคะ”ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้ามองเสี่ยวเถาด้วยความไม่พอใจมากยิ่งขึ้น “นี่เจ้าเชื่อฟังข้าหรือเย่เฟยหล
“นายหญิง กระหม่อมกลับมาคราวนี้ มีเรื่องสำคัญจะรายงานให้ท่านทราบ” อวี๋ซียกมือคำนับอย่างเคร่งขรึม “มีคนติดต่อมาที่กองกำลังและเสนอรางวัลก้อนโตมาให้ พวกเขาบอกว่าหลังจากเรื่องนี้เสร็จสิ้น จะมีค่าตอบแทนเพิ่มเป็นทองคำอีกจำนวนหนึ่ง แต่ศีรษะของคนที่เขาต้องการคือศีรษะของท่าน”ลมที่พัดเข้ามาผ่านทางช่องว่างของหน้าต่างแกะสลักทำให้เปลวเทียนแกว่งไปมาจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง จนภาพสะท้อนบนใบหน้าของฉู่เนี่ยนซีสั่นไหวนางหลุบตาลง ในหัวคิดถึงความเป็นไปได้หลายอย่าง แต่ทั้งหมดก็ถูกตัดทิ้งไปทีละอย่างนางมองอวี๋ซีด้วยสายตาที่เย็นชาและสงสัย ต่างหูของนางยังคงสั่นไหวขณะที่นางหันกลับมา “มันผู้นั้นเป็นใคร?”“มีกฎของกองกำลังที่ว่าเมื่อรับคำสั่งว่าจ้างห้ามถามชื่อนายจ้างเหมือนฝ่ายนั้นจะได้ยินเรื่องนี้มาจึงไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริง เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายสงสัย กระหม่อมเพียงแต่บอกว่างานนี้ค่อนข้างยากจึงขอพิจารณาดูก่อน และได้ลองขอให้คนผู้นั้นกลับมาอีกในสามวัน และนี่ก็ผ่านไปหนึ่งวันแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ฉู่เนี่ยนซีเดินขึ้นไปที่โต๊ะกลม วางนิ้วเรียวเล็ก ๆ ของนางบนผ้าปูโต๊ะและสัมผัสลวดลายการปักที่ประณีต นางชะงักไปครู่หนึ่งแล้วเอ
“หากพรุ่งนี้ฉู่เนี่ยนซีไม่ออกไปข้างนอก หมายความว่าทุกอย่างที่วางแผนไว้จะพังทลายไม่ใช่หรือ ไม่ได้นะ”นางเรียกฝูหรงมาอยู่ข้าง ๆ พลางให้นางก้มลงแล้วป้องหูกระซิบ “พรุ่งนี้เช้า ให้อาศัยจังหวะที่มหาเสนาบดีฉู่…”เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่ฉู่เนี่ยนซีและเย่เฟยหลีกำลังรับประทานอาหารเช้า นางก็เหลือบมองเย่เฟยหลีที่ดูปกติแล้วถามว่า “เมื่อวานเป็นวันสุดท้ายของการกักบริเวณสิบห้าวัน และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องไปทำงานแล้ว ท่านจะไม่ไปหรือ?”“ข้าทำเรื่องลาไปแล้ว ไม่สำคัญอะไรหรอก วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เจ้าบอก หากอยู่ห่างจากเจ้าข้าคงวางใจไม่ได้”เย่เฟยหลีเอ่ยเสียงเรียบ มีร่องรอยของความกังวลซ่อนอยู่ในดวงตาของเขาฉู่เนี่ยนซีรู้อยู่แล้วว่าคนเหล่านั้นเป็นคนของอวี๋ซี และจะไม่ทำร้ายนางอย่างแน่นอน หลังจากอธิบายสถานการณ์ให้ เย่เฟยหลีฟังอย่างรวดเร็วแล้ว เสี่ยวเถาก็วิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนกทำให้นางกลืนคำพูดที่นางกำลังจะพูดกลับลงคอไป“ท่านอ๋อง พระชายา หม่อมฉันได้ยินมาว่าเมื่อเช้านี้ฮูหยินถูกพวกโจรจับขังไว้ในวัดขณะถวายเครื่องหอมที่วัดเป่าฮวา ตอนนี้สถานการณ์น่าเป็นห่วงมากเพคะ”เสี่ยวเถาวิ่งมาอย่างด้วยความใจจดใจจ่อ
เย่เฟยหลีเห็นฉู่เนี่ยนซีตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังและกำลังจะทะยานข้ามไป แต่ก็ถูกอวี๋ซีขวางไว้ เขาจึงทำได้เพียงแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าต่อไปถึงกระนั้นเขาก็ฟุ้งซ่านเล็กน้อยเพราะเขาคิดถึงฉู่เนี่ยนซี คนตรงหน้าเขาจับเขากระแทกหน้าอกทุ่มลงกับพื้นจนลุกขึ้นไม่ได้เขาทำได้เพียงมองดูอย่างช่วยไม่ได้ขณะที่มีดของนักฆ่าฟันลงอย่างรวดเร็วจนเห็นแสงเย็นยะเยือก เลือดกระเซ็นไปทั่ว คนที่เห็นก็ตกตะลึงตาค้างอยู่กับที่ราวกับว่าตัวเองกลายเป็นหินแข็ง“นายหญิง!”"พระชายา!"อวี๋ตงและเหลียงหยวนตะโกนไปยังทิศทางที่ฉู่เนี่ยนซีอยู่พร้อมกันชายทั้งสองหยิบหีบห่อที่ยังคงมีเลือดหยดขึ้นมา พลางผิวปากใส่คนอื่น ๆ และทั้งห้าคนก็หายตัวไปจากสายตาอย่างรวดเร็วอวี๋ตงและเหลียงหยวนรีบไปยังที่ที่ฉู่เนี่ยนซีอยู่ และกลั้นน้ำตาไม่ไหวอีกต่อไปเหลียงหยวนรีบวิ่งไปหาเย่เฟยหลีอีกครั้ง โดยพยุงร่างกายเขาให้ลุกขึ้น พลางพูดด้วยสีหน้าเศร้าและโกรธแค้น “พระชายาได้…”เย่เฟยหลีเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและโบกมือด้วยความงุนงง ส่งสัญญาณให้เหลียงหยวนไปจัดการร่างของฉู่เนี่ยนซี หลังจากเก็บสัมภาระแล้ว ทั้งสามคนก็กลับไปในทิศทางตรงกันข้ามหลังจากนั้นไม่
เป็นเรื่องไม่สบายใจที่ต้องหยุดก่อนที่จะแสดงท่าทางออกมาได้อย่างเต็มที่ ใบหน้าของซ่างกวานเยียนปรากฏแววตาซับซ้อนอยู่ครู่หนึ่ง“ท่านอ๋องทำอะไรอยู่เจ้าคะ?” ฝูหรงถามด้วยความสับสน“เราไม่อาจปกปิดความจริงไว้ได้ตลอด ถึงอย่างไรท่านอ๋องก็ต้องไปรายงานเรื่องนี้ให้ท่านมหาเสบาดีฉู่ที่จวนมหาเสนาดีทราบนะเพคะ เพียงแต่…”ซ่างกวานเยียนแสดงความกังวล แต่เมื่อทันทีที่ฉู่เนี่ยนซีเสียชีวิต เย่เฟยหลีก็จะได้รู้ว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง แต่หากเขาสืบไม่พบอะไรเลยจะเป็นดีกว่าแต่ความกังวลในขณะนี้ถูกชะล้างออกไปด้วยความสุขที่เติมเต็มหน้าอกของนางราวกับน้ำท่วมที่ล้นทะลักเข้ามา ถึงอย่างไรฉู่เนี่ยนซีก็ตายไปแล้ว และไม่ว่าจะตรวจพบอย่างไรนางก็ไม่มีทางรอดซ่างกวานเยียนเม้มปากยิ้ม แล้วกลับไปตามเส้นทางเดิมกับฝูหรงอวี๋ซีนำสิ่งของของเขาไปที่ป่าไผ่ในเขตชานเมืองตามเวลาที่ตกลงกัน เสียงเหยียบบนใบไม้แห้งกรอบในป่าไผ่อันเงียบสงบนั้นยิ่งน่าขนลุกมากขึ้นหลังจากเดินไปไม่กี่ก้าวเขาก็เห็นคนสองคนยืนอยู่ข้างหน้าไม่ไกล แม้ว่าแสงจันทร์จะถูกแยกส่วนโดยป่าไผ่ แต่อวี๋ซีก็ยังจำได้ว่าทั้งสองคนไม่ใช่คนที่ว่าจ้างเขามาถึงโดยห่างจากคนสองคนเพีย
บริเวณด้านหลังมีเสียงป่าไผ่สั่น ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาเห็นร่างสูงของเย่เฟยหลีกำลังเดินมาหานางเมื่อเย่เฟยหลีเห็นคนที่ถูกจับได้ ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความชั่วร้าย หลังจากเห็นคนที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างชัดเจน น้ำเสียงที่เย็นชาและดุดันของเขาก็ผสมปนเปด้วยความสงสัยเช่นกัน“ซ่างกวานชาง?”ซางกวน? เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฉู่เนี่ยนซีก็เกิดความสงสัยในใจว่าเรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับซ่างกวานเยียน“นำตัวกลับจวน!”ดวงตาที่คมกริบเหมือนมีดของเย่เฟยหลีแทงทะลุตัวซ่างกวานชาง และหลังจากพูดจบ เขาก็อยากจะพาฉู่เนี่ยนซีออกไป“นายหญิง ท่านไปก่อนเถิด กระหม่อมจะพาเขาตามไปทีหลัง” อวี๋ซีกล่าวด้วยความโกรธเล็กน้อยฉู่เนี่ยนซีพยักหน้าและกลับจวนไปพร้อมกับเย่เฟยหลีทั้งสองมาที่เรือนของฉู่เนี่ยนซี นั่งคนละฝั่งซ้ายขวาในห้องโถงใหญ่ หลังจากที่เสี่ยวเถานำชามาให้ทั้งคู่แล้ว นางก็ยืนข้างฉู่เนี่ยนซีด้วยความนอบน้อม เย่เฟยหลีพูดกับเหลียงหยวนว่า “ไปเรียกซ่างกวานเยียนมาที”ซ่างกวานเยียนดีใจมากเมื่อเห็นเหลียงหยวนรีบมาถ่ายทอดข้อความ โดยคิดว่าเย่เฟยหลียอมรับการเสียชีวิตของฉู่เนี่ยนซีแล้ว และได้หารือกับตระกูลเพื่อให้นางได้เป็นชายาเอกใน