เมื่อมอบหมายคำสั่งเสร็จ ฉู่เนี่ยนซีก็ปิดหน้าต่าง ปล่อยให้อวี๋เป่ยยืนงุนงงอยู่ที่เดิม เขาใช้เวลาอยู่นานกว่าจะกลับมามีสติได้ และรีบไปแจ้งข่าวกับอวี๋ตง เมื่อครบเวลาหนึ่งก้านธูปแล้ว ฉู่เนี่ยนซีในอาภรณ์บุรุษ มีผ้าโปร่งสีขาวคลุมไว้ถึงคอ ที่เอวยังมีดาบยาวยาไม่เอ่ยปากพูดนางดูคล้ายอัศวินลึกลับที่ถูกกล่าวขวัญถึงในหนังสือเป็นอย่างมาก “พระชายา ถึงแล้วพะยะค่ะ”อวี๋เป่ยพาฉู่เนี่ยนซีมาหยุดอยู่นอกประตูสถานเริงรมย์แห่งหนึ่ง นางเหลือบมองเข้าไปข้างในจึงเห็นว่ามีการร้องเล่นเต้นรำกันอยู่ ยังไม่ทันรอเข้าไปก็ได้กลิ่นหอมรัญจวนเข้มข้นแล้ว จะเอ่ยปากเย้าแหย่ “อวี๋เป่ย ที่เจ้าชอบบอกว่าเจ้าไปโรงพนัน ที่แท้ก็เป็นหอนางโลมนี่เอง”อวี๋เป่ยละล่ำละลักอธิบายว่า “ไม่ใช่นะพะยะค่ะ ทางเข้าโรงพนันใต้ดินเหล่านี้มักจะเลือกสถานที่แบบนี้ เพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตา ตามมาเถิดขอรับ”ฉู่เนี่ยนซีเม้มริมฝีปากแล้วยิ้ม หมู่นี้อารมณ์ของนางค่อนข้างสงบและผ่อนคลาย บางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะขำองครักษ์เหล่านี้โดยปกติ เห็นจะมีเพียงอวี๋ซีที่เย็นชาพอ ๆ กับเย่เฟยหลี ส่วนอีกสามคนที่เหลือยังสนุกไปกับเรื่องตลกของนางอยู่บ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในที่สุด นักพนันที่อยู่ข้าง ๆ โต๊ะเหล่านั้นก็คล้อยตามฉู่เนี่ยนซี นางเดิมพันอะไร คนที่อยู่ข้าง ๆ ก็วางเดิมพันเช่นนั้น ล้วนเดิมพันกันไปในทางเดียวทั้งหมดเมื่อก่อนตอนติดตามหาเสนาบดี เขาไม่เคยรู้เลยว่าพระชายาพรุ่งนี้จะเล่นการพนัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฝีมือด้านธนูและการแพทย์เลย...คราวนี้ดีแล้ว ต่อไปพระชาชาจะทําอะไรเขาก็คงไม่แปลกใจกับสิ่งที่นางทำแล้ว“ไม่ได้เข้าโต๊ะพนันมานานแล้ว เลยรู้สึกคิดถึงนิดหน่อย” ฉู่เนี่ยนซีสรุปประโยคนี้อย่างกระชับขมับของอวี๋เป่ยกระตุก และในที่สุดเขาก็อดไม่ได้ที่จะโน้มตัวเข้าไปใกล้หูของฉู่เนี่ยนซี และกระซิบว่า “พระชายา เราโอ้อวดเกินไปหรือเปล่าพะ?”ฉู่เนี่ยนซีนับเงินพลางตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “สถานที่แบบนี้ ไม่มีใครรู้จักเรา แล้วเราจะโอ้อวดอะไรได้?”อวี๋เป่ยนับภูเขาเงินและธนบัตรกองอยู่ตรงหน้านาง และคิดว่านางจะต้องแลกทั้งหมดให้เป็นธนบัตรในภายหลังขณะที่เขาจมอยู่กับความคิด ความเงียบของสถานที่ก็ถูกทำลายลงด้วยความวุ่นวายที่ใกล้เข้ามาฉู่เนี่ยนซีมองออกไป ลมหายใจของนางติดขัดอยู่ครู่หนึ่งทุกคนเงยหน้าขึ้นและเห็นเพียงคนเฝ้าคาสิโนไม่กี่คนซึ่งกำลังสวมหน้ากากหัวหมาป่า ด่าทอแล
ลูกน้องของเขาและอันธพาลที่ถูกจ้างมามองหน้ากันและรีบวิ่งที่เกิดเหตุ แต่ประกายสีเงินดันแวบขึ้นมาต่อหน้าทุกคนเสียก่อน ทุกคนก็ยอมจำนนไปแล้ว ดาบทลายลมของอวี๋เป่ยไม่ทันได้ออกจากฝักก็แก้ปัญหาได้อย่างง่ายดายเจ้าของโรงพนันจ้องมองชายสองคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างตะลึง ไม่เพียงแต่เจ้าของโรงพนันเท่านั้น แต่ผู้คนที่มองอยู่รอบ ๆ อย่างตื่นเต้นก็พากันเงียบไปชั่วขณะทุกคนไม่รู้ว่าจะปรบมือให้กับความอาจหาญของทั้งสอง หรือจะรอให้นายท่านผู้นี้จัดการกับคนหุนหันพลันแล่นเหล่านี้ต่อไปฉู่เนี่ยนซียิ้มอย่างเย็นชาและพูดกับชายพุงพลุ้ยว่า “ถ้าเธอเข้ามายุ่งแล้ว และทีนี้ท่านจะทำเช่นไรหรือ?”ทำเช่นไร?สามคํานี้ถือเป็นคําพูดที่หยิ่งผยองที่สุดในโรงพนันของคืนนี้แล้วชายพุงพลุ้ยตบโต๊ะและด่าทอว่า “ได้ ได้สิ ก็ขี้โกงนี่จะไม่ถูกลงโทษก็ได้ โลกมีเรื่องเช่นนี้ด้วย ทุกท่าน ถ้ามีคนโกงที่โต๊ะพนันของท่าน ข้าขอถามพวกท่านทุกคนว่า พวกท่านจะทําเช่นไรรึ?”ต้องยอมรับเลยว่าชายพุงพลุ้ยผู้นี้สามารถปลุกปั่นบรรยากาศได้จริง ๆ ทันใดนั้นก็มีคนตะโกนมาว่า “ตัดมือเจ้าเด็กนี่ทิ้งเสีย!”“ใช่ ตัดมือเลย!”“เขากล้าโกง ต้องตีให้ตาย!”...ฉู่เนี่ยน
แรงนั้นแข็งแกร่งมาก แทบจะหักกระดูกของเขาได้เลยด้วยความเจ็บปวด เขามองดูบุคคลนั้นด้วยความกลัว เพียงเพื่อพบว่าชายชุดดำที่เพิ่งเอาชนะคนกลุ่มหนึ่งได้อย่างง่ายดายด้วยฝักดาบ ไม่รู้เลยว่ามายืนอยู่ข้างตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่!อวี๋เป่ยเพิ่มความกดดันด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ปล่อยให้ชายพุงพลุ้ยร้องไห้และกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด คว้าไพ่หลายใบออกมาจากมือและกระเป๋าตรงแขนเสื้อ โยนมันลงบนโต๊ะ!เขาต่างหาก คนที่ขี้โกง!ทุกคนอ้าปากค้าง ทุกสายตาหันไปมองชายชุดขาวที่ถูกทุบตีก่อนหน้านี้ ชายคนนั้นเพียงก้มหัว ดูน่าสงสารมากฉู่เนี่ยนซีจับโต๊ะแล้วยืนขึ้น ถามอย่างใจเย็นว่า “ตามข้อตกลงของโรงพนันหุยหุน ควรจะทำเช่นไรกับคนขี้โกงหรือ?”บางคนในฝูงชนอัดอั้นอยู่ครึ่งวันและตะโกนว่า “ตามข้อตกลงแล้ว ต้องตัดมือชายคนนี้ข้างหนึ่ง!”“ใช่! ผิดคําพูดไม่ได้ ชายคนนี้ก็บอกแบบนี้เอง”“ต้องขอบคุณน้องชายที่มาช่วยเหลือ และทำให้เราเห็นธาตุแท้ของตาเฒ่าคนนี้!”……ท่ามกลางเสียงพูดคุยของผู้คน ฉู่เนี่ยนซีต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะเข้าใจส่วนสำคัญของสถานการณ์ที่แท้ชายพุงพลุ้ยเจ้าปัญหาผู้นี้ก็เป็นอันธพาลเลื่องชื่อในตงเฉิงนี่เองเขามักรังแกบุร
ทันใดนั้นสีหน้าของเซวียหนานคงก็เปลี่ยนไปอย่างมาก เขาอึ้งอยู่นานแล้วมองไปทางฉู่เนี่ยนซี “เจ้ารู้จักเจ้าของสถานที่แห่งนี้เช่นนั้นหรือ?” มีบางคนชะโงกหน้าแอบมองเพื่อฟังว่าพวกเขากำลังพูดอะไรกัน ทว่ามีลูกค้าประจำบางคนกลับแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินด้วยความหัวไว แล้วดึงพวกลูกค้าใหม่ออกไป ทั้งส่ายหน้าอย่างมีความนัยที่แปลว่า ไม่ควรจะต้องดูหรือฟังเรื่องที่มิถูกมิควรฉู่เนี่ยนซีส่ายหน้า สังเกตการเคลื่อนไหวโดยรอบด้วยสายตาอันเฉียบแหลม “เจ้านายของพวกเจ้าคือใคร? เขาเรียกให้ข้าไป ข้าก็ต้องไปเช่นนั้นหรือ?” “นายท่านเป็นเจ้าของโรงพนันหุยหุน” คนสวมหัววัวมิได้ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย พอพูดถึงตรงนี้ ทันใดนั้นเขาก็ประชิดตัวเข้าใกล้ฉู่เนี่ยนซีทันทีแล้วพูดต่อโดยใช้น้ำเสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคนว่า “เจ้านายของพวกเราขอเชิญแม่นางมาพูดคุยด้วยความจริงใจ หากแม่นางรู้สึกว่าไม่เหมาะสม แม่นางสามารถเป็นผู้กำหนดสถานที่นัดพบได้นะขอรับ” หูของอวี๋เป่ยกระดิกและมองไปทางคนผู้นั้นด้วยความตกใจ เครื่องแต่งกายบุรุษของฉู่เนี่ยนซีวันนี้ไม่มีข้อบกพร่องเลยสักนิด พวกเขารู้ได้อย่างไร? หัวใจของฉู่เนี่ยนซีก็หยุดชะงักไปชั่วขณะด้วยเช่นก
“วิธีการเล่นนี้ค่อนข้างใหม่ เริ่มได้ ” ได้ยินดังนั้นแล้ว บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ เจ้าของโรงพนันก็เดินออกไป เมื่อเดินกลับเข้ามาอีกครั้งก็มาพร้อมกลุ่มนักดนตรีและนักเต้นรำผู้ที่ถือลูกเต๋านั่งอยู่ตรงกลาง มีโต๊ะอยู่ด้านหน้า นักดนตรีสามสี่คนนั่งล้อมอยู่รอบ ๆ ทันใดนั้นมือของผู้ที่ถือลูกเต๋าก็ขยับเล็กน้อยและเสียงดนตรีก็ดังขึ้น เสียงของผีผา กู่ฉิน ขลุ่ยเซียวและคงโหว…ดังประสานกัน ไพเราะเพราะพริ้งทั้งยังกลบเสียงลูกเต๋าอีกด้วย ฉู่เนี่ยนซีถูกทำให้เสียสมาธิเป็นอย่างมาก ในตอนที่นางต้องการมองดูการเคลื่อนไหวของคนผู้นี้อย่างระมัดระวัง นักเต้นรำกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาร่ายรำบดบังสายตาของนาง สิ่งนี้ทำให้นางอดอารมณ์เสียเล็กน้อยไม่ได้ แต่นางก็สงบนิ่งลงได้อย่างรวดเร็ว นางมิเคยพบเจอกับสถานการณ์อะไรที่น่ากลัวเช่นนี้มาก่อนในชาติที่แล้ว นางจะต้องพิชิตปัญหานี้ไปให้ได้ คิดเช่นนี้แล้ว นางค่อย ๆ หลับตาลงแล้วใช้นิ้วเคาะลงบนหน้าโต๊ะเป็นจังหวะ สิ่งกีดขวางที่ถูกสร้างขึ้นแทบจะจางหายไป กลายเป็นเกราะป้องกันเสียงเครื่องดนตรีพื้นบ้านเหล่านั้น ยังป้องกันเสียงฝีเท้าและเสียงกระดิ่งที่มาจากนักเต้นรำสาวไว้ด้านนอก จกา
ลมหายใจของฉู่เนี่ยนซีหยุดนิ่ง และปฏิกิริยาแรกของนางคือเหตุใดขณะที่อวี๋ตงเป็นคนเฝ้าเรือน เหตุใดเย่เฟยหลีถึงมาอยู่ที่นี่ได้?สิ่งที่นางไม่รู้ก็คืออวี๋ตงดูแลเรือนเป็นอย่างดี แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่เฟยหลีที่ปกติหลังจัดการงานราชการเสร็จแล้ว มักจะออกจากห้องอักษรกลับไปยังเรือนนอนของเขาทันที คืนนี้จะมาที่เรือนของฉู่เนี่ยนซีโดยไม่คาดคิดจากนั้น ด้วยยึดมั่นในภารกิจตามคำสั่งของผู้เป็นนายที่ยิ่งใหญ่กว่าบัญชาสวรรค์ อวี๋ตงยืนอยู่ที่ประตูเรือนและเกือบจะชักดาบสู้กับเย่เฟยหลีแน่นอนว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่เย่เฟยหลีจะต่อสู้กับองครักษ์ได้จริง ๆบังเอิญว่าในตอนนั้นเอง เย่ฉงเฉิงส่งคนไปรายงานว่าเขาเห็นชายาหลีในอาภรณ์บุรุษที่สถานเริงรมย์ เย่เฟยหลีรู้สึกว่าเลือดในกายของตนกำลังเดือดพล่าน หันกลับอีกทีก็พาคนขับรถม้าคนสนิทมาถึงที่นี่เสียแล้วเขาลงจากรถม้าและกำลังจะก้าวเข้าไปข้างในสถานเริงรมย์ ทันใดนั้นกลิ่นยาที่คุ้นเคยก็ลอยมาแตะปลายจมูกของเขายังไม่ทันที่ฉู่เนี่ยนซีจะได้หาข้ออ้าง เย่เฟยหลีก็คว้าข้อมือของเธอแล้วลากไปที่รถม้าไปโดยไม่มีคำอธิบายใด ๆ“ปล่อย! นี่ท่านกำลังทำอะไร!”เพรามีความผิดติดตัว ฉู่เนี่ยนซีจึ
ฉู่เนี่ยนซีไม่สนใจประโยคหลังของเขา ที่เอาแต่คิดว่านางไม่ควรมาที่สถานเริงรมย์เพื่อความสนุกสนานส่วนเย่ฉงเฉิงตัวปัญหา เมื่อเขารู้เรื่องนั้น ก็รีบแจ้งข่าวเพื่อรอดูท่าทางของเย่เฟยหลีแต่โชคดีที่องค์ชายเจ็ดผู้นี้และเย่เฟยหลีสนิทกัน การหยอกล้อเขาเช่นนี้คงจะไม่ทำให้เรื่องแย่ลงเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ฉู่เนี่ยนซีก็ปาดเหงื่อ ครั้งต่อไปนางจะต้องระมัดระวังให้มากขึ้น ถึงอย่างไร คงไม่ใช่ทุกครั้งที่นางจะโชคดีเหมือนเช่นครั้งนี้แม้ว่ารถม้าจะเอาสัญลักษณ์ของจวนองค์ชายหลีออกแล้ว แต่แค่มองดูผ่าน ๆ ก็รู้ได้ว่าเป็นรถม้าที่เชื้อพระวงศ์ใช้คนขับรถม้าคนนี้เป็นคนสนิทของเย่เฟยหลีมาหลายปี รู้ว่าคำซุบซิบนินทาของผู้คนเป็นเรื่องน่ากลัวขนาดไหน ดังนั้นเขาจึงจงใจไม่วิ่งบนถนนที่มีผู้คนพลุกพล่าน และบังคับรถม้ากลับไปที่จวนผ่านตรอกซอกซอยด้วยความคุ้นเคยขณะที่รถเลี้ยวเข้าไปในซอยอื่น จู่ ๆ ก็มีบางอย่างหล่นลงมาบนหลังคารถม้า เย่เฟยหลีหรี่ตาลงอย่างระมัดระวัง เคาะที่ประตูแล้วพูดว่า "เร่งความเร็วหน่อย อย่าอยู่ที่นี่นานเกินไป" "พ่ะย่ะค่ะ"คนขับรถม้าที่ได้รับคำสั่ง เร่งเฆี่ยนแส้เพื่อเร่งความเร็วในทันที แต่มันก็สายเกินไปแล้วล