“เสด็จพ่อเพคะ ฉู่เนี่ยนซีได้ซ่อนความจริงของเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน นางไม่เพียงแต่เป็นเจ้าของโรงพนันหุยหุนเท่านั้น นางยังเป็นสายลับของมณฑลตะวันตกด้วย!”เจี่ยงจาวอวิ๋นที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ในวังชี้นิ้วเรียวไปยังฉู่เนี่ยนซีด้วยสีหน้าเหลืออดและโกรธเคือง“พระชายาเหลียน เมื่อพูดเช่นนี้ท่านก็ต้องแสดงหลักฐาน หากท่านไม่มีหลักฐาน นั่นก็เป็นแค่การใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น!”ฉู่เนี่ยนซีจ้องไปที่เจี่ยงจาวอวิ๋น ‘นางใส่ร้ายป้ายสีด้วยคำโกหกคำโต ช่างน่านับถือเสียจริง!’“เห็นได้ชัดว่าเจ้ามีการติดต่อกับคนจากมณฑลตะวันตกอยู่บ่อยครั้ง แต่เจ้ากลับปิดบังเอาไว้ ข้าคิดว่าเจ้าเป็นนายของพวกเขาแน่!”เจี่ยงจาวอวิ๋นเคยได้ยินเรื่องโรงพนันหุยหุนมาจากจดหมายลับ ดังนั้นแรงผลักดันของนางยังคงไม่ลดลงในการเผชิญหน้ากับฉู่เนี่ยนซี และนางยังต้องการเอาชนะ ฉู่เนี่ยนซีอีกด้วยฉู่เนี่ยนซีค่อย ๆ นึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ชายร่างใหญ่เจ็ดแปดคนที่มีรูปร่างกำยำและใบหน้าที่ดุดัน พอเห็นดังนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย อีกทั้งพวกเขานั่งอยู่ตั้งนานสองนานแต่ไม่สนใจเล่นพนันอะไรเลย ทว่ากลับเอาแต่ชวนนางเดิมพันอยู่หลายรอบยิ่งไป
เสียงของฉู่เนี่ยนซีสั่นเทา ดวงตาของนางก็แดงก่ำทันทีในขณะคุกเข่าและยืดตัวขึ้น“ข้าอนุญาต”“ขอบพระทัยฝ่าบาท”ฉู่เนี่ยนซีคุกเข่าและคลานไปช่วยให้มหาเสนาบดียืนขึ้น พลางกระซิบข้างหูเขาอย่างรวดเร็ว “ข้าไม่เคยทำเช่นนั้น ท่านพ่อวางใจได้”มหาเสนาบดีฉู่เหลือบมองฉู่เนี่ยนซีอย่างไม่สบายใจ และความไว้วางใจในสายตาของเขาบอกนางว่าเขาไม่เคยสงสัยเลยว่านางจะทำเช่นนั้นไม่นานขันทีเฉินก็กลับมา เมื่อครู่องค์จักรพรรดิสั่งให้เขาไปถามสายลับเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาเห็นในโรงพนันหุยหุน พวกสายลับอธิบายทุกอย่างเกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนั้น ทำให้องค์จักรพรรดิยิ่งโกรธมากขึ้น เขาเม้มริมฝีปากแลดูอาฆาตอย่างไรก็ตาม พวกสายลับไม่เห็นการติดต่อเป็นการส่วนตัวระหว่างพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้รายงานเรื่องนี้ต่อองค์จักรพรรดิในทันทีทว่าองค์จักรพรรดิก็สงสัยอีกครั้ง เพราะขมวดคิ้วอยู่บ่อยครั้งมาเป็นเวลานานจึงทำให้พื้นที่หว่างคิ้วของเขาย่นลึกลงไปอีก ทรงทอดพระเนตรไปยังเหล่าคนที่อยู่ในตำหนักแห่งนี้โดยที่ยากจะบอกได้ว่าใครกำลังโกหกปิดบัง“นี่เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ข้าจะปักใจเชื่อเพราะเอาแต่ฟังความข้างเดียวไม่ได้ ฉู่เนี่ยนซี เ
ไม่คาดคิดว่าลูกชายที่เขาให้ค่าและเข้าใจเขาดีที่สุด จะลืมคำสอนที่เขามอบให้ไปจนหมดเพียงเพราะเห็นแก่สตรีที่อาจเป็นสายลับ บางทีการอภิเษกพระราชทานอาจเป็นหนึ่งในแผนก่อกบฏของฉู่เนี่ยนซีมาตั้งแต่แรกองค์จักรพรรดิทรงทอดพระเนตรเย่เฟยหลีอย่างเคร่งขรึมด้วยสายตาที่ผิดหวังเล็กน้อย แต่ครู่หนึ่ง เขาก็รู้สึกหมดหนทาง ลูกชายคนนี้เหมือนเขามากที่สุดจริง ๆ“เสด็จพ่อ ลูกรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสงสัยแปลก ๆ หากซีเอ๋อร์เป็นสายลับจากทางมณฑลตะวันตกจริง ลูกและสายลับจะไม่สามารถตรวจจับอะไรได้เลย เพราะในฐานะเจ้าของโรงพนันหุยหุนก็ควรจะดูแลแขกทุกคนที่เข้ามา”เย่เฟยหลีพูดอย่างมีเหตุผลโดยไม่ร้อนใจอย่างระมัดระวัง“นอกจากนี้ หากซีเอ๋อร์เป็นสายลับจากอีกฝั่ง เหตุใดนางถึงต้องการควบคุมโรคระบาดที่แม้แต่หมอหลวงทุกคนก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้ และเหตุใดนางถึงเสนอแผนการเพื่อควบคุมน้ำท่วมแก่ลูกเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”ทันทีที่เย่เฟยหลีพูดจบ เจี่ยงจาวอวิ๋นก็พูดขึ้นทันที “แน่นอนว่าก็เพื่อที่จะได้รับความไว้วางใจจากผู้คน นางจะได้รวบรวมข่าวกรองได้มากขึ้น”“ชายาเหลียน ได้โปรดคิดก่อนพูด การใช้โรคระบาดและน้ำท่วมทำลายอาณาจักรรัตติกาลจะไม่เร็วกว่าการร
ทุกคนเห็นมหาเสนาบดีฉู่หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากถุงที่อยู่ในแขนเสื้อ ก่อนที่พวกเขาจะเห็นว่ามันคืออะไร ขันทีเฉินก็หยิบมันไปมอบให้องค์จักรพรรดิทุกคนสงสัยว่าอะไรทำให้มหาเสนาบดีฉู่รู้สึกมั่นใจได้เช่นนั้น?เย่เฟยหลีมองเห็นเพียงพู่สีแดงเท่านั้น แต่ประสาทสัมผัสของฉู่เนี่ยนซีดีมากกว่าคนทั่วไปหลายเท่า ดังนั้นเมื่อหมาเสนาบดีฉู่มอบมันให้ขันทีเฉิน นางจึงมองเห็นสิ่งนั้นได้ชัดเจนมันคือจี้หยกที่เป็นสีเขียวทั้งหมดและแกะสลักด้วยลวดลายอันประณีต“ฝ่าบาท นี่คือจี้หยกที่พระองค์ประทานให้ด้วยพระองค์เองในตอนนั้น กระหม่อมคิดว่าพระองค์คงจะทรงจำได้”แม้ว่าเสียงของมหาเสนาบดีฉู่จะแน่วแน่ แต่หากตั้งใจฟังให้ดีจะได้ยินเสียงที่สั่นเทาอยู่ในนั้นองค์จักรพรรดิหยิบจี้หยกขึ้นมาและรู้สึกตกใจมากจนพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง เขาพลิกมันซ้ำแล้วซ้ำอีก และมองดูอย่างตั้งใจหลายครั้งเพื่อให้แน่ใจว่านี่คือสิ่งของในตอนนั้นสีหน้าของเขาเปลี่ยนจากตกใจเป็นเสียใจ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นสงสาร และสุดท้ายเปลี่ยนเป็นโกรธอารมณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ผสมปนเปกัน ทำให้ยากสำหรับเย่เฟยหลีที่จะบอกว่าเสด็จพ่อกำลังคิดอะไรอยู่“ที่แท้จี้หยกนี้ก็อยู่ที่เจ้าน
สายตาของทุกคนที่มองมาทำเอาฉู่เนี่ยนซีทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ เนื่องจากนางอยู่ใกล้เย่เฟยหลีมากที่สุด นางจึงพูดเพียงเสียงที่ทั้งสองคนได้ยิน “ไว้มีโอกาสข้าจะอธิบายให้ท่านฟัง”เมื่อนางเห็นคำเตือนในสายตาของมหาเสนาบดีฉู่ ฉู่เนี่ยนซีก็คุกเข่าลงในห้องโถงใหญ่ทันทีพลางพูดว่า “ในอดีตหม่อมฉันเผยใบหน้าปลอมให้คนอื่นเห็นและได้หลอกลวงเสด็จพ่อ โปรดอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”องค์จักรพรรดิตกตะลึงอยู่บนเก้าอี้มังกร เมื่อได้ยินเสียงของฉู่เนี่ยนซีเขาก็ได้สติกลับมา เขาสั่งให้ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้าขึ้น โน้มตัวไปข้างหน้าและพยายามมองไปยังทุกรายละเอียดบนใบหน้านางให้ชัดเจนยิ่งขึ้นอย่างไม่วางตามีเสียงฟ้าร้องและฟ้าผ่าดังอยู่ในใจของเขา ระหว่างที่ใจลอยนั้นเหมือนเห็นภาพทับซ้อนของสตรีนางนั้นผุดขึ้นมา พลางพึมพำอะไรบางอย่าง แต่ไม่มีใครได้ยินชัดเจน“ความผิดฐานหลอกลวงองค์จักรพรรดิต้องได้รับโทษตามกฎหมาย เสด็จพ่อ ดูนาง...”“หุบปาก”เจี่ยงจาวอวิ๋นไม่พลาดโอกาสที่จะลงโทษฉู่เนี่ยนซี แต่ถูกกลับถูกองค์จักรพรรดิสั่งให้เงียบ นางจึงมองฉู่เนี่ยนซีด้วยความโกรธ นางไม่คาดคิดว่าสตรีสารเลวผู้นี้จะรักษาตัวเองได้จริงและมีผิวพรรณที่ดีเช่นนี้ ซ
“ฉู่เนี่ยนซีไม่ใช่บุตรของเจ้า แต่เป็นบุตรของนาง?!”นอกจากจะไม่เชื่อแล้ว จักรพรรดิยังรู้สึกตกใจและมีอารมณ์หลายอย่างผสมปนเปกันองค์จักรพรรดิทรงขมวดคิ้วและพูดซ้ำในสิ่งที่มหาเสนาบดีฉู่พูด จากนั้นก็นึกถึงรูปลักษณ์ของฉู่เนี่ยนซีอย่างพิจารณา ไม่แปลกใจที่เด็กสาวคนนี้จะดูเหมือนนางมาก ทุกการเคลื่อนไหวที่ทำก่อนหน้านี้ก็ดูเหมือนจะเป็นนาง ที่แท้ก็คือบุตรสาวของนางนี่เองเขาอ้าปากอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา เขาวางศอกขวาไว้บนขาขวาเพื่อรองรับร่างกายส่วนบนทั้งหมด“พ่ะย่ะค่ะ หลังจากที่นางให้กำเนิดซีเอ๋อร์ นางก็ประสบกับภาวะเลือดไหลไม่หยุด ก่อนที่นางจะจากไป นางก็ฝากซีเอ๋อร์และจี้หยกไว้ให้กับกระหม่อม”ดวงตาของมหาเสนาบดีฉู่พร่ามัว ราวกับว่าเขากลับไปสู่วันนั้นอีกครั้ง“มารดาผู้ให้กำเนิดซีเอ๋อร์เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของกระหม่อม ตามหลักแล้วนางควรเรียกกระหม่อมว่าลุง”เขาบีบมือแน่นแต่กลับไม่รู้สึกเจ็บ ในใจนึกย้อนกลับไปถึงวันนั้นที่เขานั่งข้างเตียงพลางจับมือฉู่เคอ เขาทั้งกังวล กลัว เสียใจ และไม่กล้ายอมแพ้ แต่เพียงได้แค่เฝ้าดูชีวิตของนางค่อย ๆ จางหายไป ราวกับดอกไม้แห่งดวงตะวันที่ค่อย ๆ เหี่ยวเฉาและร่
ไม่มีใครรู้ว่ามีการพูดคุยกันเรื่องอะไรในตำหนัก ขันทีเฉินซึ่งเป็นผู้อาวุโศที่อยู่เคียงข้างองค์จักรพรรดิไม่อาจถามอะไรไม่ได้ ความรู้สึกที่ทำอะไรไม่ถูกนี้ช่างบีบหัวใจเสียจริงฉู่เนี่ยนซีกลอกตา นางค่อย ๆ จัดการความคิดของตัวเอง นอกจากนี้ นางยังเข้าใจอย่างคร่าว ๆ ว่าคงจะมีเหตุการณ์ในอดีตที่เกี่ยวข้องกับองค์จักรพรรดิ มหาเสนาบดีฉู่ และสตรีนางหนึ่งที่ดูคล้ายกับตัวนางมากแต่หากพวกเขาไม่บอกว่าเกิดอะไรขึ้น นางก็จะไม่มีวันได้รู้มหาเสนาบดีฉู่คุกเข่าลงกับพื้น เขาไม่เสียใจที่องค์จักรพรรดิทรงกริ้วมาก หากมีโอกาสแม้แต่หนึ่งในหมื่นที่ฉู่เนี่ยนซีจะเข้าไปพัวพันกับความวุ่นวายและการนองเลือด มหาเสนาบดีฉู่ก็ยินดีที่จะปกป้องนางโดยไม่มีเงื่อนไข“ในตอนนั้นที่ฝ่าบาททรงประทานจี้หยกนี้ให้กับเคอเอ๋อร์ ทรงตรัสว่ามันจะเป็นเหมือนเหรียญทองที่ใช้หลีกเลี่ยงความตาย วันนี้กระหม่อมจะใช้เหรียญทองนี้เพื่อชดเชยความเจ็บปวดในอดีตพ่ะย่ะค่ะ”หลังจากพูดจบ มหาเสนาบดีก็ก้มลงกับพื้นและไม่ลุกขึ้นยืนอยู่เป็นเวลานานองค์จักรพรรดิค่อย ๆ ทรงยิ้มเยาะ และในที่สุดเขาก็หัวเราะออกมา พลางมองจี้หยกในมือแล้วลูบลายที่แกะสลักด้วยตัวเองจี้หยกนี้
เมื่อฉู่เนี่ยนซีได้ยินคำสาบานของเย่เฟยหลี ความอบอุ่นก็เพิ่มขึ้นในหัวใจของนาง ตอนนี้นางและเขาไม่ใช่คู่รักกันจริง ๆ ด้วยซ้ำ แต่เขากลับยินดีเอาชีวิตตัวเองเป็นประกันเพียงเพื่อให้มั่นใจว่านางบริสุทธิ์“เหตุใดเจ้าถึงไม่รายงาน?! ฉู่เนี่ยนซีถูกสงสัยว่าเป็นศัตรูของแผ่นดิน แล้วเจ้าจะนั่งในตำแหน่งอ๋องได้นานแค่ไหน เจ้ารับรู้แต่ไม่รายงาน ช่างเป็นลูกชายที่แสนดีเสียจริง!”องค์จักรพรรดิในตอนนี้เป็นเหมือนเสือที่กำลังโกรธเกรี้ยว และบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอาฆาตนี้ก็ปกคลุมไปทั่วจนทำให้ทุกคนหวาดกลัว“เรื่องของฉู่เนี่ยนซียังไม่คลี่คลาย ดังนั้นนางจะต้องถูกส่งเข้าคุกเพื่อรอพิจารณาคดี”องค์จักรพรรดิมองโอรสที่มีค่าที่สุดของเขาด้วยความผิดหวังที่ยังคงฉายแววอยู่ในดวงตาของเขา “และเนื่องจากเย่เฟยหลีไม่ได้รายงานสิ่งที่รู้ จึงต้องถูกลิดรอนสิทธิ์ทั้งหมดในกองทัพ จงกลับไปสำนึกผิดที่จวน ทบทวนความผิดของตัวเองเบื้องหลังประตูที่ปิดสนิทและปล่อยให้เรื่องทั้งหมดเป็นหน้าที่ของอ๋องเหลียน”เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีมองหน้ากันและรู้ว่าองค์จักรพรรดิไม่ได้ทรงส่งเย่เฟยหลีเข้าคุกด้วยเพราะพระองค์คงยังไว้วางพระทัยในตัวเขาอยู่บ้าง ดัง
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีจึงฟาดไปที่ไหล่ของเขาหนึ่งที พลางมองดูสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย “เช่นนั้นท่านก็ถอดเสื้อออก ข้าจะดูแผลให้”เดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเห็นเย่เฟยหลีถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นตรงหน้า ฉู่เนี่ยนซีก็หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย แม้ว่าเขาจะทำอย่างองอาจ แต่ก็ยังทำให้นางอายจนต้องเบือนหน้าหนี“เสร็จแล้ว”ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาจับแผ่นหลังกว้างของเย่เฟยหลีไว้ แต่นางก็ไม่เขินอายอีกต่อไป เพราะร่องรอยบาดแผลจากการสู้รบในอดีตทำให้ใจของนางสั่นสะท้านนางค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละชั้น เมื่อแกะชั้นสุดท้าย เย่เฟยหลีก็ทนต่อความเจ็บปวดจนตัวสั่นฉู่เนี่ยนซีรีบโรยผงยาลงบนผ้าผ้าพันแผลทันที ซึ่งไม่เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดของเย่เฟยหลีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปลดผ้าพันแผลออกได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผงยานำความเย็นแพร่ไปตามบาดแผลทั่วทั้งแผ่นหลัง เย่เฟยหลีจึงคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ช้าๆฉู่เนี่ยนซีมองไปยังบาดแผลไฟไหม้ที่สภาพดูไม่ได้“นอนลงบนเตียง ข้าจะทายาให้ท่านใหม่”“ได้”เย่เฟยหลีทำตามอย่างเชื่อฟัง เขาคว่ำตัวเหยียดยาวอยู่บนเตียงฉู่เนี่ยนซีโรยผงยาอีกขวดบนแผลให้เสมอกัน ผงยานี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย
ซุนจื่อซีที่อยู่ข้าง ๆ ไทเฮา ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ท่านป้า เนื่องด้วยจื่อซีและพระชายาหลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าหากตระกูลไม่มีการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวด พวกเขาก็จะไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรีให้เติบโตมาอย่างดีเช่นนี้ได้ ฉู่กุ้ยเฟยต้องถูกใส่ร้ายแน่นอนเพคะ ได้โปรดทรงอย่าปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องรับผิดอย่างไม่เป็นธรรมเลยนะเพคะ”องค์จักรพรรดิคิดว่าเขาไม่สามารถลงโทษสนมไป๋ได้เพียงเพราะการคาดเดาของหยางเหอ แต่สนมไป๋ ล่วงเกินฉู่กุ้ยเฟยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนั่นเป็นความจริงที่แน่ชัด จึงมีรับสั่งให้สนมไป๋ถูกปรับเงินเดือนครึ่งปีและถูกกักบริเวณในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกโดยพลการองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เย่เหลียนและเย่เฟยหลีสืบเรื่องนี้ด้วยกัน หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายพ้นผ่าน งานเลี้ยงในพระราชวังก็สูญเสียบรรยากาศที่สนุกสนานไป องค์จักรพรรดิทรงกังวลว่าไทเฮาจะทรงหวาดกลัว จึงประคองไทเฮาเสด็จกลับไปยังพระตำหนักอันชิ่งเพื่อพักผ่อนทุกคนที่หมดสนุกแล้วจึงหยุดทุกอย่างและรีบพากันกลับจวนช่องว่างเล็ก ๆ ของหน้าต่างหน้าต่างสีแดงลายมังกรถูกปิดลงอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่มีใครสังเกตเผย
ฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ข้างกายฉู่กุ้ยเฟยร่วมกับหยางเหอ หลังจากจับชีพจรและตรวจดูให้แน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว ก็สั่งให้คนรับใช้นำเบาะขนห่านมาวางไว้ด้านหลังฉู่กุ้ยเฟยหยางเหอดูเหมือนจะมีอะไรจะพูด แต่นางก็ไม่กล้าพูด ทว่าเมื่อเห็นฉู่กุ้ยเฟยเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ หัวใจของนางก็เต้นรัวและสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นยืนทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่หยางเหอ นางหายใจเข้าลึก ๆ พลางมองตรงไปที่องค์จักรพรรดิ“โปรดทรงอภัยในความอวดดีของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่สามารถทนเห็นกุ้ยเฟยถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ เช่นนี้ได้ แม้จะเสี่ยงต่อการถูกบั่นหัว แต่หม่อมฉันก็ต้องพูดอะไรบางอย่างเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น?”องค์จักรพรรดิทรงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและหรี่ตามองไปยังหยางเหอที่กำลังคุกเข่าด้วยใบหน้าแห่งความยุติธรรม“สนมไป๋ที่เข้ามาใหม่ไม่มีความเคารพต่อกุ้ยเฟยเลย เมื่อใดก็ตามที่ได้พบกับกุ้ยเฟย นางมักจะใช้คำพูดที่แฝงเป็นนัยเสียดสีอยู่เสมอ ไม่ก็สาปแช่งให้กุ้ยเฟยรักษาพระโอรสไว้ไม่ได้หรือไม่ก็เสียดสีว่ากุ้ยเฟยไม่คู่ควรกับตำแหน่งสูง กุ้ยเฟยไม่ต้องการโต้เถียงกับสนมไป๋จึงลืมมันไปทุกครั้งเพคะ”“สาวใช้ต่ำช้า กล้าพูดจาว่าร้ายข้าอย่างนั้นห
เย่เฟยหลีอาศัยโอกาสนี้จับมือนาง รู้สึกดีกับการตรวจดูอย่างละเอียดของอีกฝ่ายพลางพูดเสียงอ่อน “ข้าไม่เป็นไร แค่เป็นแผลนิดหน่อย หมอหลวงจ่ายยาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว”“เจ้ามาดูสิ นี่มันคืออะไร?”เย่เฟยหลีพาฉู่เนี่ยนซีไปยังจุดที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้ พื้นถูกไฟไหม้และมีรอยดำเต็มไปหมด เก้าอี้เอียงตะแคงโดยมีขาหักไปฉู่เนี่ยนซีนั่งยอง ๆ พลางใช้นิ้วชี้ขวาสัมผัสพื้น จากนั้นยกมาที่ปลายจมูกสูดดมเบาๆ ก่อนพูดด้วยความตกใจ “มันคือดินปืน แต่ไม่ใช่ดินปืนบริสุทธิ์ มันจึงไม่ทำให้เกิดการระเบิด แค่ติดไฟเร็วเท่านั้น”“ใช่ มีคนโปรยดินปืนประเภทนี้ไว้ตั้งแต่แรก แต่ท้องฟ้ามืดจนมองไม่เห็น คนจึงคิดว่ามันดูเหมือนฝุ่นกรวดทั่วไป”เย่เฟยหลีเหยียดแขนออกไปประคองให้ฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นฉู่เนี่ยนซีขึ้นไปที่ลานถงฮวาอีกครั้งและมองไปที่เครื่องมือที่ฉู่กุ้ยเฟยใช้ในการจุดไฟ มันปนเปื้อนด้วยเศษสะเก็ดไฟบางส่วน แม้จะเผาไหม้ได้ แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานและเปลวไฟก็ไม่ลุกลามมากเท่ากับดินปืนโดยทั่วไปนางยืนอยู่บนลานพลางมองไปที่เย่เฟยหลี ดวงตาของนางก็ค่อย ๆ ดูน่ากลัวมากขึ้น น้ำเสียงของนางก็เยือกเย็นลงตามลมหนาว“รู้หรือไม่ว่าใครมาที่นี่บ้างก่อ
เหล่าขันทีและนางกำนัลที่รีบรุดมาพร้อมกับอ่างน้ำเย็น นำมาราดลงบนเปลวไฟที่อยู่บริเวณรอบ ๆ องค์จักรพรรดิและเย่เฟยหลี ทำให้เกิดเสียงน้ำสาดกระเซ็นเย่เฟยหลีไม่รู้สึกถึงความรู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง เขาจึงประคององค์จักรพรรดิลุกขึ้นยืนไทเฮาถูกนางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงประคองมา ทว่าพระนางยังไม่หายตกใจ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นคิ้วคมเข้มของเย่เฟยหลีที่ขมวดเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด จึงทอดพระเนตรมองไปยังแผ่นหลังของเขา พบว่าอาภรณ์สีดำของเขาถูกไฟไหม้เป็นวงกว้าง และร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาถูกเปลวเพลิงเผาจนเป็นสีแดงเข้ม เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นไปอีก“ฝ่าบาท” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ รีบคุกเข่าคำนับด้วยความตื่นตระหนกเย่เหลียนตะโกนทันที “ฉู่กุ้ยเฟย นี่ท่านคิดลอบปลงพระชนม์หรือ? ท่านจงใจล่อลวงทุกคนมาที่นี่เพื่อวางแผนลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อหรือ เอาคนมา จับฉู่กุ้ยเฟยไว้!”“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำ! หม่อมฉันไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด! ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยเพคะ!”เมื่อเห็นเหล่าราชองครักษ์ในชุดเกราะเข้ามาใกล้ ฉู่กุ้ยเฟยก็ตะโกนทูลต่อองค์จักรพรรดิด้วยความตื่นกลัว“โอหัง!
ทุกคนเดินไปที่ลานถงฮวาและเห็นว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ด้านล่าง อีกทั้งยังมีน้ำชากับผลไม้ที่จัดอย่างประณีตวางไว้ด้วยบนเวทีมีเสาไม้ห้าต้นสูงประมาณหกศอก ติดตั้งล้อมรอบมุมทั้งสี่และด้านบนตรงกลาง เสาไม้ทั้งหมดนั้นถูกพันด้วยเชือกหากมองลงมาจากหลังคาตำหนักที่อยู่ใกล้ ๆ จะรู้สึกว่าเชือกนั้นเปรียบเสมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมเสาไม้ไว้แม้องค์จักรพรรดิจะทรงสับสน แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไรมากนัก เพียงแค่ทรงยิ้มมุมปากแล้วตรัสกับไทเฮา “ดูเหมือนว่าฉู่กุ้ยเฟยจะมีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอ เสด็จแม่ทรงนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขันทีและนางกำนัลมาช่วยบรรดาผู้เป็นนายหาที่นั่งเพื่อไม่ให้ทุกคนพากันสับสนวุ่นวายนางกำนัลผู้น้อยจัดให้เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีนั่งด้วยกันที่ฝั่งหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะได้นั่งลง ก็เห็นหลานชุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ เย่หลิงเอ๋อร์เดินมาเชิญฉู่เนี่ยนซีไปพูดคุยหลานชุ่ยมาเชิญนางด้วยตนเอง คงจะไม่มีเรื่องหลอกลวง ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลีอย่างสบายใจ หลังจากทำความเคารพองค์จักรพรรดิและไทเฮา นางก็ตามหลานชุ่ยไปทันใดนั้น ลานถงฮวาก็สว่างขึ้นมาก ทุกคนเงยหน้าเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบห
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ด้วยกันต่อไปเถอะ ช่วงนี้เราเข้ากันได้ดี นางอ่อนโยน มีน้ำใจและใฝ่เรียนใฝ่รู้ ข้าชอบนางมาก ดีที่มีนางอยู่ที่จวนแห่งนี้ ข้าจึงคลายความเบื่อลงไปได้บ้าง”สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูดนั้นเป็นความจริง ตอนแรกนางสงสัยในเจตนาของซุนจื่อซีที่ช่วยนางจากการตกน้ำ แต่ตอนที่นางตกจากรถม้า ซุนจื่อซีกลับไม่ห่วงตนเองและเอาตัวมารองรับนางไว้ ช่างเป็นสตรีที่จิตใจงามอย่างแท้จริงทันใดนั้น ท้องฟ้าก็สว่างไสวไปด้วยดอกไม้ไฟ ส่องแสงไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับแสงสว่างของรุ่งอรุณส่องขึ้นมาจากความมืดมิดประกายแสงนั้นส่องสว่างราวกับหมู่ดาวที่โอบล้อมภูเขาและแม่น้ำอันกว้างใหญ่ที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก รวมไปถึงป่าอันงดงามและที่ราบอันไร้ขอบเขต ทำให้ความขุ่นข้องในใจของคนสองคนจางลง และคนทั้งคู่ก็ยังได้มองดูความยิ่งใหญ่ที่พร่างพราวนี้ไปด้วยกันณ พระตำหนักเจาฮุย ซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอย่างงดงามดุจนางสวรรค์ หลังจากการแสดงสิ้นสุดลง ผู้คนในโถงยังคงตกอยู่ในภวังค์องค์จักรพรรดิทรงปรบมือใหญ่แล้วหันไปหาไทเฮาพร้อมรอยยิ้ม “ทักษะการร่ายรำของจื่อซีดีขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่านางจะฝึกฝนอย่างหนักและลำบากไม่น้อย เป็นเสด็จแม่
ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ จนแทบมองเห็นแสงสว่าง เช่นนี้เขาเห็นดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่สุดที่ว่านั่นจากที่ใดกัน?“ท่านอ๋องชื่นชมดวงจันทร์ได้อย่างไรหรือ?”ฉู่เนี่ยนซีมองดูแสงสีเหลืองจาง ๆ ที่ขอบฟ้านั้น อย่างกับมันถูกขัดถูจนไร้ซึ่งความแวววาวเย่เฟยหลีทัดผมฉู่เนี่ยนซีไว้ข้างหลังใบหูของนาง พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เพราะดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่ว่านี้ไม่ใช่ดวงจันทร์ดวงนั้น”ฉู่เนี่ยนซีหันมาสบตาที่เป็นประกายของเย่เฟยหลี มือที่ค้างเติ่งในตอนแรกเลื่อนมาตรงแก้มของนาง เย่เฟยหลีรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านมายังฝ่ามือ เขาคลี่ยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังเขินอาย“ข้าได้ยินจากน้องเจ็ดว่าเจ้าคิดว่าซุนจื่อซีกับข้าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากหรือ?”เย่เฟยหลีดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน หางตาของเขาเห็นท่าทางหงุดหงิดของฉู่เนี่ยนซีพลางคิดว่าช่างน่าสนุกฉู่เนี่ยนซีแอบด่าทอเย่ฉงเฉิงในใจว่าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ นางพูดความในใจออกไปเพียงนิดเดียวเขาก็นำไปบอกเจ้าตัวในพริบตาเสียอย่างนั้น“ก็คิดบ้าง เป็นบางครั้ง”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาและพยายามอย่างมากเพื่อรักษาท่าทางสงบนิ่งอย่างเคย นางไม่สามารถปฏิเส
เย่เฟยหลีเหลือบมองอีกฝ่าย “เจ้าว่าเจ้ารู้จักข้าดีที่สุดไม่ใช่หรือ?”“แต่พี่สะใภ้สามไม่รู้จักท่านดีเท่าข้า หากมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็ควรรีบแก้ไขเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยท่านไม่ได้”เมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากพระตำหนักเจาฮุย เขาก็รู้ได้ทันทีว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว เย่เฟยหลีจึงให้เย่ฉงเฉิง เรียกฉู่เนี่ยนซีมาที่นี่เพราะเขามีเรื่องจะพูดกับนางเย่ฉงเฉิงรับคำสั่งแล้วจากไป ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องจัดงาน เขาก็เห็นซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอยู่อย่างอ่อนช้อย นางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงราวกับดอกเหมยที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ท่ามกลางหิมะขาว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเขาหันไปด้านข้างและกระซิบกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม พี่สามกำลังรอท่านอยู่ไม่ไกลจากทางเหนือของ พระตำหนักเจาฮุย ท่านรีบไปเถิด”ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่ฉงเฉิงอย่างสงสัยและบอกให้เสี่ยวเถารออยู่ที่นี่ หากใครถามหาก็บอกว่านางออกไปเดินรับลมข้างนอกให้สร่างเมาในห้องจัดงาน ซุนจื่อซีออกท่วงท่าราวกับต้นหลิวที่กำลังแผ่กิ่งก้านสาขาอย่างเพลินใจ ชายแขนเสื้อในมือของนางกระพือเบา ๆ แขนเรียวยาวใต้เสื้อคดเคี้ยวราวกับดอกบ๊วยแดงที่ล่องลอยในอากาศแต่ไม่ว่านางจะพย