“หม่อมฉันไม่รู้ว่าพวกเขาสองคนพูดอะไรกันเพคะ หม่อมฉันดื่มสุรากับพระชายาเหลียนอยู่ตลอดเพคะ” ฮองเฮาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วหัวเราะเบา ๆ ฉู่กุ้ยเฟยเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยทันที นางพูดพลางยิ้ม “เหตุใดฮองเฮาถึงไม่ไปถามเหลียนเอ๋อร์โดยตรงเลยล่ะเพคะ เนี่ยนซีกับจาวอวิ๋นต่างก็เป็นเด็กดี พวกนางจะเข้าไปแทรกแซงในกงการของเหล่าองค์ชายได้เช่นไร?” ฮองเฮายังคงสงบ รอยยิ้มที่แสดงถึงอำนาจอย่างไม่ห่างหายไป “กุ้ยเฟยพูดถูก แต่กงการของเย่เหลียนและเย่เฟยหลีนั้นต่างกัน เกรงว่าคงไม่มีอะไรปรึกษาพูดคุยกันได้”ฉู่กุ้ยเฟยไม่สนใจนางอีกต่อไป และเหลือบมององค์จักรพรรดิ เมื่อนางเห็นเขาพยักหน้าให้ เธอก็ยื่นมือไปทางฉู่เนี่ยนซี พูดพรางอมยิ้ม “เร็วเข้า มาให้ข้างเจ้าถนัดๆ หน่อย เร็ว”ฉู่เนี่ยนซีหวนนึกถึงความทรงจําในใจ ความรักที่ท่านป้าคู่นี้มีต่อตัวนาง เกือบจะเรียกได้ว่าไข่ในหินเลยก็ว่าได้ ท่านป้าของนางผู้นี้ตามใจไม่มีขัด คนที่ไม่รู้อาจจะคิดว่าฉู่กุ้ยเฟยเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของนางฉู่เนี่ยนซีไม่ได้คิดอะไรมาก เดินไปอย่างเชื่อฟัง ยอมให้กุ้ยเฟยลากนางไปคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ชายาคนอื่น ๆ ที่อยู่ข้าง ๆ ต่างก็นั่งอยู่ข้างจักรพ
มือข้างนั้นไม่รู้ว่าเป็นเพราะถูกแสงจันทร์สาดส่องหรือไม่ แม้ว่าจะเป็นมือที่จับคันธนูและใช้ยิงธนู แต่มันก็เรียวได้รูป แม้แต่ข้อต่อระหว่างนิ้วก็ยังงดงามมากฉู่เนี่ยนซีชื่นชมอย่างใจกว้างอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็จับมือคนบนหลังม้า แล้วพลิกขึ้นตัวม้าไปนั่งข้างหลังเขาอีกทีเย่เฟยหลีหันข้าง ก่อนพูดเบา ๆ ราวกับจงใจให้นางได้ยิน “เจ้าไม่ต้องคิดมาก หน้าเจ้าก็คือหน้าข้า หากพรุ่งนี้มีข่าวเลยออกไปว่าพระชายาหลีและสาวใช้ของนางใช้เวลาทั้งคืนเดินกลับจวน เจ้าจะให้ข้าเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?”ทันทีที่พูดจบ เขาก็เริ่มควบม้าไปบนถนนที่ไร้ผู้คนเดิมทีฉู่เนี่ยนซีไม่ได้อยากจะกอดเอวเย่เฟยหลี แต่ถูกกระแทกอย่างกะทันหันนั้นโดยไม่ทันได้คาดคิด ทำให้นางได้แต่ต้องกัดฟันออกแขนเข้าที่รอบเอวของเขาสายลมเย็นย่ำในยามค่ำคืนพัดผ่านหู ให้ความรู้สึกดีเป็นที่สุดฉู่เนี่ยนซีสูบลมหายใจเข้าเต็มปอด แม้ว่านางจะขี่ม้าไม่เป็น แต่นางก็ก็คิดว่านางอาจจะตกหลุมรักความรู้สึกของการขี่ม้าและควบม้าได้ในอนาคตสิ่งที่นางไม่ได้เห็นก็คือ ทันทีที่นางโอบแขนรอบเอวเขา เย่เฟยหลีนึกอยากจะปัดป้องมือของนางออก แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด เมื่อมือของนางหยุดเคลื่อนไหว
เมื่อมอบหมายคำสั่งเสร็จ ฉู่เนี่ยนซีก็ปิดหน้าต่าง ปล่อยให้อวี๋เป่ยยืนงุนงงอยู่ที่เดิม เขาใช้เวลาอยู่นานกว่าจะกลับมามีสติได้ และรีบไปแจ้งข่าวกับอวี๋ตง เมื่อครบเวลาหนึ่งก้านธูปแล้ว ฉู่เนี่ยนซีในอาภรณ์บุรุษ มีผ้าโปร่งสีขาวคลุมไว้ถึงคอ ที่เอวยังมีดาบยาวยาไม่เอ่ยปากพูดนางดูคล้ายอัศวินลึกลับที่ถูกกล่าวขวัญถึงในหนังสือเป็นอย่างมาก “พระชายา ถึงแล้วพะยะค่ะ”อวี๋เป่ยพาฉู่เนี่ยนซีมาหยุดอยู่นอกประตูสถานเริงรมย์แห่งหนึ่ง นางเหลือบมองเข้าไปข้างในจึงเห็นว่ามีการร้องเล่นเต้นรำกันอยู่ ยังไม่ทันรอเข้าไปก็ได้กลิ่นหอมรัญจวนเข้มข้นแล้ว จะเอ่ยปากเย้าแหย่ “อวี๋เป่ย ที่เจ้าชอบบอกว่าเจ้าไปโรงพนัน ที่แท้ก็เป็นหอนางโลมนี่เอง”อวี๋เป่ยละล่ำละลักอธิบายว่า “ไม่ใช่นะพะยะค่ะ ทางเข้าโรงพนันใต้ดินเหล่านี้มักจะเลือกสถานที่แบบนี้ เพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตา ตามมาเถิดขอรับ”ฉู่เนี่ยนซีเม้มริมฝีปากแล้วยิ้ม หมู่นี้อารมณ์ของนางค่อนข้างสงบและผ่อนคลาย บางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะขำองครักษ์เหล่านี้โดยปกติ เห็นจะมีเพียงอวี๋ซีที่เย็นชาพอ ๆ กับเย่เฟยหลี ส่วนอีกสามคนที่เหลือยังสนุกไปกับเรื่องตลกของนางอยู่บ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในที่สุด นักพนันที่อยู่ข้าง ๆ โต๊ะเหล่านั้นก็คล้อยตามฉู่เนี่ยนซี นางเดิมพันอะไร คนที่อยู่ข้าง ๆ ก็วางเดิมพันเช่นนั้น ล้วนเดิมพันกันไปในทางเดียวทั้งหมดเมื่อก่อนตอนติดตามหาเสนาบดี เขาไม่เคยรู้เลยว่าพระชายาพรุ่งนี้จะเล่นการพนัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฝีมือด้านธนูและการแพทย์เลย...คราวนี้ดีแล้ว ต่อไปพระชาชาจะทําอะไรเขาก็คงไม่แปลกใจกับสิ่งที่นางทำแล้ว“ไม่ได้เข้าโต๊ะพนันมานานแล้ว เลยรู้สึกคิดถึงนิดหน่อย” ฉู่เนี่ยนซีสรุปประโยคนี้อย่างกระชับขมับของอวี๋เป่ยกระตุก และในที่สุดเขาก็อดไม่ได้ที่จะโน้มตัวเข้าไปใกล้หูของฉู่เนี่ยนซี และกระซิบว่า “พระชายา เราโอ้อวดเกินไปหรือเปล่าพะ?”ฉู่เนี่ยนซีนับเงินพลางตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “สถานที่แบบนี้ ไม่มีใครรู้จักเรา แล้วเราจะโอ้อวดอะไรได้?”อวี๋เป่ยนับภูเขาเงินและธนบัตรกองอยู่ตรงหน้านาง และคิดว่านางจะต้องแลกทั้งหมดให้เป็นธนบัตรในภายหลังขณะที่เขาจมอยู่กับความคิด ความเงียบของสถานที่ก็ถูกทำลายลงด้วยความวุ่นวายที่ใกล้เข้ามาฉู่เนี่ยนซีมองออกไป ลมหายใจของนางติดขัดอยู่ครู่หนึ่งทุกคนเงยหน้าขึ้นและเห็นเพียงคนเฝ้าคาสิโนไม่กี่คนซึ่งกำลังสวมหน้ากากหัวหมาป่า ด่าทอแล
ลูกน้องของเขาและอันธพาลที่ถูกจ้างมามองหน้ากันและรีบวิ่งที่เกิดเหตุ แต่ประกายสีเงินดันแวบขึ้นมาต่อหน้าทุกคนเสียก่อน ทุกคนก็ยอมจำนนไปแล้ว ดาบทลายลมของอวี๋เป่ยไม่ทันได้ออกจากฝักก็แก้ปัญหาได้อย่างง่ายดายเจ้าของโรงพนันจ้องมองชายสองคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างตะลึง ไม่เพียงแต่เจ้าของโรงพนันเท่านั้น แต่ผู้คนที่มองอยู่รอบ ๆ อย่างตื่นเต้นก็พากันเงียบไปชั่วขณะทุกคนไม่รู้ว่าจะปรบมือให้กับความอาจหาญของทั้งสอง หรือจะรอให้นายท่านผู้นี้จัดการกับคนหุนหันพลันแล่นเหล่านี้ต่อไปฉู่เนี่ยนซียิ้มอย่างเย็นชาและพูดกับชายพุงพลุ้ยว่า “ถ้าเธอเข้ามายุ่งแล้ว และทีนี้ท่านจะทำเช่นไรหรือ?”ทำเช่นไร?สามคํานี้ถือเป็นคําพูดที่หยิ่งผยองที่สุดในโรงพนันของคืนนี้แล้วชายพุงพลุ้ยตบโต๊ะและด่าทอว่า “ได้ ได้สิ ก็ขี้โกงนี่จะไม่ถูกลงโทษก็ได้ โลกมีเรื่องเช่นนี้ด้วย ทุกท่าน ถ้ามีคนโกงที่โต๊ะพนันของท่าน ข้าขอถามพวกท่านทุกคนว่า พวกท่านจะทําเช่นไรรึ?”ต้องยอมรับเลยว่าชายพุงพลุ้ยผู้นี้สามารถปลุกปั่นบรรยากาศได้จริง ๆ ทันใดนั้นก็มีคนตะโกนมาว่า “ตัดมือเจ้าเด็กนี่ทิ้งเสีย!”“ใช่ ตัดมือเลย!”“เขากล้าโกง ต้องตีให้ตาย!”...ฉู่เนี่ยน
แรงนั้นแข็งแกร่งมาก แทบจะหักกระดูกของเขาได้เลยด้วยความเจ็บปวด เขามองดูบุคคลนั้นด้วยความกลัว เพียงเพื่อพบว่าชายชุดดำที่เพิ่งเอาชนะคนกลุ่มหนึ่งได้อย่างง่ายดายด้วยฝักดาบ ไม่รู้เลยว่ามายืนอยู่ข้างตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่!อวี๋เป่ยเพิ่มความกดดันด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ปล่อยให้ชายพุงพลุ้ยร้องไห้และกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด คว้าไพ่หลายใบออกมาจากมือและกระเป๋าตรงแขนเสื้อ โยนมันลงบนโต๊ะ!เขาต่างหาก คนที่ขี้โกง!ทุกคนอ้าปากค้าง ทุกสายตาหันไปมองชายชุดขาวที่ถูกทุบตีก่อนหน้านี้ ชายคนนั้นเพียงก้มหัว ดูน่าสงสารมากฉู่เนี่ยนซีจับโต๊ะแล้วยืนขึ้น ถามอย่างใจเย็นว่า “ตามข้อตกลงของโรงพนันหุยหุน ควรจะทำเช่นไรกับคนขี้โกงหรือ?”บางคนในฝูงชนอัดอั้นอยู่ครึ่งวันและตะโกนว่า “ตามข้อตกลงแล้ว ต้องตัดมือชายคนนี้ข้างหนึ่ง!”“ใช่! ผิดคําพูดไม่ได้ ชายคนนี้ก็บอกแบบนี้เอง”“ต้องขอบคุณน้องชายที่มาช่วยเหลือ และทำให้เราเห็นธาตุแท้ของตาเฒ่าคนนี้!”……ท่ามกลางเสียงพูดคุยของผู้คน ฉู่เนี่ยนซีต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะเข้าใจส่วนสำคัญของสถานการณ์ที่แท้ชายพุงพลุ้ยเจ้าปัญหาผู้นี้ก็เป็นอันธพาลเลื่องชื่อในตงเฉิงนี่เองเขามักรังแกบุร
ทันใดนั้นสีหน้าของเซวียหนานคงก็เปลี่ยนไปอย่างมาก เขาอึ้งอยู่นานแล้วมองไปทางฉู่เนี่ยนซี “เจ้ารู้จักเจ้าของสถานที่แห่งนี้เช่นนั้นหรือ?” มีบางคนชะโงกหน้าแอบมองเพื่อฟังว่าพวกเขากำลังพูดอะไรกัน ทว่ามีลูกค้าประจำบางคนกลับแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินด้วยความหัวไว แล้วดึงพวกลูกค้าใหม่ออกไป ทั้งส่ายหน้าอย่างมีความนัยที่แปลว่า ไม่ควรจะต้องดูหรือฟังเรื่องที่มิถูกมิควรฉู่เนี่ยนซีส่ายหน้า สังเกตการเคลื่อนไหวโดยรอบด้วยสายตาอันเฉียบแหลม “เจ้านายของพวกเจ้าคือใคร? เขาเรียกให้ข้าไป ข้าก็ต้องไปเช่นนั้นหรือ?” “นายท่านเป็นเจ้าของโรงพนันหุยหุน” คนสวมหัววัวมิได้ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย พอพูดถึงตรงนี้ ทันใดนั้นเขาก็ประชิดตัวเข้าใกล้ฉู่เนี่ยนซีทันทีแล้วพูดต่อโดยใช้น้ำเสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคนว่า “เจ้านายของพวกเราขอเชิญแม่นางมาพูดคุยด้วยความจริงใจ หากแม่นางรู้สึกว่าไม่เหมาะสม แม่นางสามารถเป็นผู้กำหนดสถานที่นัดพบได้นะขอรับ” หูของอวี๋เป่ยกระดิกและมองไปทางคนผู้นั้นด้วยความตกใจ เครื่องแต่งกายบุรุษของฉู่เนี่ยนซีวันนี้ไม่มีข้อบกพร่องเลยสักนิด พวกเขารู้ได้อย่างไร? หัวใจของฉู่เนี่ยนซีก็หยุดชะงักไปชั่วขณะด้วยเช่นก
“วิธีการเล่นนี้ค่อนข้างใหม่ เริ่มได้ ” ได้ยินดังนั้นแล้ว บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ เจ้าของโรงพนันก็เดินออกไป เมื่อเดินกลับเข้ามาอีกครั้งก็มาพร้อมกลุ่มนักดนตรีและนักเต้นรำผู้ที่ถือลูกเต๋านั่งอยู่ตรงกลาง มีโต๊ะอยู่ด้านหน้า นักดนตรีสามสี่คนนั่งล้อมอยู่รอบ ๆ ทันใดนั้นมือของผู้ที่ถือลูกเต๋าก็ขยับเล็กน้อยและเสียงดนตรีก็ดังขึ้น เสียงของผีผา กู่ฉิน ขลุ่ยเซียวและคงโหว…ดังประสานกัน ไพเราะเพราะพริ้งทั้งยังกลบเสียงลูกเต๋าอีกด้วย ฉู่เนี่ยนซีถูกทำให้เสียสมาธิเป็นอย่างมาก ในตอนที่นางต้องการมองดูการเคลื่อนไหวของคนผู้นี้อย่างระมัดระวัง นักเต้นรำกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาร่ายรำบดบังสายตาของนาง สิ่งนี้ทำให้นางอดอารมณ์เสียเล็กน้อยไม่ได้ แต่นางก็สงบนิ่งลงได้อย่างรวดเร็ว นางมิเคยพบเจอกับสถานการณ์อะไรที่น่ากลัวเช่นนี้มาก่อนในชาติที่แล้ว นางจะต้องพิชิตปัญหานี้ไปให้ได้ คิดเช่นนี้แล้ว นางค่อย ๆ หลับตาลงแล้วใช้นิ้วเคาะลงบนหน้าโต๊ะเป็นจังหวะ สิ่งกีดขวางที่ถูกสร้างขึ้นแทบจะจางหายไป กลายเป็นเกราะป้องกันเสียงเครื่องดนตรีพื้นบ้านเหล่านั้น ยังป้องกันเสียงฝีเท้าและเสียงกระดิ่งที่มาจากนักเต้นรำสาวไว้ด้านนอก จกา
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีจึงฟาดไปที่ไหล่ของเขาหนึ่งที พลางมองดูสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย “เช่นนั้นท่านก็ถอดเสื้อออก ข้าจะดูแผลให้”เดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเห็นเย่เฟยหลีถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นตรงหน้า ฉู่เนี่ยนซีก็หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย แม้ว่าเขาจะทำอย่างองอาจ แต่ก็ยังทำให้นางอายจนต้องเบือนหน้าหนี“เสร็จแล้ว”ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาจับแผ่นหลังกว้างของเย่เฟยหลีไว้ แต่นางก็ไม่เขินอายอีกต่อไป เพราะร่องรอยบาดแผลจากการสู้รบในอดีตทำให้ใจของนางสั่นสะท้านนางค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละชั้น เมื่อแกะชั้นสุดท้าย เย่เฟยหลีก็ทนต่อความเจ็บปวดจนตัวสั่นฉู่เนี่ยนซีรีบโรยผงยาลงบนผ้าผ้าพันแผลทันที ซึ่งไม่เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดของเย่เฟยหลีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปลดผ้าพันแผลออกได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผงยานำความเย็นแพร่ไปตามบาดแผลทั่วทั้งแผ่นหลัง เย่เฟยหลีจึงคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ช้าๆฉู่เนี่ยนซีมองไปยังบาดแผลไฟไหม้ที่สภาพดูไม่ได้“นอนลงบนเตียง ข้าจะทายาให้ท่านใหม่”“ได้”เย่เฟยหลีทำตามอย่างเชื่อฟัง เขาคว่ำตัวเหยียดยาวอยู่บนเตียงฉู่เนี่ยนซีโรยผงยาอีกขวดบนแผลให้เสมอกัน ผงยานี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย
ซุนจื่อซีที่อยู่ข้าง ๆ ไทเฮา ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ท่านป้า เนื่องด้วยจื่อซีและพระชายาหลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าหากตระกูลไม่มีการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวด พวกเขาก็จะไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรีให้เติบโตมาอย่างดีเช่นนี้ได้ ฉู่กุ้ยเฟยต้องถูกใส่ร้ายแน่นอนเพคะ ได้โปรดทรงอย่าปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องรับผิดอย่างไม่เป็นธรรมเลยนะเพคะ”องค์จักรพรรดิคิดว่าเขาไม่สามารถลงโทษสนมไป๋ได้เพียงเพราะการคาดเดาของหยางเหอ แต่สนมไป๋ ล่วงเกินฉู่กุ้ยเฟยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนั่นเป็นความจริงที่แน่ชัด จึงมีรับสั่งให้สนมไป๋ถูกปรับเงินเดือนครึ่งปีและถูกกักบริเวณในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกโดยพลการองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เย่เหลียนและเย่เฟยหลีสืบเรื่องนี้ด้วยกัน หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายพ้นผ่าน งานเลี้ยงในพระราชวังก็สูญเสียบรรยากาศที่สนุกสนานไป องค์จักรพรรดิทรงกังวลว่าไทเฮาจะทรงหวาดกลัว จึงประคองไทเฮาเสด็จกลับไปยังพระตำหนักอันชิ่งเพื่อพักผ่อนทุกคนที่หมดสนุกแล้วจึงหยุดทุกอย่างและรีบพากันกลับจวนช่องว่างเล็ก ๆ ของหน้าต่างหน้าต่างสีแดงลายมังกรถูกปิดลงอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่มีใครสังเกตเผย
ฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ข้างกายฉู่กุ้ยเฟยร่วมกับหยางเหอ หลังจากจับชีพจรและตรวจดูให้แน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว ก็สั่งให้คนรับใช้นำเบาะขนห่านมาวางไว้ด้านหลังฉู่กุ้ยเฟยหยางเหอดูเหมือนจะมีอะไรจะพูด แต่นางก็ไม่กล้าพูด ทว่าเมื่อเห็นฉู่กุ้ยเฟยเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ หัวใจของนางก็เต้นรัวและสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นยืนทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่หยางเหอ นางหายใจเข้าลึก ๆ พลางมองตรงไปที่องค์จักรพรรดิ“โปรดทรงอภัยในความอวดดีของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่สามารถทนเห็นกุ้ยเฟยถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ เช่นนี้ได้ แม้จะเสี่ยงต่อการถูกบั่นหัว แต่หม่อมฉันก็ต้องพูดอะไรบางอย่างเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น?”องค์จักรพรรดิทรงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและหรี่ตามองไปยังหยางเหอที่กำลังคุกเข่าด้วยใบหน้าแห่งความยุติธรรม“สนมไป๋ที่เข้ามาใหม่ไม่มีความเคารพต่อกุ้ยเฟยเลย เมื่อใดก็ตามที่ได้พบกับกุ้ยเฟย นางมักจะใช้คำพูดที่แฝงเป็นนัยเสียดสีอยู่เสมอ ไม่ก็สาปแช่งให้กุ้ยเฟยรักษาพระโอรสไว้ไม่ได้หรือไม่ก็เสียดสีว่ากุ้ยเฟยไม่คู่ควรกับตำแหน่งสูง กุ้ยเฟยไม่ต้องการโต้เถียงกับสนมไป๋จึงลืมมันไปทุกครั้งเพคะ”“สาวใช้ต่ำช้า กล้าพูดจาว่าร้ายข้าอย่างนั้นห
เย่เฟยหลีอาศัยโอกาสนี้จับมือนาง รู้สึกดีกับการตรวจดูอย่างละเอียดของอีกฝ่ายพลางพูดเสียงอ่อน “ข้าไม่เป็นไร แค่เป็นแผลนิดหน่อย หมอหลวงจ่ายยาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว”“เจ้ามาดูสิ นี่มันคืออะไร?”เย่เฟยหลีพาฉู่เนี่ยนซีไปยังจุดที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้ พื้นถูกไฟไหม้และมีรอยดำเต็มไปหมด เก้าอี้เอียงตะแคงโดยมีขาหักไปฉู่เนี่ยนซีนั่งยอง ๆ พลางใช้นิ้วชี้ขวาสัมผัสพื้น จากนั้นยกมาที่ปลายจมูกสูดดมเบาๆ ก่อนพูดด้วยความตกใจ “มันคือดินปืน แต่ไม่ใช่ดินปืนบริสุทธิ์ มันจึงไม่ทำให้เกิดการระเบิด แค่ติดไฟเร็วเท่านั้น”“ใช่ มีคนโปรยดินปืนประเภทนี้ไว้ตั้งแต่แรก แต่ท้องฟ้ามืดจนมองไม่เห็น คนจึงคิดว่ามันดูเหมือนฝุ่นกรวดทั่วไป”เย่เฟยหลีเหยียดแขนออกไปประคองให้ฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นฉู่เนี่ยนซีขึ้นไปที่ลานถงฮวาอีกครั้งและมองไปที่เครื่องมือที่ฉู่กุ้ยเฟยใช้ในการจุดไฟ มันปนเปื้อนด้วยเศษสะเก็ดไฟบางส่วน แม้จะเผาไหม้ได้ แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานและเปลวไฟก็ไม่ลุกลามมากเท่ากับดินปืนโดยทั่วไปนางยืนอยู่บนลานพลางมองไปที่เย่เฟยหลี ดวงตาของนางก็ค่อย ๆ ดูน่ากลัวมากขึ้น น้ำเสียงของนางก็เยือกเย็นลงตามลมหนาว“รู้หรือไม่ว่าใครมาที่นี่บ้างก่อ
เหล่าขันทีและนางกำนัลที่รีบรุดมาพร้อมกับอ่างน้ำเย็น นำมาราดลงบนเปลวไฟที่อยู่บริเวณรอบ ๆ องค์จักรพรรดิและเย่เฟยหลี ทำให้เกิดเสียงน้ำสาดกระเซ็นเย่เฟยหลีไม่รู้สึกถึงความรู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง เขาจึงประคององค์จักรพรรดิลุกขึ้นยืนไทเฮาถูกนางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงประคองมา ทว่าพระนางยังไม่หายตกใจ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นคิ้วคมเข้มของเย่เฟยหลีที่ขมวดเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด จึงทอดพระเนตรมองไปยังแผ่นหลังของเขา พบว่าอาภรณ์สีดำของเขาถูกไฟไหม้เป็นวงกว้าง และร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาถูกเปลวเพลิงเผาจนเป็นสีแดงเข้ม เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นไปอีก“ฝ่าบาท” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ รีบคุกเข่าคำนับด้วยความตื่นตระหนกเย่เหลียนตะโกนทันที “ฉู่กุ้ยเฟย นี่ท่านคิดลอบปลงพระชนม์หรือ? ท่านจงใจล่อลวงทุกคนมาที่นี่เพื่อวางแผนลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อหรือ เอาคนมา จับฉู่กุ้ยเฟยไว้!”“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำ! หม่อมฉันไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด! ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยเพคะ!”เมื่อเห็นเหล่าราชองครักษ์ในชุดเกราะเข้ามาใกล้ ฉู่กุ้ยเฟยก็ตะโกนทูลต่อองค์จักรพรรดิด้วยความตื่นกลัว“โอหัง!
ทุกคนเดินไปที่ลานถงฮวาและเห็นว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ด้านล่าง อีกทั้งยังมีน้ำชากับผลไม้ที่จัดอย่างประณีตวางไว้ด้วยบนเวทีมีเสาไม้ห้าต้นสูงประมาณหกศอก ติดตั้งล้อมรอบมุมทั้งสี่และด้านบนตรงกลาง เสาไม้ทั้งหมดนั้นถูกพันด้วยเชือกหากมองลงมาจากหลังคาตำหนักที่อยู่ใกล้ ๆ จะรู้สึกว่าเชือกนั้นเปรียบเสมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมเสาไม้ไว้แม้องค์จักรพรรดิจะทรงสับสน แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไรมากนัก เพียงแค่ทรงยิ้มมุมปากแล้วตรัสกับไทเฮา “ดูเหมือนว่าฉู่กุ้ยเฟยจะมีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอ เสด็จแม่ทรงนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขันทีและนางกำนัลมาช่วยบรรดาผู้เป็นนายหาที่นั่งเพื่อไม่ให้ทุกคนพากันสับสนวุ่นวายนางกำนัลผู้น้อยจัดให้เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีนั่งด้วยกันที่ฝั่งหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะได้นั่งลง ก็เห็นหลานชุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ เย่หลิงเอ๋อร์เดินมาเชิญฉู่เนี่ยนซีไปพูดคุยหลานชุ่ยมาเชิญนางด้วยตนเอง คงจะไม่มีเรื่องหลอกลวง ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลีอย่างสบายใจ หลังจากทำความเคารพองค์จักรพรรดิและไทเฮา นางก็ตามหลานชุ่ยไปทันใดนั้น ลานถงฮวาก็สว่างขึ้นมาก ทุกคนเงยหน้าเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบห
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ด้วยกันต่อไปเถอะ ช่วงนี้เราเข้ากันได้ดี นางอ่อนโยน มีน้ำใจและใฝ่เรียนใฝ่รู้ ข้าชอบนางมาก ดีที่มีนางอยู่ที่จวนแห่งนี้ ข้าจึงคลายความเบื่อลงไปได้บ้าง”สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูดนั้นเป็นความจริง ตอนแรกนางสงสัยในเจตนาของซุนจื่อซีที่ช่วยนางจากการตกน้ำ แต่ตอนที่นางตกจากรถม้า ซุนจื่อซีกลับไม่ห่วงตนเองและเอาตัวมารองรับนางไว้ ช่างเป็นสตรีที่จิตใจงามอย่างแท้จริงทันใดนั้น ท้องฟ้าก็สว่างไสวไปด้วยดอกไม้ไฟ ส่องแสงไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับแสงสว่างของรุ่งอรุณส่องขึ้นมาจากความมืดมิดประกายแสงนั้นส่องสว่างราวกับหมู่ดาวที่โอบล้อมภูเขาและแม่น้ำอันกว้างใหญ่ที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก รวมไปถึงป่าอันงดงามและที่ราบอันไร้ขอบเขต ทำให้ความขุ่นข้องในใจของคนสองคนจางลง และคนทั้งคู่ก็ยังได้มองดูความยิ่งใหญ่ที่พร่างพราวนี้ไปด้วยกันณ พระตำหนักเจาฮุย ซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอย่างงดงามดุจนางสวรรค์ หลังจากการแสดงสิ้นสุดลง ผู้คนในโถงยังคงตกอยู่ในภวังค์องค์จักรพรรดิทรงปรบมือใหญ่แล้วหันไปหาไทเฮาพร้อมรอยยิ้ม “ทักษะการร่ายรำของจื่อซีดีขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่านางจะฝึกฝนอย่างหนักและลำบากไม่น้อย เป็นเสด็จแม่
ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ จนแทบมองเห็นแสงสว่าง เช่นนี้เขาเห็นดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่สุดที่ว่านั่นจากที่ใดกัน?“ท่านอ๋องชื่นชมดวงจันทร์ได้อย่างไรหรือ?”ฉู่เนี่ยนซีมองดูแสงสีเหลืองจาง ๆ ที่ขอบฟ้านั้น อย่างกับมันถูกขัดถูจนไร้ซึ่งความแวววาวเย่เฟยหลีทัดผมฉู่เนี่ยนซีไว้ข้างหลังใบหูของนาง พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เพราะดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่ว่านี้ไม่ใช่ดวงจันทร์ดวงนั้น”ฉู่เนี่ยนซีหันมาสบตาที่เป็นประกายของเย่เฟยหลี มือที่ค้างเติ่งในตอนแรกเลื่อนมาตรงแก้มของนาง เย่เฟยหลีรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านมายังฝ่ามือ เขาคลี่ยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังเขินอาย“ข้าได้ยินจากน้องเจ็ดว่าเจ้าคิดว่าซุนจื่อซีกับข้าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากหรือ?”เย่เฟยหลีดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน หางตาของเขาเห็นท่าทางหงุดหงิดของฉู่เนี่ยนซีพลางคิดว่าช่างน่าสนุกฉู่เนี่ยนซีแอบด่าทอเย่ฉงเฉิงในใจว่าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ นางพูดความในใจออกไปเพียงนิดเดียวเขาก็นำไปบอกเจ้าตัวในพริบตาเสียอย่างนั้น“ก็คิดบ้าง เป็นบางครั้ง”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาและพยายามอย่างมากเพื่อรักษาท่าทางสงบนิ่งอย่างเคย นางไม่สามารถปฏิเส
เย่เฟยหลีเหลือบมองอีกฝ่าย “เจ้าว่าเจ้ารู้จักข้าดีที่สุดไม่ใช่หรือ?”“แต่พี่สะใภ้สามไม่รู้จักท่านดีเท่าข้า หากมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็ควรรีบแก้ไขเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยท่านไม่ได้”เมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากพระตำหนักเจาฮุย เขาก็รู้ได้ทันทีว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว เย่เฟยหลีจึงให้เย่ฉงเฉิง เรียกฉู่เนี่ยนซีมาที่นี่เพราะเขามีเรื่องจะพูดกับนางเย่ฉงเฉิงรับคำสั่งแล้วจากไป ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องจัดงาน เขาก็เห็นซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอยู่อย่างอ่อนช้อย นางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงราวกับดอกเหมยที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ท่ามกลางหิมะขาว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเขาหันไปด้านข้างและกระซิบกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม พี่สามกำลังรอท่านอยู่ไม่ไกลจากทางเหนือของ พระตำหนักเจาฮุย ท่านรีบไปเถิด”ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่ฉงเฉิงอย่างสงสัยและบอกให้เสี่ยวเถารออยู่ที่นี่ หากใครถามหาก็บอกว่านางออกไปเดินรับลมข้างนอกให้สร่างเมาในห้องจัดงาน ซุนจื่อซีออกท่วงท่าราวกับต้นหลิวที่กำลังแผ่กิ่งก้านสาขาอย่างเพลินใจ ชายแขนเสื้อในมือของนางกระพือเบา ๆ แขนเรียวยาวใต้เสื้อคดเคี้ยวราวกับดอกบ๊วยแดงที่ล่องลอยในอากาศแต่ไม่ว่านางจะพย