เจี๋ยงจาวอวิ๋นถูกแรงกดดัน และน้ำเสียงของนางทำเอาแตกตื่นยิ่งกว่าเดิม กระทั่งดวงตาก็อดไม่ได้ที่จะมีหยาดน้ำตาขึ้นโดยไม่ทันรู้ตัวเมื่อเห็นเย่เหลียนเดินมา ทันใดนั้นก็เหมือนกับเห็นที่พึ่งสุดท้าย “ท่านอ๋อง ข้ายังไม่ได้ตบนาง้ลยนะเพคะ! ไม่สิ...ข้าหมายความว่า ข้าไม่ได้ตบโดนนางจริง ๆ!”เย่เหลียนที่เป็นคนเย็นชาเสมอต้นเสมอปลาย แต่ก็ไม่ได้เย็นชาเหมือนอย่างเย่เฟยหลี ภายในตัวของเขามีความเคร่งขรึมมากกว่า แต่กลับให้ความรู้สึกกดันที่น้อยกว่าเย่เฟยหลีเมื่อพบว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังกอบกุมใบหน้า และยืนข้างเย่เฟยหลิงอย่างว่านอนสอนง่าย นางไม่เพียงแต่จะไม่พูดแก้ต่างอะไร แต่กลับยังหันไปยิ้มให้เย่เฟยหลีอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว“น้องสามก็ช่างหาโอกาสที่จะออกหน้าต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทเสียจริง แม้แต่สตรีที่ตบแต่งด้วยก็ยังเป็นที่สะดุดตาถึงเพียงนี้”ฉู่เนี่ยนซีขมวดคิ้วชนกันเล็กน้อยจากท่าทีของอ๋องเหลียน เขาทำราวกับใจกว้าง และไม่คิดจะมีข้อพิพาทด้วย แต่กลับชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่เอาชนะทุกสิ่งเมื่อนึกถึงเย่เหลียนผู้นี้ที่ตั้งแต่เล็กจนโตก็เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท ย่อมไม่มีทางที่จะเป็นเพียงปลาในบ่ออย่างแน่นอน ฉู่เนี่ยนซีลอบ
ฉู่เนี่ยนซีจ้องมองกริยาท่าทางของทั้งสอง แม้ว่านางจะไม่มีทักษะด้านการต่อสู้เหมือนเย่เฟยหลี แต่ประสาทสัมผัสด้านการได้ยินของนางนับว่ายอดเยี่ยมมาก ยิ่งตั้งแต่ที่นางได้ทำการรักษาพี่ใหญ่และเย่เฟยหลีอย่างต่อเนื่อง ประสาทสัมผัสของนางก็เหนือกว่าคนทั่วไปแล้ว ดังนั้นนางจึงได้ยินการสนทนาระหว่างทั้งสองชัดเจน คำพูดประโยคนั้นทำให้นางตกใจเล็กน้อย หรือเขารู้แล้วว่าคนที่ลอบสังหารเขาคือเย่เหลียน หรือไม่เป็นเพียงการลองใจเท่านั้น แต่ด้วยความเป็นปรปักษ์และความเกลียดชังที่ท่านอ๋องเหลียนผู้นี้มีต่อเย่เฟยหลี เกรงว่าเรื่องนี้จะเป็นฝีมือเขาจริงๆเย่เหลียนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มกว้างขึ้น “น้องสามพูดเรื่องอะไร? ข้าไม่เข้าใจ”เย่เฟยหลีเห็นเขาทำเป็นไม่ได้ยิน ก็ไม่ได้โกรธ เพียงแต่ถอยหลังไปสองก้าว แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบว่า “ข้ากำลังพูดเรื่องอะไร พี่รองรู้ดีแก่ใจก็พอแล้ว”เย่เหลียนยักไหล่แล้วยกจะออกสุราขึ้นเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าน้องสามไม่เต็มใจจะให้เกียรติข้าฐานะพี่ชายใช่หรือไม่?” ความแข็งกร้าวดังกล่าว ทำเอาคนรอบข้างถึงกับอ้าปากค้าง ผู้คนที่ไม่ชอบเย่เฟยหลีอยู่แล้วต่างพากันเฝ้ามองสถานการณ์ และหวังว
ทันใดนั้นเอง ขันทีหนุ่มคนหนึ่งก้าวไปข้างหน้า ทำความเคารพแขกเหรื่อ แล้วเอ่ยว่า “ยินดียิ่งที่ได้พบทุกท่าน องค์จักรพรรดิและฉู่กุ้ยเฟยเรียกพระชายาหลีไปสอบถามขอรับ”ฉู่เนี่ยนซีสะดุ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นสีหน้าก็ผ่อนคลายลงทันที “รบกวนใต้เท้าเป็นธุระแล้ว”ในที่สุดเหตุบันเทิงนี้ก็จบลงด้วยการที่ฉู่เนี่ยนซีถูกเรียกตัวไปเมื่อทุกคนเห็นว่าไม่มีเรื่องน่าตื่นเต้นใด ๆ ก็หันกลับไปดื่มอวยพรต่อบนเวทีสูง มีจักรพรรดิและฮ่องเฮานั่งอยู่บนบัลลังก์ ส่วนฉู่กุ้ยเฟยนั่งอยู่ในตําแหน่งด้านล่างฉู่เนี่ยนซีเดินขึ้นบันไดตามขันทีไป รู้สึกว่าทุกย่างก้าวมีแต่จะหายใจหายคอได้ลำบากขึ้นนางก้มศีรษะลงเดินช้า ๆ ไปที่เวทีสูง และคุกเข่าลงเพื่อทําความเคารพแม้ว่าฉู่กุ้ยเฟยจะมีอายุสามสิบแล้ว แต่ก็ได้รับการบำรุงร่างกายอย่างดี รอยยิ้มบนใบหน้าของนางสดใสขึ้นเมื่อเห็นฉู่เนี่ยนซีปรากฏตัวจักรพรรดิอยู่ห่างออกไปเพียงเล็กน้อย ฉู่เนี่ยนซีจึงไม่กล้ามอง ได้แต่คำนับอย่างเรียบร้อยและรอให้อีกฝ่ายเอ่ยถามเมื่อจักรพรรดิเย่จงเป็นจักรพรรดิผู้เปี่ยมความสามารถ แต่ไม่ว่าเขาจะเป็นคนมีคุณธรรมหรือความสามารถเพียงใด ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากคลื่นใต้น้ำที่
“หม่อมฉันไม่รู้ว่าพวกเขาสองคนพูดอะไรกันเพคะ หม่อมฉันดื่มสุรากับพระชายาเหลียนอยู่ตลอดเพคะ” ฮองเฮาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วหัวเราะเบา ๆ ฉู่กุ้ยเฟยเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยทันที นางพูดพลางยิ้ม “เหตุใดฮองเฮาถึงไม่ไปถามเหลียนเอ๋อร์โดยตรงเลยล่ะเพคะ เนี่ยนซีกับจาวอวิ๋นต่างก็เป็นเด็กดี พวกนางจะเข้าไปแทรกแซงในกงการของเหล่าองค์ชายได้เช่นไร?” ฮองเฮายังคงสงบ รอยยิ้มที่แสดงถึงอำนาจอย่างไม่ห่างหายไป “กุ้ยเฟยพูดถูก แต่กงการของเย่เหลียนและเย่เฟยหลีนั้นต่างกัน เกรงว่าคงไม่มีอะไรปรึกษาพูดคุยกันได้”ฉู่กุ้ยเฟยไม่สนใจนางอีกต่อไป และเหลือบมององค์จักรพรรดิ เมื่อนางเห็นเขาพยักหน้าให้ เธอก็ยื่นมือไปทางฉู่เนี่ยนซี พูดพรางอมยิ้ม “เร็วเข้า มาให้ข้างเจ้าถนัดๆ หน่อย เร็ว”ฉู่เนี่ยนซีหวนนึกถึงความทรงจําในใจ ความรักที่ท่านป้าคู่นี้มีต่อตัวนาง เกือบจะเรียกได้ว่าไข่ในหินเลยก็ว่าได้ ท่านป้าของนางผู้นี้ตามใจไม่มีขัด คนที่ไม่รู้อาจจะคิดว่าฉู่กุ้ยเฟยเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของนางฉู่เนี่ยนซีไม่ได้คิดอะไรมาก เดินไปอย่างเชื่อฟัง ยอมให้กุ้ยเฟยลากนางไปคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ชายาคนอื่น ๆ ที่อยู่ข้าง ๆ ต่างก็นั่งอยู่ข้างจักรพ
มือข้างนั้นไม่รู้ว่าเป็นเพราะถูกแสงจันทร์สาดส่องหรือไม่ แม้ว่าจะเป็นมือที่จับคันธนูและใช้ยิงธนู แต่มันก็เรียวได้รูป แม้แต่ข้อต่อระหว่างนิ้วก็ยังงดงามมากฉู่เนี่ยนซีชื่นชมอย่างใจกว้างอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็จับมือคนบนหลังม้า แล้วพลิกขึ้นตัวม้าไปนั่งข้างหลังเขาอีกทีเย่เฟยหลีหันข้าง ก่อนพูดเบา ๆ ราวกับจงใจให้นางได้ยิน “เจ้าไม่ต้องคิดมาก หน้าเจ้าก็คือหน้าข้า หากพรุ่งนี้มีข่าวเลยออกไปว่าพระชายาหลีและสาวใช้ของนางใช้เวลาทั้งคืนเดินกลับจวน เจ้าจะให้ข้าเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?”ทันทีที่พูดจบ เขาก็เริ่มควบม้าไปบนถนนที่ไร้ผู้คนเดิมทีฉู่เนี่ยนซีไม่ได้อยากจะกอดเอวเย่เฟยหลี แต่ถูกกระแทกอย่างกะทันหันนั้นโดยไม่ทันได้คาดคิด ทำให้นางได้แต่ต้องกัดฟันออกแขนเข้าที่รอบเอวของเขาสายลมเย็นย่ำในยามค่ำคืนพัดผ่านหู ให้ความรู้สึกดีเป็นที่สุดฉู่เนี่ยนซีสูบลมหายใจเข้าเต็มปอด แม้ว่านางจะขี่ม้าไม่เป็น แต่นางก็ก็คิดว่านางอาจจะตกหลุมรักความรู้สึกของการขี่ม้าและควบม้าได้ในอนาคตสิ่งที่นางไม่ได้เห็นก็คือ ทันทีที่นางโอบแขนรอบเอวเขา เย่เฟยหลีนึกอยากจะปัดป้องมือของนางออก แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด เมื่อมือของนางหยุดเคลื่อนไหว
เมื่อมอบหมายคำสั่งเสร็จ ฉู่เนี่ยนซีก็ปิดหน้าต่าง ปล่อยให้อวี๋เป่ยยืนงุนงงอยู่ที่เดิม เขาใช้เวลาอยู่นานกว่าจะกลับมามีสติได้ และรีบไปแจ้งข่าวกับอวี๋ตง เมื่อครบเวลาหนึ่งก้านธูปแล้ว ฉู่เนี่ยนซีในอาภรณ์บุรุษ มีผ้าโปร่งสีขาวคลุมไว้ถึงคอ ที่เอวยังมีดาบยาวยาไม่เอ่ยปากพูดนางดูคล้ายอัศวินลึกลับที่ถูกกล่าวขวัญถึงในหนังสือเป็นอย่างมาก “พระชายา ถึงแล้วพะยะค่ะ”อวี๋เป่ยพาฉู่เนี่ยนซีมาหยุดอยู่นอกประตูสถานเริงรมย์แห่งหนึ่ง นางเหลือบมองเข้าไปข้างในจึงเห็นว่ามีการร้องเล่นเต้นรำกันอยู่ ยังไม่ทันรอเข้าไปก็ได้กลิ่นหอมรัญจวนเข้มข้นแล้ว จะเอ่ยปากเย้าแหย่ “อวี๋เป่ย ที่เจ้าชอบบอกว่าเจ้าไปโรงพนัน ที่แท้ก็เป็นหอนางโลมนี่เอง”อวี๋เป่ยละล่ำละลักอธิบายว่า “ไม่ใช่นะพะยะค่ะ ทางเข้าโรงพนันใต้ดินเหล่านี้มักจะเลือกสถานที่แบบนี้ เพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตา ตามมาเถิดขอรับ”ฉู่เนี่ยนซีเม้มริมฝีปากแล้วยิ้ม หมู่นี้อารมณ์ของนางค่อนข้างสงบและผ่อนคลาย บางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะขำองครักษ์เหล่านี้โดยปกติ เห็นจะมีเพียงอวี๋ซีที่เย็นชาพอ ๆ กับเย่เฟยหลี ส่วนอีกสามคนที่เหลือยังสนุกไปกับเรื่องตลกของนางอยู่บ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในที่สุด นักพนันที่อยู่ข้าง ๆ โต๊ะเหล่านั้นก็คล้อยตามฉู่เนี่ยนซี นางเดิมพันอะไร คนที่อยู่ข้าง ๆ ก็วางเดิมพันเช่นนั้น ล้วนเดิมพันกันไปในทางเดียวทั้งหมดเมื่อก่อนตอนติดตามหาเสนาบดี เขาไม่เคยรู้เลยว่าพระชายาพรุ่งนี้จะเล่นการพนัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฝีมือด้านธนูและการแพทย์เลย...คราวนี้ดีแล้ว ต่อไปพระชาชาจะทําอะไรเขาก็คงไม่แปลกใจกับสิ่งที่นางทำแล้ว“ไม่ได้เข้าโต๊ะพนันมานานแล้ว เลยรู้สึกคิดถึงนิดหน่อย” ฉู่เนี่ยนซีสรุปประโยคนี้อย่างกระชับขมับของอวี๋เป่ยกระตุก และในที่สุดเขาก็อดไม่ได้ที่จะโน้มตัวเข้าไปใกล้หูของฉู่เนี่ยนซี และกระซิบว่า “พระชายา เราโอ้อวดเกินไปหรือเปล่าพะ?”ฉู่เนี่ยนซีนับเงินพลางตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “สถานที่แบบนี้ ไม่มีใครรู้จักเรา แล้วเราจะโอ้อวดอะไรได้?”อวี๋เป่ยนับภูเขาเงินและธนบัตรกองอยู่ตรงหน้านาง และคิดว่านางจะต้องแลกทั้งหมดให้เป็นธนบัตรในภายหลังขณะที่เขาจมอยู่กับความคิด ความเงียบของสถานที่ก็ถูกทำลายลงด้วยความวุ่นวายที่ใกล้เข้ามาฉู่เนี่ยนซีมองออกไป ลมหายใจของนางติดขัดอยู่ครู่หนึ่งทุกคนเงยหน้าขึ้นและเห็นเพียงคนเฝ้าคาสิโนไม่กี่คนซึ่งกำลังสวมหน้ากากหัวหมาป่า ด่าทอแล
ลูกน้องของเขาและอันธพาลที่ถูกจ้างมามองหน้ากันและรีบวิ่งที่เกิดเหตุ แต่ประกายสีเงินดันแวบขึ้นมาต่อหน้าทุกคนเสียก่อน ทุกคนก็ยอมจำนนไปแล้ว ดาบทลายลมของอวี๋เป่ยไม่ทันได้ออกจากฝักก็แก้ปัญหาได้อย่างง่ายดายเจ้าของโรงพนันจ้องมองชายสองคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างตะลึง ไม่เพียงแต่เจ้าของโรงพนันเท่านั้น แต่ผู้คนที่มองอยู่รอบ ๆ อย่างตื่นเต้นก็พากันเงียบไปชั่วขณะทุกคนไม่รู้ว่าจะปรบมือให้กับความอาจหาญของทั้งสอง หรือจะรอให้นายท่านผู้นี้จัดการกับคนหุนหันพลันแล่นเหล่านี้ต่อไปฉู่เนี่ยนซียิ้มอย่างเย็นชาและพูดกับชายพุงพลุ้ยว่า “ถ้าเธอเข้ามายุ่งแล้ว และทีนี้ท่านจะทำเช่นไรหรือ?”ทำเช่นไร?สามคํานี้ถือเป็นคําพูดที่หยิ่งผยองที่สุดในโรงพนันของคืนนี้แล้วชายพุงพลุ้ยตบโต๊ะและด่าทอว่า “ได้ ได้สิ ก็ขี้โกงนี่จะไม่ถูกลงโทษก็ได้ โลกมีเรื่องเช่นนี้ด้วย ทุกท่าน ถ้ามีคนโกงที่โต๊ะพนันของท่าน ข้าขอถามพวกท่านทุกคนว่า พวกท่านจะทําเช่นไรรึ?”ต้องยอมรับเลยว่าชายพุงพลุ้ยผู้นี้สามารถปลุกปั่นบรรยากาศได้จริง ๆ ทันใดนั้นก็มีคนตะโกนมาว่า “ตัดมือเจ้าเด็กนี่ทิ้งเสีย!”“ใช่ ตัดมือเลย!”“เขากล้าโกง ต้องตีให้ตาย!”...ฉู่เนี่ยน