เย่เฟยหลีควบม้าไปตลอดทางและไม่นานก็มาถึงพระราชวัง ทันทีที่เขาเข้าไปในพระราชวัง เย่เฟยหลีก็ส่งต่อม้าให้กับองครักษ์และตรงไปยังห้องทรงงานขององค์จักรพรรดิทันที องค์จักรพรรดิที่กำลังตรวจฎีกาอยู่ ณ เวลานี้ เมื่อเห็นว่าขันทีมาทูลแจ้ง ก็อดแปลกใจไม่ได้ “ให้เขาเข้ามา!” หลังจากได้รับอนุญาตจากองค์จักรพรรดิแล้ว เย่เฟยหลี่ก็เดินเข้ามา เมื่อเขามองไปรอบ ๆ ก็ไม่เจอคนที่เขาต้องการเห็น ดวงตาของจึงเกิดความสงสัยขึ้นมา หรือว่านางจะไม่ได้เข้าวัง? เย่เฟยหลีเก็บอารมณ์ที่อยู่ภายในใจพลางก้าวไปข้างหน้าและทำความเคารพ “ลูกขอถวายบังคมเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ!” “ลุกขึ้นเถอะ!” องค์จักรพรรดิโบกมือและวางเอกสารในมือลง “วันนี้พวกเจ้าสองสามีภรรยาเป็นอะไรไปกัน ปกติเห็นอยากจะอยู่ห่างจากพระราชวังนัก แต่วันนี้เจ้ากลับขยันเสียนี่” “ซีเอ๋อร์ก็เข้าวังมาด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ?” “เจ้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อตามหาเด็กน้อยคนนั้นรึ?” องค์จักรพรรดิเลิกคิ้ว เย่เฟยหลีผู้ซึ่งไม่เคยสะท้กสะท้านต่อสิ่งใด บัดนี้กลับรู้สึกเขินอายเล็กน้อย “ไม่ทราบว่า...นางมาทำอะไรที่นี่หรือพ่ะย่ะค่ะ?” เย่เฟยหลีรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย องค์จักรพรรดิดูเหมือ
“เรียนพระชายา องค์จักรพรรดิทรงได้ยินว่าพระชายายังไม่ได้รับอาหารเช้า จึงรับสั่งให้คนนำอาหารมาให้เพคะ!” นางกำนัลพูดและโค้งคำนับให้ฉู่เนี่ยนซี “เชิญพระชายาเสวย หม่อมฉันจะกลับมาเก็บภายหลัง” พูดจบ นางกำนัลก็ขอตัวออกไป ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองอาหารบนโต๊ะแล้วเลิกคิ้ว มีแต่อาหารที่นางชอบ... ‘หรือว่าวันนี้ในวังจะทำอาหารพวกนี้พอดี? ช่างโชคดีเสียจริง’ กลิ่นของอาหารยังโชยเข้าจมูกอย่างต่อเนื่อง ทำให้ฉู่เนี่ยนซีรู้สึกหิวยิ่งขึ้น นางวางตำราในมือลง หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วเริ่มรับประทานอาหาร ถึงกระนั้น ใบหน้าของนางก็ยังคงมีความสง่างามอยู่ เมื่อฉู่เนี่ยนซีทานอาหารจนพอใจแล้ว พลันก็มีเสียงคนด่าทออย่างรุนแรงดังมาจากทางบันได “เจ้ากล้าทานข้าวในหอตำราหลวงได้อย่างไร! ใครหน้าไหนมันทำให้เจ้ากล้าทำตัวสามหาวได้เช่นนี้?!” ฉู่เนี่ยนซีเห็นสตรีรูปงามในชุดสีชมพูตามด้วยสาวใช้สองคนที่กำลังเดินมาหานาง พลางมองนางด้วยความโกรธ “ข้าก็นึกว่าใคร เป็นเจ้านี่เอง พูดก็พูดเถอะ เหตุใดคนไร้ความสามารถที่จู่ ๆ ก็โด่งดัง ถึงได้มาซุ่มอ่านตำราที่หอตำราในวังตั้งแต่เช้า ที่แท้เจ้าก็ทำเพื่อตบตาคนอื่น สุดท้ายก็คงจะเป็นเพราะพี่สา
เมื่อฮว่านเอ๋อร์และเสียนเอ๋อร์สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดจากเข็มที่ทิ่มลงบนร่างกายของตัวเอง ก็คิดจะตอบโต้ แต่ทันใดนั้นพวกนางก็รู้สึกว่าร่างกายไม่มีแรงจนล้มลงกับพื้น และมองฉู่เนี่ยนซีด้วยความตกตะตึง “หากจะเอาชนะข้าผู้นี้ก็คงยากหน่อยนะ!” ฉู่เนี่ยนซียิ้มมุมปาก แต่ดวงตาของนางกลับเต็มไปด้วยความเย็นชา เข็มเงินที่นางใช้ในวันนี้ได้ถูกแช่พิษเอาไว้ ต่างจากยากล่อมประสาทก่อนหน้านี้ นี่คือพิษชนิดใหม่ที่นางศึกษาค้นคว้าเอาไว้ เมื่อถูกพิษนี้เข้าจะส่งผลต่อสติสัมปชัญญะ เพียงแต่ร่างกายอ่อนแอและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เท่านั้น แม้ว่านางจะใช้วิธีนี้ได้ด้วยการโจมตีเข้าที่จุดฝังเข็ม แต่ถึงกระนั้นก็จะต้องโจมตีให้โดนจุดฝังเข็มด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว และเมื่อพิษได้สัมผัสเข้ากับจุดเหล่านั้น ก็จะได้ผลลัพธ์ตามต้องการ! เย่เซวียนเล่อตกใจเมื่อเห็นทั้งสองคนทรุดตัวลงกับพื้น ทำให้จู่ ๆ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป “ไยเจ้าสองคนถึงลงไปนั่งกับพื้นเช่นนั้น รีบไปจัดการนางเร็วเข้าสิ!” “องค์หญิง พวกบ่าวถูกวางยาพิษเพคะ!” สีหน้าของฮว่านเอ๋อร์นิ่งเฉย สีหน้าไม่อยากเชื่อที่ปรากฏเมื่อครู่นี้ก็กลับมาไร้อารมณ์อีกครั้ง นั่น
ฉู่เนี่ยนซีมองเย่เซวียนเล่อราวกับว่ากำลังดูตัวตลก พลางยิ้มเยาะขึ้น “ฉีกเป็นชิ้น ๆ ? หม่อมฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าองค์หญิงห้าไปเอาความกล้าและความมั่นใจมาจากไหน?! หรือเพียงเพราะว่าท่านเป็นองค์หญิงที่เกิดจากฮองเฮางั้นรึ?” “แน่อยู่แล้ว ข้าที่เป็นองค์หญิงนั้นมีฐานะสูงส่งมากกว่าคนอัปลักษณ์เช่นเจ้ามากนัก!” เย่เซวียนเล่อทำท่าทางหยิ่งผยองพลางมองฉู่เนี่ยนซีด้วยความรังเกียจ และพูดต่อ “มารดาของข้าคือฮองเฮา เป็นผู้สูงส่งที่สุดในใต้หล้า ขณะที่มารดาของเจ้าเป็นเพียงสตรีที่แม้แต่ชื่อก็ไม่มีใครรู้จัก อีกทั้งบิดาของข้าก็เป็นถึงองค์จักรพรรดิ และบิดาของเจ้าก็เป็นเพียงแค่เสนาบดีต๊อกต๋อยที่เป็นสุนัขรับใช้ข้างกายเสด็จพ่อของข้า!” “การที่มารดาของเจ้าให้กำเนิดบุตรสาวที่อัปลักษณ์และไร้ความสามารถเช่นนี้ออกมาได้ นางก็คงจะเป็นคนที่ไร้ความสามารถและต่ำต้อยด้วยเช่นกัน!” ยิ่งเวลาผ่านไปเย่เซวียนเล่อก็ยิ่งพูดยั่วยุมากขึ้น ขณะที่พูด นางก็แสดงความเย่อหยิ่งเจือความรังเกียจไปด้วย โดยไม่ทันสังเกตเห็นความโกรธเกรี้ยวที่ปะทุอยู่ในดวงตาคมปลาบของฉู่เนี่ยนซีซึ่งกำลังจะระเบิดออกมา “ดังนั้น ข้าขอแนะนำให้เจ้าคุกเข่าต่อหน้าข้าและตบ
เหล่าองครักษ์เหลือบมองฉู่เนี่ยนซีและมองหน้ากัน ช่วงนี้ชื่อเสียงของพระชายาหลีกำลังแพร่หลาย และความคิดของผู้คนในวังที่มีต่อนางก็เปลี่ยนไปมาก ในโลกนี้ คนที่มีความรู้ด้านการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมย่อมได้รับความเคารพจากทุกคน นอกจากนี้ องค์หญิงห้า เย่เซวียนเล่อผู้นี้เดิมทีเป็นคนหยิ่งผยองและบ้าอำนาจ เหล่าขันทีและองครักษ์ต่างก็รู้เรื่องนี้ดี แต่ในเมื่อเป็นคนของนาง ด้วยสถานะของพวกเขาแล้ว พวกเขาก็ทำได้เพียงต้องทำตามคำสั่งของนางและลงมือเท่านั้น หากแต่ตอนนี้คนที่นางต้องการจับกุมคือพระชายาหลี! หากลงมือไปพวกเขาก็คงโง่แล้ว เย่เซวียนเล่อเห็นทุกคนทำเหมือนไม่ได้ยินที่ตัวเองพูดก็โกรธ “พวกเจ้าหูหนวกกันรึ? ข้าสั่งให้จับนางสารเลวนั่น!” “นางสารเลว...” ริมฝีปากของฉู่เนี่ยนซีเผยอเล็กน้อย พูดคำว่า ‘นางสารเลว’ โดยพูดสองพยางค์แรกด้วยเสียงเบาและเน้นเสียงที่พยางค์สุดท้าย ทำให้ผู้คนหวาดกลัวไปตาม ๆ กัน จากนั้น นางก็เคลื่อนไหวไปอยู่ตรงหน้าเย่เซวียนเล่อราวกับสายลม เสียงดัง ‘เพียะ! เพียะ!’ ทำเอาทุกคนเบิกตากว้างด้วยความเหลือเชื่อ “กรี๊ด! นะ...นางคนอัปลักษณ์ กล้าดียังไงมาตบข้า?!” เสียง “เพียะ!!!” ดังขึ้นอีกเสี
ไม่นาน ฉู่เนี่ยนซีก็มาถึงห้องทรงงานขององค์จักรพรรดิ ณ เวลานี้ ในห้องทรงงาน องค์จักรพรรดิกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ พลางลูบจี้หยกในมือของตัวเองอย่างครุ่นคิด ในขณะที่ใบหน้าอันสวยงามของเย่เซวียนเล่อนั้นบวมแดง แต่ดูเหมือนว่าจะได้รับยาแล้ว นางกำลังน้ำตานองหน้านั่งซบอยู่ข้าง ๆ ฮองเฮา สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีคาดไม่ถึงคือเย่เฟยหลีก็อยู่ที่นี่ด้วย และตอนนี้เขาก็นั่งอยู่ข้าง ๆ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเยือกเย็น ขณะที่กำลังดื่มชาอย่างนิ่งเฉย เมื่อเห็นฉู่เนี่ยนซีเข้ามา ความหนาวเย็นในดวงตาของเขาก็ลดลงเล็กน้อยพลางมองมาที่นาง เมื่อฉู่เนี่ยนซีคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ในใจก็รู้สึกขมขื่นอย่างบอกไม่ถูก นางจึงเบือนหน้าหนีอย่างรวดเร็วและเดินต่อไป “ถวายบังคมเสด็จพ่อเสด็จแม่เพคะ” องค์จักรพรรดิเคยรับปากว่าต่อไปนางไม่ต้องคุกเข่าอีก ดังนั้นฉู่เนี่ยนซีจึงทำเพียงโค้งตัวทำความเคารพ เมื่อเย่เซวียนเล่อเห็นฉู่เนี่ยนซี ดวงตาที่โศกเศร้าของนางก็มีความไม่พอใจเข้ามาแทนที่ในทันที อีกทั้งรีบตะโกนออกมา “ฉู่เนี่ยนซี สามหาวนัก! ทำความเคารพเสด็จพ่อเสด็จแม่แต่กลับไม่คุกเข่ารึ!” ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เซวียนเล่อพลางพู
องค์จักรพรรดิมองฉู่เนี่ยนซีด้วยดวงตาที่เฉียบคมราวกับนกอินทรี ใบหน้าของเขาไร้อารมณ์ ไม่โกรธ แต่ทรงพลัง หากเป็นคนธรรมดา คงหายใจไม่ออกเสียจนต้องก้มศีรษะตัวสั่นไปแล้ว แต่ฉู่เนี่ยนซีกลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น ใบหน้าของเขาแม้จะดูดุดันก็ก็ยังคงดูสงบ ริมฝีปากของเขาเผยอออกเล็กน้อยและพูดเนิบ ๆ “การทำร้ายองค์หญิงห้าถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง แต่นั่นเป็นเพียงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ส่วนสาเหตุนั้นก็เป็นสิ่งที่ซีเอ๋อร์กำลังจะขอให้เสด็จพ่อเป็นผู้ตัดสินเพคะ” ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองใบหน้าที่จริงจังขององค์จักรพรรดิและพูดต่อ “ในหอตำราหลวงนั้น องค์หญิงห้าทรงดูถูกบิดามารดาของซีเอ๋อร์โดยพลการก่อน อีกทั้งยังสั่งให้คนของนางจัดการซีเอ๋อร์ ซึ่งเป็นการทำลายศักดิ์ศรีของหม่อมฉันอย่างร้ายแรง ดังนั้น ซีเอ๋อร์จึงร้องขอให้ทรงตัดสินใหม่ด้วยเถอะเพคะ!” หลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีพูดจบ นางก็โค้งตัวอย่างนอบน้อม ด้วยท่าทางที่จริงใจอย่างคนที่ไม่ได้ทำผิดอะไร องค์จักรพรรดิทรงขมวดคิ้วและมองไปที่เย่เซวียนเล่อ “มีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นหรือ?” “ลูก…” เย่เซวียนเล่ออ้ำอึ้ง เมื่อฮองเฮาที่อยู่ด้านข้าง เห็นสีหน้าของพระธิดาของตัวเอง ก็รู้
“ฉู่เนี่ยนซี! ฉู่เนี่ยนซีต้องเป็นคนฆ่านางแน่ ๆ!” เย่เซวียนเล่อชี้ไปที่ฉู่เนี่ยนซีพลางตะโกน ฉู่เนี่ยนซีคิ้วขมวดด้วยความโกรธ ในดวงตาอาฆาตกระหายเลือด ‘ฆ่าคนเพื่อจะลงโทษนางเนี่ยนะ พวกเขาทำกันได้อย่างไร!’ ‘ชั่วร้ายเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นมนุษย์แล้ว!’ เมื่อเห็นท่าทีของนาง เย่เซวียนเล่อก็รู้สึกเจ็บบริเวณคอเล็กน้อย และหายใจไม่ออกขึ้นมาอีกครั้ง นางจึงขยับเข้าไปใกล้ฮองเฮามากขึ้น ฮองเฮาตบมือของนางเพื่อปลอบโยน และมองฉู่เนี่ยนซีด้วยสายตาอำมหิต “เหตุใดพระชายาหลีจึงมีสีหน้าเช่นนั้น? แม้เล่อเอ๋อร์จะพูดตรงไปสักหน่อย แต่ข้อสงสัยนั่นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล เจ้าเพิ่งขอให้องค์จักรพรรดิรับสั่งให้ซูเซียงมาเข้าเฝ้า แต่ซูเซียงก็กลับถูกพบว่าเสียชีวิตในทะเลสาบไปเสียแล้ว คงจะตั้งใจไว้ล่ะสิ” “หากซีเอ๋อร์เป็นคนทำ จำเป็นที่จะต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่เพื่อที่จะเรียกคนมาหรือพ่ะย่ะค่ะ? กระหม่อมคิดว่าคนมีสมองคงไม่พูดอะไรเช่นนั้นออกมา!” ดวงตาสีเข้มราวกับสระน้ำอันมืดมิดของเย่เฟยหลีปรายตามองฮองเฮา ทำเอาฮองเฮาถึงกับพูดไม่ออก ดวงตาขององค์จักรพรรดิขรึมขึ้น เขาจ้องมองไปที่ทุกคน และในที่สุดก็มองไปยังขันทีผู้น้อยที่กำ