บรรยากาศตึงเครียดอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะลงมือ อวี๋หนานก็ก้าวไปข้างหน้าฉู่เนี่ยนซี และสกัดกั้นการโจมตีของอีกฝ่ายไว้ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงบุรุษดังมาจากด้านหลัง "ผู้ใต้บังคับบัญชาของคุณหนูคนนี้ช่างมีวรยุทธที่น่าทึ่งจริง ๆ!"เป่ยถูเดินไปหาฉู่เนี่ยซีช้า ๆ อวี๋หนานดูระมัดระวังเมื่อเห็นสิ่งนี้ฉู่เนี่ยนซีตบไหล่อวี๋หนาน "ไม่เป็นไร!"อวี๋หนานลังเล แต่ยังคงเชื่อฟังคำสั่งของนายหญิงก่อนจะถอยออกไปด้านข้าง“นายท่าน! เมื่อครู่สองคนนี้จะขโมยสมุนไพรเจ้าคะ! แถมยังทุบตีพวกเราด้วยเจ้าคะ!” เมื่อฉ่ายเตี๋ยเห็นเป่ยถู นางก็มีสีหน้าตื่นตระหนก รีบก้าวข้างหน้าก่อนจะนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าเขาเป่ยถูหรี่ตาและมองไปที่นางด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยอันตราย ก่อนจะได้ยินเสียงดัง ‘ปัง’ ฉ่ายเตี๋ยก็ถูกกระแทกออกไปด้วยแรงบางอย่างและลอยไปไกลหลายเมตร“พวกเจ้ากล้าดียังไงมาดูถูกแขกที่ข้าเชิญมาเช่นนี้?!”น้ำเสียงที่เย็นชาและคุกคามของเป่ยถูทำให้ทุกคนสั่นสะท้านไปทั้งตัว ก่อนที่พวกเขาจะคุกเข่าลงทีละคน!“นายท่านได้โปรดยกโทษให้บ่าวด้วย!”“บ่าวไม่รู้ ได้โปรดยกโทษให้บ่าวด้วยนะเจ้าคะ!”......ตอนนี้กลุ่มคนที่หยิ่ง
"เจ้าค่ะนายท่าน!"หลังจากที่เหลียนจือได้ยินคำสั่ง นางก็รีบจากไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าฉู่เนี่ยนซียังคงดูสงบ เป่ยถูจึงพูดขึ้นว่า“นอกจากนี้ เมื่อทั้งสองกลับไป ข้าจะมอบของขวัญอันล้ำค่าให้เพื่อเป็นการปลอบใจ! คุณหนูคิดเห็นอย่างไร?”“เอาล่ะ...ในเมื่อใต้เท้ามีความจริงใจมากขนาดนี้ ข้าก็คงต้องทำตามคำสั่งด้วยความเคารพ!” ฉู่เนี่ยนซีมีรอยยิ้มแห่งความสำเร็จในดวงตา แต่มันถูกปกคลุมไว้ด้วยหมวกไม้ไผ่สานจนมองไม่เห็น จากนั้นนางก็ชี้ไปที่ด้านข้าง "สำหรับของขวัญ ใต้เท้าไม่จำเป็นต้องคิดให้ยุ่งยาก ข้าแค่อยากได้สมุนไพรนิดหน่อยเท่านั้น!"เป่ยถูมองตามมือของนาง และอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเมื่อทุกคนเห็นสิ่งนี้ ก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเมื่อครู่ที่พวกเขาเห็นนายท่านสนใจสตรีสวมหมวกไม้ไผ่สานผู้นี้พวกเขาก็ประหลาดใจมากแล้ว ตอนนี้นางกำลังขอสมุนไพรในสวน ไม่รู้ว่านายท่านจะเห็นด้วยหรือไม่!ขณะที่ทุกคนกำลังอยากรู้คำตอบเป่ยถูก็พูดขึ้นว่า "คุณหนูขอของขวัญอย่างอื่นเถิด!"ฉู่เนี่ยนซีอดไม่ได้ที่จะตกใจ ดูเหมือนว่าสวนแห่งนี้จะเป็นสมบัติของเขาจริง ๆ เขาปฏิเสธคำพูดของนางเช่นนี้ ไม่กลัวว่านางจะโกรธและไม่ยอมรักษาเพื่อนของเขาเล
ระหว่างทางอุณหภูมิก็ลดลงเรื่อย ๆ เมื่อเข้าไปด้านใน นางคิดว่าส่วนในสุดเป็นสาเหตุที่ทำให้อุณหภูมิเย็นลงเป่ยถูดูเหมือนจะเดาความคิดของนางได้ และอดไม่ได้ที่จะยิ้ม “ยิ่งเฉินเกอเข้าใกล้เวลากลางคืน อุณหภูมิร่างกายของเขาก็จะยิ่งร้อนขึ้น นั่นเป็นเหตุผลที่กระหม่อมพาเขามาที่นี่ เพราะยิ่งไกลออกไปจากความมืดมากเท่าไหร่ อุณหภูมิในห้องก็จะยิ่งต่ำลง มีธารน้ำแข็งอยู่รอบ ๆ และมีเตียงน้ำแข็งอยู่ด้านใน กระหม่อมก็เลยจัดเฉินเกอไว้ในนั้นโดยใช้เตียงน้ำแข็งเพื่อคลายความร้อนในร่างกายของเขาพะย่ะค่ะ”“ดังนั้น...ท่านหมายความว่า...ความร้อนที่ปล่อยออกมาจากร่างกายของเขาสามารถบรรเทาความหนาวเย็นในถ้ำแห่งนี้ได้อย่างนั้นหรือ?” ฉู่เนี่ยนซีอดถามไม่ได้เป่ยถูพยักหน้า "ถูกต้อง!"หลังจากได้รับคำตอบยืนยันจากเป่ยถูแล้ว ฉู่เนี่ยนซีก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วนางไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าอุณหภูมิของร่างกายมนุษย์จะสามารถบรรเทาความหนาวเย็นภายในห้องได้จริง ๆ!หากเป็นเช่นนั้น อุณหภูมิของคน ๆ นั้นคงจะสูงจนน่ากลัวยิ่งไปกว่านั้น ตอนกลางคืนเขามีอาการเช่นนี้ แต่ตอนกลางวันกลับเหมือนคนธรรมดาทั่วไป นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าอุณหภูมินี้ไม่ได้ส่งผลกระ
สิ่งนี้ทำให้เป่ยถูดูกังวลมากขึ้น และเขาก็มองไปที่ฉู่เนี่ยนซีทันที "เป็นอย่างไรบ้าง? ตรวจพบอะไรหรือไม่!"ฉู่เนี่ยนซีส่ายหัว "ไม่เลย ร่างกายของเขาร้อนเกินไป ข้าไม่สามารถสัมผัสและตรวจอาการของเขาได้เลย!"“แล้วจะทำอย่างไร ไม่มีทางอื่นแล้วจริง ๆ หรือ?”ฉู่เนี่ยนซีไม่ตอบคำถามของเขา นางมองไปที่เฉินเกอตาไม่กระพริบทันใดนั้นก็ดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ดวงตาของนางก็ส่องประกายขึ้นวาบหนึ่ง!"ข้ามีวิธีแล้ว"ขณะที่กำลังพูด จู่ ๆ นางก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างอยู่ในข้อมือ ฉู่เนี่ยนซีหยิบของชิ้นนั้นออกมาพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อยบนริมฝีปากคำพูดของนางทำให้ความหวังอันริบหรี่แวบขึ้นมาในดวงตาของเป่ยถู เมื่อเขาเห็นของในมือของนาง เขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง "นี่คือ..."“สิ่งนี้เรียกว่าถุงมือ! เมื่อสวมลงบนมือมันจะบางมาก!” ฉู่เนี่ยนซีอธิบายต่อขณะวางสิ่งนั้นไว้บนมือของเขา “เมื่อครู่ข้าเพิ่งสังเกตเห็นว่า แม้ร่างกายของเขาจะร้อน แต่เสื้อผ้าบนตัวเขากลับไม่ร้อนไปด้วย นั่นหมายความว่าความร้อนบนร่างกายของเขาจะเผาไหม้เฉพาะร่างกายของสิ่งมีชีวิตเท่านั้น หากไม่เชื่อท่านสามารถซ่อนมือไว้ในแขนเสื้อแล้วลองสัมผัสเขา
การกระทำของฉู่เนี่ยนซีทำให้ปากของเป่ยถูกระตุก และทันใดนั้นเขาก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย การที่เด็กผู้จ้องมองร่างของผู้ชายเช่นนี้ มันทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ แต่เจ้าตัวกลับดูไม่รู้สึกอะไรเลย ดังนั้นเขาจึงต้องสงบสติอารมณ์ของตัวเอง"เป็นเช่นนี้จริง ๆ ด้วย!"ทันใดนั้นฉู่เนี่ยนซีก็ตะโกนขึ้นอย่างตื่นเต้นเป่ยถูรีบมองตามสายตาของนางไป เขาเห็นส่วนที่นูนขึ้นมาบนร่างกายของเฉินเกอ ซึ่งจากนั้นมันก็หายไป ก่อนจะนูนขึ้นมาอีกครั้งบนจุดอื่น เมื่อเวลาผ่านไป ส่วนนูนก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ และสีหน้าของคนบนเตียงก็ดูดุร้ายมากขึ้น“อ่า..เจ็บ...”อุณหภูมิในห้องเพิ่มขึ้นสองสามองศาตามการเปลี่ยนแปลงของเฉินเกอในเวลานี้ ฉู่เนี่ยนซีรู้สึกราวกับว่ากำลังยืนอยู่ข้างเตาขนาดใหญ่ ซึ่งทำให้ใบหน้าของนางแดงก่ำ และเหงื่อบนหน้าผากก็หยดลงมาที่แก้มของนางนางใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อ และริมฝีปากของนางก็เริ่มซีด ดูอ่อนแรงเล็กน้อยเป่ยถูเหลือบมองฉู่เนี่ยนซี จากนั้นก็ปรับเปลี่ยนกำลังภายในของเขาและค่อย ๆ เอาฝ่ามือเข้าไปใกล้แผ่นหลังของนางการกระทำของเป่ยถูทำให้ฉู่เนี่ยนซีรู้สึกหนาวไปทั่วร่างกาย ความรู้สึกอับชื้นบรรเทาลงเล็กน้อยและผิวของนา
เนื่องจากถูกบดบังจากหน้ากากชนิดพิเศษ แม้ฉู่เนี่ยนซีจะไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของเขาได้ แต่นางก็รู้สึกได้ถึงความมั่นใจจากน้ำเสียงของเขา คนที่มีท่าทีลึกลับเช่นนี้ พลังของเขาต้องไม่ธรรมดาแน่นอน หากเขาส่งคนไปตรวจสอบ คงไม่ยากที่จะหาว่ามีพิษกู่ชนิดนี้ในมณฑลตะวันตกหรือไม่ ฉะนั้น ในเมื่อเขาดูมั่นใจขนาดนี้ ก็คงสันนิษฐานว่าได้ว่าน่าจะเป็นเรื่องจริง ฉู่เนี่ยนซีคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วมองไปยังเฉินเกอที่กำลังมีสีหน้าทุกข์ทรมาน ทันใดนั้นก็พูดขึ้นว่า “แม้ตอนนี้ข้าจะยังไม่มีวิธีรักษา แต่คิดว่าน่าสามารถบรรเทาความเจ็บปวดของเขาได้ หลังจากกลับไป ข้าจะค้นหาวิธีรักษามาให้ ไม่แน่ว่าอาจจะเจอหนทาง” พูดจบ ฉู่เนี่ยนซีก็หยิบสมุนไพรที่มีสำน้ำเงินออกมาจากแขนเสื้อของตนแล้วมอบให้เป่ยถู “นี่คือ...” “นี่คือหญ้าครามน้ำแข็ง ข้าเห็นว่าสวนสมุนไพรของท่านไม่มีสมุนไพรชนิดนี้ มันมีฤทธิ์เย็น บดก่อนแล้วแบ่งเป็นส่วนเท่า ๆ กัน ต้มในน้ำแล้วป้อนให้เขา มันพอจะช่วยบรรเทาให้ความร้อนในร่างกายลดลงได้ แต่จะช่วยได้ไม่นานนัก ทุกหนึ่งชั่วยามจึงจำต้องดื่มหนึ่งถ้วย อีกทั้งสมุนไพรชนิดนี้ก็อยู่ได้เพียงเจ็ดวัน!” ฉู่เนี่ยนซีอธิบายวิธีการใช้ส
“ถึงไหนแล้ว?” เสียงของฉู่เนี่ยนซีแหบแห้งเล็กน้อย นางมองออกไปนอกหน้าต่างและตกตะลึง “ถึงแล้ว?” “พะย่ะค่ะ!” “ตอนแรกข้านั่งเรือมานี่ ไฉนถึงมาอยู่บนรถม้าได้?” “ข้าน้อยอุ้มท่านขึ้นมาเพราะเห็นว่าท่านกำลังหลับสบาย” อวี๋หนานมองฉู่เนี่ยนซีราวกับว่าเขากำลังขอคำชม ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเขาเนือย ๆ จากนั้นก็กระโดดลงจากรถม้า “ขอบคุณที่มาส่ง!” ฉู่เนี่ยนซีกล่าวกับคนขับรถม้า เขาแสดงความเคารพ แล้วฟาดแส้ควบม้าออกไป อวี๋หนานมองไปยังรถม้าที่กำลังออกไป และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลเล็กน้อย “นายหญิง ท่านบอกว่าตอนนี้ดึกมากแล้ว เช่นนั้นท่านอ๋องจะสังเกตเห็นหรือไม่ว่าท่านไม่อยู่ในหอนอน?” “ถ้าเขาไม่มีเรื่องอะไรก็จะไม่มาหาข้าหรอก เขาคงไม่รู้ว่าข้าไม่อยู่” พูดจบ ฉู่เนี่ยนซีก็เดินไปที่ประตูข้าง “พวกเรารีบข้ามกำแพงกลับกันเถอะ” ทั้งสองรีบปีนข้ามกำแพงและเข้าไปในจวนอ๋อง หลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีขอให้อวี๋หนานไปพักผ่อน นางก็ตรงกลับไปยังเรือนนอนของตัวเอง รอบทิศเต็มไปด้วยแสงระยิบระยับ ใบไม้ในลานส่งเสียงกรอบแกรบท่ามกลางสายลมยามค่ำคืน เพิ่มความน่าขนลุกเล็กน้อยให้กับค่ำคืนที่มีอากาศเบาบาง หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั
พูดจบ ฉู่เนี่ยนซีก็หันหลังเตรียมที่จะจากไป เย่เฟยหลีกำมือทั้งสองแน่น จากนั้นก็รีบดึงนางมาไว้ในอ้อมแขนของเขา ริมฝีปากบางอันน่าเย้ายวนของเขาก็ประทับลงบนริมฝีปากสีแดงของนาง “อื้อ...” สัมผัสเยือกเย็นจากริมฝีปากของเขาทำให้ฉู่เนี่ยนซีเบิกตาโพลงขึ้นมาทันที สองมือของนางดันหน้าอกของเขาอย่างแรง พยายามที่จะผลักเขาออกไป แต่เย่เฟยหลีที่กำลังโกรธนั้นแข็งแกร่งกว่าปกติ ไม่ว่านางจะพยายามเพียงใด ก็ไม่สามารถสั่นคลอนเขาได้เลยแม้แต่น้อย จู่ ๆ ฉู่เนี่ยนซีก็นึกอะไรออก จากนั้นก็มีเข็มเงินหลายเล่มอยู่ในมือของนาง และเย่เฟยหลีที่สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของนางแต่แรก ก็รวบมือนางไว้แน่นด้วยมือข้างเดียว “เย่เฟยหลี ท่านมันเลว ปล่อยข้านะ!” ฉู่เนี่ยนซีฉวยโอกาสกัดฟันตะโกนออกมาด้วยความโกรธแค้น ชายที่เสียสติไปแล้วมีหรือจะฟังนาง ในระหว่างที่กำลังอิรุงตุงนังกันอยู่นั้น เขาก็พลิกตัวและทั้งสองก็ล้มลงบนเตียง โดยที่เย่เฟยหลีกดฉู่เนี่ยนซีไว้ใต้ร่างเขาอย่างแน่นหนา เย่เฟยหลีประทับจูบลงไปอีกครั้ง ความอบอุ่น ความนุ่มนวล และความหอมหวานบนริมฝีปากของนางเกือบจะทำให้เย่เฟยหลียั้งใจไว้ไม่อยู่ เมื่อนึกไปถึงเรื่องที่ไม่รู้ว
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีจึงฟาดไปที่ไหล่ของเขาหนึ่งที พลางมองดูสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย “เช่นนั้นท่านก็ถอดเสื้อออก ข้าจะดูแผลให้”เดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเห็นเย่เฟยหลีถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นตรงหน้า ฉู่เนี่ยนซีก็หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย แม้ว่าเขาจะทำอย่างองอาจ แต่ก็ยังทำให้นางอายจนต้องเบือนหน้าหนี“เสร็จแล้ว”ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาจับแผ่นหลังกว้างของเย่เฟยหลีไว้ แต่นางก็ไม่เขินอายอีกต่อไป เพราะร่องรอยบาดแผลจากการสู้รบในอดีตทำให้ใจของนางสั่นสะท้านนางค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละชั้น เมื่อแกะชั้นสุดท้าย เย่เฟยหลีก็ทนต่อความเจ็บปวดจนตัวสั่นฉู่เนี่ยนซีรีบโรยผงยาลงบนผ้าผ้าพันแผลทันที ซึ่งไม่เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดของเย่เฟยหลีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปลดผ้าพันแผลออกได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผงยานำความเย็นแพร่ไปตามบาดแผลทั่วทั้งแผ่นหลัง เย่เฟยหลีจึงคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ช้าๆฉู่เนี่ยนซีมองไปยังบาดแผลไฟไหม้ที่สภาพดูไม่ได้“นอนลงบนเตียง ข้าจะทายาให้ท่านใหม่”“ได้”เย่เฟยหลีทำตามอย่างเชื่อฟัง เขาคว่ำตัวเหยียดยาวอยู่บนเตียงฉู่เนี่ยนซีโรยผงยาอีกขวดบนแผลให้เสมอกัน ผงยานี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย
ซุนจื่อซีที่อยู่ข้าง ๆ ไทเฮา ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ท่านป้า เนื่องด้วยจื่อซีและพระชายาหลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าหากตระกูลไม่มีการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวด พวกเขาก็จะไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรีให้เติบโตมาอย่างดีเช่นนี้ได้ ฉู่กุ้ยเฟยต้องถูกใส่ร้ายแน่นอนเพคะ ได้โปรดทรงอย่าปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องรับผิดอย่างไม่เป็นธรรมเลยนะเพคะ”องค์จักรพรรดิคิดว่าเขาไม่สามารถลงโทษสนมไป๋ได้เพียงเพราะการคาดเดาของหยางเหอ แต่สนมไป๋ ล่วงเกินฉู่กุ้ยเฟยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนั่นเป็นความจริงที่แน่ชัด จึงมีรับสั่งให้สนมไป๋ถูกปรับเงินเดือนครึ่งปีและถูกกักบริเวณในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกโดยพลการองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เย่เหลียนและเย่เฟยหลีสืบเรื่องนี้ด้วยกัน หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายพ้นผ่าน งานเลี้ยงในพระราชวังก็สูญเสียบรรยากาศที่สนุกสนานไป องค์จักรพรรดิทรงกังวลว่าไทเฮาจะทรงหวาดกลัว จึงประคองไทเฮาเสด็จกลับไปยังพระตำหนักอันชิ่งเพื่อพักผ่อนทุกคนที่หมดสนุกแล้วจึงหยุดทุกอย่างและรีบพากันกลับจวนช่องว่างเล็ก ๆ ของหน้าต่างหน้าต่างสีแดงลายมังกรถูกปิดลงอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่มีใครสังเกตเผย
ฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ข้างกายฉู่กุ้ยเฟยร่วมกับหยางเหอ หลังจากจับชีพจรและตรวจดูให้แน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว ก็สั่งให้คนรับใช้นำเบาะขนห่านมาวางไว้ด้านหลังฉู่กุ้ยเฟยหยางเหอดูเหมือนจะมีอะไรจะพูด แต่นางก็ไม่กล้าพูด ทว่าเมื่อเห็นฉู่กุ้ยเฟยเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ หัวใจของนางก็เต้นรัวและสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นยืนทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่หยางเหอ นางหายใจเข้าลึก ๆ พลางมองตรงไปที่องค์จักรพรรดิ“โปรดทรงอภัยในความอวดดีของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่สามารถทนเห็นกุ้ยเฟยถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ เช่นนี้ได้ แม้จะเสี่ยงต่อการถูกบั่นหัว แต่หม่อมฉันก็ต้องพูดอะไรบางอย่างเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น?”องค์จักรพรรดิทรงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและหรี่ตามองไปยังหยางเหอที่กำลังคุกเข่าด้วยใบหน้าแห่งความยุติธรรม“สนมไป๋ที่เข้ามาใหม่ไม่มีความเคารพต่อกุ้ยเฟยเลย เมื่อใดก็ตามที่ได้พบกับกุ้ยเฟย นางมักจะใช้คำพูดที่แฝงเป็นนัยเสียดสีอยู่เสมอ ไม่ก็สาปแช่งให้กุ้ยเฟยรักษาพระโอรสไว้ไม่ได้หรือไม่ก็เสียดสีว่ากุ้ยเฟยไม่คู่ควรกับตำแหน่งสูง กุ้ยเฟยไม่ต้องการโต้เถียงกับสนมไป๋จึงลืมมันไปทุกครั้งเพคะ”“สาวใช้ต่ำช้า กล้าพูดจาว่าร้ายข้าอย่างนั้นห
เย่เฟยหลีอาศัยโอกาสนี้จับมือนาง รู้สึกดีกับการตรวจดูอย่างละเอียดของอีกฝ่ายพลางพูดเสียงอ่อน “ข้าไม่เป็นไร แค่เป็นแผลนิดหน่อย หมอหลวงจ่ายยาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว”“เจ้ามาดูสิ นี่มันคืออะไร?”เย่เฟยหลีพาฉู่เนี่ยนซีไปยังจุดที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้ พื้นถูกไฟไหม้และมีรอยดำเต็มไปหมด เก้าอี้เอียงตะแคงโดยมีขาหักไปฉู่เนี่ยนซีนั่งยอง ๆ พลางใช้นิ้วชี้ขวาสัมผัสพื้น จากนั้นยกมาที่ปลายจมูกสูดดมเบาๆ ก่อนพูดด้วยความตกใจ “มันคือดินปืน แต่ไม่ใช่ดินปืนบริสุทธิ์ มันจึงไม่ทำให้เกิดการระเบิด แค่ติดไฟเร็วเท่านั้น”“ใช่ มีคนโปรยดินปืนประเภทนี้ไว้ตั้งแต่แรก แต่ท้องฟ้ามืดจนมองไม่เห็น คนจึงคิดว่ามันดูเหมือนฝุ่นกรวดทั่วไป”เย่เฟยหลีเหยียดแขนออกไปประคองให้ฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นฉู่เนี่ยนซีขึ้นไปที่ลานถงฮวาอีกครั้งและมองไปที่เครื่องมือที่ฉู่กุ้ยเฟยใช้ในการจุดไฟ มันปนเปื้อนด้วยเศษสะเก็ดไฟบางส่วน แม้จะเผาไหม้ได้ แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานและเปลวไฟก็ไม่ลุกลามมากเท่ากับดินปืนโดยทั่วไปนางยืนอยู่บนลานพลางมองไปที่เย่เฟยหลี ดวงตาของนางก็ค่อย ๆ ดูน่ากลัวมากขึ้น น้ำเสียงของนางก็เยือกเย็นลงตามลมหนาว“รู้หรือไม่ว่าใครมาที่นี่บ้างก่อ
เหล่าขันทีและนางกำนัลที่รีบรุดมาพร้อมกับอ่างน้ำเย็น นำมาราดลงบนเปลวไฟที่อยู่บริเวณรอบ ๆ องค์จักรพรรดิและเย่เฟยหลี ทำให้เกิดเสียงน้ำสาดกระเซ็นเย่เฟยหลีไม่รู้สึกถึงความรู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง เขาจึงประคององค์จักรพรรดิลุกขึ้นยืนไทเฮาถูกนางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงประคองมา ทว่าพระนางยังไม่หายตกใจ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นคิ้วคมเข้มของเย่เฟยหลีที่ขมวดเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด จึงทอดพระเนตรมองไปยังแผ่นหลังของเขา พบว่าอาภรณ์สีดำของเขาถูกไฟไหม้เป็นวงกว้าง และร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาถูกเปลวเพลิงเผาจนเป็นสีแดงเข้ม เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นไปอีก“ฝ่าบาท” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ รีบคุกเข่าคำนับด้วยความตื่นตระหนกเย่เหลียนตะโกนทันที “ฉู่กุ้ยเฟย นี่ท่านคิดลอบปลงพระชนม์หรือ? ท่านจงใจล่อลวงทุกคนมาที่นี่เพื่อวางแผนลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อหรือ เอาคนมา จับฉู่กุ้ยเฟยไว้!”“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำ! หม่อมฉันไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด! ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยเพคะ!”เมื่อเห็นเหล่าราชองครักษ์ในชุดเกราะเข้ามาใกล้ ฉู่กุ้ยเฟยก็ตะโกนทูลต่อองค์จักรพรรดิด้วยความตื่นกลัว“โอหัง!
ทุกคนเดินไปที่ลานถงฮวาและเห็นว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ด้านล่าง อีกทั้งยังมีน้ำชากับผลไม้ที่จัดอย่างประณีตวางไว้ด้วยบนเวทีมีเสาไม้ห้าต้นสูงประมาณหกศอก ติดตั้งล้อมรอบมุมทั้งสี่และด้านบนตรงกลาง เสาไม้ทั้งหมดนั้นถูกพันด้วยเชือกหากมองลงมาจากหลังคาตำหนักที่อยู่ใกล้ ๆ จะรู้สึกว่าเชือกนั้นเปรียบเสมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมเสาไม้ไว้แม้องค์จักรพรรดิจะทรงสับสน แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไรมากนัก เพียงแค่ทรงยิ้มมุมปากแล้วตรัสกับไทเฮา “ดูเหมือนว่าฉู่กุ้ยเฟยจะมีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอ เสด็จแม่ทรงนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขันทีและนางกำนัลมาช่วยบรรดาผู้เป็นนายหาที่นั่งเพื่อไม่ให้ทุกคนพากันสับสนวุ่นวายนางกำนัลผู้น้อยจัดให้เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีนั่งด้วยกันที่ฝั่งหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะได้นั่งลง ก็เห็นหลานชุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ เย่หลิงเอ๋อร์เดินมาเชิญฉู่เนี่ยนซีไปพูดคุยหลานชุ่ยมาเชิญนางด้วยตนเอง คงจะไม่มีเรื่องหลอกลวง ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลีอย่างสบายใจ หลังจากทำความเคารพองค์จักรพรรดิและไทเฮา นางก็ตามหลานชุ่ยไปทันใดนั้น ลานถงฮวาก็สว่างขึ้นมาก ทุกคนเงยหน้าเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบห
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ด้วยกันต่อไปเถอะ ช่วงนี้เราเข้ากันได้ดี นางอ่อนโยน มีน้ำใจและใฝ่เรียนใฝ่รู้ ข้าชอบนางมาก ดีที่มีนางอยู่ที่จวนแห่งนี้ ข้าจึงคลายความเบื่อลงไปได้บ้าง”สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูดนั้นเป็นความจริง ตอนแรกนางสงสัยในเจตนาของซุนจื่อซีที่ช่วยนางจากการตกน้ำ แต่ตอนที่นางตกจากรถม้า ซุนจื่อซีกลับไม่ห่วงตนเองและเอาตัวมารองรับนางไว้ ช่างเป็นสตรีที่จิตใจงามอย่างแท้จริงทันใดนั้น ท้องฟ้าก็สว่างไสวไปด้วยดอกไม้ไฟ ส่องแสงไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับแสงสว่างของรุ่งอรุณส่องขึ้นมาจากความมืดมิดประกายแสงนั้นส่องสว่างราวกับหมู่ดาวที่โอบล้อมภูเขาและแม่น้ำอันกว้างใหญ่ที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก รวมไปถึงป่าอันงดงามและที่ราบอันไร้ขอบเขต ทำให้ความขุ่นข้องในใจของคนสองคนจางลง และคนทั้งคู่ก็ยังได้มองดูความยิ่งใหญ่ที่พร่างพราวนี้ไปด้วยกันณ พระตำหนักเจาฮุย ซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอย่างงดงามดุจนางสวรรค์ หลังจากการแสดงสิ้นสุดลง ผู้คนในโถงยังคงตกอยู่ในภวังค์องค์จักรพรรดิทรงปรบมือใหญ่แล้วหันไปหาไทเฮาพร้อมรอยยิ้ม “ทักษะการร่ายรำของจื่อซีดีขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่านางจะฝึกฝนอย่างหนักและลำบากไม่น้อย เป็นเสด็จแม่
ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ จนแทบมองเห็นแสงสว่าง เช่นนี้เขาเห็นดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่สุดที่ว่านั่นจากที่ใดกัน?“ท่านอ๋องชื่นชมดวงจันทร์ได้อย่างไรหรือ?”ฉู่เนี่ยนซีมองดูแสงสีเหลืองจาง ๆ ที่ขอบฟ้านั้น อย่างกับมันถูกขัดถูจนไร้ซึ่งความแวววาวเย่เฟยหลีทัดผมฉู่เนี่ยนซีไว้ข้างหลังใบหูของนาง พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เพราะดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่ว่านี้ไม่ใช่ดวงจันทร์ดวงนั้น”ฉู่เนี่ยนซีหันมาสบตาที่เป็นประกายของเย่เฟยหลี มือที่ค้างเติ่งในตอนแรกเลื่อนมาตรงแก้มของนาง เย่เฟยหลีรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านมายังฝ่ามือ เขาคลี่ยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังเขินอาย“ข้าได้ยินจากน้องเจ็ดว่าเจ้าคิดว่าซุนจื่อซีกับข้าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากหรือ?”เย่เฟยหลีดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน หางตาของเขาเห็นท่าทางหงุดหงิดของฉู่เนี่ยนซีพลางคิดว่าช่างน่าสนุกฉู่เนี่ยนซีแอบด่าทอเย่ฉงเฉิงในใจว่าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ นางพูดความในใจออกไปเพียงนิดเดียวเขาก็นำไปบอกเจ้าตัวในพริบตาเสียอย่างนั้น“ก็คิดบ้าง เป็นบางครั้ง”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาและพยายามอย่างมากเพื่อรักษาท่าทางสงบนิ่งอย่างเคย นางไม่สามารถปฏิเส
เย่เฟยหลีเหลือบมองอีกฝ่าย “เจ้าว่าเจ้ารู้จักข้าดีที่สุดไม่ใช่หรือ?”“แต่พี่สะใภ้สามไม่รู้จักท่านดีเท่าข้า หากมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็ควรรีบแก้ไขเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยท่านไม่ได้”เมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากพระตำหนักเจาฮุย เขาก็รู้ได้ทันทีว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว เย่เฟยหลีจึงให้เย่ฉงเฉิง เรียกฉู่เนี่ยนซีมาที่นี่เพราะเขามีเรื่องจะพูดกับนางเย่ฉงเฉิงรับคำสั่งแล้วจากไป ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องจัดงาน เขาก็เห็นซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอยู่อย่างอ่อนช้อย นางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงราวกับดอกเหมยที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ท่ามกลางหิมะขาว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเขาหันไปด้านข้างและกระซิบกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม พี่สามกำลังรอท่านอยู่ไม่ไกลจากทางเหนือของ พระตำหนักเจาฮุย ท่านรีบไปเถิด”ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่ฉงเฉิงอย่างสงสัยและบอกให้เสี่ยวเถารออยู่ที่นี่ หากใครถามหาก็บอกว่านางออกไปเดินรับลมข้างนอกให้สร่างเมาในห้องจัดงาน ซุนจื่อซีออกท่วงท่าราวกับต้นหลิวที่กำลังแผ่กิ่งก้านสาขาอย่างเพลินใจ ชายแขนเสื้อในมือของนางกระพือเบา ๆ แขนเรียวยาวใต้เสื้อคดเคี้ยวราวกับดอกบ๊วยแดงที่ล่องลอยในอากาศแต่ไม่ว่านางจะพย