เนื่องจากถูกบดบังจากหน้ากากชนิดพิเศษ แม้ฉู่เนี่ยนซีจะไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของเขาได้ แต่นางก็รู้สึกได้ถึงความมั่นใจจากน้ำเสียงของเขา คนที่มีท่าทีลึกลับเช่นนี้ พลังของเขาต้องไม่ธรรมดาแน่นอน หากเขาส่งคนไปตรวจสอบ คงไม่ยากที่จะหาว่ามีพิษกู่ชนิดนี้ในมณฑลตะวันตกหรือไม่ ฉะนั้น ในเมื่อเขาดูมั่นใจขนาดนี้ ก็คงสันนิษฐานว่าได้ว่าน่าจะเป็นเรื่องจริง ฉู่เนี่ยนซีคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วมองไปยังเฉินเกอที่กำลังมีสีหน้าทุกข์ทรมาน ทันใดนั้นก็พูดขึ้นว่า “แม้ตอนนี้ข้าจะยังไม่มีวิธีรักษา แต่คิดว่าน่าสามารถบรรเทาความเจ็บปวดของเขาได้ หลังจากกลับไป ข้าจะค้นหาวิธีรักษามาให้ ไม่แน่ว่าอาจจะเจอหนทาง” พูดจบ ฉู่เนี่ยนซีก็หยิบสมุนไพรที่มีสำน้ำเงินออกมาจากแขนเสื้อของตนแล้วมอบให้เป่ยถู “นี่คือ...” “นี่คือหญ้าครามน้ำแข็ง ข้าเห็นว่าสวนสมุนไพรของท่านไม่มีสมุนไพรชนิดนี้ มันมีฤทธิ์เย็น บดก่อนแล้วแบ่งเป็นส่วนเท่า ๆ กัน ต้มในน้ำแล้วป้อนให้เขา มันพอจะช่วยบรรเทาให้ความร้อนในร่างกายลดลงได้ แต่จะช่วยได้ไม่นานนัก ทุกหนึ่งชั่วยามจึงจำต้องดื่มหนึ่งถ้วย อีกทั้งสมุนไพรชนิดนี้ก็อยู่ได้เพียงเจ็ดวัน!” ฉู่เนี่ยนซีอธิบายวิธีการใช้ส
“ถึงไหนแล้ว?” เสียงของฉู่เนี่ยนซีแหบแห้งเล็กน้อย นางมองออกไปนอกหน้าต่างและตกตะลึง “ถึงแล้ว?” “พะย่ะค่ะ!” “ตอนแรกข้านั่งเรือมานี่ ไฉนถึงมาอยู่บนรถม้าได้?” “ข้าน้อยอุ้มท่านขึ้นมาเพราะเห็นว่าท่านกำลังหลับสบาย” อวี๋หนานมองฉู่เนี่ยนซีราวกับว่าเขากำลังขอคำชม ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเขาเนือย ๆ จากนั้นก็กระโดดลงจากรถม้า “ขอบคุณที่มาส่ง!” ฉู่เนี่ยนซีกล่าวกับคนขับรถม้า เขาแสดงความเคารพ แล้วฟาดแส้ควบม้าออกไป อวี๋หนานมองไปยังรถม้าที่กำลังออกไป และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลเล็กน้อย “นายหญิง ท่านบอกว่าตอนนี้ดึกมากแล้ว เช่นนั้นท่านอ๋องจะสังเกตเห็นหรือไม่ว่าท่านไม่อยู่ในหอนอน?” “ถ้าเขาไม่มีเรื่องอะไรก็จะไม่มาหาข้าหรอก เขาคงไม่รู้ว่าข้าไม่อยู่” พูดจบ ฉู่เนี่ยนซีก็เดินไปที่ประตูข้าง “พวกเรารีบข้ามกำแพงกลับกันเถอะ” ทั้งสองรีบปีนข้ามกำแพงและเข้าไปในจวนอ๋อง หลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีขอให้อวี๋หนานไปพักผ่อน นางก็ตรงกลับไปยังเรือนนอนของตัวเอง รอบทิศเต็มไปด้วยแสงระยิบระยับ ใบไม้ในลานส่งเสียงกรอบแกรบท่ามกลางสายลมยามค่ำคืน เพิ่มความน่าขนลุกเล็กน้อยให้กับค่ำคืนที่มีอากาศเบาบาง หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั
พูดจบ ฉู่เนี่ยนซีก็หันหลังเตรียมที่จะจากไป เย่เฟยหลีกำมือทั้งสองแน่น จากนั้นก็รีบดึงนางมาไว้ในอ้อมแขนของเขา ริมฝีปากบางอันน่าเย้ายวนของเขาก็ประทับลงบนริมฝีปากสีแดงของนาง “อื้อ...” สัมผัสเยือกเย็นจากริมฝีปากของเขาทำให้ฉู่เนี่ยนซีเบิกตาโพลงขึ้นมาทันที สองมือของนางดันหน้าอกของเขาอย่างแรง พยายามที่จะผลักเขาออกไป แต่เย่เฟยหลีที่กำลังโกรธนั้นแข็งแกร่งกว่าปกติ ไม่ว่านางจะพยายามเพียงใด ก็ไม่สามารถสั่นคลอนเขาได้เลยแม้แต่น้อย จู่ ๆ ฉู่เนี่ยนซีก็นึกอะไรออก จากนั้นก็มีเข็มเงินหลายเล่มอยู่ในมือของนาง และเย่เฟยหลีที่สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของนางแต่แรก ก็รวบมือนางไว้แน่นด้วยมือข้างเดียว “เย่เฟยหลี ท่านมันเลว ปล่อยข้านะ!” ฉู่เนี่ยนซีฉวยโอกาสกัดฟันตะโกนออกมาด้วยความโกรธแค้น ชายที่เสียสติไปแล้วมีหรือจะฟังนาง ในระหว่างที่กำลังอิรุงตุงนังกันอยู่นั้น เขาก็พลิกตัวและทั้งสองก็ล้มลงบนเตียง โดยที่เย่เฟยหลีกดฉู่เนี่ยนซีไว้ใต้ร่างเขาอย่างแน่นหนา เย่เฟยหลีประทับจูบลงไปอีกครั้ง ความอบอุ่น ความนุ่มนวล และความหอมหวานบนริมฝีปากของนางเกือบจะทำให้เย่เฟยหลียั้งใจไว้ไม่อยู่ เมื่อนึกไปถึงเรื่องที่ไม่รู้ว
เย่เฟยหลีควบม้าไปตลอดทางและไม่นานก็มาถึงพระราชวัง ทันทีที่เขาเข้าไปในพระราชวัง เย่เฟยหลีก็ส่งต่อม้าให้กับองครักษ์และตรงไปยังห้องทรงงานขององค์จักรพรรดิทันที องค์จักรพรรดิที่กำลังตรวจฎีกาอยู่ ณ เวลานี้ เมื่อเห็นว่าขันทีมาทูลแจ้ง ก็อดแปลกใจไม่ได้ “ให้เขาเข้ามา!” หลังจากได้รับอนุญาตจากองค์จักรพรรดิแล้ว เย่เฟยหลี่ก็เดินเข้ามา เมื่อเขามองไปรอบ ๆ ก็ไม่เจอคนที่เขาต้องการเห็น ดวงตาของจึงเกิดความสงสัยขึ้นมา หรือว่านางจะไม่ได้เข้าวัง? เย่เฟยหลีเก็บอารมณ์ที่อยู่ภายในใจพลางก้าวไปข้างหน้าและทำความเคารพ “ลูกขอถวายบังคมเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ!” “ลุกขึ้นเถอะ!” องค์จักรพรรดิโบกมือและวางเอกสารในมือลง “วันนี้พวกเจ้าสองสามีภรรยาเป็นอะไรไปกัน ปกติเห็นอยากจะอยู่ห่างจากพระราชวังนัก แต่วันนี้เจ้ากลับขยันเสียนี่” “ซีเอ๋อร์ก็เข้าวังมาด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ?” “เจ้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อตามหาเด็กน้อยคนนั้นรึ?” องค์จักรพรรดิเลิกคิ้ว เย่เฟยหลีผู้ซึ่งไม่เคยสะท้กสะท้านต่อสิ่งใด บัดนี้กลับรู้สึกเขินอายเล็กน้อย “ไม่ทราบว่า...นางมาทำอะไรที่นี่หรือพ่ะย่ะค่ะ?” เย่เฟยหลีรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย องค์จักรพรรดิดูเหมือ
“เรียนพระชายา องค์จักรพรรดิทรงได้ยินว่าพระชายายังไม่ได้รับอาหารเช้า จึงรับสั่งให้คนนำอาหารมาให้เพคะ!” นางกำนัลพูดและโค้งคำนับให้ฉู่เนี่ยนซี “เชิญพระชายาเสวย หม่อมฉันจะกลับมาเก็บภายหลัง” พูดจบ นางกำนัลก็ขอตัวออกไป ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองอาหารบนโต๊ะแล้วเลิกคิ้ว มีแต่อาหารที่นางชอบ... ‘หรือว่าวันนี้ในวังจะทำอาหารพวกนี้พอดี? ช่างโชคดีเสียจริง’ กลิ่นของอาหารยังโชยเข้าจมูกอย่างต่อเนื่อง ทำให้ฉู่เนี่ยนซีรู้สึกหิวยิ่งขึ้น นางวางตำราในมือลง หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วเริ่มรับประทานอาหาร ถึงกระนั้น ใบหน้าของนางก็ยังคงมีความสง่างามอยู่ เมื่อฉู่เนี่ยนซีทานอาหารจนพอใจแล้ว พลันก็มีเสียงคนด่าทออย่างรุนแรงดังมาจากทางบันได “เจ้ากล้าทานข้าวในหอตำราหลวงได้อย่างไร! ใครหน้าไหนมันทำให้เจ้ากล้าทำตัวสามหาวได้เช่นนี้?!” ฉู่เนี่ยนซีเห็นสตรีรูปงามในชุดสีชมพูตามด้วยสาวใช้สองคนที่กำลังเดินมาหานาง พลางมองนางด้วยความโกรธ “ข้าก็นึกว่าใคร เป็นเจ้านี่เอง พูดก็พูดเถอะ เหตุใดคนไร้ความสามารถที่จู่ ๆ ก็โด่งดัง ถึงได้มาซุ่มอ่านตำราที่หอตำราในวังตั้งแต่เช้า ที่แท้เจ้าก็ทำเพื่อตบตาคนอื่น สุดท้ายก็คงจะเป็นเพราะพี่สา
เมื่อฮว่านเอ๋อร์และเสียนเอ๋อร์สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดจากเข็มที่ทิ่มลงบนร่างกายของตัวเอง ก็คิดจะตอบโต้ แต่ทันใดนั้นพวกนางก็รู้สึกว่าร่างกายไม่มีแรงจนล้มลงกับพื้น และมองฉู่เนี่ยนซีด้วยความตกตะตึง “หากจะเอาชนะข้าผู้นี้ก็คงยากหน่อยนะ!” ฉู่เนี่ยนซียิ้มมุมปาก แต่ดวงตาของนางกลับเต็มไปด้วยความเย็นชา เข็มเงินที่นางใช้ในวันนี้ได้ถูกแช่พิษเอาไว้ ต่างจากยากล่อมประสาทก่อนหน้านี้ นี่คือพิษชนิดใหม่ที่นางศึกษาค้นคว้าเอาไว้ เมื่อถูกพิษนี้เข้าจะส่งผลต่อสติสัมปชัญญะ เพียงแต่ร่างกายอ่อนแอและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เท่านั้น แม้ว่านางจะใช้วิธีนี้ได้ด้วยการโจมตีเข้าที่จุดฝังเข็ม แต่ถึงกระนั้นก็จะต้องโจมตีให้โดนจุดฝังเข็มด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว และเมื่อพิษได้สัมผัสเข้ากับจุดเหล่านั้น ก็จะได้ผลลัพธ์ตามต้องการ! เย่เซวียนเล่อตกใจเมื่อเห็นทั้งสองคนทรุดตัวลงกับพื้น ทำให้จู่ ๆ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป “ไยเจ้าสองคนถึงลงไปนั่งกับพื้นเช่นนั้น รีบไปจัดการนางเร็วเข้าสิ!” “องค์หญิง พวกบ่าวถูกวางยาพิษเพคะ!” สีหน้าของฮว่านเอ๋อร์นิ่งเฉย สีหน้าไม่อยากเชื่อที่ปรากฏเมื่อครู่นี้ก็กลับมาไร้อารมณ์อีกครั้ง นั่น
ฉู่เนี่ยนซีมองเย่เซวียนเล่อราวกับว่ากำลังดูตัวตลก พลางยิ้มเยาะขึ้น “ฉีกเป็นชิ้น ๆ ? หม่อมฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าองค์หญิงห้าไปเอาความกล้าและความมั่นใจมาจากไหน?! หรือเพียงเพราะว่าท่านเป็นองค์หญิงที่เกิดจากฮองเฮางั้นรึ?” “แน่อยู่แล้ว ข้าที่เป็นองค์หญิงนั้นมีฐานะสูงส่งมากกว่าคนอัปลักษณ์เช่นเจ้ามากนัก!” เย่เซวียนเล่อทำท่าทางหยิ่งผยองพลางมองฉู่เนี่ยนซีด้วยความรังเกียจ และพูดต่อ “มารดาของข้าคือฮองเฮา เป็นผู้สูงส่งที่สุดในใต้หล้า ขณะที่มารดาของเจ้าเป็นเพียงสตรีที่แม้แต่ชื่อก็ไม่มีใครรู้จัก อีกทั้งบิดาของข้าก็เป็นถึงองค์จักรพรรดิ และบิดาของเจ้าก็เป็นเพียงแค่เสนาบดีต๊อกต๋อยที่เป็นสุนัขรับใช้ข้างกายเสด็จพ่อของข้า!” “การที่มารดาของเจ้าให้กำเนิดบุตรสาวที่อัปลักษณ์และไร้ความสามารถเช่นนี้ออกมาได้ นางก็คงจะเป็นคนที่ไร้ความสามารถและต่ำต้อยด้วยเช่นกัน!” ยิ่งเวลาผ่านไปเย่เซวียนเล่อก็ยิ่งพูดยั่วยุมากขึ้น ขณะที่พูด นางก็แสดงความเย่อหยิ่งเจือความรังเกียจไปด้วย โดยไม่ทันสังเกตเห็นความโกรธเกรี้ยวที่ปะทุอยู่ในดวงตาคมปลาบของฉู่เนี่ยนซีซึ่งกำลังจะระเบิดออกมา “ดังนั้น ข้าขอแนะนำให้เจ้าคุกเข่าต่อหน้าข้าและตบ
เหล่าองครักษ์เหลือบมองฉู่เนี่ยนซีและมองหน้ากัน ช่วงนี้ชื่อเสียงของพระชายาหลีกำลังแพร่หลาย และความคิดของผู้คนในวังที่มีต่อนางก็เปลี่ยนไปมาก ในโลกนี้ คนที่มีความรู้ด้านการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมย่อมได้รับความเคารพจากทุกคน นอกจากนี้ องค์หญิงห้า เย่เซวียนเล่อผู้นี้เดิมทีเป็นคนหยิ่งผยองและบ้าอำนาจ เหล่าขันทีและองครักษ์ต่างก็รู้เรื่องนี้ดี แต่ในเมื่อเป็นคนของนาง ด้วยสถานะของพวกเขาแล้ว พวกเขาก็ทำได้เพียงต้องทำตามคำสั่งของนางและลงมือเท่านั้น หากแต่ตอนนี้คนที่นางต้องการจับกุมคือพระชายาหลี! หากลงมือไปพวกเขาก็คงโง่แล้ว เย่เซวียนเล่อเห็นทุกคนทำเหมือนไม่ได้ยินที่ตัวเองพูดก็โกรธ “พวกเจ้าหูหนวกกันรึ? ข้าสั่งให้จับนางสารเลวนั่น!” “นางสารเลว...” ริมฝีปากของฉู่เนี่ยนซีเผยอเล็กน้อย พูดคำว่า ‘นางสารเลว’ โดยพูดสองพยางค์แรกด้วยเสียงเบาและเน้นเสียงที่พยางค์สุดท้าย ทำให้ผู้คนหวาดกลัวไปตาม ๆ กัน จากนั้น นางก็เคลื่อนไหวไปอยู่ตรงหน้าเย่เซวียนเล่อราวกับสายลม เสียงดัง ‘เพียะ! เพียะ!’ ทำเอาทุกคนเบิกตากว้างด้วยความเหลือเชื่อ “กรี๊ด! นะ...นางคนอัปลักษณ์ กล้าดียังไงมาตบข้า?!” เสียง “เพียะ!!!” ดังขึ้นอีกเสี