ระหว่างทางอุณหภูมิก็ลดลงเรื่อย ๆ เมื่อเข้าไปด้านใน นางคิดว่าส่วนในสุดเป็นสาเหตุที่ทำให้อุณหภูมิเย็นลงเป่ยถูดูเหมือนจะเดาความคิดของนางได้ และอดไม่ได้ที่จะยิ้ม “ยิ่งเฉินเกอเข้าใกล้เวลากลางคืน อุณหภูมิร่างกายของเขาก็จะยิ่งร้อนขึ้น นั่นเป็นเหตุผลที่กระหม่อมพาเขามาที่นี่ เพราะยิ่งไกลออกไปจากความมืดมากเท่าไหร่ อุณหภูมิในห้องก็จะยิ่งต่ำลง มีธารน้ำแข็งอยู่รอบ ๆ และมีเตียงน้ำแข็งอยู่ด้านใน กระหม่อมก็เลยจัดเฉินเกอไว้ในนั้นโดยใช้เตียงน้ำแข็งเพื่อคลายความร้อนในร่างกายของเขาพะย่ะค่ะ”“ดังนั้น...ท่านหมายความว่า...ความร้อนที่ปล่อยออกมาจากร่างกายของเขาสามารถบรรเทาความหนาวเย็นในถ้ำแห่งนี้ได้อย่างนั้นหรือ?” ฉู่เนี่ยนซีอดถามไม่ได้เป่ยถูพยักหน้า "ถูกต้อง!"หลังจากได้รับคำตอบยืนยันจากเป่ยถูแล้ว ฉู่เนี่ยนซีก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วนางไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าอุณหภูมิของร่างกายมนุษย์จะสามารถบรรเทาความหนาวเย็นภายในห้องได้จริง ๆ!หากเป็นเช่นนั้น อุณหภูมิของคน ๆ นั้นคงจะสูงจนน่ากลัวยิ่งไปกว่านั้น ตอนกลางคืนเขามีอาการเช่นนี้ แต่ตอนกลางวันกลับเหมือนคนธรรมดาทั่วไป นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าอุณหภูมินี้ไม่ได้ส่งผลกระ
สิ่งนี้ทำให้เป่ยถูดูกังวลมากขึ้น และเขาก็มองไปที่ฉู่เนี่ยนซีทันที "เป็นอย่างไรบ้าง? ตรวจพบอะไรหรือไม่!"ฉู่เนี่ยนซีส่ายหัว "ไม่เลย ร่างกายของเขาร้อนเกินไป ข้าไม่สามารถสัมผัสและตรวจอาการของเขาได้เลย!"“แล้วจะทำอย่างไร ไม่มีทางอื่นแล้วจริง ๆ หรือ?”ฉู่เนี่ยนซีไม่ตอบคำถามของเขา นางมองไปที่เฉินเกอตาไม่กระพริบทันใดนั้นก็ดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ดวงตาของนางก็ส่องประกายขึ้นวาบหนึ่ง!"ข้ามีวิธีแล้ว"ขณะที่กำลังพูด จู่ ๆ นางก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างอยู่ในข้อมือ ฉู่เนี่ยนซีหยิบของชิ้นนั้นออกมาพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อยบนริมฝีปากคำพูดของนางทำให้ความหวังอันริบหรี่แวบขึ้นมาในดวงตาของเป่ยถู เมื่อเขาเห็นของในมือของนาง เขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง "นี่คือ..."“สิ่งนี้เรียกว่าถุงมือ! เมื่อสวมลงบนมือมันจะบางมาก!” ฉู่เนี่ยนซีอธิบายต่อขณะวางสิ่งนั้นไว้บนมือของเขา “เมื่อครู่ข้าเพิ่งสังเกตเห็นว่า แม้ร่างกายของเขาจะร้อน แต่เสื้อผ้าบนตัวเขากลับไม่ร้อนไปด้วย นั่นหมายความว่าความร้อนบนร่างกายของเขาจะเผาไหม้เฉพาะร่างกายของสิ่งมีชีวิตเท่านั้น หากไม่เชื่อท่านสามารถซ่อนมือไว้ในแขนเสื้อแล้วลองสัมผัสเขา
การกระทำของฉู่เนี่ยนซีทำให้ปากของเป่ยถูกระตุก และทันใดนั้นเขาก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย การที่เด็กผู้จ้องมองร่างของผู้ชายเช่นนี้ มันทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ แต่เจ้าตัวกลับดูไม่รู้สึกอะไรเลย ดังนั้นเขาจึงต้องสงบสติอารมณ์ของตัวเอง"เป็นเช่นนี้จริง ๆ ด้วย!"ทันใดนั้นฉู่เนี่ยนซีก็ตะโกนขึ้นอย่างตื่นเต้นเป่ยถูรีบมองตามสายตาของนางไป เขาเห็นส่วนที่นูนขึ้นมาบนร่างกายของเฉินเกอ ซึ่งจากนั้นมันก็หายไป ก่อนจะนูนขึ้นมาอีกครั้งบนจุดอื่น เมื่อเวลาผ่านไป ส่วนนูนก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ และสีหน้าของคนบนเตียงก็ดูดุร้ายมากขึ้น“อ่า..เจ็บ...”อุณหภูมิในห้องเพิ่มขึ้นสองสามองศาตามการเปลี่ยนแปลงของเฉินเกอในเวลานี้ ฉู่เนี่ยนซีรู้สึกราวกับว่ากำลังยืนอยู่ข้างเตาขนาดใหญ่ ซึ่งทำให้ใบหน้าของนางแดงก่ำ และเหงื่อบนหน้าผากก็หยดลงมาที่แก้มของนางนางใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อ และริมฝีปากของนางก็เริ่มซีด ดูอ่อนแรงเล็กน้อยเป่ยถูเหลือบมองฉู่เนี่ยนซี จากนั้นก็ปรับเปลี่ยนกำลังภายในของเขาและค่อย ๆ เอาฝ่ามือเข้าไปใกล้แผ่นหลังของนางการกระทำของเป่ยถูทำให้ฉู่เนี่ยนซีรู้สึกหนาวไปทั่วร่างกาย ความรู้สึกอับชื้นบรรเทาลงเล็กน้อยและผิวของนา
เนื่องจากถูกบดบังจากหน้ากากชนิดพิเศษ แม้ฉู่เนี่ยนซีจะไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของเขาได้ แต่นางก็รู้สึกได้ถึงความมั่นใจจากน้ำเสียงของเขา คนที่มีท่าทีลึกลับเช่นนี้ พลังของเขาต้องไม่ธรรมดาแน่นอน หากเขาส่งคนไปตรวจสอบ คงไม่ยากที่จะหาว่ามีพิษกู่ชนิดนี้ในมณฑลตะวันตกหรือไม่ ฉะนั้น ในเมื่อเขาดูมั่นใจขนาดนี้ ก็คงสันนิษฐานว่าได้ว่าน่าจะเป็นเรื่องจริง ฉู่เนี่ยนซีคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วมองไปยังเฉินเกอที่กำลังมีสีหน้าทุกข์ทรมาน ทันใดนั้นก็พูดขึ้นว่า “แม้ตอนนี้ข้าจะยังไม่มีวิธีรักษา แต่คิดว่าน่าสามารถบรรเทาความเจ็บปวดของเขาได้ หลังจากกลับไป ข้าจะค้นหาวิธีรักษามาให้ ไม่แน่ว่าอาจจะเจอหนทาง” พูดจบ ฉู่เนี่ยนซีก็หยิบสมุนไพรที่มีสำน้ำเงินออกมาจากแขนเสื้อของตนแล้วมอบให้เป่ยถู “นี่คือ...” “นี่คือหญ้าครามน้ำแข็ง ข้าเห็นว่าสวนสมุนไพรของท่านไม่มีสมุนไพรชนิดนี้ มันมีฤทธิ์เย็น บดก่อนแล้วแบ่งเป็นส่วนเท่า ๆ กัน ต้มในน้ำแล้วป้อนให้เขา มันพอจะช่วยบรรเทาให้ความร้อนในร่างกายลดลงได้ แต่จะช่วยได้ไม่นานนัก ทุกหนึ่งชั่วยามจึงจำต้องดื่มหนึ่งถ้วย อีกทั้งสมุนไพรชนิดนี้ก็อยู่ได้เพียงเจ็ดวัน!” ฉู่เนี่ยนซีอธิบายวิธีการใช้ส
“ถึงไหนแล้ว?” เสียงของฉู่เนี่ยนซีแหบแห้งเล็กน้อย นางมองออกไปนอกหน้าต่างและตกตะลึง “ถึงแล้ว?” “พะย่ะค่ะ!” “ตอนแรกข้านั่งเรือมานี่ ไฉนถึงมาอยู่บนรถม้าได้?” “ข้าน้อยอุ้มท่านขึ้นมาเพราะเห็นว่าท่านกำลังหลับสบาย” อวี๋หนานมองฉู่เนี่ยนซีราวกับว่าเขากำลังขอคำชม ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเขาเนือย ๆ จากนั้นก็กระโดดลงจากรถม้า “ขอบคุณที่มาส่ง!” ฉู่เนี่ยนซีกล่าวกับคนขับรถม้า เขาแสดงความเคารพ แล้วฟาดแส้ควบม้าออกไป อวี๋หนานมองไปยังรถม้าที่กำลังออกไป และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลเล็กน้อย “นายหญิง ท่านบอกว่าตอนนี้ดึกมากแล้ว เช่นนั้นท่านอ๋องจะสังเกตเห็นหรือไม่ว่าท่านไม่อยู่ในหอนอน?” “ถ้าเขาไม่มีเรื่องอะไรก็จะไม่มาหาข้าหรอก เขาคงไม่รู้ว่าข้าไม่อยู่” พูดจบ ฉู่เนี่ยนซีก็เดินไปที่ประตูข้าง “พวกเรารีบข้ามกำแพงกลับกันเถอะ” ทั้งสองรีบปีนข้ามกำแพงและเข้าไปในจวนอ๋อง หลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีขอให้อวี๋หนานไปพักผ่อน นางก็ตรงกลับไปยังเรือนนอนของตัวเอง รอบทิศเต็มไปด้วยแสงระยิบระยับ ใบไม้ในลานส่งเสียงกรอบแกรบท่ามกลางสายลมยามค่ำคืน เพิ่มความน่าขนลุกเล็กน้อยให้กับค่ำคืนที่มีอากาศเบาบาง หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั
พูดจบ ฉู่เนี่ยนซีก็หันหลังเตรียมที่จะจากไป เย่เฟยหลีกำมือทั้งสองแน่น จากนั้นก็รีบดึงนางมาไว้ในอ้อมแขนของเขา ริมฝีปากบางอันน่าเย้ายวนของเขาก็ประทับลงบนริมฝีปากสีแดงของนาง “อื้อ...” สัมผัสเยือกเย็นจากริมฝีปากของเขาทำให้ฉู่เนี่ยนซีเบิกตาโพลงขึ้นมาทันที สองมือของนางดันหน้าอกของเขาอย่างแรง พยายามที่จะผลักเขาออกไป แต่เย่เฟยหลีที่กำลังโกรธนั้นแข็งแกร่งกว่าปกติ ไม่ว่านางจะพยายามเพียงใด ก็ไม่สามารถสั่นคลอนเขาได้เลยแม้แต่น้อย จู่ ๆ ฉู่เนี่ยนซีก็นึกอะไรออก จากนั้นก็มีเข็มเงินหลายเล่มอยู่ในมือของนาง และเย่เฟยหลีที่สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของนางแต่แรก ก็รวบมือนางไว้แน่นด้วยมือข้างเดียว “เย่เฟยหลี ท่านมันเลว ปล่อยข้านะ!” ฉู่เนี่ยนซีฉวยโอกาสกัดฟันตะโกนออกมาด้วยความโกรธแค้น ชายที่เสียสติไปแล้วมีหรือจะฟังนาง ในระหว่างที่กำลังอิรุงตุงนังกันอยู่นั้น เขาก็พลิกตัวและทั้งสองก็ล้มลงบนเตียง โดยที่เย่เฟยหลีกดฉู่เนี่ยนซีไว้ใต้ร่างเขาอย่างแน่นหนา เย่เฟยหลีประทับจูบลงไปอีกครั้ง ความอบอุ่น ความนุ่มนวล และความหอมหวานบนริมฝีปากของนางเกือบจะทำให้เย่เฟยหลียั้งใจไว้ไม่อยู่ เมื่อนึกไปถึงเรื่องที่ไม่รู้ว
เย่เฟยหลีควบม้าไปตลอดทางและไม่นานก็มาถึงพระราชวัง ทันทีที่เขาเข้าไปในพระราชวัง เย่เฟยหลีก็ส่งต่อม้าให้กับองครักษ์และตรงไปยังห้องทรงงานขององค์จักรพรรดิทันที องค์จักรพรรดิที่กำลังตรวจฎีกาอยู่ ณ เวลานี้ เมื่อเห็นว่าขันทีมาทูลแจ้ง ก็อดแปลกใจไม่ได้ “ให้เขาเข้ามา!” หลังจากได้รับอนุญาตจากองค์จักรพรรดิแล้ว เย่เฟยหลี่ก็เดินเข้ามา เมื่อเขามองไปรอบ ๆ ก็ไม่เจอคนที่เขาต้องการเห็น ดวงตาของจึงเกิดความสงสัยขึ้นมา หรือว่านางจะไม่ได้เข้าวัง? เย่เฟยหลีเก็บอารมณ์ที่อยู่ภายในใจพลางก้าวไปข้างหน้าและทำความเคารพ “ลูกขอถวายบังคมเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ!” “ลุกขึ้นเถอะ!” องค์จักรพรรดิโบกมือและวางเอกสารในมือลง “วันนี้พวกเจ้าสองสามีภรรยาเป็นอะไรไปกัน ปกติเห็นอยากจะอยู่ห่างจากพระราชวังนัก แต่วันนี้เจ้ากลับขยันเสียนี่” “ซีเอ๋อร์ก็เข้าวังมาด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ?” “เจ้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อตามหาเด็กน้อยคนนั้นรึ?” องค์จักรพรรดิเลิกคิ้ว เย่เฟยหลีผู้ซึ่งไม่เคยสะท้กสะท้านต่อสิ่งใด บัดนี้กลับรู้สึกเขินอายเล็กน้อย “ไม่ทราบว่า...นางมาทำอะไรที่นี่หรือพ่ะย่ะค่ะ?” เย่เฟยหลีรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย องค์จักรพรรดิดูเหมือ
“เรียนพระชายา องค์จักรพรรดิทรงได้ยินว่าพระชายายังไม่ได้รับอาหารเช้า จึงรับสั่งให้คนนำอาหารมาให้เพคะ!” นางกำนัลพูดและโค้งคำนับให้ฉู่เนี่ยนซี “เชิญพระชายาเสวย หม่อมฉันจะกลับมาเก็บภายหลัง” พูดจบ นางกำนัลก็ขอตัวออกไป ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองอาหารบนโต๊ะแล้วเลิกคิ้ว มีแต่อาหารที่นางชอบ... ‘หรือว่าวันนี้ในวังจะทำอาหารพวกนี้พอดี? ช่างโชคดีเสียจริง’ กลิ่นของอาหารยังโชยเข้าจมูกอย่างต่อเนื่อง ทำให้ฉู่เนี่ยนซีรู้สึกหิวยิ่งขึ้น นางวางตำราในมือลง หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วเริ่มรับประทานอาหาร ถึงกระนั้น ใบหน้าของนางก็ยังคงมีความสง่างามอยู่ เมื่อฉู่เนี่ยนซีทานอาหารจนพอใจแล้ว พลันก็มีเสียงคนด่าทออย่างรุนแรงดังมาจากทางบันได “เจ้ากล้าทานข้าวในหอตำราหลวงได้อย่างไร! ใครหน้าไหนมันทำให้เจ้ากล้าทำตัวสามหาวได้เช่นนี้?!” ฉู่เนี่ยนซีเห็นสตรีรูปงามในชุดสีชมพูตามด้วยสาวใช้สองคนที่กำลังเดินมาหานาง พลางมองนางด้วยความโกรธ “ข้าก็นึกว่าใคร เป็นเจ้านี่เอง พูดก็พูดเถอะ เหตุใดคนไร้ความสามารถที่จู่ ๆ ก็โด่งดัง ถึงได้มาซุ่มอ่านตำราที่หอตำราในวังตั้งแต่เช้า ที่แท้เจ้าก็ทำเพื่อตบตาคนอื่น สุดท้ายก็คงจะเป็นเพราะพี่สา