สนามรบอีกแห่งหยุนเจิงและกองทัพแปดหมื่นคนฉินชีหู่ได้เผชิญหน้ากันกับกองทหารห้าพันคนของไห่เจ๋อที่อยู่ห่างกันไม่ถึงสิบลี้หน่วยสอดแนมตรวจสอบชัดเจน ทัพศัตรูอีกกองไปทำสงครามกับโปหลวน ตอนนี้กองกำลังที่มาสกัดพวกเขา มีเพียงม้าและคนไม่กี่พันคน“เหตุใดมีคนเพียงเท่านี้?”หยุนเจิงขยับยืดเส้นยืดสายลำคอ ใบหน้าเผยรอยยิ้มโหดเหี้ยม “คนเพียงเท่านี้ ก็ขัดจะขัดขวางพวกเรา?”“น้องชาย เจ้าอย่าประมาท!”ฉินชีหู่กล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “สิงโตกระโจนเข้าหากระต่าย ต้องทุ่มเข้าไปสุดแรง! ทัพศัตรูกองนี้เป็นทหารชั้นยอดที่แข็งแกร่งของเป่ยหวน พวกเราจำเป็นทุ่มเข้าไปสุดแรง!”“วางใจ ทุ่มสุดแรงเป็นเรื่องแน่นอน!”หยุนเจิงพยักหน้า จากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง “ส่วนทหารชั้นยอดหรือ? คนที่ข้าจะตีก็คือทหารชั้นยอด!”ท้าทายศัตรูอย่างมีกลยุทธ์ มุ่งความสนใจไปที่ศัตรูอย่างมีกลยุทธ์!ฉินชีหู่ชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะตาม “ใช่ พวกเราจะตีทหารชั้นยอดของเป่ยหวนโดยเฉพาะ!”หยุนเจิงออกคำสั่งทันที “สั่งอวี๋จู้ นำทหารสองพันคนไปยังปีกซ้าย ออกล่าทางปีกซ้าย! ถ่ายทอดคำสั่งเสิ่นลั่วเยี่ยน ให้เช้าประชิดกองกำลังของข้า เปิดฉากล่าทัพศัตรูทา
ฉินชีหู่โบกร่ายรำดาบใหญ่ในมือ ด้านหนึ่งห้ำหั่นทัพศัตรู ด้านหนึ่งตะโกนร้องโหวกเหวกส่วนอีกด้านหนึ่ง หยุนเจิงนำทหารองครักษ์บุกเข้าไปไม่ได้หยุด“เกร๊งๆๆ...”บนสนามรบ เสียงกระทับกันของดาบดังต่อเนื่องทหารชั้นยอดหนึ่งหมื่นของหยุนเจิง ใช้อาวุธที่ทำมาจากเหล็กลายบุปผาหลอมขึ้นด้วยวิธีใหม่ท่ามกลางเสียงกระทบกระทั่งของดาบ ดาบสันโค้งของทหารม้าเป่ยหวนถูกฟาดจนหักท่อนอย่างต่อเนื่องทางด้านปีกซ้ายของพวกเขา อวี๋จู้นำกำลังทหารม้าสองพันคน เปิดฉากล่าทัพศัตรูด้วยธนูไม่หยุดไห่เจ๋ออยากนำกำลังโจมตีเหล่ามือธนูที่น่ารังเกียจและอันตรายเหล่านี้ ทว่าไม่มีโอกาสหลังจากโจมตีไร้ผลอยู่หลายครั้ง ไห่เจ๋อกำหนดเป้าหมายเป็นธงอักษรซ้วยของหยุนเจิงอย่างรวดเร็ว“บุก! บุกไปยังธงอักษรซ้วยของทัพศัตรู!”“หยุนเจิง นั่นเป็นหยุนเจิงศัตรูตัวใหญ่ที่สุดของพวกเราเป่ยหวน!”“จัดการเขาซะ!”ไห่เจ๋อเลือดขึ้นตาจับจ้องธงอักษรซ้วยของหยุนเจิง คำรามด้วยความอาฆาตสิ้นเสียงร้องคำรามของไห๋เจ๋อ ทหารองครักษ์กลุ่มหนึ่งเริ่มติดตามไห่เจ๋อพุ่งไปหาธงอักษรซ้วยของหยุนจิงการโจมตีของไห่เจ๋อและองครักษ์ของเขา สร้างความเสียหายหนักในหับทหารม้าต้าเฉี
อะไรนะ?เมื่อได้ฟังคำพูดของหน่วยสอดแนม หยุนเจิงแทบกระโดดลุกขึ้นมาด่ามารดาโปหลวนไอสวะไร้ประโยชน์!คนและม้าเกือบสองหมื่น ถูกลำลายสิ้นด้วยคนไม่กี่พันคน?มารดาเขาสิเป็นแค่ฝูงอีการวมตัวกันจริงๆ!“ทัพศัตรูประมาณกี่คน?”หยุนเจิงถามด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความเดือดดาล“ประมาณเจ็ดแปดพันคน!”หน่วยสอดแนมตอบกลับกระหืดกระหอบ“เท่าใด?”เมี่ยวอินมองหน่วยสอดแนมอย่างไม่เชื่อสายตาทัพศัตรูรวมทั้งหมดมีหมื่นกว่าคน ทางนี้พวกเขามีอย่างน้อยห้าพันคนกองกำลังอีกกองทำสงครามใหญ่กับโปหลวน ถึงเช่นไรก็ควรมีคนบาดเจ็บบ้างกระมัง?เหตุใดรู้สึกว่าจำนวนคนของทัพศัตรูยิ่งอยู่ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว?“น่าจะเป็นทัพศัตรูรวมกับเศษส่วนหนึ่งของกองกำลังโปหลวน!”หยุนเจิงข่มกลั้นอารมณ์คุกกรุ่นที่อยากด่ามารดาเอาไว้ จากนั้นก็ถามหน่วยสอดแนม “รู้ว่าแม่ทัพหลักของทัพศัตรูเป็นใครหรือไม่?”“น่าจะเป็นฮูเจี๋ยนำทัพด้วยตัวเอง!”หน่วยสอดแนมตอบ “ประมุขใหญ่ของทัพศัตรูแขวนธงอ๋อง!”ฮูเจี๋ย?เมื่อได้ฟังคำของหน่วยสอดแรม หยุนเจิงและทุกคนข้างกายหนังตากระตุกฮูเจี๋ยนำทัพมาด้วยตัวเอง?หากเป็นฮูเจี๋ยนำกองทหารม้าชั้นยอดมาด้วยตัวเอง เช่นนั
หลังเสียงกีบเท้าม้าเป่ยหวน ทั้งฝืนดินเหมือนกับกำลังสั่นไหว“พวกเรา จงกลายเป็นฝันร้ายของเป่ยหวน!หยุนเจิงคำราม ปลายมีดชี้ไปยังกองทัพที่นำโดยฮูเจี๋ย ตะโกนอย่างโหดเหี้ยม “ฆ่า!”“ฆ่า!”ทันใดนั้น ทหารต้าเฉียนราวกับหมาป่าหิวกระหาย แย่งกันพุ่งเข้าใส่ทัพศัตรูเวลาเดียวกัน ฮูเจี๋ยนำกองทัพบุกเข้ามาไม่หยุดดูทหารม้าต้าเฉียนพลังอำนาจดุจสายรุ้ง ฮูเจี๋ยรู้ กองกำลังไห่เจ๋อหลายพันคนพังทลายหมดแล้วเขาเสียลูกชายด้วยน้ำมือชายต้าเฉียนอีกแล้ว!ลูกชายสี่คนของเขา ตายไปแล้วสามคน!ภายในนั้น สองคนล้วนตายด้วยน้ำมือหยุนเจิง!หยุนเจิง!หยุนเจิงที่สมควรตาย!เป่ยหวนมีจุดจบหน้าอนาถอย่างทุกวันนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือหยุนเจิง!ต่อให้สู้จนกองทัพล่มสลายย่อยยับ ก็ต้องประหารหยุนเจิงให้ได้!เพื่อกำจัดตัวหายนะของเป่ยหวนให้สิ้นซาก!ฮูเจี๋ยไม่ทันได้เจ็บปวดเสียใจ ในใจมีไฟโทสะกำลังเผาไหม้อย่างบ้าคลั่งไม่มีสิ้นสุดไม่สนว่าต้องแลกด้วยสิ่งใด ก็ต้องสังหารหยุนเจิงให้ได้!“ฆ่า!”“ฆ่า!”“ฆ่า!”ฮูเจี๋ยร้องคำรามด้วยสองตาแดงเป้าหมายของฮูเจี๋ย มีเพียงหยุนเจิง!ภายใต้เสียงคำรามสุดเสียงของฮูเจี๋ย ไฟโทสะภายในกายทหารเป่ย
เวลานี้ หยุนเจิงฆ่าจนตาแดงเช่นกันหยุนเจิงเวลานี้ ราวกับเปลี่ยนเป็นสัตว์ร้ายดาบในมือเขาแม้แหลมคม ทว่าก็ทนรับการฟันอย่างต่อเนื่องไม่ไหวดาบแตกหัก หยุนเจิงรับอาวุธจากทหารองครักษ์ที่ส่งมาให้บุกฆ่าต่อไปช่วงเวลาคลุมเครือ หยุนเจิงรู้ถึงเหมือนตัวเองถูกยุงกัดเขารู้ว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บแล้วแต่ตอนนี้แม้แต่จะตรวจสอบบาดแผลเขาก็ยังไม่มีเวลา ทำได้เพียงนำทัพบุกฆ่าต่อไปฆ่าไป ฆ่ามา เงาหยาบกร้านแต่ทรงพลังอำนาจมีปรากฎต่อหน้าหยุนเจิงดาบสันโค้งในมือคนผู้นี้ไม่ใช่สิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปในเป่ยหวน เป็นดาบที่คล้ายกับดาบทวนกวนกงหยุนเจิงไม่แม้แต่จะไปพิจารณาว่าคนผู้นี้เป็นใคร ขอแค่ไม่ได้สวมชุดเกราะของต้าเฉียน ทั้งหมดล้วนเป็นศัตรู!ฆ่า!หยุนเจิงก่นเสียงคำรามในใจ บุกไปโดยไม่สนสิ่งใดทั้งนั้น“แกร๊ง!”เสียงกระแทกกัน หยุนเจิ้งสั่นสะเทือนหงายไปด้านหลังทันทีด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัวของสัตว์ประหลาดหน้าขนที่อยู่ตรงหน้าความแข็งแกร่งที่ยิ่งใหญ่ ทำให้ดาบในมือหยุนเจิงหลุดปลิวออกไปนาทีนี้ สัตว์ประหลาดหน้าขนฟันลงมาอย่างดุดันหยุนเจิงยังไม่ทันได้ตั้งตัว ทำได้เพียงดึงบังเหียน“ฮี้...”ขาหน้าของม้าศึกยกห่
“ไม่เป็นไร ไม่ตายหรอก!”หยุนเจิงยิ้มมุมปาก “เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”“ข้าไม่เป็นไร”เมี่ยวอินส่ายหน้า จากนั้นก็ถลึงตาใส่หยุนเจิงอย่างหงุดหงิด “เสียแรงเจ้าเป็นแม่ทัพหลักของกองทัพ ตอนที่บุกเข้าขบวนศัตรู อย่างกับคนบ้า! ยังดีที่เจ้าไม่ได้ขี่ย่ำเหมันต์ มิฉะนั้น พวกเราคงตามเจ้าไม่ทันแล้ว...”หยุนเจิงหัวเราะ กล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “บุกมาถึงตรงนี้แล้ว อย่าว่าแต่แม่ทัพหลักเลย ต่อให้เป็นจักรพรรดิมาเองก็ต้องบุกฆ่าเหมือนกัน!”ผู้ชาย ย่อมต้องมีเวลาหุนหันพลันแล่นไม่ใช่บนเตียง ก็ต้องบนสนามรบบุกมาถึงขั้นนี้แล้ว ใครจะสนว่าจะสมเหตุสมผลหรือไม่!เวลานี้ มีเพียงเจ้าตายข้าอยู่!ทุกคนล้วนกำลังฆ่าอย่างบ้าคลั่งต่อให้เขาหลบบัญชาการอยู่ด้านหลัง ก็ไม่ได้มีความหมายใดมากนักคนฆ่าจนตาแดง เกรงว่าแม้แต่คำสั่งกองทัพล้วนไม่ฟังแล้ว อย่าว่าแต่ปฏิบัติตามคำสั่งทหารเลยสองสนามรบใหญ่ติดต่อกัน ตั้งแต่เวลาช่วงเที่ยงจนถึงยามตะวันรอนหลังการพังทลายของทหารม้าเป่ยหวน หยุนเจิงจัดคนช่วยเหลือผู้บาดเจ็บอย่างรวดเร็วในใจเขารู้ดี สงครามใหญ่ที่ปะทะกันโดยตรงติดต่อกันสองครั้ง ความเสียหายของพวกเขาหนักมากถึงที่สุดนี่ไม่เหม
“เจ้าคิดจะหลอกล่อทิศทางการไล่ล่าของทัพศัตรู?”เมี่ยวอินด้านหนึ่งพันแผลให้หยุนเจิง ด้านหนึ่งไถ่ถาม“อืม!”หยุนเจิงพยักหน้าเบาๆ “ทันทีที่ทัพศัตรูได้ข่าวการตายของฮูเจี๋ย เป็นไปได้มากว่าจะส่งคนมาไล่ล่าพวกเรา! หากสามารถล่อทัพศัตรูไปยังทิศทางตรงกันข้ามไห้ ต่อให้พวกเราถูกศัตรูไล่ล่า ต้องปะทะกับพวกเขาอีกสนาม โอกาสชนะก็จะมีมากขึ้นหน่อย“พวกเราต้องต่อสู้ต่อไป เช่นนั้น...”เมี่ยวอินอยากจะกล่าวแต่ก็หยุดไว้“ข้ารู้”หยุนเจิงพยักหน้า กล่าวด้วยความจนใจ “ข้าไม่อยากสู้กับทัพศัตรูอีก แต่เกรงว่าทัพศัตรูจะบ้าคลั่ง ต้องตามมาสู้กับเราให้ได้ วางแผนเอาไว้ก่อน อย่างน้อยก็มีความหวังเพิ่มขึ้นอีกหน่อยไม่ใช่หรือ?”เวลานี้แล้ว นอกจากพวกคลั่งสงครามอย่างฉินชีหู่ ใครบ้างคิดจะไปปะทะกับทัพศัตรู!ผลลัพธ์ของสงครามครั้งนี้พวกเขาได้มามากเพียงพอแล้วแน่นอน ความเสียหายก็มากเกินพอเช่นกันต่อไป ไม่มีผลสงครามใด ให้คนเหล่านี้ที่เหลือแยกย้ายกลับไปใช้ชีวิต ก็นับว่าเป็นชัยชนะยิ่งใหญ่ที่สุดแล้วแต่พวกเขาคิดอยากถอย ทัพศัตรูอาจไม่อยากให้พวกเขาถอย!ถึงเช่นไร ประมุขใหญ่เป่ยหวนล้วนถูกกำจัดแล้ว“ก็จริง!”เมี่ยวอินพยักหน้า จา
“ไม่ได้รับบาดเจ็บก็แปลกแล้ว!”ฉินชีหู่หัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้มองฉินชีหู่ “รีบพันแผลก่อน! ข้าเห็นว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บแล้ว!”กล่าวจบ เสิ่นลั่วเยี่ยนชี้บาดแผลที่หลังของฉินชีหู่“ข้าได้รับบาดเจ็บหรือ?”ฉินชีหู่สีหน้ามึนงง จากนั้นก็ขยับแผ่นหลังเมื่อขยับ แผ่นหลังพลันรู้สึกเจ็บออกมา“ได้รับบาดเจ็บจริงด้วย?”ฉินชีหู่สีหน้าสับสน “มารดาสิ ข้าได้รับบาดเจ็บเช่นไร?”เมื่อได้ฟังคำของฉินชีหู่ ทุกคนสีหน้าดำอึมครึมอย่างควบคุมไม่อยู่แม้แต่บาดเจ็บได้เช่นไรเขาล้วนไม่รู้?หยุนเจิงแม้ไม่รู้ว่าเขาถูกใครทำให้บาดเจ็บ แต่อย่างน้อยเขาก็ยังรู้ว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บเพียงแต่ตอนนั้นกำลังตะลุมบอนกับคนอื่น เขาไม่มีจิตใจไปดูอาการเท่านั้นส่วนเจ้านี่ แม้กระทั่งตัวเองได้รับบาดเจ็บยังไม่รู้ตัว?ยังหน้าชื่นตาบานอยู่ตรงนี้เสิ่นลั่วเยี่ยนมองเขาด้วยรอยยิ้มฝืน จากนั้นก็กล่าวด้วยความสำนึกผิด “ใต้สังกัดฮูเจี๋ยมีนายพลกล้าคนหนึ่ง ตอนที่ข้าปะทะเขา ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา เจ้ารีบเข้ามาช่วยข้า ถูกคนผู้นั้นลอบโจมตีที่แผ่นหลัง...”ตอนนั้นนางเห็นเข้าในช่วงเวลาคลุมเครือแต่สถานการณ์โดยรวม นางเองก็เห็นไม่ชัดถึงเช
หากมิใช่เพราะจักรพรรดิเหวินทรงเตือน เขาคงมิได้คำนึงถึงปัญหานี้เลย “พอแล้ว!” จักรพรรดิเหวินโบกพระหัตถ์ “ข้าจะออกเดินทางในไม่ช้า เจ้าอย่ามาติดตามข้าเลย ไปจัดการธุระของเจ้าเถิด!” “เสด็จพ่อจะเสด็จตอนนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” หยุนเจิงรู้สึกแปลกใจ“ข้าควรไปแล้ว! การปล่อยให้พี่สามของเจ้าติดอยู่ที่ฟู่โจวตลอดก็ไม่ดี” จักรพรรดิเหวินตรัสด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “เจ้าอย่ามาส่งข้าเลย ไปๆ มาๆ จะเสียเวลาไม่น้อย” “เอ่อ…” หยุนเจิงรู้สึกกระดากใจเล็กน้อย “ลูกขอส่งเสด็จพ่อออกจากด่านเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” เขายังต้องไปที่ค่ายใหญ่บนเขาห่านป่าหวนกลับอีกครั้ง หากออกเดินทางจากชายแดนชิงจะช่วยประหยัดเวลาไปไม่น้อย ทว่าหากจักรพรรดิเหวินจะเสด็จจากไป แล้วเขาไม่ส่งเสด็จ ดูเหมือนจะมิใช่เรื่องสมควร “ไม่ต้องแล้ว!” จักรพรรดิเหวินทรงปฏิเสธทันที “อย่างไรเสียเจ้าก็ยังต้องพาเจียเหยาไปที่ฟู่โจวอยู่ดี! เรื่องในมือเจ้าก็ยังมีอีกมากมาย อย่าเสียเวลาเลย เรื่องบ้านเมืองสำคัญกว่า!” เป็นเช่นนี้หรือ? หยุนเจิงลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ลูกขอส่งเสด็จพ่อไปถึงชายแดนกู้เถิดพ่ะย่ะค่ะ!” “ก็ได้!” จักรพ
จักรพรรดิเหวินอาจอยู่ในเมืองหลวงนานเกินไป หรืออาจเป็นเพราะอยากสำรวจความมั่งคั่งของหยุนเจิง ในไม่กี่วันที่ผ่านมา จักรพรรดิเหวินให้หยุนเจิงพาไปชมสถานที่หลายแห่ง เยี่ยจื่อและเสิ่นลั่วเยี่ยนตั้งครรภ์อยู่ ส่วนเมี่ยวอินไม่อยากพบกับจักรพรรดิเหวินบ่อยนัก จักรพรรดิเหวินจึงเลือกให้หยุนเจิงเป็นผู้ติดตามเพียงคนเดียว ในช่วงหลายวันนั้น จักรพรรดิเหวินได้ไปชมเหมืองถ่านหิน โรงงานผลิตถ่านน้ำผึ้ง โรงงานปูนซีเมนต์ และเตาเผาต่างๆ อย่างครบถ้วน โชคดีอย่างเดียวคือ จักรพรรดิเหวินไม่ได้ไปดูโรงงานผลิตเกลือบริสุทธิ์ ไม่แน่ชัดว่าจักรพรรดิเหวินตั้งใจหรือไม่ แต่ครั้งนี้พระองค์ไม่ได้ไปชมกองทัพซั่วเป่ย สิ่งที่พระองค์สนใจล้วนเป็นเรื่องเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน ในที่สุด หยุนเจิงก็ไม่อาจขัดขวางจักรพรรดิเหวินไม่ให้เดินทางไปยังชายแดนชิงเปียนได้ หยุนเจิงนำกองทัพองครักษ์ของตน พร้อมด้วยทหารองครักษ์ส่วนพระองค์ที่นำโดยโจวไต้ เดินทางไปยังชิงเปียนพร้อมจักรพรรดิเหวิน ระหว่างทางไปยังชิงเปียน หิมะหนาแน่นราวขนนกก็เริ่มตกลงมา จักรพรรดิเหวินยืนอยู่บนกำแพงเมืองชิงเปียน มือไขว้หลังโดยไม่ขยับเขยื้อน
พวกเขาล้วนเป็นคนใกล้ชิดของหยุนลี่ หยุนลี่จึงมิได้ปิดบัง ตั้งใจบอกเรื่องที่ต้องการซุ่มโจมตีหยุนเจิงในหัวเมืองสี่ทิศให้พวกเขารับรู้ เมื่อทราบแผนการของหยุนลี่ มีเพียงหยวนกุยที่ยังคงสงบนิ่ง ขณะที่คนอื่นต่างตกใจไปตามๆ กัน หยวนกุยหลังจากชดเชยความผิด ก็ได้รับตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการทหารในสำนักไทจื่อ แม้จะมิได้บัญชาทหารมากมาย แต่เขามีความภักดีอย่างยิ่ง ในการเดินทางครั้งนี้ หยุนลี่จึงพาหยวนกุยมาด้วย เฉียวเหยียนเซียน หัวหน้าทหารรักษาการณ์ซ้ายของไทจื่อขมวดคิ้ว กล่าวขึ้นว่า “ฝ่าบาท ด้วยฐานะของหยุนเจิง หากไร้พระราชโองการ ใครเล่าจะ…” “เรื่องนี้ เจ้าต้องคอยเตือนข้าด้วยหรือ?” หยุนลี่ขัดจังหวะเฉียวเหยียนเซียน “เรื่องนี้ ข้าจะหารือกับเสด็จพ่อเอง! อย่างไรก็ดี พวกเราต้องเตรียมพร้อมสำหรับกรณีที่เสด็จพ่อไม่เห็นชอบ! นี่คือโอกาสทองในการซุ่มโจมตีหยุนเจิง หลังจากนี้ คงไม่มีโอกาสเช่นนี้อีก!” ครั้งนี้ หยุนลี่ตัดสินใจแน่วแน่ ไม่ว่าองค์จักรพรรดิเหวินจะทรงเห็นด้วยหรือไม่ เขาก็คิดจะลองสังหารหยุนเจิงอยู่ดี ในตอนนี้ หยุนเจิงเปรียบดั่งดาบที่แขวนอยู่บนคอเขา หากหยุนเจิงยังมีชีวิตอยู่ เขาย่อ
บรรยากาศในมื้ออาหารนี้ไม่สู้ดีนัก หยุนลี่มีความขุ่นเคืองในใจ แต่ไม่อาจระบายออกได้ ต้องพยายามปลอบประโลมบรรดาแม่ทัพ จึงไม่มีทางจะอารมณ์ดีได้เลย หลังอาหาร หยุนลี่ได้เอ่ยปากเชิญโจวเต้ากงให้เดินพูดคุยเป็นการส่วนตัว โจวเต้ากงก็ไม่รู้ว่าหยุนลี่ต้องการสิ่งใด แต่ก็จำต้องตอบรับ หยุนลี่กอดอก เดินนำโจวเต้ากงไปยังลานกว้างในค่ายทหาร “เจ้าคิดเห็นอย่างไรกับหยุนเจิง?” ขณะเดินอยู่ หยุนลี่ก็เอ่ยถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน คิดเห็นต่อหยุนเจิงหรือ?โจวเต้ากงสะดุ้งในใจ รีบตอบกลับไปว่า “องค์ชายหกทรงเป็นโอรสสวรรค์ ข้าน้อยไม่บังอาจแสดงความคิดเห็นโดยพลการ” “ไม่เป็นไร กล่าวตามที่เจ้าคิดเถิด” หยุนลี่กล่าวอย่างเรียบเฉย เมื่อเห็นหยุนลี่ยืนกรานจะถาม โจวเต้ากงก็จำต้องตอบไปด้วยความหวั่นเกรง “องค์ชายหกทรงมีฝีมือในการศึก ปราบปรามศัตรูอย่างกล้าหาญ นับเป็นคุณูปการใหญ่หลวงต่อแผ่นดินต้าฉวน! แต่การที่ทรงมีอำนาจทหารอยู่ในพระหัตถ์และไม่เชื่อฟังราชโองการนั้น กลายเป็นภัยใหญ่หลวงต่อราชสำนัก...” เมื่ออยู่ต่อหน้าหยุนลี่ในฐานะรัชทายาท โจวเต้ากงจึงจำต้องกล่าวเช่นนี้ หยุนลี่รู้สึกพอใจกับคำตอบของโจวเต้ากง จ
เมื่อได้ฟังโจวเต้ากงบ่นอย่างนี้ หยุนลี่ก็เดาได้ทันทีว่าเจ้านี่ต้องการพูดอะไรต่อไป ชัดเลย เขาคงจะมาขอเกราะจากตนแน่ๆ ใช่ไหม? “พอแล้วๆ!” หยุนลี่ขัดจังหวะคำพูดของโจวเต้ากง “ที่นี่ยังขาดเกราะอีกเท่าไหร่?” “หนึ่งหมื่นสามพันชุด” โจวเต้ากงตอบทันที “ขาดมากขนาดนี้เลย?” ใบหน้าของหยุนลี่กระตุกเล็กน้อย “ตามที่เจ้าพูด คนหนึ่งหมื่นที่ประจำอยู่ห่างออกไปสิบห้าลี้ก็แทบไม่มีเกราะเลยใช่ไหม?” “พ่ะย่ะค่ะ!” โจวเต้ากงพยักหน้า “หนึ่งหมื่นนั้นล้วนเป็นทหารที่เพิ่งเกณฑ์ใหม่ และตอนนี้กำลังฝึกซ้อมอยู่ที่นั่น…” ฝึกซ้อม? ใบหน้าของหยุนลี่มืดครึ้ม เกือบจะสบถออกมา ไม่มีเกราะป้องกัน นี่ก็เรียกว่าฝึกซ้อมหรือไงวะ? นี่มันเรียกว่าทิ้งข้าวเปลืองเบี้ยเลี้ยงมากกว่า! ถ้าเจ้าหกยกพลบุกมา จะหวังพึ่งคนพวกนี้ได้ไหม? พวกทหารนี่คงเป็นแค่เป้าซ้อมมือให้เจ้าหกไม่ใช่หรือไง? บ้าบอคอแตก! แนวป้องกันนี่ ไม่มีเสียยังจะดีกว่า! อย่างนี้ ราชสำนักยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้มหาศาลอีกด้วย! หยุนลี่โมโหจนแทบจะระเบิด แต่ก็ไม่อาจระบายความโกรธใส่โจวเต้ากงได้ เรื่องนี้จะไปโทษโจวเต้ากงก็ไม่ได้! เกรา
ฟู่โจวหัวเมืองเมืองสี่ทิศนี่คือพื้นที่ที่ใกล้กับซั่วเป่ยที่สุดของฟู่โจว หยุนเจิงจะจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาที่ฟู่โจว การสร้างจวนอ๋องใหม่ในเวลาสั้นๆ เป็นไปไม่ได้ จึงต้องซื้อจวนจากเหล่าขุนนางใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศแทน เดิมทีเรื่องนี้ควรเป็นหน้าที่ของหยุนลี่ องค์รัชทายาท ที่จะช่วยดูแลจัดการ แต่หยุนลี่ไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย สั่งให้ขุนนางในกรมพิธีการตัดสินใจกันเอง เขาเกลียดชังหยุนเจิงจนแทบอยากสับร่างหยุนเจิงเป็นชิ้นๆ แล้วจะให้เขามาช่วยเลือกจวนให้อย่างนั้นหรือ? ถ้าให้ช่วยเลือกโลงศพแทน เขาคงรีบทำอย่างกระตือรือร้นแน่! หลังจากโยนเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ให้ขุนนางระดับล่างจัดการ หยุนลี่ก็พาคนเดินทางไปยังค่ายใหญ่หัวเมืองสี่ทิศ นับตั้งแต่จ้าวจี๋นำทัพไปยังเขตตะวันตกเฉียงเหนือ ฟู่โจวก็เหลือเพียงกองกำลังสามหมื่นนาย และกองกำลังทั้งสามหมื่นนายนี้ก็เกือบทั้งหมดประจำอยู่ในหัวเมืองสี่ทิศ หยุนลี่ไม่หวั่นเกรงที่จะถูกตำหนิเรื่องการติดต่อกับแม่ทัพในกองทัพโดยพลการ การตรวจสอบค่ายใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศ เป็นภารกิจที่จักรพรรดิเหวินมอบหมายให้เขาก่อนที่จะเดินทางไปยังซั่วเป่ย เมื่อหยุนลี่พาคนมา
“เสด็จพ่อ ที่ซั่วเป่ยขาดแคลนอาหารอย่างหนัก!” หยุนเจิงกล่าวด้วยสีหน้าทุกข์ใจ “ตอนนี้ลูกไม่ได้ดูแลแค่ชาวซั่วเป่ย แต่ยังต้องเลี้ยงดูคนในเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือ อีกทั้งเป่ยหมัวถัว กุ่ยฟาง เป่ยหวน ทุกพื้นที่เหล่านี้…” “คำพูดพวกนี้ไปบอกพี่สามของเจ้าสิ อย่ามาพูดกับข้า!” จักรพรรดิเหวินไม่ฟังคำพร่ำบ่นของหยุนเจิง ตัดบทอย่างไร้เยื่อใย บอกกับเจ้าสาม? หยุนเจิงเบะปาก แค่มันเทศในห้องใต้ดินนี้ เจ้าสามจะซื้อไหวหรือ? ตามราคาที่ตนตั้งไว้ก่อนหน้า ถ้าเจ้าสามไม่จ่ายเงินออกมาสักหลายล้านตำลึง คงไม่มีทางซื้อมันเทศในห้องนี้ได้ ถ้าถึงขั้นนั้น เจ้าสามคงต้องกลายเป็นหัวหน้าแผนกปล้นบ้านประจำราชสำนักต้าเฉียนแน่! มองเห็นสีหน้าขัดใจของหยุนเจิง จักรพรรดิเหวินวางมันเทศในมือ พลางตบไหล่หยุนเจิงอย่างแรง “จงจำไว้ ประชาชนในเขตในก็ล้วนเป็นราษฎรในความดูแลของเจ้า!” นั่นไง! เริ่มมาล้างสมองกันอีกแล้ว! หยุนเจิงบ่นในใจ พลางเปลี่ยนเรื่องถาม “เสด็จพ่ออยากลองชิมรสมันเทศนี่ไหม?” “ตอนนี้เลย?” จักรพรรดิเหวินแปลกใจเล็กน้อย “อื้ม” หยุนเจิงพยักหน้า “มันเทศนี่ปอกเปลือกแล้วกินดิบได้ กินน้อ
ผ่านไปไม่กี่วัน พวกเขาก็เดินทางกลับถึงเมืองติ้งเป่ยจนได้ ด้วยเหตุที่จักรพรรดิเหวินทรงกำชับไว้ล่วงหน้า การเสด็จมายังเมืองติ้งเป่ยครั้งนี้จึงถูกปิดเป็นความลับอย่างเข้มงวด มีเพียงผู้คนในจวนอ๋องเท่านั้นที่รับทราบ ครั้นถึงเมืองติ้งเป่ย จักรพรรดิเหวินก็ไม่ได้รีบไปยังจวนอ๋องในทันที แต่กลับยืนกรานให้หยุนเจิงพาไปชมมันเทศเสียก่อน ถึงกับดึงตัวไปก็ยังไม่ยอม หยุนเจิงถึงกับเอ่ยว่าให้คนยกมันเทศมาถวายให้ทอดพระเนตรที่จวนก็ยังไม่ยอม ทั้งยังยืนกรานจะไปดูด้วยพระองค์เองที่ห้องใต้ดินเก็บมันเทศ หยุนเจิงเริ่มระแวงหนักว่าตาแก่นี้คงกลัวว่าตนจะยกมันเทศไม่กี่หัวมาหลอกให้พอพระทัย จึงต้องการไปตรวจดูคลังสำรองเสียก่อนว่าจะสามารถยึดมันเทศไปจากตนได้สักเท่าใด ด้วยการยืนกรานของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงจึงจำต้องพาไปยังสถานที่เก็บมันเทศแห่งหนึ่ง แม้ว่ามันเทศจะถูกแบ่งเก็บไว้ในห้องใต้ดินหลายแห่ง แต่สถานที่เหล่านั้นก็อยู่ติดกัน เพื่อให้สะดวกต่อการจัดการยามเฝ้ารักษา จักรพรรดิเหวินเพียงลงจากรถม้า ก็เห็นกองทหารจำนวนมากสวมเกราะพร้อมอาวุธครบมือ “เจ้าช่างเฝ้าแน่นหนาดีจริง! หรือเจ้ากลัวใครจะมาขโมยมันเทศของเจ
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ