คนเยอะกำลังมาก เพิ่งผ่านช่วงเย็นไป ต้นแบบของโรงหลอมก็ปรากฏขึ้นแล้วถึงจะหยาบไปหน่อย แต่ขอแค่ใช้งานได้ก็เป็นพอ!เรื่องอื่นสามารถใช้ไปแก้ไปได้ขณะที่เข้าใกล้ช่วงค่ำ ฮั่วกู้ก็ได้ส่งคนนำชุดเกราะหนึ่งพันชุดมาให้คนที่รับผิดชอบนำชุดเกราะมาส่งคือหม่าเซียนและทหารร้อยนายของเขาพวกเขาเพิ่งเข้าใกล้ที่หมาย ก็ได้กลิ่นหอมกรุ่นของเนื้อกลิ่นหอมที่ลอยแตะจมูกทำให้ผู้คนอดกลืนน้ำลายไม่ได้“หม่าโถวเอ๋อร์ ทหารพวกนี้กินอะไรอยู่กัน? กลิ่นหอมเชียว!”ทหารหวังกุ้ยพลางกลืนน้ำลายพลางถามหม่าเซียน“ไร้สาระ!”หม่าเซียนตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “ปกติเจ้าชอบบอกว่าตนเป็นจมูกสุนัขไม่ใช่หรือ? กลิ่นหอมของเนื้อชัดเจนปานนี้ดมไม่ออกหรือ?”“ข้ารู้ว่านี่กลิ่นหอมจากเนื้อ!”หวังกุ้ยกลืนน้ำลายอีกครั้ง “แต่ข้าไม่เชื่อหรอกว่าทหารพวกนี้จะได้กินเนื้อน่ะ!”กินเนื้อสำหรับทหารธรรมดาทั่วไปแล้วเป็นเรื่องฟุ่มเฟือยมากแม้จะเป็นกองทหารมณฑลทางเหนืออย่างมากก็ได้กินเนื้อเพียงแค่เดือนละสองครั้งเท่านั้นอีกอย่าง เนื้อยังน้อยมากเสียจนน่าสงสาร คนหนึ่งได้กินเนื้อดิบเพียงหนึ่งถึงสองชิ้นเท่านั้น!เนื้อที่ต้มสุกแล้วก็หดเหลือขนาดเท่ารูฟันเท่าน
เมื่อเผชิญกับคำเชิญจากท่านอ๋องอย่างหยุนเจิงแล้ว หม่าเซียนเองก็ไม่กล้าปฏิเสธจึงทำได้เพียงตอบตกลงหยุนเจิงรีบสั่งให้คนพาพวกเขาไปพักผ่อนเตรียมตัวทานอาหารหลังจากที่พวกเขาแยกตัวจากไปแล้ว หยุนเจิงก็ได้สั่งการตู้กุยหยวนว่า “ตอนที่ทานอาหาร อย่าให้พวกเขาอยู่ด้วยกันทั้งหมดล่ะ ให้คนของเรานั่งร่วมวงกับพวกเขาด้วย”“ขอรับ!”ตู้กุยหยวนพยักหน้ายิ้มแย้ม“ท่านมันร้ายกาจจริงๆ!”เสิ่นลั่วเยี่ยนมองหยุนเจิงยิ้มๆหลังจากทานอาหารมื้อนี้ไป เกรงว่าคนของฮั่วกู้คงได้อิจฉาคนในฐานทัพนี้แล้ว!ไม่นาน ในฐานทัพก็เริ่มจัดแจงอาหารฐานทัพที่มีคนนับหมื่นเช่นนี้ เวลาทานอาหารจึงไม่มีกฎระเบียบอะไรมากนัก ต่างก็นั่งกันกลุ่มละหลายสิบคนโดยมีอาหารตั้งวางอยู่ตรงกลาง ทุกคนจะมีข้าวต้มและหมั่นโถวสองชิ้นใหญ่เป็นของตนเอง แล้วทานร่วมกับกับข้าวในถาดส่วนใหญ่แล้ว ในถาดเหล็กจะมีแต่ผักดองและเครื่องเคียงเท่านั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงอากาศหนาวเย็นในซั่วเป่ย ตอนนี้ยังพอมีผักสดกินอยู่บ้าง แต่หากผ่านไปอีกหนึ่งเดือน คงได้กินแต่ผักดองกับเครื่องเคียงทุกวันแน่ การที่สามารถกินผักสดได้นั้น เป็นเรื่องที่หรูหรามากแล้ว!เมื่อเห็นผักถาดใหญ่ใ
ระหว่างทางกลับ หม่าเซียนและคนอื่นๆ เดินช้ามากช่วยไม่ได้ พวกเขากินอิ่มหนังท้องตึงกันทุกคนแรกเริ่มพวกเขายังแย่งกันกินแต่ทว่าหลังๆ พบว่าปริมาณอาหารมากพอจริงๆ พวกเขาจึงไม่อยากแย่งแล้วอาหารมื้อนี้แทบจะทดแทนเนื้อที่พวกเขาจะได้กินทั้งปีทั้งหมดแล้ว!วินาทีนี้แต่ละคนกินจนน้ำมันท่วมปากไปหมด“เฮ้อ อยู่กับท่านอ๋องนี่มันดีจริงๆ!”“นั่นน่ะสิ ข้ายังไม่เคยกินอิ่มขนาดนี้มาก่อนเลย!”“หากเรามีชีวิตเช่นนี้ด้วยก็คงดี!”“ฝันไปเถอะ! เนื้อพวกนี้ท่านอ๋องกับพระชายาใช้เงินส่วนพระองค์ซื้อเองทั้งนั้น เจ้าคาดหวังให้แม่ทัพฮั่วของเราควักเงินตัวเองมาซื้อเนื้อให้สหายกินนั้นหรือ?”“นั่นน่ะสิ…”คนทั้งกลุ่มต่างวิจารณ์กันพลัน แต่ละคนอิจฉาตาร้อนกันสุดชีวิตอาหารของทหารชั้นยอดอย่างพวกเขาเทียบกับอาหารของค่ายหนานต้านั้นเป็นเหมือนอาหารหมูชัดๆ!อีกอย่างคนของค่ายหนานต้าล้วนกินเหมือนกันหมด!ไม่ว่าจะเด็กจะหนุ่มจะแก่หรือป่วยเป็นพิการ ก็ได้กินเหมือนกับคนเหล่านั้น!เพียงแค่อาหารมื้อเดียว ทำเอาพวกเขาอยากเข้าร่วมค่ายหนานต้าเลย“เอาเถอะ!”หม่าเซียนหยุดฝูงชนไว้ “พวกเราโชคดีที่ได้กินอาหารมื้อนี้! เทียบกับสหายในเมืองแล้
“กับผีน่ะสิ!”เมี่ยวอินเบะปาก “ว่ามา ท่านอยากให้พวกข้าทำอะไร?”ก่อนที่จะมาซั่วเป่ย พวกนางก็บอกหยุนเจิงแล้วว่าจะเชื่อฟังคำสั่งของหยุนเจิงตอนนี้หยุนเจิงจะมอบหมายงานให้พวกนาง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก“พวกเจ้าทำยาขับเหงื่อเป็นไม่ใช่หรือ?”หยุนเจิงยิ้มเยาะๆ “ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าก็ทำยาขับเหงื่อจำนวนมากซะ ยิ่งเยอะยิ่งดี ดีที่สุดต้องเป็นยาที่ไร้สีไร้กลิ่น!”ยาขับเหงื่อ?สตรีทั้งสองมองหยุนเจิงด้วยสีหน้าหมดคำพูดพวกนางคิดว่ามีเรื่องอะไรเสียอีก!ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องง่ายๆ แค่นี้“ท่านคิดจะหลอกใครอีกล่ะ?”เมี่ยวอินถามอย่างสงสัย“ต้องเตรียมไว้สำหรับคนเป่ยหวนอยู่แล้ว!”หยุนเจิงเอ่ยยิ้มๆ “รอให้อากาศเย็นลงกว่านี้อีกหน่อย ข้าคิดว่าจะส่งคนไปเป่ยหวน หากสามารถวางยาคนของเป่ยหวนสักฝ่ายหนึ่ง เราก็สามารถชิงม้ารบมาได้แล้ว!”“…”ทั้งสองได้ยินดังนั้น ใบหน้าพลันกระตุกขึ้นมาผ่านไปนานครึ่งวัน เมี่ยวอินถึงจะเอ่ยอย่างหมดคำพูดว่า “ท่านคิดอะไรอยู่น่ะ? ท่านคิดว่ายาขับเหงื่อเป็นผงแป้งหรือไงที่คิดจะทำเท่าไหร่ก็มีเท่านั้นน่ะ? ถึงพวกข้าจะสามารถทำได้ แต่ก็ต้องมีวัสดุมากเพียงนั้นถึงจะทำได้นะ!”เขาคิดน
กลางดึก ณ ด่านเป่ยลู่หลังจากงานเลี้ยงค่ำคืน เว่ยเหวินจงก็ได้ตามเว่ยซั่วไปยังห้องลับเว่ยเหวินจงเองก็มาที่ด่านเป่ยลู่เพื่อสืบสวนแนวป้องกันของด่านเป่ยลู่เช่นกันเขาเองก็ไม่รู้เช่นกีนว่าน้องรองส่งเขามาด่านเป่ยลู่เพื่ออะไร“ว่ามาสิ เจ้าต้องการจะพูดอะไรกับข้ากันแน่? เหตุใดถึงลับๆ ล่อๆ เช่นนี้?”เว่ยเหวินจงขมวดคิ้วมองเว่ยซั่วรู้สึกมึนงงมาก“พี่ใหญ่ดูจดหมายฉบับนี้ก่อนค่อยพูดเถอะ!”เว่ยซั่วกล่าวแล้วหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกจากอกยื่นให้เว่ยเหวินจง“ใครส่งมาให้เจ้า?”เว่ยเหวินจงขมวดคิ้วถามเว่ยซั่วหัวเราะเหอะๆ “นี่เป็นจดหมายที่ไท่จื่อมอบให้ข้าเองกับมือ”“อะไรนะ?”เว่ยเหวินจงสีหน้าแปรเปลี่ยนพลางเอ่ยเสียงดุ “เจ้าไม่อยากมีชีวิตแล้วหรือไงกัน?”แม่ทัพใหญ่ประจำเขตชายแดนแอบรายงานต่อองค์ชายในราชวังถือเป็นข้อห้าม!หากฝ่าบาททรงจับได้ ศีรษะได้หลุดออกจากบ่าแน่!“ท่านพี่อย่าตื่นตระหนกไป”เว่ยซั่วเอ่ยยิ้มๆ อย่างไม่ใส่ใจ “เรื่องนี้มีเพียงท่านและข้าที่รู้ ไม่มีคนที่สามแน่นอน!”“โลกนี้มีกำแพงที่ไม่เป็นรูที่ไหนกัน?”เว่ยเหวินจงตะโกนด้วยความโมโห “เจ้ารู้หรือว่ารอบตัวข้ามีคนใดบ้างที่เป็นคนของฝ่าบาท?
หากไม่ใช่เพราะพยายามควบคุมเอาไว้ เกรงว่าเขาคงสั่งสอนเว่ยซั่วไปแล้วตนเตือนเขาไปกี่ครั้งกี่หนแล้ว แต่เขาก็ยังเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในราชวังหัวใจองค์จักรพรรดิไม่ง่ายเหมือนที่เขาคิด!ได้ยินสิ่งที่เว่ยเหวินจงพูดแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของเว่ยซั่วก็จางหายไปคำพูดของพี่ใหญ่เตือนสติเขาไว้นั่นน่ะสิ!ตอนนี้เขาสามารถติดต่อกับไท่จื่อโดยลับได้ ต่อไปหากไท่จื่อครองบัลลังก์ได้แล้วจะไม่สงสัยเขาหรอกหรือ?สำหรับแม่ทัพใหญ่ประจำเขตชายแดนอย่างพวกเขาแล้ว ทันทีที่จักรพรรดิสงสัย โทษสถานเบาคือถูกยึดอำนาจทางทหารทันที โทษสถานหนักแม้แต่ชีวิตของคนในครอบครัวก็ไม่อาจปกป้องไว้ได้!เว่ยซั่วยิ่งคิดยิ่งหวาดกลัว ค่อยๆ เผยสีหน้าลนลานออกมา“เช่นนั้นเราจะทำอย่างไรดี?”เว่ยซั่วมองพี่ใหญ่อย่างร้อนรนใจ“ทำอย่างไร เจ้าบอกข้าซิว่าจะทำอย่างไร?”เว่ยเหวินจงโมโหมาก “ตอนนี้ เจ้าช่วยไท่จื่อกำจัดหยุนเจิง หากเขาได้ครองบัลลังก์เขาจะสงสัยเจ้า! แต่หากเจ้าไม่ช่วยเขากำจัดหยุนเจิง เจ้าจะมั่นใจหรือว่าเขาจะไม่เกลียดชังเจ้า เจ้ามั่นใจหรือว่าหลังจากที่เขาครองบัลลังก์แล้วจะไม่คิดบัญชีกับเจ้า…”ไม่ว่าทางไหนก็เป็นทางตายทั้งนั้น!จะเด
วันถัดมา หยุนเจิงไม่ได้ไปที่ค่ายใต้หลังจากที่มอบหมายงานคัดเลือกคนฝีมือดีให้กับเสิ่นลั่วเยี่ยนแล้ว หยุนเจิงก็พาคนมุ่งหน้าไปยังค่ายเหนือทันทีวันนี้ หยุนเจิงสวมชุดเกราะทองล้ำค่าของตนมาโดยเฉพาะจากสถานการณ์เบื้องต้น การลากฮั่วกู้เข้ามาถือว่ามีความหวังมากต่อจากนี้ไปก็ขึ้นอยู่กับคนที่ค่ายเหนือคนนี้แล้วเขาสืบมาแล้วว่าหลูซิ่งที่รับหน้าที่ฝึกซ้อมทหารทางค่ายเหนือนี้เป็นเพียงชันเจียงขั้นห้าสมบูรณ์เท่านั้นชันเจียงขั้นห้าถือเป็นตำแหน่งที่ทรงเกียรติที่สุดในราชวงศ์เฉียนแล้วชันเจียงบางคนก็สามารถไต่เต้าถึงขั้นสามสมบูรณ์บางคนก็สามารถไต่เต้าถึงขั้นห้าธรรมดาเท่านั้นค่ายเหนืออยู่ห่างจากประตูทางเหนือซั่วฟางราวยี่สิบลี้เท่านั้น เหมือนค่ายใต้ของหยุนเจิงที่ล้วนแต่เป็นค่ายชั่วคราวเท่านั้นได้ยินว่าหยุนเจิงจิ้งเป่ยอ๋องผู้นี้มาเยือน หลูซิ่งจึงได้รีบนำคนไปต้อนรับทันทีหลูซิ่งอายุราวสามสิบ ดูแล้วเป็นคนมีฝีมือคนหนึ่ง“ข้าหลูซิ่ง ขอคารวะท่านอ๋อง!”หลูซิ่งแม้นจะไม่รู้จักหยุนเจิง แต่ก็ไม่สงสัยในตัวตนของหยุนเจิงเพราะลำพังเครื่องหัวของหนุนเจิง ก็เพียงพอที่จะบ่งบอกถึงตัวตนของเขาแล้ว“ไม่ต้องมากพิธี
เมื่อเห็นสีหน้าไม่พึงพอใจของหลูซิ่งแล้ว หยุนเจิงพลันมีแผนขึ้นในใจเห็นได้ชัดว่าสำหรับการฝึกซ้อมทหารทั่วไปนี้ หลูซิ่งจะไม่ค่อยพอใจเท่าไรนักไม่พอใจก็ดี!ต่อจากนี้ หยุนเจิงเองก็ไม่พูดมากทำเพลง แล้วหันไปตั้งใจสังเกตการฝึกซ้อมหลูซิ่งดูมีฝีมืออยู่เช่นกันทหารทั่วไปเหล่านี้มีเวลาฝึกซ้อมไม่นานนัก แต่ก็ถือว่าเป็นรูปเป็นร่างบ้างแล้วรอให้หลูซิ่งฝึกซ้อมทหารเสร็จสรรพ หยุนเจิงถึงเริ่มพูดคุยกับเขาอีกครั้ง“ใช่สิ ทักษะการต่อสู้ของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”หยุนเจิงเอ่ยถามกะทันหัน“เอ่อ…”หลูซิ่งเองก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรดีเช่นกันจึงได้แต่ตอบไปว่า “พอใช้ได้!”“โอ๋?”หยุนเจิงยกมุมปาก “หรือว่าจะลองสู้กับองครักษ์ข้างกายของข้าสักหน่อย ข้าจะได้เปิดตาบ้าง?”หลูซิ่งได้ยินดังนั้นก็ส่ายศีรษะกล่าวว่า “ทักษะของข้าธรรมดา ไม่กล้าแสดงฝีมืออันอับอายต่อหน้าท่านอ๋องหรอกขอรับ”“พูดอะไรกัน?”หยุนเจิงโบกมือแล้วให้โจวมี่หยิบดาบออกมา “ลองดาบเล่มนี้ดู”หลูซิ่งรับดาบมา เพียงแค่ดูลวดลายอันสวยงามของตัวดาบแล้ว สีหน้าของเขาก็เผยความดีใจออกมาแล้วหลังจากที่ลองความคมแล้ว หลูซิ่งก็รักจนไม่อยากปล่อยมือพลางเอ่ยชื่นชมอย่างไ
หากมิใช่เพราะจักรพรรดิเหวินทรงเตือน เขาคงมิได้คำนึงถึงปัญหานี้เลย “พอแล้ว!” จักรพรรดิเหวินโบกพระหัตถ์ “ข้าจะออกเดินทางในไม่ช้า เจ้าอย่ามาติดตามข้าเลย ไปจัดการธุระของเจ้าเถิด!” “เสด็จพ่อจะเสด็จตอนนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” หยุนเจิงรู้สึกแปลกใจ“ข้าควรไปแล้ว! การปล่อยให้พี่สามของเจ้าติดอยู่ที่ฟู่โจวตลอดก็ไม่ดี” จักรพรรดิเหวินตรัสด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “เจ้าอย่ามาส่งข้าเลย ไปๆ มาๆ จะเสียเวลาไม่น้อย” “เอ่อ…” หยุนเจิงรู้สึกกระดากใจเล็กน้อย “ลูกขอส่งเสด็จพ่อออกจากด่านเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” เขายังต้องไปที่ค่ายใหญ่บนเขาห่านป่าหวนกลับอีกครั้ง หากออกเดินทางจากชายแดนชิงจะช่วยประหยัดเวลาไปไม่น้อย ทว่าหากจักรพรรดิเหวินจะเสด็จจากไป แล้วเขาไม่ส่งเสด็จ ดูเหมือนจะมิใช่เรื่องสมควร “ไม่ต้องแล้ว!” จักรพรรดิเหวินทรงปฏิเสธทันที “อย่างไรเสียเจ้าก็ยังต้องพาเจียเหยาไปที่ฟู่โจวอยู่ดี! เรื่องในมือเจ้าก็ยังมีอีกมากมาย อย่าเสียเวลาเลย เรื่องบ้านเมืองสำคัญกว่า!” เป็นเช่นนี้หรือ? หยุนเจิงลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ลูกขอส่งเสด็จพ่อไปถึงชายแดนกู้เถิดพ่ะย่ะค่ะ!” “ก็ได้!” จักรพ
จักรพรรดิเหวินอาจอยู่ในเมืองหลวงนานเกินไป หรืออาจเป็นเพราะอยากสำรวจความมั่งคั่งของหยุนเจิง ในไม่กี่วันที่ผ่านมา จักรพรรดิเหวินให้หยุนเจิงพาไปชมสถานที่หลายแห่ง เยี่ยจื่อและเสิ่นลั่วเยี่ยนตั้งครรภ์อยู่ ส่วนเมี่ยวอินไม่อยากพบกับจักรพรรดิเหวินบ่อยนัก จักรพรรดิเหวินจึงเลือกให้หยุนเจิงเป็นผู้ติดตามเพียงคนเดียว ในช่วงหลายวันนั้น จักรพรรดิเหวินได้ไปชมเหมืองถ่านหิน โรงงานผลิตถ่านน้ำผึ้ง โรงงานปูนซีเมนต์ และเตาเผาต่างๆ อย่างครบถ้วน โชคดีอย่างเดียวคือ จักรพรรดิเหวินไม่ได้ไปดูโรงงานผลิตเกลือบริสุทธิ์ ไม่แน่ชัดว่าจักรพรรดิเหวินตั้งใจหรือไม่ แต่ครั้งนี้พระองค์ไม่ได้ไปชมกองทัพซั่วเป่ย สิ่งที่พระองค์สนใจล้วนเป็นเรื่องเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน ในที่สุด หยุนเจิงก็ไม่อาจขัดขวางจักรพรรดิเหวินไม่ให้เดินทางไปยังชายแดนชิงเปียนได้ หยุนเจิงนำกองทัพองครักษ์ของตน พร้อมด้วยทหารองครักษ์ส่วนพระองค์ที่นำโดยโจวไต้ เดินทางไปยังชิงเปียนพร้อมจักรพรรดิเหวิน ระหว่างทางไปยังชิงเปียน หิมะหนาแน่นราวขนนกก็เริ่มตกลงมา จักรพรรดิเหวินยืนอยู่บนกำแพงเมืองชิงเปียน มือไขว้หลังโดยไม่ขยับเขยื้อน
พวกเขาล้วนเป็นคนใกล้ชิดของหยุนลี่ หยุนลี่จึงมิได้ปิดบัง ตั้งใจบอกเรื่องที่ต้องการซุ่มโจมตีหยุนเจิงในหัวเมืองสี่ทิศให้พวกเขารับรู้ เมื่อทราบแผนการของหยุนลี่ มีเพียงหยวนกุยที่ยังคงสงบนิ่ง ขณะที่คนอื่นต่างตกใจไปตามๆ กัน หยวนกุยหลังจากชดเชยความผิด ก็ได้รับตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการทหารในสำนักไทจื่อ แม้จะมิได้บัญชาทหารมากมาย แต่เขามีความภักดีอย่างยิ่ง ในการเดินทางครั้งนี้ หยุนลี่จึงพาหยวนกุยมาด้วย เฉียวเหยียนเซียน หัวหน้าทหารรักษาการณ์ซ้ายของไทจื่อขมวดคิ้ว กล่าวขึ้นว่า “ฝ่าบาท ด้วยฐานะของหยุนเจิง หากไร้พระราชโองการ ใครเล่าจะ…” “เรื่องนี้ เจ้าต้องคอยเตือนข้าด้วยหรือ?” หยุนลี่ขัดจังหวะเฉียวเหยียนเซียน “เรื่องนี้ ข้าจะหารือกับเสด็จพ่อเอง! อย่างไรก็ดี พวกเราต้องเตรียมพร้อมสำหรับกรณีที่เสด็จพ่อไม่เห็นชอบ! นี่คือโอกาสทองในการซุ่มโจมตีหยุนเจิง หลังจากนี้ คงไม่มีโอกาสเช่นนี้อีก!” ครั้งนี้ หยุนลี่ตัดสินใจแน่วแน่ ไม่ว่าองค์จักรพรรดิเหวินจะทรงเห็นด้วยหรือไม่ เขาก็คิดจะลองสังหารหยุนเจิงอยู่ดี ในตอนนี้ หยุนเจิงเปรียบดั่งดาบที่แขวนอยู่บนคอเขา หากหยุนเจิงยังมีชีวิตอยู่ เขาย่อ
บรรยากาศในมื้ออาหารนี้ไม่สู้ดีนัก หยุนลี่มีความขุ่นเคืองในใจ แต่ไม่อาจระบายออกได้ ต้องพยายามปลอบประโลมบรรดาแม่ทัพ จึงไม่มีทางจะอารมณ์ดีได้เลย หลังอาหาร หยุนลี่ได้เอ่ยปากเชิญโจวเต้ากงให้เดินพูดคุยเป็นการส่วนตัว โจวเต้ากงก็ไม่รู้ว่าหยุนลี่ต้องการสิ่งใด แต่ก็จำต้องตอบรับ หยุนลี่กอดอก เดินนำโจวเต้ากงไปยังลานกว้างในค่ายทหาร “เจ้าคิดเห็นอย่างไรกับหยุนเจิง?” ขณะเดินอยู่ หยุนลี่ก็เอ่ยถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน คิดเห็นต่อหยุนเจิงหรือ?โจวเต้ากงสะดุ้งในใจ รีบตอบกลับไปว่า “องค์ชายหกทรงเป็นโอรสสวรรค์ ข้าน้อยไม่บังอาจแสดงความคิดเห็นโดยพลการ” “ไม่เป็นไร กล่าวตามที่เจ้าคิดเถิด” หยุนลี่กล่าวอย่างเรียบเฉย เมื่อเห็นหยุนลี่ยืนกรานจะถาม โจวเต้ากงก็จำต้องตอบไปด้วยความหวั่นเกรง “องค์ชายหกทรงมีฝีมือในการศึก ปราบปรามศัตรูอย่างกล้าหาญ นับเป็นคุณูปการใหญ่หลวงต่อแผ่นดินต้าฉวน! แต่การที่ทรงมีอำนาจทหารอยู่ในพระหัตถ์และไม่เชื่อฟังราชโองการนั้น กลายเป็นภัยใหญ่หลวงต่อราชสำนัก...” เมื่ออยู่ต่อหน้าหยุนลี่ในฐานะรัชทายาท โจวเต้ากงจึงจำต้องกล่าวเช่นนี้ หยุนลี่รู้สึกพอใจกับคำตอบของโจวเต้ากง จ
เมื่อได้ฟังโจวเต้ากงบ่นอย่างนี้ หยุนลี่ก็เดาได้ทันทีว่าเจ้านี่ต้องการพูดอะไรต่อไป ชัดเลย เขาคงจะมาขอเกราะจากตนแน่ๆ ใช่ไหม? “พอแล้วๆ!” หยุนลี่ขัดจังหวะคำพูดของโจวเต้ากง “ที่นี่ยังขาดเกราะอีกเท่าไหร่?” “หนึ่งหมื่นสามพันชุด” โจวเต้ากงตอบทันที “ขาดมากขนาดนี้เลย?” ใบหน้าของหยุนลี่กระตุกเล็กน้อย “ตามที่เจ้าพูด คนหนึ่งหมื่นที่ประจำอยู่ห่างออกไปสิบห้าลี้ก็แทบไม่มีเกราะเลยใช่ไหม?” “พ่ะย่ะค่ะ!” โจวเต้ากงพยักหน้า “หนึ่งหมื่นนั้นล้วนเป็นทหารที่เพิ่งเกณฑ์ใหม่ และตอนนี้กำลังฝึกซ้อมอยู่ที่นั่น…” ฝึกซ้อม? ใบหน้าของหยุนลี่มืดครึ้ม เกือบจะสบถออกมา ไม่มีเกราะป้องกัน นี่ก็เรียกว่าฝึกซ้อมหรือไงวะ? นี่มันเรียกว่าทิ้งข้าวเปลืองเบี้ยเลี้ยงมากกว่า! ถ้าเจ้าหกยกพลบุกมา จะหวังพึ่งคนพวกนี้ได้ไหม? พวกทหารนี่คงเป็นแค่เป้าซ้อมมือให้เจ้าหกไม่ใช่หรือไง? บ้าบอคอแตก! แนวป้องกันนี่ ไม่มีเสียยังจะดีกว่า! อย่างนี้ ราชสำนักยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้มหาศาลอีกด้วย! หยุนลี่โมโหจนแทบจะระเบิด แต่ก็ไม่อาจระบายความโกรธใส่โจวเต้ากงได้ เรื่องนี้จะไปโทษโจวเต้ากงก็ไม่ได้! เกรา
ฟู่โจวหัวเมืองเมืองสี่ทิศนี่คือพื้นที่ที่ใกล้กับซั่วเป่ยที่สุดของฟู่โจว หยุนเจิงจะจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาที่ฟู่โจว การสร้างจวนอ๋องใหม่ในเวลาสั้นๆ เป็นไปไม่ได้ จึงต้องซื้อจวนจากเหล่าขุนนางใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศแทน เดิมทีเรื่องนี้ควรเป็นหน้าที่ของหยุนลี่ องค์รัชทายาท ที่จะช่วยดูแลจัดการ แต่หยุนลี่ไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย สั่งให้ขุนนางในกรมพิธีการตัดสินใจกันเอง เขาเกลียดชังหยุนเจิงจนแทบอยากสับร่างหยุนเจิงเป็นชิ้นๆ แล้วจะให้เขามาช่วยเลือกจวนให้อย่างนั้นหรือ? ถ้าให้ช่วยเลือกโลงศพแทน เขาคงรีบทำอย่างกระตือรือร้นแน่! หลังจากโยนเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ให้ขุนนางระดับล่างจัดการ หยุนลี่ก็พาคนเดินทางไปยังค่ายใหญ่หัวเมืองสี่ทิศ นับตั้งแต่จ้าวจี๋นำทัพไปยังเขตตะวันตกเฉียงเหนือ ฟู่โจวก็เหลือเพียงกองกำลังสามหมื่นนาย และกองกำลังทั้งสามหมื่นนายนี้ก็เกือบทั้งหมดประจำอยู่ในหัวเมืองสี่ทิศ หยุนลี่ไม่หวั่นเกรงที่จะถูกตำหนิเรื่องการติดต่อกับแม่ทัพในกองทัพโดยพลการ การตรวจสอบค่ายใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศ เป็นภารกิจที่จักรพรรดิเหวินมอบหมายให้เขาก่อนที่จะเดินทางไปยังซั่วเป่ย เมื่อหยุนลี่พาคนมา
“เสด็จพ่อ ที่ซั่วเป่ยขาดแคลนอาหารอย่างหนัก!” หยุนเจิงกล่าวด้วยสีหน้าทุกข์ใจ “ตอนนี้ลูกไม่ได้ดูแลแค่ชาวซั่วเป่ย แต่ยังต้องเลี้ยงดูคนในเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือ อีกทั้งเป่ยหมัวถัว กุ่ยฟาง เป่ยหวน ทุกพื้นที่เหล่านี้…” “คำพูดพวกนี้ไปบอกพี่สามของเจ้าสิ อย่ามาพูดกับข้า!” จักรพรรดิเหวินไม่ฟังคำพร่ำบ่นของหยุนเจิง ตัดบทอย่างไร้เยื่อใย บอกกับเจ้าสาม? หยุนเจิงเบะปาก แค่มันเทศในห้องใต้ดินนี้ เจ้าสามจะซื้อไหวหรือ? ตามราคาที่ตนตั้งไว้ก่อนหน้า ถ้าเจ้าสามไม่จ่ายเงินออกมาสักหลายล้านตำลึง คงไม่มีทางซื้อมันเทศในห้องนี้ได้ ถ้าถึงขั้นนั้น เจ้าสามคงต้องกลายเป็นหัวหน้าแผนกปล้นบ้านประจำราชสำนักต้าเฉียนแน่! มองเห็นสีหน้าขัดใจของหยุนเจิง จักรพรรดิเหวินวางมันเทศในมือ พลางตบไหล่หยุนเจิงอย่างแรง “จงจำไว้ ประชาชนในเขตในก็ล้วนเป็นราษฎรในความดูแลของเจ้า!” นั่นไง! เริ่มมาล้างสมองกันอีกแล้ว! หยุนเจิงบ่นในใจ พลางเปลี่ยนเรื่องถาม “เสด็จพ่ออยากลองชิมรสมันเทศนี่ไหม?” “ตอนนี้เลย?” จักรพรรดิเหวินแปลกใจเล็กน้อย “อื้ม” หยุนเจิงพยักหน้า “มันเทศนี่ปอกเปลือกแล้วกินดิบได้ กินน้อ
ผ่านไปไม่กี่วัน พวกเขาก็เดินทางกลับถึงเมืองติ้งเป่ยจนได้ ด้วยเหตุที่จักรพรรดิเหวินทรงกำชับไว้ล่วงหน้า การเสด็จมายังเมืองติ้งเป่ยครั้งนี้จึงถูกปิดเป็นความลับอย่างเข้มงวด มีเพียงผู้คนในจวนอ๋องเท่านั้นที่รับทราบ ครั้นถึงเมืองติ้งเป่ย จักรพรรดิเหวินก็ไม่ได้รีบไปยังจวนอ๋องในทันที แต่กลับยืนกรานให้หยุนเจิงพาไปชมมันเทศเสียก่อน ถึงกับดึงตัวไปก็ยังไม่ยอม หยุนเจิงถึงกับเอ่ยว่าให้คนยกมันเทศมาถวายให้ทอดพระเนตรที่จวนก็ยังไม่ยอม ทั้งยังยืนกรานจะไปดูด้วยพระองค์เองที่ห้องใต้ดินเก็บมันเทศ หยุนเจิงเริ่มระแวงหนักว่าตาแก่นี้คงกลัวว่าตนจะยกมันเทศไม่กี่หัวมาหลอกให้พอพระทัย จึงต้องการไปตรวจดูคลังสำรองเสียก่อนว่าจะสามารถยึดมันเทศไปจากตนได้สักเท่าใด ด้วยการยืนกรานของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงจึงจำต้องพาไปยังสถานที่เก็บมันเทศแห่งหนึ่ง แม้ว่ามันเทศจะถูกแบ่งเก็บไว้ในห้องใต้ดินหลายแห่ง แต่สถานที่เหล่านั้นก็อยู่ติดกัน เพื่อให้สะดวกต่อการจัดการยามเฝ้ารักษา จักรพรรดิเหวินเพียงลงจากรถม้า ก็เห็นกองทหารจำนวนมากสวมเกราะพร้อมอาวุธครบมือ “เจ้าช่างเฝ้าแน่นหนาดีจริง! หรือเจ้ากลัวใครจะมาขโมยมันเทศของเจ
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ