เมื่อเผชิญกับคำเชิญจากท่านอ๋องอย่างหยุนเจิงแล้ว หม่าเซียนเองก็ไม่กล้าปฏิเสธจึงทำได้เพียงตอบตกลงหยุนเจิงรีบสั่งให้คนพาพวกเขาไปพักผ่อนเตรียมตัวทานอาหารหลังจากที่พวกเขาแยกตัวจากไปแล้ว หยุนเจิงก็ได้สั่งการตู้กุยหยวนว่า “ตอนที่ทานอาหาร อย่าให้พวกเขาอยู่ด้วยกันทั้งหมดล่ะ ให้คนของเรานั่งร่วมวงกับพวกเขาด้วย”“ขอรับ!”ตู้กุยหยวนพยักหน้ายิ้มแย้ม“ท่านมันร้ายกาจจริงๆ!”เสิ่นลั่วเยี่ยนมองหยุนเจิงยิ้มๆหลังจากทานอาหารมื้อนี้ไป เกรงว่าคนของฮั่วกู้คงได้อิจฉาคนในฐานทัพนี้แล้ว!ไม่นาน ในฐานทัพก็เริ่มจัดแจงอาหารฐานทัพที่มีคนนับหมื่นเช่นนี้ เวลาทานอาหารจึงไม่มีกฎระเบียบอะไรมากนัก ต่างก็นั่งกันกลุ่มละหลายสิบคนโดยมีอาหารตั้งวางอยู่ตรงกลาง ทุกคนจะมีข้าวต้มและหมั่นโถวสองชิ้นใหญ่เป็นของตนเอง แล้วทานร่วมกับกับข้าวในถาดส่วนใหญ่แล้ว ในถาดเหล็กจะมีแต่ผักดองและเครื่องเคียงเท่านั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงอากาศหนาวเย็นในซั่วเป่ย ตอนนี้ยังพอมีผักสดกินอยู่บ้าง แต่หากผ่านไปอีกหนึ่งเดือน คงได้กินแต่ผักดองกับเครื่องเคียงทุกวันแน่ การที่สามารถกินผักสดได้นั้น เป็นเรื่องที่หรูหรามากแล้ว!เมื่อเห็นผักถาดใหญ่ใ
ระหว่างทางกลับ หม่าเซียนและคนอื่นๆ เดินช้ามากช่วยไม่ได้ พวกเขากินอิ่มหนังท้องตึงกันทุกคนแรกเริ่มพวกเขายังแย่งกันกินแต่ทว่าหลังๆ พบว่าปริมาณอาหารมากพอจริงๆ พวกเขาจึงไม่อยากแย่งแล้วอาหารมื้อนี้แทบจะทดแทนเนื้อที่พวกเขาจะได้กินทั้งปีทั้งหมดแล้ว!วินาทีนี้แต่ละคนกินจนน้ำมันท่วมปากไปหมด“เฮ้อ อยู่กับท่านอ๋องนี่มันดีจริงๆ!”“นั่นน่ะสิ ข้ายังไม่เคยกินอิ่มขนาดนี้มาก่อนเลย!”“หากเรามีชีวิตเช่นนี้ด้วยก็คงดี!”“ฝันไปเถอะ! เนื้อพวกนี้ท่านอ๋องกับพระชายาใช้เงินส่วนพระองค์ซื้อเองทั้งนั้น เจ้าคาดหวังให้แม่ทัพฮั่วของเราควักเงินตัวเองมาซื้อเนื้อให้สหายกินนั้นหรือ?”“นั่นน่ะสิ…”คนทั้งกลุ่มต่างวิจารณ์กันพลัน แต่ละคนอิจฉาตาร้อนกันสุดชีวิตอาหารของทหารชั้นยอดอย่างพวกเขาเทียบกับอาหารของค่ายหนานต้านั้นเป็นเหมือนอาหารหมูชัดๆ!อีกอย่างคนของค่ายหนานต้าล้วนกินเหมือนกันหมด!ไม่ว่าจะเด็กจะหนุ่มจะแก่หรือป่วยเป็นพิการ ก็ได้กินเหมือนกับคนเหล่านั้น!เพียงแค่อาหารมื้อเดียว ทำเอาพวกเขาอยากเข้าร่วมค่ายหนานต้าเลย“เอาเถอะ!”หม่าเซียนหยุดฝูงชนไว้ “พวกเราโชคดีที่ได้กินอาหารมื้อนี้! เทียบกับสหายในเมืองแล้
“กับผีน่ะสิ!”เมี่ยวอินเบะปาก “ว่ามา ท่านอยากให้พวกข้าทำอะไร?”ก่อนที่จะมาซั่วเป่ย พวกนางก็บอกหยุนเจิงแล้วว่าจะเชื่อฟังคำสั่งของหยุนเจิงตอนนี้หยุนเจิงจะมอบหมายงานให้พวกนาง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก“พวกเจ้าทำยาขับเหงื่อเป็นไม่ใช่หรือ?”หยุนเจิงยิ้มเยาะๆ “ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าก็ทำยาขับเหงื่อจำนวนมากซะ ยิ่งเยอะยิ่งดี ดีที่สุดต้องเป็นยาที่ไร้สีไร้กลิ่น!”ยาขับเหงื่อ?สตรีทั้งสองมองหยุนเจิงด้วยสีหน้าหมดคำพูดพวกนางคิดว่ามีเรื่องอะไรเสียอีก!ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องง่ายๆ แค่นี้“ท่านคิดจะหลอกใครอีกล่ะ?”เมี่ยวอินถามอย่างสงสัย“ต้องเตรียมไว้สำหรับคนเป่ยหวนอยู่แล้ว!”หยุนเจิงเอ่ยยิ้มๆ “รอให้อากาศเย็นลงกว่านี้อีกหน่อย ข้าคิดว่าจะส่งคนไปเป่ยหวน หากสามารถวางยาคนของเป่ยหวนสักฝ่ายหนึ่ง เราก็สามารถชิงม้ารบมาได้แล้ว!”“…”ทั้งสองได้ยินดังนั้น ใบหน้าพลันกระตุกขึ้นมาผ่านไปนานครึ่งวัน เมี่ยวอินถึงจะเอ่ยอย่างหมดคำพูดว่า “ท่านคิดอะไรอยู่น่ะ? ท่านคิดว่ายาขับเหงื่อเป็นผงแป้งหรือไงที่คิดจะทำเท่าไหร่ก็มีเท่านั้นน่ะ? ถึงพวกข้าจะสามารถทำได้ แต่ก็ต้องมีวัสดุมากเพียงนั้นถึงจะทำได้นะ!”เขาคิดน
กลางดึก ณ ด่านเป่ยลู่หลังจากงานเลี้ยงค่ำคืน เว่ยเหวินจงก็ได้ตามเว่ยซั่วไปยังห้องลับเว่ยเหวินจงเองก็มาที่ด่านเป่ยลู่เพื่อสืบสวนแนวป้องกันของด่านเป่ยลู่เช่นกันเขาเองก็ไม่รู้เช่นกีนว่าน้องรองส่งเขามาด่านเป่ยลู่เพื่ออะไร“ว่ามาสิ เจ้าต้องการจะพูดอะไรกับข้ากันแน่? เหตุใดถึงลับๆ ล่อๆ เช่นนี้?”เว่ยเหวินจงขมวดคิ้วมองเว่ยซั่วรู้สึกมึนงงมาก“พี่ใหญ่ดูจดหมายฉบับนี้ก่อนค่อยพูดเถอะ!”เว่ยซั่วกล่าวแล้วหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกจากอกยื่นให้เว่ยเหวินจง“ใครส่งมาให้เจ้า?”เว่ยเหวินจงขมวดคิ้วถามเว่ยซั่วหัวเราะเหอะๆ “นี่เป็นจดหมายที่ไท่จื่อมอบให้ข้าเองกับมือ”“อะไรนะ?”เว่ยเหวินจงสีหน้าแปรเปลี่ยนพลางเอ่ยเสียงดุ “เจ้าไม่อยากมีชีวิตแล้วหรือไงกัน?”แม่ทัพใหญ่ประจำเขตชายแดนแอบรายงานต่อองค์ชายในราชวังถือเป็นข้อห้าม!หากฝ่าบาททรงจับได้ ศีรษะได้หลุดออกจากบ่าแน่!“ท่านพี่อย่าตื่นตระหนกไป”เว่ยซั่วเอ่ยยิ้มๆ อย่างไม่ใส่ใจ “เรื่องนี้มีเพียงท่านและข้าที่รู้ ไม่มีคนที่สามแน่นอน!”“โลกนี้มีกำแพงที่ไม่เป็นรูที่ไหนกัน?”เว่ยเหวินจงตะโกนด้วยความโมโห “เจ้ารู้หรือว่ารอบตัวข้ามีคนใดบ้างที่เป็นคนของฝ่าบาท?
หากไม่ใช่เพราะพยายามควบคุมเอาไว้ เกรงว่าเขาคงสั่งสอนเว่ยซั่วไปแล้วตนเตือนเขาไปกี่ครั้งกี่หนแล้ว แต่เขาก็ยังเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในราชวังหัวใจองค์จักรพรรดิไม่ง่ายเหมือนที่เขาคิด!ได้ยินสิ่งที่เว่ยเหวินจงพูดแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของเว่ยซั่วก็จางหายไปคำพูดของพี่ใหญ่เตือนสติเขาไว้นั่นน่ะสิ!ตอนนี้เขาสามารถติดต่อกับไท่จื่อโดยลับได้ ต่อไปหากไท่จื่อครองบัลลังก์ได้แล้วจะไม่สงสัยเขาหรอกหรือ?สำหรับแม่ทัพใหญ่ประจำเขตชายแดนอย่างพวกเขาแล้ว ทันทีที่จักรพรรดิสงสัย โทษสถานเบาคือถูกยึดอำนาจทางทหารทันที โทษสถานหนักแม้แต่ชีวิตของคนในครอบครัวก็ไม่อาจปกป้องไว้ได้!เว่ยซั่วยิ่งคิดยิ่งหวาดกลัว ค่อยๆ เผยสีหน้าลนลานออกมา“เช่นนั้นเราจะทำอย่างไรดี?”เว่ยซั่วมองพี่ใหญ่อย่างร้อนรนใจ“ทำอย่างไร เจ้าบอกข้าซิว่าจะทำอย่างไร?”เว่ยเหวินจงโมโหมาก “ตอนนี้ เจ้าช่วยไท่จื่อกำจัดหยุนเจิง หากเขาได้ครองบัลลังก์เขาจะสงสัยเจ้า! แต่หากเจ้าไม่ช่วยเขากำจัดหยุนเจิง เจ้าจะมั่นใจหรือว่าเขาจะไม่เกลียดชังเจ้า เจ้ามั่นใจหรือว่าหลังจากที่เขาครองบัลลังก์แล้วจะไม่คิดบัญชีกับเจ้า…”ไม่ว่าทางไหนก็เป็นทางตายทั้งนั้น!จะเด
วันถัดมา หยุนเจิงไม่ได้ไปที่ค่ายใต้หลังจากที่มอบหมายงานคัดเลือกคนฝีมือดีให้กับเสิ่นลั่วเยี่ยนแล้ว หยุนเจิงก็พาคนมุ่งหน้าไปยังค่ายเหนือทันทีวันนี้ หยุนเจิงสวมชุดเกราะทองล้ำค่าของตนมาโดยเฉพาะจากสถานการณ์เบื้องต้น การลากฮั่วกู้เข้ามาถือว่ามีความหวังมากต่อจากนี้ไปก็ขึ้นอยู่กับคนที่ค่ายเหนือคนนี้แล้วเขาสืบมาแล้วว่าหลูซิ่งที่รับหน้าที่ฝึกซ้อมทหารทางค่ายเหนือนี้เป็นเพียงชันเจียงขั้นห้าสมบูรณ์เท่านั้นชันเจียงขั้นห้าถือเป็นตำแหน่งที่ทรงเกียรติที่สุดในราชวงศ์เฉียนแล้วชันเจียงบางคนก็สามารถไต่เต้าถึงขั้นสามสมบูรณ์บางคนก็สามารถไต่เต้าถึงขั้นห้าธรรมดาเท่านั้นค่ายเหนืออยู่ห่างจากประตูทางเหนือซั่วฟางราวยี่สิบลี้เท่านั้น เหมือนค่ายใต้ของหยุนเจิงที่ล้วนแต่เป็นค่ายชั่วคราวเท่านั้นได้ยินว่าหยุนเจิงจิ้งเป่ยอ๋องผู้นี้มาเยือน หลูซิ่งจึงได้รีบนำคนไปต้อนรับทันทีหลูซิ่งอายุราวสามสิบ ดูแล้วเป็นคนมีฝีมือคนหนึ่ง“ข้าหลูซิ่ง ขอคารวะท่านอ๋อง!”หลูซิ่งแม้นจะไม่รู้จักหยุนเจิง แต่ก็ไม่สงสัยในตัวตนของหยุนเจิงเพราะลำพังเครื่องหัวของหนุนเจิง ก็เพียงพอที่จะบ่งบอกถึงตัวตนของเขาแล้ว“ไม่ต้องมากพิธี
เมื่อเห็นสีหน้าไม่พึงพอใจของหลูซิ่งแล้ว หยุนเจิงพลันมีแผนขึ้นในใจเห็นได้ชัดว่าสำหรับการฝึกซ้อมทหารทั่วไปนี้ หลูซิ่งจะไม่ค่อยพอใจเท่าไรนักไม่พอใจก็ดี!ต่อจากนี้ หยุนเจิงเองก็ไม่พูดมากทำเพลง แล้วหันไปตั้งใจสังเกตการฝึกซ้อมหลูซิ่งดูมีฝีมืออยู่เช่นกันทหารทั่วไปเหล่านี้มีเวลาฝึกซ้อมไม่นานนัก แต่ก็ถือว่าเป็นรูปเป็นร่างบ้างแล้วรอให้หลูซิ่งฝึกซ้อมทหารเสร็จสรรพ หยุนเจิงถึงเริ่มพูดคุยกับเขาอีกครั้ง“ใช่สิ ทักษะการต่อสู้ของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”หยุนเจิงเอ่ยถามกะทันหัน“เอ่อ…”หลูซิ่งเองก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรดีเช่นกันจึงได้แต่ตอบไปว่า “พอใช้ได้!”“โอ๋?”หยุนเจิงยกมุมปาก “หรือว่าจะลองสู้กับองครักษ์ข้างกายของข้าสักหน่อย ข้าจะได้เปิดตาบ้าง?”หลูซิ่งได้ยินดังนั้นก็ส่ายศีรษะกล่าวว่า “ทักษะของข้าธรรมดา ไม่กล้าแสดงฝีมืออันอับอายต่อหน้าท่านอ๋องหรอกขอรับ”“พูดอะไรกัน?”หยุนเจิงโบกมือแล้วให้โจวมี่หยิบดาบออกมา “ลองดาบเล่มนี้ดู”หลูซิ่งรับดาบมา เพียงแค่ดูลวดลายอันสวยงามของตัวดาบแล้ว สีหน้าของเขาก็เผยความดีใจออกมาแล้วหลังจากที่ลองความคมแล้ว หลูซิ่งก็รักจนไม่อยากปล่อยมือพลางเอ่ยชื่นชมอย่างไ
สำหรับหยุนเจิงแล้ว แกะหนึ่งร้อยตัวไม่ถือว่าใช้เงินเยอะขนาดนั้นเขาต้องการทำให้คนในค่ายใต้รู้ว่าการอยู่กับตนนั้นมีเนื้อให้กิน!เจอกับหลูซิ่งครั้งแรก หยุนเจิงเองก็ไม่ได้สนทนาอะไรมากมายหลังจากเดินดูรอบๆ ค่ายพร้อมกับหลูซิ่งแล้ว หยุนเจิงก็อำลากลับก่อน“แม่ทัพหลู ท่านอ๋องจะส่งแกะมาให้เราจริงหรือ?”หลังจากส่งหยุนเจิงเสร็จสรรพ ทหารคนสนิทข้างๆ พลันถามหลูซิ่งอย่างคาดหวังหลูซิ่งพยักหน้า “เขาเป็นถึงท่านอ๋อง ไม่ผิดคำพูดเพราะเงินแค่นี้หรอก”คิดจากเงินเดือนของเขา เขาไม่กินไม่ดื่มสิบปี ก็คงไม่สามารถซื้อแกะร้อยตัวได้แน่นอนแต่อย่างน้อยหยุนเจิงก็เป็นองค์ชายอีกทั้งยังเป็นองค์ชายข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียวของต้าเฉียนด้วย!จักรพรรดิเพียงแค่ตบรางวัลให้เขาสิ่งเดียว ก็สามารถซื้อแกะหนึ่งร้อยตัวได้แล้ว“เช่นนั้นเราก็มีโอกาสได้กินข้าวมื้ออิ่มหมีพีมันแล้วสิ?”เมื่อคิดถึงเนื้อแกะอันโอชะ ทหารคนสนิทก็อดไม่ได้กลืนน้ำลายช่วงนี้เป็นช่วงที่เนื้อแกะเลิศรสที่สุด“อืม”หลูซิ่งพยักหน้าเบาๆ ในใจแอบสงสัยท่านอ๋องคนนี้หมายความว่าอย่างไรกัน?เขาอยากสนับสนุนด้านอาหารการกินของเหล่าสหายพี่น้องจริงๆ หรือว่ามีจุดปร