เสิ่นลั่วเยี่ยนสะอึกเล็กน้อย ฉับพลันนั้นก็ไม่พูดจาแล้วเหตุผลนี่ก็เป็นเหตุผลเช่นกันแต่คำถามคือ สถานการณ์ในสนามรบเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ล้วนเป็นไปดั่งใจเจ้านึกเสียที่ไหน?“ไม่เพียงแค่เจ้า ข้าเองก็จะพยายามสุดความสามารถเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้!”หยุนเจิงเอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “เจ้าคือพระชายาอ๋อง หากเจ้าล้วนถูกจับเป็นเฉลยแล้ว นั่นก็แปลว่าพวกเราแพ้อย่างราบคราบแล้ว! ถึงเวลานั้นจริง เกรงว่าข้าคงตายอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว!”เสิ่นลั่วเยี่ยนตกใจ จากนั้นก็ยิ้มเยาะตัวเองใช่แล้ว!หากถึงเวลานั้นจริง สิทธิ์ในการตัดสินใจเกรงว่าคงไม่อยู่ในมือพวกเขาแล้วเมื่อคิดได้เช่นนี้ ในใจเสิ่นลั่วเยี่ยนก็รู้สึกผ่อนคลายหน่อยแล้ว“ไม่ว่าเช่นไร วันนี้ก็ต้องขอบคุณเจ้า”เสิ่นลั่วเยี่ยนเงยหน้าขึ้น “เมี่ยวอินพูดได้ถูกต้อง หากเลือกแต่งกับองค์ชายองค์อื่น เกรงว่าพวกเขาคงไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไป และก็ไม่มีผู้ใดยอมเข้าไป!”หยุนเจิงยิ้มมุมปาก เอ่ยหยอกเย้า “เจ้าขอบคุณข้าเช่นนี้หรือ?”“หรือต้องให้ข้าคุกเข่าก้มหัวขอบคุณหรือ?”เสิ่นลั่วเยี่ยนจ้องเขาด้วยความโมโห“ไม่ต้องหรอก”หยุนเจิงหัวเราะ โอบเอวของเสิ่นลั่วเ
สองวันถัดไป พวกเขาตั้งที่พักชั่วคราวที่หุบเขาไป๋ฮวาคิดเสียว่าเป็นการทดลองการพักแรมในป่าล่วงหน้าเดิมทีถ้ำภูเขาแห่งนั้นก็กลายเป็น “จวนอ๋อง” ของหยุนเจิงแล้วมีเรื่องที่หยุนเจิงสละชีพเพื่อช่วยชีวิต ความสัมพันธ์ระหว่างเสิ่นลั่วเยี่ยนและหยุนเจิงพัฒนาไม่น้อยลูบไล้จับมือ โอบเอว ล้วนไม่ใช่ปัญหาแล้วแต่ว่า ทุกครั้งที่หยุนเจิงคิดจะก้าวเข้าไปอีกขั้น เสิ่นลั่วเยี่ยนก็ผลักมือที่อยู่ไม่สุขของเขาออกไป ทำให้หยุนเจิงรู้สึกหดหู่เล็กน้อยฉวยโอกาสตอนที่กำลังรอพวกเสิ่นฮูหยินที่หุบเขาไป๋ฮวา ทุกคนเองก็หยุดพักผ่อนเช่นกันระหว่างนั้น เยี่ยจื่อพาคนไปยังหลินผิงเฉิง เติมเสบียงไม่น้อยตั๋วเงินในมือของพวกเขา ได้ทำการแลกเปลี่ยนจำนวนมากที่เมืองหลินผิงตอนนี้ทุกอย่างพร้อมแล้ว รอให้พวกเสิ่นฮูหยินมาถึงก็สามารถออกเดินทางได้อีกครั้งวันถัดมา พวกเขาตั้งหน้าตั้งตารอการมาถึงของพวกเสิ่นฮูหยินตั้งแต่เช้าตรู่ถึงเช่นไร พวกเขารอตั้งแต่เช้าจนกระทั่งบ่าย กลับไม่เห็นวี่แววของพวกเสิ่นฮูหยิน“ไม่ถูกต้อง!”เสิ่นลั่วเยี่ยนขมวดคิ้ว “ตามหลักแล้ว ถึงเช่นไรวันนี้พวกท่านแม่ก็ควรมาถึงได้แล้วกระมั้ง?”นับรวมวันนี้ ความจริงพวกเ
”คือ...”โจวมี่เองก็ไม่รู้จะอธิบายกับหยุนเจิงว่าโรคไข้หนาวคือโรคใด ทำได้เพียงพรรณนาอาการของโรคไข้หนาวให้หยุนเจิงฟังที่เรียกว่าไข้หนาว ก็คือมีอาการเป็นไข้เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาวเป็นระยะ เหงื่อออกจำนวนมาก ทำให้ร่างกายสั่นอย่างควบคุมไม่ได้นี่เป็นโรคร้ายแรงประมาทเพียงเล็กน้อย ชีวิตก็ไม่อาจรักษาเอาไว้ได้แล้วโดยเฉพาะ เสิ่นเนี่ยนฉือเพิ่งอายุไม่ถึงเจ็ดขวบ ยิ่งอันตรายเมื่อได้ฟังคำอธิบายของโจวมี่ หยุนเจิงพลันชะงักในใจมิน่าเล่าเสิ่นลั่วเยี่ยนเมื่อครู่จึงมาเขาด้วยสายตาเช่นนั้น!ไข้หนาวนี่นึกไม่ถึงว่าจะร้ายแรงเช่นนี้?เสิ่นลั่วเยี่ยนร้อนใจมาก สั่งโจวมี่ด้วยใจที่สับสนยุ่งเหยิง “ไปแจ้งให้หมอที่ติดตามมากับพวกเรา บอกให้พวกเขาไปกับข้า!”หมอที่ติดตามพวกเขาล้วนเป็นหมอที่วังเชิญมาฝีมือแพทย์บางทีอาจจะดีหน่อยพาพวกเขาไปตรวจ ไม่แน่อาจช่วยได้เสิ่นเนี่ยนฉือเป็นองค์หญิงน้อยของจวนเสิ่น เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวของพี่ใหญ่!นางไม่มีทางยอมให้เกิดสิ่งใดขึ้นกับเสิ่นเนี่ยนฉือ“ขอรับ!”โจวมี่ไม่กล้าชักช้า รีบไปทำตามคำสั่งหยุนเจิงคิดจะปลอบใจเสิ่นลั่วเยี่ยน ทว่าไม่รู้จะปลอบเช่นไรมารดาเขาสิ!คนด
ในที่สุด หยุนเจิงก็เจอต้นโกฐจุฬาลัมพาเมื่อรู้ว่าเสิ่นเนี่ยนฉือป่วยหนักกะทันหัน เมี่ยวอินก็เสนอตัวขอตามไปดูด้วย“เจ้าจะอยากไปดูเรื่องครื้นเครงอะไรล่ะ”ตอนนี้เสิ่นลั่วเยี่ยนรู้สึกกังวลมาก จนใครหน้าไหนมาพูดด้วยก็ชักสีหน้าใส่เมี่ยวอินเข้าใจอารมณ์ของนาง แต่ไม่สนใจท่าทีของนาง ตอบด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า “ข้ารู้ทักษะทางการแพทย์ แถมยังมีทักษะทางการแพทย์ดีกว่าพวกหมอส่วนใหญ่นั่นอีก”“เจ้ารู้ทักษะทางการแพทย์ด้วยงั้นหรือ”หยุนเจิงรู้สึกประหลาดใจนี่คือสิ่งที่เขาไม่คาดคิด!“เจ้ายังเข้าใจทักษะทางการแพทย์ได้ ทำไมข้าจะเข้าใจบ้างไม่ได้”เมี่ยวอินเลิกคิ้วยิ้มๆ “อาจารย์ของข้ามีความสนใจที่หลากหลาย และทักษะทางการแพทย์ก็เป็นหนึ่งในนั้น”เอาเถอะ!การมีอาจารย์ที่ดีเป็นเรื่องดีจริงๆ!หยุนเจิงแอบถอนหายใจในใจ เขาไม่ร่ำรี้ร่ำไรอีก ออกเดินทางไปกับทุกคนทันทีลั่วอันยังอยู่ในเขตสุยโจว ห่างจากหุบเขาไป๋ฮวามากกว่าหนึ่งร้อยลี้พวกเขาห่วงพะวงสถานการณ์ของเสิ่นเนี่ยนฉือ เร่งรุดเดินทางมาอย่างรวดเร็วตลอดเมื่อท้องฟ้าเพิ่งมืดลง พวกเขาก็มาถึงลั่วอันแล้วภายใต้การนำของหม่าซาน พวกเขามาถึงอารามร้างที่ตระกูลเสิ่นทุกคน
“เรื่องนี้...ข้าไม่รู้...”ใบหน้าของเว่ยซวงเต็มไปด้วยน้ำตา ไม่รู้ว่าจะตอบคำถามของหยุนเจิงอย่างไรหยุนเจิงขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วถามทันทีว่า “เช่นนั้นก่อนที่นางจะไข้ขึ้น พวกท่านเคยอยู่ในสถานที่ที่มียุงเยอะหรือไม่”“อืม”ฮูหยินเสิ่นเข้ามาตอบแทนนาง กล่าวทั้งที่ยังร้องไห้ว่า “เมื่อคืนก่อนเราอยู่ไกลจากตัวเมือง ข้าเห็นว่าทุกคนเหนื่อยแล้ว จึงให้ทุกคนหาสถานที่พักค้างคืนชั่วคราวในป่า...”นั่นน่าจะเป็นเพราถูกยุงกัดทำให้เป็นไข้มาลาเรีย!หยุนเจิงมีแผนอยู่ในใจแล้ว เขารีบเรียกคนรับใช้ของจวนเสิ่นทันที ยื่นโกศจุฬาลัมพาในมือให้คนรับใช้ แล้วสั่งว่า “รีบหาอะไรมาบดให้ละเอียด แช่น้ำ แล้วห่อด้วยผ้าขาวบางสะอาด บีบน้ำออก...”“องค์ชาย เจ้าจะใช้สิ่งนี้รักษาอาการเจ็บป่วยของเนี่ยนฉือ?” ฮูหยินเสิ่นมีปฎิกิริยาโต้ตอบทันที “อื้ม!”หยุนเจิงพยักหน้าและพูดว่า “ข้าอ่านเจอยาสมุนไพรพื้นบ้านจากตำราโบราณเล่มนั้น...”หยุนเจิงนำตำราโบราณสารพัดนึกออกมาอีกครั้งเมื่อเสิ่นลั่วเยี่ยนได้ยินเช่นนี้ ก็โกรธจัด “ตำราโบราณของเจ้าไม่ใช่สิ่งที่ทำได้สารพัด! ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีพิษหรือไม่ ถ้าเกิด...”“ไม่มีพิษ!”หยุนเจิงกล่าวด้วยค
หลังจากนั้นไม่นาน คนรับใช้ในจวนเสิ่นก็แช่โกศจุฬาลัมพา บดแล้วคั้นน้ำออกมา ได้น้ำสีเขียวเข้มข้นมาชามใหญ่คนรับใช้นำน้ำสมุนไพรสีเขียวมาอย่างระมัดระวัง ยังหันจมูกไปอีกด้านโดยไม่รู้ตัวเห็นได้ชัดว่าของสิ่งนี้กลิ่นไม่ค่อยน่าอภิรมย์นัก ฮูหยินเสิ่นหยิบน้ำสมุนไพรมาวางที่ปลายจมูก แล้วขมวดคิ้วทันทีกลิ่นนี้ เหม็นจริงๆทั้งฉุนทั้งเหม็น“สิ่งนี้...สามารถใช้เป็นยาได้จริงหรือ”ฮูหยินเสิ่นในตอนนี้อดไม่ได้ที่จะเริ่มสงสัยสิ่งที่มีกลิ่นเหม็นเช่นนี้ สามารถใช้เป็นยาได้จริงหรือ“ได้!”หยุนเจิงพยักหน้ายืนยัน “ข้าไม่รับประกันว่าสิ่งนี้จะรักษาเนี่ยนฉือได้แน่นอนหรือไม่ แต่ข้ารับประกันได้ว่าสิ่งนี้ไม่มีพิษแน่นอน!”เมื่อพูดเช่นนั้น หยุนเจิงก็เอื้อมมือไปหยิบชามในมือของฮูหยินเสิ่นพูดจนปากเปื่อยปากแฉะ ไม่สู้ดื่มยืนยันไปเลย“ไปซะ!”เสิ่นลั่วเยี่ยนผลักหยุนเจิงออกไป “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า”เมื่อพูดเช่นนั้นแล้ว เสิ่นลั่วเยี่ยนก็หยิบชามจากมือมารดา ระงับความรู้สึกคลื่นไส้ และนำน้ำสมุนไพรเข้าปากของตัวเองขณะที่ฮูหยินเสิ่นกำลังจะห้าม เสิ่นลั่วเยี่ยนก็ดื่ม ‘อึกๆ’ ไปสองคำแล้วเมื่อเห็นการกระทำของเสิ่นล
ไข้ลดลงแล้ว?หยุนเจิงรู้สึกดีใจ รีบวิ่งเข้าไปในอารามร้างทันทีเขารีบวิ่ง ไม่ได้ระวังตัว จู่ๆ ก็สะดุดเถาวัลย์ที่โผล่มาจากไหนไม่รู้“องค์ชาย!”เมื่อเห็นหยุนเจิงสะดุด คนรับใช้ของจวนเสิ่นก็รีบวิ่งเข้าไปช่วยประคองเขา“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร!”หยุนเจิงโบกมือ ยืนขึ้นอย่างฝืนทนต่อความเจ็บปวดให้ตายเถอะ นิ้วหัวแม่มือบนฝ่ามือกระแทกเข้ากับหินคมๆ จนชิ้นเนื้อหลุด!“องค์ชาย มือของท่านมีเลือดออก!”คนรับใช้พูดด้วยความตื่นตระหนก “ข้าน้อยจะช่วยพันผ้าพันแผลให้นะเจ้าคะ!”“ไม่ต้องสนใจ รอฆ่าเชื้อก่อนค่อยว่ากัน”หยุนเจิงโบกมือแล้วเดินเข้าไปในอารามร้างอย่างรวดเร็วฆ่าเชื้อ?คนรับใช้มองดูแผ่นหลังของหยุนเจิงด้วยสายตาว่างเปล่า แล้วถามคนรับใช้ที่ถือโกฐจุฬาลัมพาว่า “ฆ่าเชื้อคืออะไร”“ข้าจะรู้ได้อย่างไร!”คนอื่นๆ ส่ายหัว กล่าวด้วยความชื่นชมว่า “องค์ชายเทพจริงๆ โรคที่คนหลายคนหมดปัญญารักษา เขากลับรักษาให้หายได้ด้วยน้ำสมุนไพรเพียงเล็กน้อย...”“อื้มๆ”คนรับใช้ที่ถือคบเพลิงพยักหน้า เอ่ยเตือนว่า “เจ้าต้องถือไม้โกศจุฬาลัมพา...เหม็นๆ พวกนี้ไว้ให้ดี สิ่งนี้เป็นของล้ำค่า มีค่ามากกว่าทองคำด้วยซ้ำ!”นี่คือยาสมุน
“เจ้านี่สุดยอดจริงๆ!”“ชะตากรรมที่ผูกมัดเจ้าสองคนไว้ด้วยกันด้วยโซ่เหล็ก ก็สามารถถูกเจ้าตัดขาดได้...”ในขณะที่พันแผลบนมือของหยุนเจิง เมี่ยวอินก็ล้อเลียนหยุนเจิงอย่างอดไม่ได้ใช่สิ!เสิ่นลั่วเยี่ยนหวังดีจะช่วยดูดเลือดจากบาดแผลให้เขา เพื่อจะช่วยให้เลือดหยุดเร็วๆ แต่เขากลับดี พอเอ่ยปากก็หาว่าเสิ่นลั่วเยี่ยนเป็นสุนัขทันทีก็เป็นแบบนี้ สมควรแล้วที่เสิ่นลั่วเยี่ยนใจร้ายกับเขา“ข้ามันปากเสียพอใจหรือยัง”หยุนเจิงเหลือบมองเสิ่นลั่วเยี่ยนที่ยังคงบึ้งตึง และในขณะที่แอบยิ้มอย่างขมขื่น ก็พูดกับเมี่ยวอินว่า “วิธีการฆ่าเชื้อของเจ้าแบบนี้ใช้ไม่ได้ ประเดี๋ยวเราต้องเอาสุรามากลั่นใหม่อีก วันหน้าหากมีสงครามขึ้น ของสิ่งนี้ไม่รู้จะช่วยชีวิตได้อีกกี่คน...”วันนี้เพราะเขาได้รับบาดเจ็บ จู่ๆ ก็ฉุกใจคิดได้ว่าแอลกอฮอล์นี้เป็นยาฆ่าเชื้อประเด็นก็คือ แอลกอฮอล์หาได้ง่ายมาก ไม่ต้องคำนวณวิทยาศาสตร์อะไรทั้งนั้น อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายคงค่อนข้างสูงอย่างแน่นอนท้ายที่สุดแล้ว ปริมาณแอลกอฮอล์ของสุราในต้าเฉียนนั้นไม่สูงมาก โดยทั่วไปราคาไม่ถูกสุราห้าจินใช่ว่าจะสามารถผลิตแอลกอฮอล์หนึ่งจินที่ตรงตามมาตรฐานทางการแพท
เมื่อได้ฟังโจวเต้ากงบ่นอย่างนี้ หยุนลี่ก็เดาได้ทันทีว่าเจ้านี่ต้องการพูดอะไรต่อไป ชัดเลย เขาคงจะมาขอเกราะจากตนแน่ๆ ใช่ไหม? “พอแล้วๆ!” หยุนลี่ขัดจังหวะคำพูดของโจวเต้ากง “ที่นี่ยังขาดเกราะอีกเท่าไหร่?” “หนึ่งหมื่นสามพันชุด” โจวเต้ากงตอบทันที “ขาดมากขนาดนี้เลย?” ใบหน้าของหยุนลี่กระตุกเล็กน้อย “ตามที่เจ้าพูด คนหนึ่งหมื่นที่ประจำอยู่ห่างออกไปสิบห้าลี้ก็แทบไม่มีเกราะเลยใช่ไหม?” “พ่ะย่ะค่ะ!” โจวเต้ากงพยักหน้า “หนึ่งหมื่นนั้นล้วนเป็นทหารที่เพิ่งเกณฑ์ใหม่ และตอนนี้กำลังฝึกซ้อมอยู่ที่นั่น…” ฝึกซ้อม? ใบหน้าของหยุนลี่มืดครึ้ม เกือบจะสบถออกมา ไม่มีเกราะป้องกัน นี่ก็เรียกว่าฝึกซ้อมหรือไงวะ? นี่มันเรียกว่าทิ้งข้าวเปลืองเบี้ยเลี้ยงมากกว่า! ถ้าเจ้าหกยกพลบุกมา จะหวังพึ่งคนพวกนี้ได้ไหม? พวกทหารนี่คงเป็นแค่เป้าซ้อมมือให้เจ้าหกไม่ใช่หรือไง? บ้าบอคอแตก! แนวป้องกันนี่ ไม่มีเสียยังจะดีกว่า! อย่างนี้ ราชสำนักยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้มหาศาลอีกด้วย! หยุนลี่โมโหจนแทบจะระเบิด แต่ก็ไม่อาจระบายความโกรธใส่โจวเต้ากงได้ เรื่องนี้จะไปโทษโจวเต้ากงก็ไม่ได้! เกรา
ฟู่โจวหัวเมืองเมืองสี่ทิศนี่คือพื้นที่ที่ใกล้กับซั่วเป่ยที่สุดของฟู่โจว หยุนเจิงจะจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาที่ฟู่โจว การสร้างจวนอ๋องใหม่ในเวลาสั้นๆ เป็นไปไม่ได้ จึงต้องซื้อจวนจากเหล่าขุนนางใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศแทน เดิมทีเรื่องนี้ควรเป็นหน้าที่ของหยุนลี่ องค์รัชทายาท ที่จะช่วยดูแลจัดการ แต่หยุนลี่ไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย สั่งให้ขุนนางในกรมพิธีการตัดสินใจกันเอง เขาเกลียดชังหยุนเจิงจนแทบอยากสับร่างหยุนเจิงเป็นชิ้นๆ แล้วจะให้เขามาช่วยเลือกจวนให้อย่างนั้นหรือ? ถ้าให้ช่วยเลือกโลงศพแทน เขาคงรีบทำอย่างกระตือรือร้นแน่! หลังจากโยนเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ให้ขุนนางระดับล่างจัดการ หยุนลี่ก็พาคนเดินทางไปยังค่ายใหญ่หัวเมืองสี่ทิศ นับตั้งแต่จ้าวจี๋นำทัพไปยังเขตตะวันตกเฉียงเหนือ ฟู่โจวก็เหลือเพียงกองกำลังสามหมื่นนาย และกองกำลังทั้งสามหมื่นนายนี้ก็เกือบทั้งหมดประจำอยู่ในหัวเมืองสี่ทิศ หยุนลี่ไม่หวั่นเกรงที่จะถูกตำหนิเรื่องการติดต่อกับแม่ทัพในกองทัพโดยพลการ การตรวจสอบค่ายใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศ เป็นภารกิจที่จักรพรรดิเหวินมอบหมายให้เขาก่อนที่จะเดินทางไปยังซั่วเป่ย เมื่อหยุนลี่พาคนมา
“เสด็จพ่อ ที่ซั่วเป่ยขาดแคลนอาหารอย่างหนัก!” หยุนเจิงกล่าวด้วยสีหน้าทุกข์ใจ “ตอนนี้ลูกไม่ได้ดูแลแค่ชาวซั่วเป่ย แต่ยังต้องเลี้ยงดูคนในเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือ อีกทั้งเป่ยหมัวถัว กุ่ยฟาง เป่ยหวน ทุกพื้นที่เหล่านี้…” “คำพูดพวกนี้ไปบอกพี่สามของเจ้าสิ อย่ามาพูดกับข้า!” จักรพรรดิเหวินไม่ฟังคำพร่ำบ่นของหยุนเจิง ตัดบทอย่างไร้เยื่อใย บอกกับเจ้าสาม? หยุนเจิงเบะปาก แค่มันเทศในห้องใต้ดินนี้ เจ้าสามจะซื้อไหวหรือ? ตามราคาที่ตนตั้งไว้ก่อนหน้า ถ้าเจ้าสามไม่จ่ายเงินออกมาสักหลายล้านตำลึง คงไม่มีทางซื้อมันเทศในห้องนี้ได้ ถ้าถึงขั้นนั้น เจ้าสามคงต้องกลายเป็นหัวหน้าแผนกปล้นบ้านประจำราชสำนักต้าเฉียนแน่! มองเห็นสีหน้าขัดใจของหยุนเจิง จักรพรรดิเหวินวางมันเทศในมือ พลางตบไหล่หยุนเจิงอย่างแรง “จงจำไว้ ประชาชนในเขตในก็ล้วนเป็นราษฎรในความดูแลของเจ้า!” นั่นไง! เริ่มมาล้างสมองกันอีกแล้ว! หยุนเจิงบ่นในใจ พลางเปลี่ยนเรื่องถาม “เสด็จพ่ออยากลองชิมรสมันเทศนี่ไหม?” “ตอนนี้เลย?” จักรพรรดิเหวินแปลกใจเล็กน้อย “อื้ม” หยุนเจิงพยักหน้า “มันเทศนี่ปอกเปลือกแล้วกินดิบได้ กินน้อ
ผ่านไปไม่กี่วัน พวกเขาก็เดินทางกลับถึงเมืองติ้งเป่ยจนได้ ด้วยเหตุที่จักรพรรดิเหวินทรงกำชับไว้ล่วงหน้า การเสด็จมายังเมืองติ้งเป่ยครั้งนี้จึงถูกปิดเป็นความลับอย่างเข้มงวด มีเพียงผู้คนในจวนอ๋องเท่านั้นที่รับทราบ ครั้นถึงเมืองติ้งเป่ย จักรพรรดิเหวินก็ไม่ได้รีบไปยังจวนอ๋องในทันที แต่กลับยืนกรานให้หยุนเจิงพาไปชมมันเทศเสียก่อน ถึงกับดึงตัวไปก็ยังไม่ยอม หยุนเจิงถึงกับเอ่ยว่าให้คนยกมันเทศมาถวายให้ทอดพระเนตรที่จวนก็ยังไม่ยอม ทั้งยังยืนกรานจะไปดูด้วยพระองค์เองที่ห้องใต้ดินเก็บมันเทศ หยุนเจิงเริ่มระแวงหนักว่าตาแก่นี้คงกลัวว่าตนจะยกมันเทศไม่กี่หัวมาหลอกให้พอพระทัย จึงต้องการไปตรวจดูคลังสำรองเสียก่อนว่าจะสามารถยึดมันเทศไปจากตนได้สักเท่าใด ด้วยการยืนกรานของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงจึงจำต้องพาไปยังสถานที่เก็บมันเทศแห่งหนึ่ง แม้ว่ามันเทศจะถูกแบ่งเก็บไว้ในห้องใต้ดินหลายแห่ง แต่สถานที่เหล่านั้นก็อยู่ติดกัน เพื่อให้สะดวกต่อการจัดการยามเฝ้ารักษา จักรพรรดิเหวินเพียงลงจากรถม้า ก็เห็นกองทหารจำนวนมากสวมเกราะพร้อมอาวุธครบมือ “เจ้าช่างเฝ้าแน่นหนาดีจริง! หรือเจ้ากลัวใครจะมาขโมยมันเทศของเจ
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ
วันถัดมา จักรพรรดิเหวินที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางก็ตื่นสายเล็กน้อย หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ จักรพรรดิเหวินก็ให้ทุกคนพาเดินสำรวจในเล่ออาน จักรพรรดิเหวินไม่ได้เปิดเผยฐานะตนเอง ไม่ได้พาผู้ติดตามมากมาย และยังปลอมตัวเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงความยุ่งยาก หลังจากเดินสำรวจรอบเมือง จักรพรรดิเหวินก็ค่อนข้างพอใจ ระหว่างเดินบนถนนในเมือง จักรพรรดิเหวินก็ย่อตัวลงดูอะไรบางอย่าง “นี่มันอะไรหรือ?” จักรพรรดิเหวินชี้ไปที่ปูนระหว่างก้อนอิฐสองก้อนแล้วถาม “นี่คือปูนซีเมนต์” หยุนเจิงอธิบาย “มันทำหน้าที่เหมือนกาวข้าวเหนียว แต่มีความแข็งแรงกว่าเล็กน้อย และหาง่ายกว่า ไม่เปลืองข้าว แค่ปริมาณการผลิตยังน้อยอยู่” “สิ่งนี้ใช้ได้ทีเดียว!” จักรพรรดิเหวินลุกขึ้นช้าๆ “เจ้าเคยคิดจะขายปูนซีเมนต์นี้ไปพื้นที่เขตในหรือไม่?” “นั่นคงยากหน่อย” หยุนเจิงส่ายหัว “ซั่วเป่ยยังขาดปูนนี้มาก จะเอาไปขายที่เขตในได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ส่วนใหญ่ใช้ในงานของราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้” “เช่นนั้น มันเทศล่ะ?” จักรพรรดิเหวินมองหยุนเจิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่ามันเทศในซั่วเป่ยป
“ห้ะ?” หยุนเจิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “วางใจเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี” จักรพรรดิเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นช่วงสำคัญที่เจ้าจะรวบรวมใจชาวเป่ยหวน แม้ข้าจะอยากไปบวงสรวงฟ้าดินที่เขาเทพหมาป่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ข้าเข้าใจดี” “เสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่เรื่องของขอบเขตหรือไม่ขอบเขตนะพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงคร่ำครวญแทบล้มประดาตาย “เสด็จพ่อจะไปเยือนวังหลวงเป่ยหวน เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่เสด็จพ่อคิดดูเถิด หากเสด็จพ่อไป ลูกคงต้องนำทัพสักหมื่นสองหมื่นนายเพื่อคุ้มครองเสด็จพ่อใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? ทัพหมื่นสองหมื่นนาย เดินทางหน้าหนาว ต้องขนเสบียงและเสื้อผ้ากันหนาวแค่ไหน? ไปกลับอย่างไรเสียก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” นี่ยังไม่รวมว่าต้องออกเดินทางจากค่ายใหญ่เขาห่านป่าหวนกลับ! หากออกเดินทางจากที่อื่น เวลาก็ยิ่งนานกว่านี้! นี่เป็นการเดินทางของฮ่องเต้นะ! จะให้เดินทางเร่งด่วนตลอดทางก็ไม่ได้! ต่อให้เสด็จพ่ออยากไปจริง ก็ควรรอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้! “สักสองเดือนก็สักสองเดือนเถอะ!” จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่จัดงานแต่งกับเจียเ
จักรพรรดิเหวินหยุดครู่หนึ่ง ก่อนถ่ายทอดคำที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยกล่าวไว้ให้หยุนเจิงฟัง ผู้เลี้ยงแกะในมือนั้น ต้องมีผืนดิน หมาป่า แกะ และสุนัข! ผืนดิน คือกฎเกณฑ์ ขีดเส้นจำกัดไว้เป็นคอก หมาป่าคือภัยคุกคาม บอกฝูงแกะว่าอย่าได้วิ่งพล่าน ในพื้นที่ที่ขีดเส้นให้เท่านั้นจึงจะปลอดภัยจากหมาป่า แกะ คือหัวหน้าฝูง ขณะเลี้ยง หากควบคุมหัวหน้าฝูงได้ ฝูงแกะก็จะไม่หลงทาง สุนัขช่วยต้อนฝูงแกะ นำแกะที่ไม่เชื่อฟังกลับเข้าฝูง เมื่อได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงก็อดไม่ได้ที่จะตระหนักในทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จางฮว๋ายก็คือหัวหน้าฝูงแกะตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิพระองค์ก่อนหรือเสด็จพ่อ ต่างก็ต้องการหัวหน้าฝูงตัวนี้เพื่อควบคุมฝูงแกะ ผ่านไปครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “เสด็จพ่อคงไม่ได้คิดจะส่งเกาซื่อเจินมาให้ลูกเป็นหัวหน้าฝูงใช่ไหม?” “เจ้าคิดว่าเกาซื่อเจินมีความสามารถจะเป็นหัวหน้าฝูงหรือ?” จักรพรรดิเหวินเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม กล่าวอย่างมีนัยว่า “หัวหน้าฝูงไม่ใช่ว่าใครจะเป็นได้!” เช่นนี้เองหรือ? หยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ในใจ จริงแท้ เกาซื่อเจินไม่มีความสามาร
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ