ไข้ลดลงแล้ว?หยุนเจิงรู้สึกดีใจ รีบวิ่งเข้าไปในอารามร้างทันทีเขารีบวิ่ง ไม่ได้ระวังตัว จู่ๆ ก็สะดุดเถาวัลย์ที่โผล่มาจากไหนไม่รู้“องค์ชาย!”เมื่อเห็นหยุนเจิงสะดุด คนรับใช้ของจวนเสิ่นก็รีบวิ่งเข้าไปช่วยประคองเขา“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร!”หยุนเจิงโบกมือ ยืนขึ้นอย่างฝืนทนต่อความเจ็บปวดให้ตายเถอะ นิ้วหัวแม่มือบนฝ่ามือกระแทกเข้ากับหินคมๆ จนชิ้นเนื้อหลุด!“องค์ชาย มือของท่านมีเลือดออก!”คนรับใช้พูดด้วยความตื่นตระหนก “ข้าน้อยจะช่วยพันผ้าพันแผลให้นะเจ้าคะ!”“ไม่ต้องสนใจ รอฆ่าเชื้อก่อนค่อยว่ากัน”หยุนเจิงโบกมือแล้วเดินเข้าไปในอารามร้างอย่างรวดเร็วฆ่าเชื้อ?คนรับใช้มองดูแผ่นหลังของหยุนเจิงด้วยสายตาว่างเปล่า แล้วถามคนรับใช้ที่ถือโกฐจุฬาลัมพาว่า “ฆ่าเชื้อคืออะไร”“ข้าจะรู้ได้อย่างไร!”คนอื่นๆ ส่ายหัว กล่าวด้วยความชื่นชมว่า “องค์ชายเทพจริงๆ โรคที่คนหลายคนหมดปัญญารักษา เขากลับรักษาให้หายได้ด้วยน้ำสมุนไพรเพียงเล็กน้อย...”“อื้มๆ”คนรับใช้ที่ถือคบเพลิงพยักหน้า เอ่ยเตือนว่า “เจ้าต้องถือไม้โกศจุฬาลัมพา...เหม็นๆ พวกนี้ไว้ให้ดี สิ่งนี้เป็นของล้ำค่า มีค่ามากกว่าทองคำด้วยซ้ำ!”นี่คือยาสมุน
“เจ้านี่สุดยอดจริงๆ!”“ชะตากรรมที่ผูกมัดเจ้าสองคนไว้ด้วยกันด้วยโซ่เหล็ก ก็สามารถถูกเจ้าตัดขาดได้...”ในขณะที่พันแผลบนมือของหยุนเจิง เมี่ยวอินก็ล้อเลียนหยุนเจิงอย่างอดไม่ได้ใช่สิ!เสิ่นลั่วเยี่ยนหวังดีจะช่วยดูดเลือดจากบาดแผลให้เขา เพื่อจะช่วยให้เลือดหยุดเร็วๆ แต่เขากลับดี พอเอ่ยปากก็หาว่าเสิ่นลั่วเยี่ยนเป็นสุนัขทันทีก็เป็นแบบนี้ สมควรแล้วที่เสิ่นลั่วเยี่ยนใจร้ายกับเขา“ข้ามันปากเสียพอใจหรือยัง”หยุนเจิงเหลือบมองเสิ่นลั่วเยี่ยนที่ยังคงบึ้งตึง และในขณะที่แอบยิ้มอย่างขมขื่น ก็พูดกับเมี่ยวอินว่า “วิธีการฆ่าเชื้อของเจ้าแบบนี้ใช้ไม่ได้ ประเดี๋ยวเราต้องเอาสุรามากลั่นใหม่อีก วันหน้าหากมีสงครามขึ้น ของสิ่งนี้ไม่รู้จะช่วยชีวิตได้อีกกี่คน...”วันนี้เพราะเขาได้รับบาดเจ็บ จู่ๆ ก็ฉุกใจคิดได้ว่าแอลกอฮอล์นี้เป็นยาฆ่าเชื้อประเด็นก็คือ แอลกอฮอล์หาได้ง่ายมาก ไม่ต้องคำนวณวิทยาศาสตร์อะไรทั้งนั้น อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายคงค่อนข้างสูงอย่างแน่นอนท้ายที่สุดแล้ว ปริมาณแอลกอฮอล์ของสุราในต้าเฉียนนั้นไม่สูงมาก โดยทั่วไปราคาไม่ถูกสุราห้าจินใช่ว่าจะสามารถผลิตแอลกอฮอล์หนึ่งจินที่ตรงตามมาตรฐานทางการแพท
ระหว่างที่พูด เมี่ยวอินยังแลบลิ้นที่อ่อนนุ่มออกมาเลียริมฝีปากของตัวเอง และยังใช้นิ้วมือที่ขาวเผือดของนางลูบหลังฝ่ามือของหยุนเจิงเบาๆเมื่อเห็นท่าทางของเมี่ยวอินที่เต็มไปด้วยการยั่วยวน เลือดร้อนในร่างกายของหยุนเจิงก็พลุ่งพล่านไม่หยุดให้ตายเถอะ!แม่นางยั่วสวาทคนนี้!อยากจะจับนางประหารชีวิตให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย!อยากเป็นสัตว์ร้ายเสียจริง!ใครก็ได้ รีบมาเก็บแม่นางยั่วสวาทคนนี้หน่อยสิ!เลือดข้าจะไหลหมดตัวแล้ว!“เรื่องนี้ค่อยคุยกันวันหลังเถอะนะ!”หยุนเจิงยิ้มแห้งๆ และพูดตัดบทในทันที “ท่านอาจารย์ของเจ้าสอนอะไรเจ้าบ้าง?”“มากทีเดียวเพคะ”เมี่ยวอินยิ้มหวานหยาดเยิ้ม และพูดด้วยหน้าตาที่งดงาม “ท่านอาจารย์ของข้ายังเคยสอนศิลปะการร่วมรักด้วยนะเพคะ!”ให้ตายเถอะ?จริงหรือหลอกเนี่ย?แม่นางยั่วสวาทคนนี้!“จะว่าไปแล้ว อาจารย์ของเจ้าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายกัน?”หยุนเจิงถามประเด็นสำคัญในทันทีหากผู้ชายคนหนึ่งสอนศิลปะการร่วมรักกับนาง แบบนั้นก็คงไม่เหมาะสม!“วางใจได้เพคะ ท่านอาจารย์ของข้าเป็นผู้หญิง!”เมี่ยวอินลูบที่หลังมือของหยุนเจิงเบาๆ “ร่างกายของหม่อมฉันยังคงบริสุทธิ์
หลังจากพักผ่อนหนึ่งคืน เสิ่นเนี่ยนฉือแทบไม่มีอาการน่าเป็นห่วงร่างกายของเจ้าหนูน้อยยังคงอ่อนแรงอยู่ แต่มีชีวิตชีวามากขึ้นแล้วเมื่อเห็นว่าอาการของเจ้าหนูน้อยค่อยๆ ฟื้นฟู ทุกคนต่างก็โล่งใจ และรีบเดินทางไปยังหุบเขาไป๋ฮวาหยุนเจิงได้รับบาดเจ็บที่มือ จึงไม่ได้ขี่ม้าอีกแล้ว และนอนอยู่ในรถม้าฮูหยินเสิ่นยังจงใจให้เสิ่นลั่วเยี่ยนเข้าไปในรถม้า เพื่อให้นางอยู่เป็นเพื่อนหยุนเจิง“ยังโกรธอยู่หรือ?”หยุนเจิงมองเสิ่นลั่วเยี่ยนที่กำลังโกรธจัดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“หม่อมฉันจะกล้าโกรธองค์ชายได้อย่างไรเพคะ!”เสิ่นลั่วเยี่ยนทำเสียงฮึดฮัดเบาๆ แล้วพูดว่า “ตอนนี้ท่านอ๋องกลายเป็นผู้มีบุญคุณที่ช่วยชีวิตของเนี่ยนฉือแล้ว คนทั้งครอบครัวของข้าต่างก็ยืนอยู่ข้างท่านอ๋อง หากหม่อมฉันยังกล้าโมโหท่านอ๋อง ท่านแม่และพี่สะใภ้อีกสองคนคงไม่ปล่อยข้าไปแน่!”“ดูท่าทางของเจ้าสิ ยังกล้าพูดว่าไม่โกรธอีก”หยุนเจิงย้ายตัวเองไปนั่งประกบเสิ่นลั่วเยี่ยน “เพียงแค่ล้อเล่นเท่านั้น เจ้าขี้น้อยใจขนาดนี้เลยหรือ?”“ไปให้ห่างจากข้า!”เสิ่นลั่วเยี่ยนผลักหยุนเจิงออกด้วยโฉมหน้าเดิมของนาง “อย่าเอาโรคหมาบ้าของข้าไปแพร่กระจายใ
แม้นางจะดุ แต่คำพูดของนางไม่มีความอาฆาตมาดร้ายเลยแม้แต่น้อยและยังดูเหมือนกำลังหยอกล้อเล็กน้อย“เอาล่ะ ไม่ต้องวุ่นวายหรอก แค่แผลเล็กๆ เท่านั้น”หยุนเจิงยิ้มและพูดอย่างไม่แยแส “เจ้าให้ข้ากอดเยอะๆ ข้าก็จะอารมณ์ดี แผลก็จะหายเร็วขึ้นด้วย”“ถุย!”เสิ่นลั่วเยี่ยนพ่นน้ำลายออกมาเบาๆ ด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ “หน้าไม่อายก็พูดมาตรงๆ จำเป็นต้องชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดด้วยหรือเพคะ?”“ข้ากอดพระชายาของตัวเอง เหตุใดจึงพูดว่าหน้าไม่อายเล่า?”หยุนเจิงหัวเราะร่า มองเสิ่นลั่วเยี่ยนที่โกรธจนกัดฟันแน่นเสิ่นลั่วเยี่ยนทำทีขัดขืนเล็กน้อย และปล่อยให้เขากอดตัวเองตามใจชอบเมื่อครุ่นคิดครู่หนึ่ง จู่ๆ เสิ่นลั่วเยี่ยนก็เปิดปากถามว่า “ท่านเคยตำหนิข้าบ้างหรือไม่?”“หา?”หยุนเจิงทำหน้าแปลกใจ เขาสับสนเล็กน้อยกับคำพูดที่โพล่งออกมาอย่างกะทันหันของนางเสิ่นลั่วเยี่ยนก้มหน้าพูดว่า “ข้านิสัยไม่ดี รังแกท่านตลอดเวลา และยังชักสีหน้าใส่ท่านอยู่เสมอ อย่างเรื่องเมื่อคืนนี้ ท่านมีน้ำใจทำยามารักษาเนี่ยนฉือ ข้ายังไม่เชื่อท่าน และยังดุท่านด้วย...”“โอ้ นี่เจ้าเริ่มสำนึกผิดแล้วหรือ?” หยุนเจิงพูดหยอก“ข้ากำลังพู
เมื่อฟ้ามืด ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงหุบเขาไป๋ฮวาเมื่อเห็นว่าเสิ่นเนี่ยนฉือไม่เป็นอะไรแล้ว เยี่ยจื่อที่รออยู่ที่หุบเขาไป๋ฮวาก็รู้สึกสบายใจเพื่อให้ถึงหุบเขาไป๋ฮวาโดยไว ทุกคนไม่ได้พักระหว่างทางเลยหลังจากกินเสบียงกรังอย่างง่ายๆ ทุกคนก็สร้างกระโจมสำหรับพักผ่อนเสิ่นลั่วเยี่ยนกระวนกระวายใจอยู่บ้าง พลิกตัวไปมาเพราะนอนไม่หลับ จึงออกไปหาเยี่ยจื่อ และดึงเยี่ยจื่อไปยังมุมที่ไม่มีคนเพื่อพูดคุยคลายความกังวลใจเมื่อคุยไปเรื่อยๆ ทั้งสองก็คุยถึงเรื่องของหยุนเจิง“พี่สะใภ้พูดถูก หยุนเจิงเป็นพวกหื่นกาม!”เมื่อพูดถึงหยุนเจิง ท่าทางของเสิ่นลั่วเยี่ยนก็โกรธจัดขึ้นมาอีกครั้งเยี่ยจื่อได้ยินดังนั้นก็ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นในทันที “เขาทำอะไรเจ้าอีกล่ะ?”“เขา...”ใบหน้างามของเสิ่นลั่วเยี่ยนร้อนผ่าว อยากจะพูดแต่ก็เขินอายเยี่ยจื่อเห็นดังนั้นก็ยิ่งแปลกใจ จึงไล่ถามอีกครั้งเมื่อเยี่ยจื่อซักไซ้ถามครั้งแล้วครั้งเล่า เสิ่นลั่วเยี่ยนจึงเล่าเรื่องวันนี้ที่เกิดขึ้นบนรถม้าให้เยี่ยจื่อฟังอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ“ฮ่าๆ...”เมื่อได้ฟังเสิ่นลั่วเยี่ยน เยี่ยจื่อก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้เมื่อได้ยินเ
เสิ่นลั่วเยี่ยนพูดอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ รู้สึกร้อนวูบวาบบนใบหน้า“เจ้าไม่เพียงละเลยต่อบางสิ่งเท่านั้น!”เยี่ยจื่อพูดด้วยรอยยิ้มหวานหยาดเยิ้ม “หยุนเจิงปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดี เจ้าไม่เคยมองเห็นเลย! เจ้าลองคิดดูนะ เจ้าเข้าใจผิดเขาก็ดี ดุใส่เขาก็ดี เขาเคยคิดเล็กคิดน้อยกับเจ้าหรือไม่?”“คือว่า...”เสิ่นลั่วเยี่ยนครุ่นคิดและส่ายหน้าเบาๆจริงด้วย หยุนเจิงไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเหล่านั้นเลยเมื่อก่อนนางคิดว่าหยุนเจิงกลัวโดนต่อย เมื่อครุ่นคิดในตอนนี้ ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น“เจ้าเด็กโง่เอ๊ย!”เยี่ยจื่อลูบที่มือของเสิ่นลั่วเยี่ยนอีกครั้ง และพูดเสียงเบาว่า “เจ้าคิดว่าเมี่ยวอินต้องการตามเขาไปที่ซั่วเป่ยเพื่อช่วยเขาก่อกบฏงั้นหรือ? หากเจ้าเป็นเมี่ยวอิน และหากไม่มีความรู้สึกที่ดีต่อหยุนเจิง เจ้าคิดว่าเจ้าจะติดตามเขาไปที่ซั่วเป่ยหรือไม่?”“หา?”เสิ่นลั่วเยี่ยนร้องตกใจ และเบิกตาโพลงอย่างซื่อๆ และมองเยี่ยจื่ออย่างไม่เชื่อว่า “พี่กำลังจะบอกว่า เมี่ยวอินมีใจให้หยุนเจิงงั้นหรือ?”“อย่างน้อยก็ต้องมีบ้าง”เยี่ยจื่อพยักหน้าเบาๆ และพูดอย่างจริงจังว่า “พี่สะใภ้เล่าเรื่องพวกนี้ให้เจ้าฟ
มีความสนิทสนมกันเมื่อคืน ความสัมพันธ์ของหยุนเจิงและเสิ่นลั่วเยี่ยนพัฒนาครั้งใหญ่หยุนเจิงรู้สึกว่า ตัวเองใกล้หลุดพ้นคำว่า “ลูกกระจอก” ในอีกไม่นานแล้วแต่ว่า ตอนนี้เขาไม่มีจิตใจไปคิดถึงเรื่องลมดอกไม้หิมะพระจันทร์เหล่านั้นพวกเขาหน้าหลังใช้เวลาล่าช้าไปไม่น้อย ต้องเร่งไปยังซั่วเป่ยเมื่อพวกเขาออกเดินทางอีกครั้ง เสิ่นฮูหยินและเว่ยซวงล้วนแต่งตัวเป็นชาย พวกนางปะปนในกลุ่มคน คนทั่วไปก็ไม่แยกออกว่าเป็นหญิงหรือชายถึงเช่นไรพวกเขาก็หลอกลวงจักรพรรดิเหวิน จึงไปกล้าเดินทางอย่างเอิกเกริก เพื่อหลีกเลี่ยงการคาดเดาที่ไม่จำเป็นหลังออกเดินทางไปยังซั่วเป่ยอีกครั้ง หยุงเจิงได้ทำตามสัญญาเช่นกัน ให้เสิ่นลั่วเยี่ยนนำกองกำลังเดินทางล่วงหน้าไปกำจัดโจรให้พวกเขาได้รับบทเรียนจากการแว้งกัดของเมี่ยวอินมาก่อน เสิ่นลั่วเยี่ยนก็รอบครอบขึ้นมากวันเวลาต่อจากนี้ ถือได้ว่าไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันใดอีกแปดวันให้หลัง ในที่สุดพวกเขาก็ได้เห็นด่านเป่ยลู่ที่ยิ่งใหญ่ทรงอำนาจแล้วก่อนที่จะเร่งเดินทางถึงด่านเป่ยลู่ พวกเขาได้จัดการหาที่พักแรมให้คนครอบครัวเสิ่นแล้วถึงเช่นไรซั่วเป่ยกำลังจะเข้าสู่สงคราม เด็กน้อยเสิ่นเนี่ย