หลังจากพักผ่อนหนึ่งคืน เสิ่นเนี่ยนฉือแทบไม่มีอาการน่าเป็นห่วงร่างกายของเจ้าหนูน้อยยังคงอ่อนแรงอยู่ แต่มีชีวิตชีวามากขึ้นแล้วเมื่อเห็นว่าอาการของเจ้าหนูน้อยค่อยๆ ฟื้นฟู ทุกคนต่างก็โล่งใจ และรีบเดินทางไปยังหุบเขาไป๋ฮวาหยุนเจิงได้รับบาดเจ็บที่มือ จึงไม่ได้ขี่ม้าอีกแล้ว และนอนอยู่ในรถม้าฮูหยินเสิ่นยังจงใจให้เสิ่นลั่วเยี่ยนเข้าไปในรถม้า เพื่อให้นางอยู่เป็นเพื่อนหยุนเจิง“ยังโกรธอยู่หรือ?”หยุนเจิงมองเสิ่นลั่วเยี่ยนที่กำลังโกรธจัดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“หม่อมฉันจะกล้าโกรธองค์ชายได้อย่างไรเพคะ!”เสิ่นลั่วเยี่ยนทำเสียงฮึดฮัดเบาๆ แล้วพูดว่า “ตอนนี้ท่านอ๋องกลายเป็นผู้มีบุญคุณที่ช่วยชีวิตของเนี่ยนฉือแล้ว คนทั้งครอบครัวของข้าต่างก็ยืนอยู่ข้างท่านอ๋อง หากหม่อมฉันยังกล้าโมโหท่านอ๋อง ท่านแม่และพี่สะใภ้อีกสองคนคงไม่ปล่อยข้าไปแน่!”“ดูท่าทางของเจ้าสิ ยังกล้าพูดว่าไม่โกรธอีก”หยุนเจิงย้ายตัวเองไปนั่งประกบเสิ่นลั่วเยี่ยน “เพียงแค่ล้อเล่นเท่านั้น เจ้าขี้น้อยใจขนาดนี้เลยหรือ?”“ไปให้ห่างจากข้า!”เสิ่นลั่วเยี่ยนผลักหยุนเจิงออกด้วยโฉมหน้าเดิมของนาง “อย่าเอาโรคหมาบ้าของข้าไปแพร่กระจายใ
แม้นางจะดุ แต่คำพูดของนางไม่มีความอาฆาตมาดร้ายเลยแม้แต่น้อยและยังดูเหมือนกำลังหยอกล้อเล็กน้อย“เอาล่ะ ไม่ต้องวุ่นวายหรอก แค่แผลเล็กๆ เท่านั้น”หยุนเจิงยิ้มและพูดอย่างไม่แยแส “เจ้าให้ข้ากอดเยอะๆ ข้าก็จะอารมณ์ดี แผลก็จะหายเร็วขึ้นด้วย”“ถุย!”เสิ่นลั่วเยี่ยนพ่นน้ำลายออกมาเบาๆ ด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ “หน้าไม่อายก็พูดมาตรงๆ จำเป็นต้องชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดด้วยหรือเพคะ?”“ข้ากอดพระชายาของตัวเอง เหตุใดจึงพูดว่าหน้าไม่อายเล่า?”หยุนเจิงหัวเราะร่า มองเสิ่นลั่วเยี่ยนที่โกรธจนกัดฟันแน่นเสิ่นลั่วเยี่ยนทำทีขัดขืนเล็กน้อย และปล่อยให้เขากอดตัวเองตามใจชอบเมื่อครุ่นคิดครู่หนึ่ง จู่ๆ เสิ่นลั่วเยี่ยนก็เปิดปากถามว่า “ท่านเคยตำหนิข้าบ้างหรือไม่?”“หา?”หยุนเจิงทำหน้าแปลกใจ เขาสับสนเล็กน้อยกับคำพูดที่โพล่งออกมาอย่างกะทันหันของนางเสิ่นลั่วเยี่ยนก้มหน้าพูดว่า “ข้านิสัยไม่ดี รังแกท่านตลอดเวลา และยังชักสีหน้าใส่ท่านอยู่เสมอ อย่างเรื่องเมื่อคืนนี้ ท่านมีน้ำใจทำยามารักษาเนี่ยนฉือ ข้ายังไม่เชื่อท่าน และยังดุท่านด้วย...”“โอ้ นี่เจ้าเริ่มสำนึกผิดแล้วหรือ?” หยุนเจิงพูดหยอก“ข้ากำลังพู
เมื่อฟ้ามืด ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงหุบเขาไป๋ฮวาเมื่อเห็นว่าเสิ่นเนี่ยนฉือไม่เป็นอะไรแล้ว เยี่ยจื่อที่รออยู่ที่หุบเขาไป๋ฮวาก็รู้สึกสบายใจเพื่อให้ถึงหุบเขาไป๋ฮวาโดยไว ทุกคนไม่ได้พักระหว่างทางเลยหลังจากกินเสบียงกรังอย่างง่ายๆ ทุกคนก็สร้างกระโจมสำหรับพักผ่อนเสิ่นลั่วเยี่ยนกระวนกระวายใจอยู่บ้าง พลิกตัวไปมาเพราะนอนไม่หลับ จึงออกไปหาเยี่ยจื่อ และดึงเยี่ยจื่อไปยังมุมที่ไม่มีคนเพื่อพูดคุยคลายความกังวลใจเมื่อคุยไปเรื่อยๆ ทั้งสองก็คุยถึงเรื่องของหยุนเจิง“พี่สะใภ้พูดถูก หยุนเจิงเป็นพวกหื่นกาม!”เมื่อพูดถึงหยุนเจิง ท่าทางของเสิ่นลั่วเยี่ยนก็โกรธจัดขึ้นมาอีกครั้งเยี่ยจื่อได้ยินดังนั้นก็ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นในทันที “เขาทำอะไรเจ้าอีกล่ะ?”“เขา...”ใบหน้างามของเสิ่นลั่วเยี่ยนร้อนผ่าว อยากจะพูดแต่ก็เขินอายเยี่ยจื่อเห็นดังนั้นก็ยิ่งแปลกใจ จึงไล่ถามอีกครั้งเมื่อเยี่ยจื่อซักไซ้ถามครั้งแล้วครั้งเล่า เสิ่นลั่วเยี่ยนจึงเล่าเรื่องวันนี้ที่เกิดขึ้นบนรถม้าให้เยี่ยจื่อฟังอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ“ฮ่าๆ...”เมื่อได้ฟังเสิ่นลั่วเยี่ยน เยี่ยจื่อก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้เมื่อได้ยินเ
เสิ่นลั่วเยี่ยนพูดอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ รู้สึกร้อนวูบวาบบนใบหน้า“เจ้าไม่เพียงละเลยต่อบางสิ่งเท่านั้น!”เยี่ยจื่อพูดด้วยรอยยิ้มหวานหยาดเยิ้ม “หยุนเจิงปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดี เจ้าไม่เคยมองเห็นเลย! เจ้าลองคิดดูนะ เจ้าเข้าใจผิดเขาก็ดี ดุใส่เขาก็ดี เขาเคยคิดเล็กคิดน้อยกับเจ้าหรือไม่?”“คือว่า...”เสิ่นลั่วเยี่ยนครุ่นคิดและส่ายหน้าเบาๆจริงด้วย หยุนเจิงไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเหล่านั้นเลยเมื่อก่อนนางคิดว่าหยุนเจิงกลัวโดนต่อย เมื่อครุ่นคิดในตอนนี้ ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น“เจ้าเด็กโง่เอ๊ย!”เยี่ยจื่อลูบที่มือของเสิ่นลั่วเยี่ยนอีกครั้ง และพูดเสียงเบาว่า “เจ้าคิดว่าเมี่ยวอินต้องการตามเขาไปที่ซั่วเป่ยเพื่อช่วยเขาก่อกบฏงั้นหรือ? หากเจ้าเป็นเมี่ยวอิน และหากไม่มีความรู้สึกที่ดีต่อหยุนเจิง เจ้าคิดว่าเจ้าจะติดตามเขาไปที่ซั่วเป่ยหรือไม่?”“หา?”เสิ่นลั่วเยี่ยนร้องตกใจ และเบิกตาโพลงอย่างซื่อๆ และมองเยี่ยจื่ออย่างไม่เชื่อว่า “พี่กำลังจะบอกว่า เมี่ยวอินมีใจให้หยุนเจิงงั้นหรือ?”“อย่างน้อยก็ต้องมีบ้าง”เยี่ยจื่อพยักหน้าเบาๆ และพูดอย่างจริงจังว่า “พี่สะใภ้เล่าเรื่องพวกนี้ให้เจ้าฟ
มีความสนิทสนมกันเมื่อคืน ความสัมพันธ์ของหยุนเจิงและเสิ่นลั่วเยี่ยนพัฒนาครั้งใหญ่หยุนเจิงรู้สึกว่า ตัวเองใกล้หลุดพ้นคำว่า “ลูกกระจอก” ในอีกไม่นานแล้วแต่ว่า ตอนนี้เขาไม่มีจิตใจไปคิดถึงเรื่องลมดอกไม้หิมะพระจันทร์เหล่านั้นพวกเขาหน้าหลังใช้เวลาล่าช้าไปไม่น้อย ต้องเร่งไปยังซั่วเป่ยเมื่อพวกเขาออกเดินทางอีกครั้ง เสิ่นฮูหยินและเว่ยซวงล้วนแต่งตัวเป็นชาย พวกนางปะปนในกลุ่มคน คนทั่วไปก็ไม่แยกออกว่าเป็นหญิงหรือชายถึงเช่นไรพวกเขาก็หลอกลวงจักรพรรดิเหวิน จึงไปกล้าเดินทางอย่างเอิกเกริก เพื่อหลีกเลี่ยงการคาดเดาที่ไม่จำเป็นหลังออกเดินทางไปยังซั่วเป่ยอีกครั้ง หยุงเจิงได้ทำตามสัญญาเช่นกัน ให้เสิ่นลั่วเยี่ยนนำกองกำลังเดินทางล่วงหน้าไปกำจัดโจรให้พวกเขาได้รับบทเรียนจากการแว้งกัดของเมี่ยวอินมาก่อน เสิ่นลั่วเยี่ยนก็รอบครอบขึ้นมากวันเวลาต่อจากนี้ ถือได้ว่าไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันใดอีกแปดวันให้หลัง ในที่สุดพวกเขาก็ได้เห็นด่านเป่ยลู่ที่ยิ่งใหญ่ทรงอำนาจแล้วก่อนที่จะเร่งเดินทางถึงด่านเป่ยลู่ พวกเขาได้จัดการหาที่พักแรมให้คนครอบครัวเสิ่นแล้วถึงเช่นไรซั่วเป่ยกำลังจะเข้าสู่สงคราม เด็กน้อยเสิ่นเนี่ย
รองแม่ทัพตกใจเอ่ย “ตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นมา นี่เป็นองค์ชายเพียงองค์เดียวที่ทำลายกฎเกณฑ์เพื่อแต่งตั้งฐานันดรศักดิ์!”“แต่งตั้งฐานันดรศักดิ์มีประโยชน์ใด?”เว่ยซั่วเอ่ยอย่างยี่หระ “ได้รับแต่งตั้งเป็นจิ้งเป่ยอ๋องฉายานี้แค่แต่งตั้งหลังเจ้าตายก็เท่านั้น!”แต่ง...แต่งตั้งหลังตาย?รองแม่ทัพประหลาดใจกล่าวเช่นนี้ องค์ชายหกผู้นี้ตายที่ซั่วเป่ยแทบจะกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว?เมื่อเห็นท่าทางประหลาดใจของรองแม่ทัพ เว่ยซั่วอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าหัวเราะ “สำหรับฝ่าบาทแล้ว องค์ชายหกผู้นี้ตายที่ซั่วเป่ยมีประโยชน์มากกว่าที่เขามีชีวิตอยู่ เข้าใจหรือไม่?”รองแม่ทัพคิดชั่วครู่ ก็เข้าใจความหมายของเว่ยซั่วแล้ว“ได้ยินแม่ทัพพูดเช่นนี้ ข้ารู้สึกเหมือนฝ่าบาทจะใช้องค์ชายหกผู้นี้มาเป็นธงสังเวย?”รองแม่ทัพกล่าวอย่างหยอกล้อ“มันก็ไม่ต่างจากธงสังเวยไม่ใช่หรือ?”เว่ยซั่วหัวเราะ “เอาล่ะ เลิกพูดได้แล้ว พวกเขาใกล้ถึงแล้ว! แม้เขาจะไม่ได้ความคาดหวังจากฝ่าบาท แต่สุดท้ายก็ยังเป็นองค์ชาย หน้าตาก็ยังต้องรักษาสักหน่อย”“ใช่แล้ว ใช่แล้ว...”รองแม่ทัพหัวเราะตาม จากนั้นก็ทำท่าเคารพเลื่อมใสระหว่างที่พวก
หยุนเจิงกำลังจะถาม เกาเหอขี่ม้ามารายงาน “ท่านอ๋อง ทหารด้านหน้าต้องการจะตรวจค้นสัมภาระที่พวกเราบรรทุกมา ตู้กุยหยวนพวกเขาไม่ยอม กำลังขัดแย้งกับทหารเฝ้าประตู”ตรวจค้นสัมภาระ?เสิ่นลั่วเยี่ยนพลันตกใจตอนนี้นางรู้แล้ว ภายในโรงศพเหล่านี้ล้วนบรรจุเงินเอาไว้!หากถูกตรวจพบขึ้นมา ไม่แน่ว่าอาจเป็นปัญหา!หยุนเจิงขมวดคิ้ว มองเว่ยซั่วด้วยรอยยิ้มที่ไม่ได้ยิ้ม “แม่ทัพเว่ย แม้แต่ข้าล้วนต้องตรวจ?”“ท่านอ๋องปรีชา!” เว่ยซั่วยิ้ม “มิใช่ข้าจงใจทำให้ลำบาก แต่เป็นราชสำนักมีกฎเกณฑ์ ผู้ที่เข้าออกด่านเป่ยลู่ ล้วนต้องตรวจค้นอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันสายลับเป่ยหวนมีแผนการร้าย!”“สายลับเป่ยหวน?”หยุนเจิงเลิกคิ้ว “แม่ทัพเว่ยไม่คิดว่าภายในคนของข้ามีสายลับเป่ยหวนหรอกมั้ง?”“ข้าไม่กล้า!”เว่ยซั่วประสานหมัดคาราวะ “ข้าทำงานตามกฎ ขอให้ท่านอ๋องอย่าทำให้ข้าลำบากใจเลย!”เว่ยซั่วไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อยเดิมเขาก็ทำงานตามกฎราชสำนักอยู่แล้วต่อให้หยุนเจิงไม่พอใจ แต่ไม่อาจกล่าวสิ่งใดได้ถึงแม้เรื่องจนไปถึงฝ่าบาท ฝ่าบาทก็ไม่อาจตรัสได้ว่าสิ่งที่เขาพูดไม่ถูกต้องเสิ่นลั่วเยี่ยนขมวดคิ้ว สีหน้าบึ้งตึง “แม่ทัพเว่ย ราชสำนั
เกาเหอถามด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ทหารที่คิดจะเปิดโลงศพได้ฟังก็ตกใจจะบอกว่าเรื่องเล็กมันก็เล็ก จะบอกว่าเรื่องใหญ่มันก็ใหญ่เช่นกันหากกลายเป็นเรื่องใหญ่ เว่ยซั่วแม่ทัพเฝ้าด่านเป่ยลู่ผู้นี้รับไม่ไหวแน่นอนทว่า เมื่อเผชิญกับคำถามเฉียบขาดของเกาเหอเช่นนี้ เว่ยซั่วยังคงไม่สะทกสะท้าน“นี่เป็นกฎของราชสำนัก!”เว่ยซั่วกล่าวอย่างวางตัวพอเหมาะพอดี “นอกเสียจากมีการอนุญาตพิเศษจากฝ่าบาท มิฉะนั้น ผู้ใดก็ตามล้วนต้องได้รับการตรวจค้น!”เกาเหอยังอยากจะกล่าวต่อ ทว่าหยุนเจิงยกมือให้หยุด“ให้เขาตรวจ!”หยุนเจิงสีหน้าเคร่งขรึมมองซั่วเว่ย จากนั้นก็คำรามใส่เกาเหอ “อย่าทำให้พวกเขาลำบากเลย! ไป เปิดโลงศพของข้าออก! ข้าอยากจะดู วันนี้พวกเขาจะค้นสิ่งใดออกมาได้!”“ท่านอ๋อง...”เกาเหอกล่าวด้วยความโมโห “เพิ่งจะเข้าซั่วเป่ยก็เปิดโลงศพ มันช่าง...”“ข้าสั่งให้เจ้าไป!”หยุนเจิงตวาด ใบหน้าบึ้งตึงเมื่อเห็นหยุนเจิงโมโห เกาเหอไม่กล้าพูดต่อแล้ว รีบมายังหน้าโลงศพใบหนึ่งปึง!เกาเหอเปิดฝาโลงด้วยฝ่ามือเดียว สีหน้าเต็มไปด้วยความเย็นยะเยือกตวาดลั่น “เปิดตาสุนัขของพวกเจ้าดูให้ดี!”ทหารโดยรอบถูกแรงกดดันของเกาเหอควบคุมเอาไว