บริเวณข้างในถ้ำ ใบหน้าอันคุ้นเคยทั้งสองปรากฏตรงหน้าเขาเมี่ยวอิน!หมิงเย่ว์!วินาทีนี้ เมี่ยวอินกับหมิงเย่ว์กำลังนั่งอยู่ข้างๆ เสิ่นลั่วเยี่ยน แล้วมองหยุนเจิงด้วยสีหน้ายิ้มแย้มบนพื้นยังมีกลุ่มคนที่นอนราบพื้นอยู่“ข้า…”มุมปากของหยุนเจิงกระตุกเล็กน้อย เกือบสบถคำหยาบออกมาแล้วก็ได้!เขาก็ว่าเหตุใดตัวบงการที่อยู่ข้างในนี้ถึงไม่พูดไม่จา!ที่แท้ก็เป็นพวกนางสองคนนี่เอง!พวกนางนี่มันเยี่ยมยอดจริงๆ!ลำพังแค่คนสองคนก็ทำให้พวกเขาตื่นตระหนกถึงเพียงนี้“อุ๊บ…”เมื่อเห็นท่าทีหงุดหงิดของหยุนเจิงแล้ว ทั้งสองจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา“หัวเราะอะไรกัน! รีบปล่อยคนซะ!”หยุนเจิงจ้องตาสตรีทั้งสองตาเป็นมัน แล้วตะโกนต่อคนที่อยู่นอกถ้ำว่า “เอาล่ะ ไม่ต้องตื่นตระหนกไป พวกเดียวกันหยอกล้อกันเอง!”พวกเดียวกัน?หยอกล้อ?เมื่อได้ยินคำพูดของหยุนเจิงแล้ว ผู้คนที่อยู่ข้างนอกถ้ำต่างก็มึนงงกันระนาวเกิดอะไรขึ้น?คนพวกนี้จับตัวพระชายาไปเพื่อหยอกล้อนั้นหรือ?หยอกล้อเช่นนี้กันได้ด้วยหรือ?เกาเหอรีบพาคนวิ่งเข้าไปเมื่อเขาเห็นเมี่ยวอินและหมิงเย่ว์ ก็อ้ำอึ้งอยู่ตรงนั้นเมื่อเห็นท่าทีอ้ำอึ้งของผู้คน ส
หยุนเจิงชี้ไปยังคนที่นอนราบอยู่บนพื้นยังไม่ได้สติอย่างหมดคำพูด“อืม”เมี่ยวอินพยักหน้ายิ้มๆ“เจ้ายังมีหน้ามาหัวเราะอีก?”หยุนเจิงมองบนใส่นาง “รีบทำให้พวกเขาฟื้นซะ!”“ไม่ต้อง”เมี่ยวอินยิ้มมุมปาก “อีกครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็จะฟื้นขึ้นมาเอง”“ข้า…”หยุนเจิงชะงักงันเล็กน้อยคร้านที่จะเถียงกับเมี่ยวอินอีก จึงสั่งการเกาเหอ “รีบส่งคนกลับไปรายงานที ประเดี๋ยวฮูหยินจื่อเขาจะเป็นห่วงเอา!”“ขอรับๆ!”เกาเหอได้สติแล้วรีบวิ่งออกไปทันทีหยุนเจิงปลดเชือกให้กับเสิ่นลั่วเยี่ยนเสิ่นลั่วเยี่ยนกลับไม่ได้พุ่งเข้าไปหาเมี่ยวอินกับหมิงเย่ว์แต่อย่างใด เพียงแค่จ้องพวกนางทั้งสองราวกับเป็นไก่ชนอย่างไรอย่างนั้น“คนพวกนี้…”หยุนเจิงเงยหน้ามองโจรที่ตัวสั่นเทาอยู่“ท่านอ๋องไว้ชีวิตด้วย!”“ท่านอ๋อง พวกข้าถูกบังคับ!”“ขอร้องล่ะ ไว้ชีวิตพวกข้าเถอะ…”ตามด้วยสายตาที่มองมาของหยุนเจิง โจรนับสิบคนต่างพากันคุกเข่าอ้อนวอนขึ้นมา“เอาเถอะๆ!”หยุนเจิงโบกมือ แล้วสั่งการคนที่เพิ่งเข้ามาไม่กี่คนว่า “คุมตัวพวกเขาไว้ก่อน!”“ขอรับ!”คนเหล่านั้นเข้าไปคุมตัวโจรกลุ่มนั้นออกไปจากถ้ำ“ข้าว่านะ พวกเจ้าสองคนไม่มีอะไรจะอธิบา
ภายใต้การอธิบายของเมี่ยวอิน ทำให้หยุนเจิงเข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างพวกเขาออกจากเมืองจักรพรรดิในวันแรก ส่วนฮูหยินเสิ่นพวกเขาออกเดินทางในเช้าวันที่สามเดิมทีพวกนางคิดจะมาพร้อมกับฮูหยินเสิ่น แต่ทว่าฮูหยินเสิ่นบอกให้พวกนางนำไปก่อน จะได้ไปพบกับหยุนเจิงพวกเขาเร็วกว่าแล้วแจ้งข่าวที่พวกเขาออกจากเมืองจักรพรรดิได้สำเร็จแก่หยุนเจิงเขา เพื่อไม่ให้พวกเขาเป็นกังวลหยุนเจิงพวกเขาเดินทางก่อนสองวัน ทว่าพวกเขามีสัมภาระ แม้จะเดินทางเร็วกว่า แต่ก็ไม่เร็วไปกว่าเท่าไรนักในทางกลับกันเมี่ยวอินและหมิงเย่ว์ขี่ม้าคนละตัวพวกเขาเดินทางออกจากอู่หยางในวันแรก เมี่ยวอินและหมิงเย่ว์ก็ตามมาถึงในวันที่สองแล้วทั้งสองได้ยินเรื่องที่พวกเราปราบโจรจึงได้ตัดสินใจเดินทางอีกทางหนึ่งมาถึงหุบเขาไป๋ฮวาก่อนหยุนเจิงพวกเขาก่อนเดิมทีพวกนางคิดจะทำให้หยุนเจิงพวกเขาประหลาดใจแต่ทว่าสุดท้าย พวกเขามาถึงหุบเขาไป๋ฮวาก็ถูกโจรกลุ่มเล็กที่อาศัยอยู่ที่นี่หมายตาเข้าโจรพวกนี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกนางสองคนอยู่แล้ว พวกมันถูกโจมตีจนส่งเสียงร้องปู่ร้องย่าเวลานั้นเอง เมี่ยวอินถึงได้มีความคิดจะลองใจหยุนเจิงขึ้นมาแต่ทว่าเดิมทีนางเพียงแค่คิด
“นี่น่ะหรือ?”หยุนเจิงผิดหวังอย่างมากถือศีลกินเจสำรวมตนไปจะมีประโยชน์ใด!ไม่สู้กินเสพให้เต็มไปที่ไปเลยดีกว่า!“เจ้ายังคิดจะใช้จดหมายฉบับเดียวทำให้เขาเสียตำแหน่งองค์รัชทยาท?”เมี่ยวอินมองหยุนเจิงอย่างหมดคำพูดใจเขาดำจริงๆหยุนลี่ถูกเขาลอบกัดจนถูกกักตนถือศีลกินเจสำรวมตนที่ตำหนักตงกง เขายังไม่รู้จักพอใจ?เสิ่นลั่วเยี่ยนฟังอย่างสับสนมึนงง ขมวดคิ้วกล่าว “พวกเจ้ากำลังพูดสิ่งใดกัน?”“เจ้าไม่ได้บอกนางเรื่องจดหมายฉบับนั้น?”เมี่ยวอินถามหยุนเจิงด้วยความประหลาดใจ“บอกแล้วสิ!”หยุนเจิงยักไหล่ “แต่นางนึกว่าจดหมายฉบับนั้นเป็นข้าแอบคัดลอกบทกวีของพี่สะใภ้นาง ไม่ได้คิดสิ่งใดมาก”“ห๊า?”เมี่ยวอินตกใจ จากนั้นก็มองเสิ่นลั่วเยี่ยนอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกนางไม่รู้ว่าควรจะบอกว่าเสิ่นลั่วเยี่ยนไร้เดียงสาเกินไปหรือว่าโง่เขลาเกินไปกันแน่นางนึกว่าสามีของนางผู้นี้เป็นตะเกียงประหยัดน้ำมันหรือ?ด้วยการอธิบายจากเมี่ยวอิน เสิ่นลั่วเยี่ยนในที่สุดก็เข้าใจอำนาจของจดหมายฉบับนั้นแล้วเวลานี้ เสิ่นลั่วเยี่ยนไม่รู้จะควรชมหยุนเจิงว่าฉลาด หรือว่าจะบอกว่าเขาร้ายกาจดีแล้วแค่จดหมายฉบับเดียว เขากลับสร้
หยุนจริงไม่คิดปกปิด เขาบอกสถานะตัวตนของเมี่ยวอินและหมิงเย่ว์กับเสิ่นลั่วเยี่ยนเมื่อรู้ว่าทั้งสองมีแผนลอบปลงพระชนม์จักรพรรดิเหวิน เสิ่นลั่วเยี่ยนตกตะลึง“เจ้าไม่กลัวว่าพวกนางจะลอบสังหารเสด็จพ่อไม่สำเร็จแล้วจะเปลี่ยนมาลอบสังหารเจ้าแทน?”ทันใดนั้นเสิ่นลั่วเยี่ยนก็กังวลขึ้นมา“ข้าก็ยังอยู่สบายดีไม่ใช่หรือ?”หยุนเจิงส่ายหน้าแล้วยิ้ม “วางใจเถอะ! พวกนางไม่เพียงจะไม่ลอบสังหารข้า ยังจะช่วยคุ้มครอบความปลอดภัยข้าด้วย! พวกนางยังชี้นำให้ข้าก่อกบฏ!”“ห๊า?”เสิ่นลั่วเยี่ยนเบิ่งตาโตด้วยความอึ้ง ในสมองเต็มไปด้วยความสับสนนางไม่สามารถเข้าใจความคิดของหยุนเจิงได้จริงๆและไม่รู้ว่าหยุนเจิงไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใดเก็บคนที่มีความแค้นคิดทำลายราชวงศ์ไว้ข้างกาย เขาล้วนไม่กังวลใจสักนิดหรือ?“เอาล่ะ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวลแล้ว”หยุนเจิงส่ายหน้ายิ้ม “พูดเรื่องของเจ้าดีกว่า!”“ข้า?”เสิ่นลั่วเยี่ยนชะงักเล็กน้อย ขมวดคิ้วเอ่ย “เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ข้ารู้ว่าข้าประมาทเกินไป ต่อไปข้าจะระวังให้มาก”เรื่องนี้ ไม่ว่านางจะแก้ตัวอย่างไรก็ไร้ประโยชน์นางถูกจับเป็นเชลยแล้ว!นี่เป็นความจริง!นางเป็นพระชายาข
เสิ่นลั่วเยี่ยนสะอึกเล็กน้อย ฉับพลันนั้นก็ไม่พูดจาแล้วเหตุผลนี่ก็เป็นเหตุผลเช่นกันแต่คำถามคือ สถานการณ์ในสนามรบเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ล้วนเป็นไปดั่งใจเจ้านึกเสียที่ไหน?“ไม่เพียงแค่เจ้า ข้าเองก็จะพยายามสุดความสามารถเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้!”หยุนเจิงเอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “เจ้าคือพระชายาอ๋อง หากเจ้าล้วนถูกจับเป็นเฉลยแล้ว นั่นก็แปลว่าพวกเราแพ้อย่างราบคราบแล้ว! ถึงเวลานั้นจริง เกรงว่าข้าคงตายอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว!”เสิ่นลั่วเยี่ยนตกใจ จากนั้นก็ยิ้มเยาะตัวเองใช่แล้ว!หากถึงเวลานั้นจริง สิทธิ์ในการตัดสินใจเกรงว่าคงไม่อยู่ในมือพวกเขาแล้วเมื่อคิดได้เช่นนี้ ในใจเสิ่นลั่วเยี่ยนก็รู้สึกผ่อนคลายหน่อยแล้ว“ไม่ว่าเช่นไร วันนี้ก็ต้องขอบคุณเจ้า”เสิ่นลั่วเยี่ยนเงยหน้าขึ้น “เมี่ยวอินพูดได้ถูกต้อง หากเลือกแต่งกับองค์ชายองค์อื่น เกรงว่าพวกเขาคงไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไป และก็ไม่มีผู้ใดยอมเข้าไป!”หยุนเจิงยิ้มมุมปาก เอ่ยหยอกเย้า “เจ้าขอบคุณข้าเช่นนี้หรือ?”“หรือต้องให้ข้าคุกเข่าก้มหัวขอบคุณหรือ?”เสิ่นลั่วเยี่ยนจ้องเขาด้วยความโมโห“ไม่ต้องหรอก”หยุนเจิงหัวเราะ โอบเอวของเสิ่นลั่วเ
สองวันถัดไป พวกเขาตั้งที่พักชั่วคราวที่หุบเขาไป๋ฮวาคิดเสียว่าเป็นการทดลองการพักแรมในป่าล่วงหน้าเดิมทีถ้ำภูเขาแห่งนั้นก็กลายเป็น “จวนอ๋อง” ของหยุนเจิงแล้วมีเรื่องที่หยุนเจิงสละชีพเพื่อช่วยชีวิต ความสัมพันธ์ระหว่างเสิ่นลั่วเยี่ยนและหยุนเจิงพัฒนาไม่น้อยลูบไล้จับมือ โอบเอว ล้วนไม่ใช่ปัญหาแล้วแต่ว่า ทุกครั้งที่หยุนเจิงคิดจะก้าวเข้าไปอีกขั้น เสิ่นลั่วเยี่ยนก็ผลักมือที่อยู่ไม่สุขของเขาออกไป ทำให้หยุนเจิงรู้สึกหดหู่เล็กน้อยฉวยโอกาสตอนที่กำลังรอพวกเสิ่นฮูหยินที่หุบเขาไป๋ฮวา ทุกคนเองก็หยุดพักผ่อนเช่นกันระหว่างนั้น เยี่ยจื่อพาคนไปยังหลินผิงเฉิง เติมเสบียงไม่น้อยตั๋วเงินในมือของพวกเขา ได้ทำการแลกเปลี่ยนจำนวนมากที่เมืองหลินผิงตอนนี้ทุกอย่างพร้อมแล้ว รอให้พวกเสิ่นฮูหยินมาถึงก็สามารถออกเดินทางได้อีกครั้งวันถัดมา พวกเขาตั้งหน้าตั้งตารอการมาถึงของพวกเสิ่นฮูหยินตั้งแต่เช้าตรู่ถึงเช่นไร พวกเขารอตั้งแต่เช้าจนกระทั่งบ่าย กลับไม่เห็นวี่แววของพวกเสิ่นฮูหยิน“ไม่ถูกต้อง!”เสิ่นลั่วเยี่ยนขมวดคิ้ว “ตามหลักแล้ว ถึงเช่นไรวันนี้พวกท่านแม่ก็ควรมาถึงได้แล้วกระมั้ง?”นับรวมวันนี้ ความจริงพวกเ
”คือ...”โจวมี่เองก็ไม่รู้จะอธิบายกับหยุนเจิงว่าโรคไข้หนาวคือโรคใด ทำได้เพียงพรรณนาอาการของโรคไข้หนาวให้หยุนเจิงฟังที่เรียกว่าไข้หนาว ก็คือมีอาการเป็นไข้เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาวเป็นระยะ เหงื่อออกจำนวนมาก ทำให้ร่างกายสั่นอย่างควบคุมไม่ได้นี่เป็นโรคร้ายแรงประมาทเพียงเล็กน้อย ชีวิตก็ไม่อาจรักษาเอาไว้ได้แล้วโดยเฉพาะ เสิ่นเนี่ยนฉือเพิ่งอายุไม่ถึงเจ็ดขวบ ยิ่งอันตรายเมื่อได้ฟังคำอธิบายของโจวมี่ หยุนเจิงพลันชะงักในใจมิน่าเล่าเสิ่นลั่วเยี่ยนเมื่อครู่จึงมาเขาด้วยสายตาเช่นนั้น!ไข้หนาวนี่นึกไม่ถึงว่าจะร้ายแรงเช่นนี้?เสิ่นลั่วเยี่ยนร้อนใจมาก สั่งโจวมี่ด้วยใจที่สับสนยุ่งเหยิง “ไปแจ้งให้หมอที่ติดตามมากับพวกเรา บอกให้พวกเขาไปกับข้า!”หมอที่ติดตามพวกเขาล้วนเป็นหมอที่วังเชิญมาฝีมือแพทย์บางทีอาจจะดีหน่อยพาพวกเขาไปตรวจ ไม่แน่อาจช่วยได้เสิ่นเนี่ยนฉือเป็นองค์หญิงน้อยของจวนเสิ่น เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวของพี่ใหญ่!นางไม่มีทางยอมให้เกิดสิ่งใดขึ้นกับเสิ่นเนี่ยนฉือ“ขอรับ!”โจวมี่ไม่กล้าชักช้า รีบไปทำตามคำสั่งหยุนเจิงคิดจะปลอบใจเสิ่นลั่วเยี่ยน ทว่าไม่รู้จะปลอบเช่นไรมารดาเขาสิ!คนด
เมื่อได้ฟังโจวเต้ากงบ่นอย่างนี้ หยุนลี่ก็เดาได้ทันทีว่าเจ้านี่ต้องการพูดอะไรต่อไป ชัดเลย เขาคงจะมาขอเกราะจากตนแน่ๆ ใช่ไหม? “พอแล้วๆ!” หยุนลี่ขัดจังหวะคำพูดของโจวเต้ากง “ที่นี่ยังขาดเกราะอีกเท่าไหร่?” “หนึ่งหมื่นสามพันชุด” โจวเต้ากงตอบทันที “ขาดมากขนาดนี้เลย?” ใบหน้าของหยุนลี่กระตุกเล็กน้อย “ตามที่เจ้าพูด คนหนึ่งหมื่นที่ประจำอยู่ห่างออกไปสิบห้าลี้ก็แทบไม่มีเกราะเลยใช่ไหม?” “พ่ะย่ะค่ะ!” โจวเต้ากงพยักหน้า “หนึ่งหมื่นนั้นล้วนเป็นทหารที่เพิ่งเกณฑ์ใหม่ และตอนนี้กำลังฝึกซ้อมอยู่ที่นั่น…” ฝึกซ้อม? ใบหน้าของหยุนลี่มืดครึ้ม เกือบจะสบถออกมา ไม่มีเกราะป้องกัน นี่ก็เรียกว่าฝึกซ้อมหรือไงวะ? นี่มันเรียกว่าทิ้งข้าวเปลืองเบี้ยเลี้ยงมากกว่า! ถ้าเจ้าหกยกพลบุกมา จะหวังพึ่งคนพวกนี้ได้ไหม? พวกทหารนี่คงเป็นแค่เป้าซ้อมมือให้เจ้าหกไม่ใช่หรือไง? บ้าบอคอแตก! แนวป้องกันนี่ ไม่มีเสียยังจะดีกว่า! อย่างนี้ ราชสำนักยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้มหาศาลอีกด้วย! หยุนลี่โมโหจนแทบจะระเบิด แต่ก็ไม่อาจระบายความโกรธใส่โจวเต้ากงได้ เรื่องนี้จะไปโทษโจวเต้ากงก็ไม่ได้! เกรา
ฟู่โจวหัวเมืองเมืองสี่ทิศนี่คือพื้นที่ที่ใกล้กับซั่วเป่ยที่สุดของฟู่โจว หยุนเจิงจะจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาที่ฟู่โจว การสร้างจวนอ๋องใหม่ในเวลาสั้นๆ เป็นไปไม่ได้ จึงต้องซื้อจวนจากเหล่าขุนนางใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศแทน เดิมทีเรื่องนี้ควรเป็นหน้าที่ของหยุนลี่ องค์รัชทายาท ที่จะช่วยดูแลจัดการ แต่หยุนลี่ไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย สั่งให้ขุนนางในกรมพิธีการตัดสินใจกันเอง เขาเกลียดชังหยุนเจิงจนแทบอยากสับร่างหยุนเจิงเป็นชิ้นๆ แล้วจะให้เขามาช่วยเลือกจวนให้อย่างนั้นหรือ? ถ้าให้ช่วยเลือกโลงศพแทน เขาคงรีบทำอย่างกระตือรือร้นแน่! หลังจากโยนเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ให้ขุนนางระดับล่างจัดการ หยุนลี่ก็พาคนเดินทางไปยังค่ายใหญ่หัวเมืองสี่ทิศ นับตั้งแต่จ้าวจี๋นำทัพไปยังเขตตะวันตกเฉียงเหนือ ฟู่โจวก็เหลือเพียงกองกำลังสามหมื่นนาย และกองกำลังทั้งสามหมื่นนายนี้ก็เกือบทั้งหมดประจำอยู่ในหัวเมืองสี่ทิศ หยุนลี่ไม่หวั่นเกรงที่จะถูกตำหนิเรื่องการติดต่อกับแม่ทัพในกองทัพโดยพลการ การตรวจสอบค่ายใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศ เป็นภารกิจที่จักรพรรดิเหวินมอบหมายให้เขาก่อนที่จะเดินทางไปยังซั่วเป่ย เมื่อหยุนลี่พาคนมา
“เสด็จพ่อ ที่ซั่วเป่ยขาดแคลนอาหารอย่างหนัก!” หยุนเจิงกล่าวด้วยสีหน้าทุกข์ใจ “ตอนนี้ลูกไม่ได้ดูแลแค่ชาวซั่วเป่ย แต่ยังต้องเลี้ยงดูคนในเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือ อีกทั้งเป่ยหมัวถัว กุ่ยฟาง เป่ยหวน ทุกพื้นที่เหล่านี้…” “คำพูดพวกนี้ไปบอกพี่สามของเจ้าสิ อย่ามาพูดกับข้า!” จักรพรรดิเหวินไม่ฟังคำพร่ำบ่นของหยุนเจิง ตัดบทอย่างไร้เยื่อใย บอกกับเจ้าสาม? หยุนเจิงเบะปาก แค่มันเทศในห้องใต้ดินนี้ เจ้าสามจะซื้อไหวหรือ? ตามราคาที่ตนตั้งไว้ก่อนหน้า ถ้าเจ้าสามไม่จ่ายเงินออกมาสักหลายล้านตำลึง คงไม่มีทางซื้อมันเทศในห้องนี้ได้ ถ้าถึงขั้นนั้น เจ้าสามคงต้องกลายเป็นหัวหน้าแผนกปล้นบ้านประจำราชสำนักต้าเฉียนแน่! มองเห็นสีหน้าขัดใจของหยุนเจิง จักรพรรดิเหวินวางมันเทศในมือ พลางตบไหล่หยุนเจิงอย่างแรง “จงจำไว้ ประชาชนในเขตในก็ล้วนเป็นราษฎรในความดูแลของเจ้า!” นั่นไง! เริ่มมาล้างสมองกันอีกแล้ว! หยุนเจิงบ่นในใจ พลางเปลี่ยนเรื่องถาม “เสด็จพ่ออยากลองชิมรสมันเทศนี่ไหม?” “ตอนนี้เลย?” จักรพรรดิเหวินแปลกใจเล็กน้อย “อื้ม” หยุนเจิงพยักหน้า “มันเทศนี่ปอกเปลือกแล้วกินดิบได้ กินน้อ
ผ่านไปไม่กี่วัน พวกเขาก็เดินทางกลับถึงเมืองติ้งเป่ยจนได้ ด้วยเหตุที่จักรพรรดิเหวินทรงกำชับไว้ล่วงหน้า การเสด็จมายังเมืองติ้งเป่ยครั้งนี้จึงถูกปิดเป็นความลับอย่างเข้มงวด มีเพียงผู้คนในจวนอ๋องเท่านั้นที่รับทราบ ครั้นถึงเมืองติ้งเป่ย จักรพรรดิเหวินก็ไม่ได้รีบไปยังจวนอ๋องในทันที แต่กลับยืนกรานให้หยุนเจิงพาไปชมมันเทศเสียก่อน ถึงกับดึงตัวไปก็ยังไม่ยอม หยุนเจิงถึงกับเอ่ยว่าให้คนยกมันเทศมาถวายให้ทอดพระเนตรที่จวนก็ยังไม่ยอม ทั้งยังยืนกรานจะไปดูด้วยพระองค์เองที่ห้องใต้ดินเก็บมันเทศ หยุนเจิงเริ่มระแวงหนักว่าตาแก่นี้คงกลัวว่าตนจะยกมันเทศไม่กี่หัวมาหลอกให้พอพระทัย จึงต้องการไปตรวจดูคลังสำรองเสียก่อนว่าจะสามารถยึดมันเทศไปจากตนได้สักเท่าใด ด้วยการยืนกรานของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงจึงจำต้องพาไปยังสถานที่เก็บมันเทศแห่งหนึ่ง แม้ว่ามันเทศจะถูกแบ่งเก็บไว้ในห้องใต้ดินหลายแห่ง แต่สถานที่เหล่านั้นก็อยู่ติดกัน เพื่อให้สะดวกต่อการจัดการยามเฝ้ารักษา จักรพรรดิเหวินเพียงลงจากรถม้า ก็เห็นกองทหารจำนวนมากสวมเกราะพร้อมอาวุธครบมือ “เจ้าช่างเฝ้าแน่นหนาดีจริง! หรือเจ้ากลัวใครจะมาขโมยมันเทศของเจ
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ
วันถัดมา จักรพรรดิเหวินที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางก็ตื่นสายเล็กน้อย หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ จักรพรรดิเหวินก็ให้ทุกคนพาเดินสำรวจในเล่ออาน จักรพรรดิเหวินไม่ได้เปิดเผยฐานะตนเอง ไม่ได้พาผู้ติดตามมากมาย และยังปลอมตัวเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงความยุ่งยาก หลังจากเดินสำรวจรอบเมือง จักรพรรดิเหวินก็ค่อนข้างพอใจ ระหว่างเดินบนถนนในเมือง จักรพรรดิเหวินก็ย่อตัวลงดูอะไรบางอย่าง “นี่มันอะไรหรือ?” จักรพรรดิเหวินชี้ไปที่ปูนระหว่างก้อนอิฐสองก้อนแล้วถาม “นี่คือปูนซีเมนต์” หยุนเจิงอธิบาย “มันทำหน้าที่เหมือนกาวข้าวเหนียว แต่มีความแข็งแรงกว่าเล็กน้อย และหาง่ายกว่า ไม่เปลืองข้าว แค่ปริมาณการผลิตยังน้อยอยู่” “สิ่งนี้ใช้ได้ทีเดียว!” จักรพรรดิเหวินลุกขึ้นช้าๆ “เจ้าเคยคิดจะขายปูนซีเมนต์นี้ไปพื้นที่เขตในหรือไม่?” “นั่นคงยากหน่อย” หยุนเจิงส่ายหัว “ซั่วเป่ยยังขาดปูนนี้มาก จะเอาไปขายที่เขตในได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ส่วนใหญ่ใช้ในงานของราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้” “เช่นนั้น มันเทศล่ะ?” จักรพรรดิเหวินมองหยุนเจิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่ามันเทศในซั่วเป่ยป
“ห้ะ?” หยุนเจิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “วางใจเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี” จักรพรรดิเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นช่วงสำคัญที่เจ้าจะรวบรวมใจชาวเป่ยหวน แม้ข้าจะอยากไปบวงสรวงฟ้าดินที่เขาเทพหมาป่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ข้าเข้าใจดี” “เสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่เรื่องของขอบเขตหรือไม่ขอบเขตนะพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงคร่ำครวญแทบล้มประดาตาย “เสด็จพ่อจะไปเยือนวังหลวงเป่ยหวน เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่เสด็จพ่อคิดดูเถิด หากเสด็จพ่อไป ลูกคงต้องนำทัพสักหมื่นสองหมื่นนายเพื่อคุ้มครองเสด็จพ่อใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? ทัพหมื่นสองหมื่นนาย เดินทางหน้าหนาว ต้องขนเสบียงและเสื้อผ้ากันหนาวแค่ไหน? ไปกลับอย่างไรเสียก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” นี่ยังไม่รวมว่าต้องออกเดินทางจากค่ายใหญ่เขาห่านป่าหวนกลับ! หากออกเดินทางจากที่อื่น เวลาก็ยิ่งนานกว่านี้! นี่เป็นการเดินทางของฮ่องเต้นะ! จะให้เดินทางเร่งด่วนตลอดทางก็ไม่ได้! ต่อให้เสด็จพ่ออยากไปจริง ก็ควรรอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้! “สักสองเดือนก็สักสองเดือนเถอะ!” จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่จัดงานแต่งกับเจียเ
จักรพรรดิเหวินหยุดครู่หนึ่ง ก่อนถ่ายทอดคำที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยกล่าวไว้ให้หยุนเจิงฟัง ผู้เลี้ยงแกะในมือนั้น ต้องมีผืนดิน หมาป่า แกะ และสุนัข! ผืนดิน คือกฎเกณฑ์ ขีดเส้นจำกัดไว้เป็นคอก หมาป่าคือภัยคุกคาม บอกฝูงแกะว่าอย่าได้วิ่งพล่าน ในพื้นที่ที่ขีดเส้นให้เท่านั้นจึงจะปลอดภัยจากหมาป่า แกะ คือหัวหน้าฝูง ขณะเลี้ยง หากควบคุมหัวหน้าฝูงได้ ฝูงแกะก็จะไม่หลงทาง สุนัขช่วยต้อนฝูงแกะ นำแกะที่ไม่เชื่อฟังกลับเข้าฝูง เมื่อได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงก็อดไม่ได้ที่จะตระหนักในทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จางฮว๋ายก็คือหัวหน้าฝูงแกะตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิพระองค์ก่อนหรือเสด็จพ่อ ต่างก็ต้องการหัวหน้าฝูงตัวนี้เพื่อควบคุมฝูงแกะ ผ่านไปครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “เสด็จพ่อคงไม่ได้คิดจะส่งเกาซื่อเจินมาให้ลูกเป็นหัวหน้าฝูงใช่ไหม?” “เจ้าคิดว่าเกาซื่อเจินมีความสามารถจะเป็นหัวหน้าฝูงหรือ?” จักรพรรดิเหวินเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม กล่าวอย่างมีนัยว่า “หัวหน้าฝูงไม่ใช่ว่าใครจะเป็นได้!” เช่นนี้เองหรือ? หยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ในใจ จริงแท้ เกาซื่อเจินไม่มีความสามาร
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ