ทั้งสองเห็นเช่นนี้ต่างก็ส่ายหน้าไปมาราวกับกลองสั่นก็มิปานหากทั้งสองกล้าเอ่ยปากบอกว่าอันธพาลเฒ่าผู้นี้โกงแล้วล่ะก็ มีหวังต้องถูกอันธพาลเฒ่าผู้นี้จับแขวนบนคานตากแห้งเป็นแน่“เจ้าเห็นหรือยัง!”ฉินลิ่วก่านอ้าปากหัวเราะสียงดังก่อนกล่าว “แม้แต่บุตรชายของเจ้ายังบอกเลยว่าข้าไม่ได้โกง!”จักรพรรดิเหวินหมดคำพูดแล้ว คร้านจะเถียงกับอันธพาลเฒ่าผู้นี้ “ได้ เจ้าชนะแล้ว พอเจ้าใจแล้วกระมัง รีบให้เด็กในจวนเจ้าเตรียมสุราอาหารได้แล้ว ข้าหิวจะแย่อยู่แล้ว!”“ดูเจ้าพูดเข้าสิ เจ้ามาถึงจวนข้าแล้ว จะขาดสุราอาหารได้อย่างไรกันเล่า”ฉินลิ่วก่านหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะหันไปที่ฉินชีหู่ “ยังไม่รีบไปสั่งให้คนยกสุราอาหารมาอีก ไม่ได้ยินที่ฝ่าบาดพูดหรือว่าหิวจะตาอยู่แล้วนั่น”ฉินชีหู่ใช้ทักษะแวบหายตัวไปภายในชั่วพริบตาอย่างไร้ร่องรอยหยุนเจิงเห็นเช่นนี้ก็อดที่จะรู้สึกเห็นใจฉินชีหู่ไม่ได้เขาต้องถูกอันธพาลเฒ่านี่ฏิบัติแบบใดถึงฝึกทักษะหายตัวไปอย่างแปลกประหลาดเยี่ยงเทพได้เช่นนี้ไม่นานนัก สุราอาหารก็ได้จัดเตรียมพร้อมแล้วฉินลิ่วก่านตั้งใจให้บ่าวรับใช้ในจวนออกไปทั้งหมดส่วนจักรพรรดิเหวินเองก็รับสั่งให้องครักษ์ทุกคนอ
เวลาห้าปีมาแล้วที่จักรพรรดิเหวินกับฉินลิ่วก่านไม่ได้เจอกันเมื่อทั้งสองมีโอกาสได้นั่งร่ำสุรากันจึงดีใจจนลืมตัวไปเลยหยุนเจิงและฉินชีหู่ที่อยู่ด้วยกันกับทั้งสอง ดูเหมือนว่าไม่มีโอกาสพูดแทรกได้เลยจักรพรรดิเหวินกับฉินลิ่วก่านร่ำสุราชนจอกกันจนเมามากแล้ว อันธพาลเฒ่ายกจอกสุราซดไปอีกสองสามอึก คล้ายกับว่ายังไม่พอ จึงยกไหขึ้นซดทั้งไห“เจ้านี่ก็จริงๆ เลยนะ หลายปีที่ผ่านมาไม่เคยเข้าวังไปร่ำสุรากับข้าบ้างเลย ทั้งยังไม่ให้ข้ามาที่นี่อีก!”“ข้า...ข้าจะเอาหน้าที่ไหนไปเจอเจ้าล่ะ! ให้ตายเถอะ ในปีนั้นหากข้าไม่ต่อยเจ้าสารเลวนั่น จนสารเลวนั่นบีบบังคับให้จักรพรรดิไปออกศึกเองล่ะก็ ตอนหลังคงไม่เกิดเรื่องขึ้นหรอก!”“เหอะ หากข้าไม่ยืนกรานจะไปเอง ต่อให้เจ้าต่อยขุนนางบู้บุ๋นทั้งท้องพระโรงมันก็ไม่มีประโยชน์หรอก”“ไม่จริง ไม่ใช่! ในเหล่าบรรดาขุนนางทั้งหมด ก็มี...ก็มีข้านี่แหละที่ห้ามไม่ให้เจ้าไปออกศึกได้ เจ้าว่าข้า...ข้าไม่ห้ามเจ้าหรือ?”“เจ้าหน่ะ...ห้ามไม่ได้หรอก! ข้าแค่มาคิดเสียใจทีหลังก็คือเรื่องที่ข้าให้เจ้าช่วยข้าเฝ้าเมืองหลวงแทนข้า ไม่ให้เจ้าไปซั่วเป่ยกับข้าด้วย! หากว่าเจ้าไป...หากว่าเจ้าไปซั่วเป่
“พ่อข้าบอกแล้วว่า หากไม่ได้จริงๆ ก็ให้ท่านกับฝ่าบาทแสดงละครด้วยกัน ให้ฝ่าบาทปลดท่านเป็นสามัญชน เพื่อปิดปากชาวบ้าน! จากนั้นท่านพ่อข้าก็จะรับท่านเป็นบุตรบุญธรรม!”“ถึงครานั้น พวกเราก็จะได้เป็นพี่น้องกันอย่างแท้จริงแล้ว วะฮ่าฮ่า...”เมื่อเห็นฉินชีหู่ที่หัวเราะชอบใจคล้ายคนสติไม่สมประกอบคนหนึ่งแล้ว หยุนเจิงพลันชักงันอย่างอดไม่ได้ข้าล่ะขอบใจบรรพบุรุษสกุลฉินแปดชั่วโครตของพวกเจ้ามากจริงๆ!มารดามันเถอะ!หากรู้เช่นนี้ ให้ตายก็ไม่ยอมถวายวิธีหลอมเหล็กลายบุปผาออกไปแน่ๆ!คราวนี้ถวายจนกลายเป็นปัญหาอีก?“น้ำใจของหรงกั๋วกงข้ารับไว้แล้ว”หยุนเจิงเอ่ยถอนใจเบาๆ “แท้จริงแล้ว เป็นเพราะข้าเองที่อยากไปเยือนซั่วเป่ย ข้าใช้ชีวิตอย่างอัปยศอดสูมานานหลายปี อยากใช้ชีวิตเหมือนคนปกติแล้ว! แม้ว่าจะสู้รบจนตายที่ซั่วเป่ย อย่างน้อยก็ได้ใช้ชีวิตครื้นเครงสักรอบ! ไม่ขอให้จารึกชื่อข้าไว้ในประวัติศาสตร์ แต่ขอให้ในประวัติศาสตร์รุ่นหลังไม่กล่าวว่าบุตรชายคนที่หกของจักรพรรดิเหวินเป็นคนไร้ประโยชน์ที่ทำอะไรไม่เป็น...”เพื่อไม่ให้พ่อลูกสองคนนี้ทำเรื่องชั่วร้ายในคราบคนดี หยุนเจิงจึงทำได้เพียงขุดเอาคำพูดนั่นออกมาใช้อีกครั้ง
สุดท้ายหยุนเจิงก็ไม่ได้กลับไปหยิบเหล้าให้กับจักรพรรดิเหวินคำพูดของคนเมาสุรา แค่ฟังเป็นพอสุดท้าย จักรพรรดิเหวินและฉินลิ่วก่านเมาจนไม่รู้เรื่องรู้ราวหลังจากที่พาทั้งสองกลับไปพักผ่อนที่ห้องแล้ว หยุนเจิงก็สั่งการไว้ให้กับราชองครักษ์แล้วจากไปเมื่อกลับถึงจวน หยุนเจิงอารมณ์ไม่ดีอย่างไม่ต้องพูดถึงเยี่ยจื่อเข้ามาไถ่ถาม เมื่อทราบความเป็นมาของเรื่องราวทั้งหมดแล้ว นางเองก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วฉินลิ่วก่านบุคคลที่โหดร้ายที่สุดในต้าเฉียนเข้ามายุ่งเรื่องนี้ล่ะก็ ตัวแปรก็จะมากขึ้น“ตอนนี้ท่านคิดจะทำอย่างไร?”เยี่ยจื่อเป็นกังวลเล็กน้อย“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร?”หยุนเจิงปวดกบาลจนต้องนวดขมับ “รอดูสถานการณ์ก็แล้วกัน! ตอนนี้ทำได้เพียงรับมือเอาต่างหน้าแล้ว”ใครจะไปคิดว่าจะมีตาแก่โรคจิตนี่โผล่มาตอนครึ่งทางเล่า!นี่เป็นภัยพิบัติแห่งสวรรค์จริงๆ!เยี่ยจื่อมองเขาอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก พยักหน้าเอ่ยว่า “ตอนนี้ทำได้เพียงเท่านี้แหละ”หยุนเจิงส่ายศีรษะ แล้วถามว่า “เจ้ารู้เรื่องระหว่างตาแก่โรคจิตนั่นกับเสด็จพ่อข้าหรือไม่?”“เรื่องนี้ข้าไม่ค่อยรู้นัก”เยี่ยจื่อส่ายศีรษะ “หากท่านอยากรู้ลองไปถามยายข
ตนลืมเรื่องนี้สิ้นเลย!ตนมัวแต่คิดเรื่องทำอุปกรณ์แล้ว!ทำงานเป็นหมู่คณะจะขาดแม่นมไปได้อย่างไร?“ไม่มีปัญหา! ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง!”หยุนเจิงตอบรับทันที แล้วควักเงินสองหมื่นตำลึงออกมาให้กับตู้กุยหยวน “สั่งการคนในห้องครัวให้ทำอาหารดีๆ กับทุกคน และต้องมีเนื้อทุกมื้อ!”“ขอบพระทัยองค์ชาย!”ตู้กุยหยวนโค้งคำนับ แล้วหันกลับไปชูตั๋วเงินในมือต่อเหล่าทหารจวนที่กำลังฝึกซ้อมกันอยู่พร้อมตะโกนว่า “ฝึกซ้อมกันดีๆ ล่ะ! องค์ชายหกสั่งการมาแล้วว่าจะจัดอาหารของพวกเจ้าให้ดี รับรองว่ามีเนื้อกินทุกวันแน่นอน!”“ขอบพระทัยองค์ชายหก!”ฝูงชนดีใจขีดสุด พูดขอบคุณเสียงดังพร้อมเพรียงกันถึงแม้ราชวงศ์ต้าเฉียนจะถือว่าร่ำรวย แต่ทว่าครอบครัวธรรมดาทั่วไปก็ใช่ว่าจะมีเนื้อกินทุกวันสามวันห้าวันได้กินเนื้อหนึ่งมื้อก็ถือว่าดีมากแล้วหยุนเจิงพยักหน้ายิ้มๆ ต่อทุกคน แล้วเรียกพวกตู้กุยหยวนทั้งสามคนมาข้างๆ“ขณะที่พวกเจ้าฝึกซ้อมทหารจวนพวกนี้ นอกจากจะฝึกฝนด้านสมรรถภาพทางร่างกาย และทักษะการต่อสู้แล้ว พวกเจ้าต้องสอนวิธีการลอบโจมตีแก่พวกเขาด้วย หากสามารถลอบโจมตีได้ ก็อย่าสู้ซึ่งหน้า!”“ไม่เพียงแต่ต้องล้มศัตรู แต่ยังต้องล
ทีแรกที่ได้ยิน หยุนเจิงยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเรียกตนอยู่จนกระทั่งเห็นเจ้าเนื้อคนหนึ่งวิ่งย่องเข้ามาถึงจะตะลึงตกใจจางซู!เจ้าคนนี้คงจะไม่อยากเปิดเผยตัวตนของตนถึงได้เรียกตนในนาม ‘คุณชายหลิว’จางซูวิ่งย่องจนหายใจเหนื่อยหอบมาตรงหน้าหยุนเจิงหยุนเจิงเองก็รีบลงจากหลังม้า แล้วเอ่ยสนุกสนานว่า “วิ่งแค่นี้ เจ้าก็หอบเลยหรือ เจ้ายังอ่อนกว่าข้าอีกนะเนี่ย!”“ก็ข้าชื่อจางซูไงเล่า ต้องอ่อนอยู่แล้ว!”จางซูยิ้มแย้มแล้วขมวดคิ้วถาม “ท่านมาชมขบวนเรือบุปผานั้นหรือ?”“ขบวนเรือบุปผา?”หยุนเจิงทำหน้าทะมึน “ขบวนเรือบุปผาอะไรกัน?”“ท่าน…ท่านไม่รู้?” จางซูตะลึงใจ จากนั้นก็อธิบายให้กับหยุนเจิงฟังขบวนเรือบุปผาแทบจะกลายเป็นเทศกาลหนึ่งในเมืองจักรพรรดิแล้วช่วงเวลานี้ในทุกๆ เดือน หอโคมเขียวทุกแห่งในเมืองจักรพรรดิจะเช่าเรือสำราญให้หญิงงามในหอของตนขึ้นเรือสำราญแล้วเคลื่อนขบวนไปทั้งสายแม่น้ำอันชาง เพื่อแสดงความสามารถของหอโคมเขียวของตนแก่ผู้คนที่อยู่บนฝั่ง อีกทั้งยังเป็นการแข่งขันกันระหว่างสายงานเดียวกันด้วยหลังจากฟังจางซูพูดจบ หยุนเจิงพลันกระจ่างในบัดดลนี่มันขายโฆษณาไม่ใช่หรือ?มิน่าล่ะวันนี้แม่น้ำอ
“หา?”หยุนเจิงตะลึงงันคนคนนี้สร้างหน้าไม้กลออกมาได้แล้วนั้นหรือ?ตามหลักแล้วของดีเช่นนี้ไม่ควรได้รับการชมจากจางฮว๋ายหรอกหรือ?ทำไมจางฮว๋ายถึงได้ก่นด่าเขาล่ะ?ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย!จางซูเอ่ยยิ้มๆ อย่างลำบาก “ราชวงศ์นี้มีหน้าไม้กลตั้งนานแล้ว! อีกอย่างยังมีหน้าไม้ที่ยิงทีเดียวสองเล่ม และยิงต่อเนื่องได้ห้าครั้งอีกด้วย!”“หา?”หยุนเจิงปั้นหน้าอึ้งเกิดอะไรขึ้น?ราชวงศ์ต้าเฉียนมีหน้าไม้กลตั้งนานแล้ว?ทั้งยังชั้นสูงกว่าหน้าไม้กลขงเบ้งที่เขาบอกด้วย?ให้ตาย!เหตุใดเขาถึงไม่รู้?อย่างน้อยเขาก็อยู่ที่กองทหารเสิ่นอู่มาหลายวันแล้ว แต่ก็ไม่เห็นกองทหารเสิ่นอู่ใช้หน้าไม้กลเลยนี่!หยุนเจิงปั้นหน้าหมดคำจะพูด แล้วรีบเรียกเกาเหอมาหลังจากถามไถ่อยู่สักพัก หยุนเจิงถึงได้รู้ชัดอยู่เรื่องหนึ่งราชวงศ์ต้าเฉียนมีหน้าไม้กลเช่นนี้ตั้งนานแล้วจริงๆพูดให้ถูกคือมีของสิ่งนี้ตั้งแต่ราชวงศ์ก่อนแล้ว!แต่ทว่าวิธีการทำหน้าไม้กลเช่นนี้นั้นซับซ้อน ถึงแม้จะดูแลรักษาอยู่สม่ำเสมอ แต่ก็เสียหายง่ายอยู่ดี และมักจะมีปัญหาเรื่องการยิงติดขัดยิงไม่ออกอยู่บ่อยครั้งนอกจากนี้ ระยะไกลและความแม่นยำของหน้าไม้กลก็ยังไ
ไม่ช้า หมิงเยว่ก็นำหยุนเจิงกับจางซูลงเรือสำราญที่จอดเทียบท่าอยู่ริมแม่น้ำทั้งสองเพิ่งจะเข้าไปในเรือสำราญ หญิงสาวที่อยู่ในเรือก็ลุกขึ้นมาทำท่าคาราวะ “คาราวะคุณชายหลิว คุณชายจางเจ้าค่ะ”“เจ้าคือเมี่ยวอิน?”หยุนเจิงกับจางซูตะลึงค้างไปครู่หนึ่ง จ้องเมี่ยวอินตาเขม็งพูดเป็นเช่นไป สตรีนางนี้มีรูปร่างสวยงามมากจริงๆไม่สิ ไม่ใช่แค่สวยงาม แต่มีเสน่ห์!แบบโคตรมีเสน่ห์เลย!สวยแต่ไม่บ้านๆ มีเสน่ห์แต่ไม่แรด!ที่ไหนควรใหญ่ก็ใหญ่ ที่ไหนควรเล็กก็เล็กเป็นของชั้นเยี่ยมจริงๆ!มิน่าเล่าสุนัขจิ้งจอกเหล่านั้นจึงได้แห่กันมาหานาง“เป็นข้าเองเจ้าค่ะ”เมี่ยวอินยิ้มร่ายิ้มนี้ของนางยิ่งทำให้คนหลงเสน่ห์เข้าไปอีกให้ความรู้สึกว่านางเป็นแม่มดที่มีเสน่ห์พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์จางซูข่มความกระสับกระส่ายในใจและพูดอย่างสุภาพว่า "ข้าได้ยินมานานแล้วว่าแม่นางเมี่ยวอินมีความสามารถเป็นอย่างมาก วันนี้ ข้าได้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเจ้าแล้ว ข้าเชื่อแล้วว่าข่าวลือนั้นเป็นเรื่องจริงจริงๆ... "“คุณชายจางชมกันเกินไปแล้ว”เมี่ยวอินยิ้มโปรยเสน่ห์อีกครั้ง จากนั้นก็เชิญทั้งสองไปนั่ง นางสั่งหมิงเยว่ยกน้ำชามาให้ทั้งส
เช่นนี้หรือ? โหวซื่อไคและอีกคนมองหน้ากันเงียบๆ หากทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง การลงทุนในซั่วเป่ยก็ดูน่าจะเป็นไปได้มาก หลังจากครุ่นคิดเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง โหวซื่อไคก็ตัดสินใจแน่วแน่ “ขอบคุณท่านอ๋องที่ให้โอกาสข้าผู้น้อย ข้าขอเลือกวิธีชดใช้แบบที่สอง!” เมื่อโหวซื่อไคแสดงเจตนา อีกคนก็รีบเลือกทางเดียวกันทันที “ยินดีกับพวกเจ้าที่ตัดสินใจได้ถูกต้อง” หยุนเจิงยิ้มอย่างพึงพอใจ ก่อนถามต่อ “ว่าแต่พวกเจ้าคุ้นเคยกับเมิ่งหยุนฉี่หรือไม่? ทำไมเขาถึงไม่ส่งข้าวมาซั่วเป่ยเลย? เขาประสบปัญหาอะไรหรือเปล่า?” โหวซื่อไคตอบ “ข้าผู้น้อยเคยได้ยินเหตุผลที่เมิ่งหยุนฉี่ไม่ส่งข้าวมาซั่วเป่ยอยู่บ้าง แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่...” “เล่ามา” หยุนเจิงพูดด้วยความสนใจ โหวซื่อไคไม่กล้าล่าช้า รีบเล่าสิ่งที่เขารู้ตามความจริง ว่ากันว่าเดิมทีเมิ่งหยุนฉี่ตั้งใจจะรวบรวมข้าวให้ครบแล้วส่งมาซั่วเป่ยในคราวเดียว แต่สุดท้าย เมิ่งหยุนฉี่พบว่าตนไม่สามารถรวบรวมข้าวได้ครบ จึงตัดสินใจไม่ส่งข้าวมาซั่วเป่ยเลย ดีกว่าจะต้องส่งข้าวเปล่าๆ แล้วยังต้องชดใช้เงินอีกเหมือนพวกเขา เมิ่งหยุนฉี่ตอนนี้กำลังพยายามไป
เมื่อเผชิญสายตาใสซื่อแต่ดูโง่เง่าของทั้งสอง หยุนเจิงก็ส่ายหัวอีกครั้ง ช่างเถอะ! ไม่ต้องพูดอ้อมค้อมกับพวกเขาแล้ว! กับคนแบบนี้ ให้พวกเขาคิดเอง ถึงปีหน้าพวกเขาก็คงคิดไม่ออกอยู่ดี “ข้าทำการค้า ไม่เคยเอาเปรียบผู้ใด ข้าไม่เล่นวิธีบังคับซื้อขาย หรือเบี้ยวเงิน แต่ในเวลาเดียวกัน ข้าก็ไม่ใช่คนดีเกินไป หากพวกเจ้าได้ทำผิดสัญญา ความรับผิดชอบที่ควรต้องมี พวกเจ้าก็ต้องรับผิด!” เมื่อได้ยินคำพูดของหยุนเจิง ใบหน้าของทั้งสองก็ซีดเผือด พูดมาตั้งนาน หยุนเจิงก็ยังไม่คิดจะปล่อยพวกเขาไปอย่างนั้นหรือ? ในขณะที่ทั้งสองเตรียมตัวจะร้องขอความเมตตาอีกครั้ง หยุนเจิงก็พูดต่อ “แต่อย่างไรก็ตาม ข้าไม่อยากให้พวกเจ้าล้มละลาย ดังนั้น ข้าตัดสินใจให้พวกเจ้าเลือกสองทาง...” พูดจบ หยุนเจิงก็เล่าสองทางเลือกที่เขาคิดไว้ล่วงหน้าให้พวกเขาฟัง ทางเลือกแรก หยุนเจิงจะให้คนจ่ายเงินบางส่วนให้พวกเขา เพื่อให้พวกเขาดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ส่วนเงินชดใช้ ก็แบ่งจ่ายเป็นงวดได้ แต่อย่างไรก็ตาม การแบ่งจ่ายก็ต้องคิดดอกเบี้ยตามปกติ ทางเลือกที่สอง หยุนเจิงจะจ่ายเงินทั้งหมดให้พวกเขา ส่วนเงินชดใช้นั้น หยุนเจิงจะยังไม่เอาใน
เมื่อไม่มีคนนอกอยู่ หยุนเจิงก็ยิ่งทำตัวตามใจอย่างไม่กริ่งเกรงหญิงทั้งสามรู้ดีถึงนิสัยเจ้าชู้ของหยุนเจิง จึงไม่อยากพูดอะไรให้มากความ ไม่นานนัก บ่าวก็นำน้ำแกงขิงมาให้ เมี่ยวอินช่วยพยุงหยุนเจิงลุกขึ้นดื่มน้ำแกงขิงเล็กน้อย พอจะพยุงให้นอนลงอีกครั้ง หยุนเจิงกลับโอบเอวของนางไว้ พร้อมกับเปิดแขนอีกข้างไปทางเยี่ยจือ “รีบมานี่ ให้ข้ารำลึกความรู้สึกซ้ายโอบขวากอดสักหน่อย...” “ดูเจ้าสิ!” เยี่ยจือแกล้งบ่นเบาๆ “เจ้าเพิ่งจะสร่างเมานิดหน่อย ก็เผยนิสัยแท้จริงออกมาเสียแล้ว” “เมาหรือไม่ ข้าก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว!” หยุนเจิงหัวเราะดัง ก่อนเรียกเยี่ยจืออีกครั้ง เยี่ยจือเดินเข้าไป ใช้นิ้วเรียวขาวของนางจิ้มหน้าผากของหยุนเจิงเบาๆ พลางพูดแหย่ว่า “ยังจะซ้ายโอบขวากอด ข้าดูสิว่าเจ้ามีกี่มือ ลั่วเยี่ยนยังไม่ได้ลงมานั่งด้วยซ้ำ!” “แค่นี้ง่ายจะตาย!” หยุนเจิงตบขาของเขาเบาๆ พร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์พลางมองไปที่เสิ่นลั่วเยี่ยน “หวานใจ มานั่งตรงนี้เร็ว” “พอเถอะเจ้า!” เสิ่นลั่วเยี่ยนมองหยุนเจิงด้วยสายตาขบขัน พลางพูดแหย่ว่า “เจ้าคิดจะกอดทุกคนเลยหรือ? อีกหน่อยเมื่อเจียเหยาเข้ามาในจวนด้วย ข้าจะดูว่าเจ้าจะ
ค่ำคืนนั้น จวนอ๋องจัดงานเลี้ยงอย่างหรูหรา ทั้งเพื่อฉลองชัยชนะของหยุนเจิง และต้อนรับมู่ซุ่น เมื่อกลับถึงบ้าน หยุนเจิงก็รู้สึกดีใจจนอดดื่มเพิ่มไปอีกสองสามแก้วไม่ได้ บ่าวในจวนพยุงหยุนเจิงไปพักในห้อง เสิ่นลั่วเยี่ยนสั่งให้บ่าวต้มน้ำแกงขิงช่วยให้หยุนเจิงสร่างเมา เมี่ยวอินช่วยปลดเสื้อผ้า ขณะที่เยี่ยจือเรียกให้บ่าวนำน้ำอุ่นมา เมื่อเห็นสาวๆ รอบตัวกำลังวุ่นวาย หยุนเจิงก็ส่ายหัวเล็กน้อยพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงมึนเมา “อย่าลำบากกันเลย ข้าแค่ดื่มมากไปหน่อย ยังไม่ได้เมา...” หยุนเจิงไม่ได้เมาอย่างสิ้นเชิง ยังมีสติอยู่ เพียงแต่รู้สึกมึนเล็กน้อยเท่านั้น “เจ้าเคยเห็นคนเมาที่ไหนยอมรับว่าตัวเองเมา?” เสิ่นลั่วเยี่ยนมองหยุนเจิงอย่างตำหนิเล็กน้อย “เอาเถอะ เมาหรือไม่เมาก็พักก่อน เจ้าเอาแต่ทำศึกอยู่ข้างนอก คงไม่ได้พักผ่อนอย่างดีเท่าไรนัก ตอนนี้กลับถึงบ้านแล้ว ก็ควรพักให้เต็มที่...” “ก็แหงล่ะสิ?” เมี่ยวอินพูดเสริม “ก่อนหน้านี้ตอนทำศึกใหญ่กับโฉวฉือและแคว้นต้าเย่ว์ที่แม่น้ำซัวเล่ย เขาแทบไม่ได้หลับเลยสามวันสามคืน ไม่รู้ว่าเขาอดทนมาได้อย่างไร...” เมื่อได้ยินคำพูดของเมี่ยวอิน เสิ่นลั่ว
“ยังต้องสู้ต่อ! และต้องสู้ให้ได้!” หยุนเจิงกล่าวอย่างหนักแน่น “ต้องทำลายแคว้นต้าเย่ว์ให้สิ้น เขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือถึงจะสงบสุข!” ใกล้เตียงนอนของตน จะปล่อยให้คนอื่นหลับสบายได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น แคว้นต้าเย่ว์ยังมีโหลวอี้ผู้เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน ตอนนี้ แคว้นต้าเย่ว์สูญเสียทหารจำนวนมาก และทหารของโฉวฉือที่ถูกบังคับให้เข้าร่วมก็ยังไม่ได้จงรักภักดี ดังนั้นพวกเขาจึงยังไม่กล้าขยับตัว แต่หากโหลวอี้สามารถทำให้ทหารของโฉวฉือภักดีได้ ก็มีโอกาสที่จะบุกโจมตีอีกครั้ง โหลวอี้คนเช่นนี้ย่อมเข้าใจดีว่า หากแคว้นต้าเย่ว์ไม่โจมตีออกไป ไม่นานก็จะถูกโจมตีจากสองด้านและสูญเสียกำลังไปทีละน้อย “เขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือ?” เสิ่นลั่วเยี่ยนและเยี่ยจือมองด้วยความสงสัย “ก็คือโฉวฉือเดิม” เมี่ยวอินยิ้มพลางกล่าว “ตอนนี้ไม่มีโฉวฉืออีกแล้ว มีเพียงเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือของต้าเฉียน” “เจ้าช่างคิดไว้ทุกอย่างจริงๆ” เสิ่นลั่วเยี่ยนมองหยุนเจิงพลางยิ้ม “หากเจ้าคิดว่าจำเป็นต้องสู้ต่อ ก็สู้ต่อไปเถอะ ให้ประชาชนลำบากชั่วคราวยังดีกว่าต้องลำบากชั่วชีวิต!” “คงไม่ลำบากอีกนา
ไม่มีเงินติดมือ จริงๆ แล้วเป็นสาเหตุรอง ประชาชนในซั่วเป่ย หลายครอบครัวมีสมาชิกไปเป็นทหาร บางคนยังประจำการในกองทัพ บางคนเสียชีวิตในสนามรบแล้ว หยุนเจิงไม่ได้เบียดบังเบี้ยเลี้ยงหรือเงินช่วยเหลือของทหาร ทำให้ครอบครัวที่มีสมาชิกเป็นทหารมีเงินติดตัวบ้าง แต่ซั่วเป่ยไม่ใช่พื้นที่ที่ผลิตฝ้าย ฝ้ายและผ้าส่วนใหญ่ต้องนำเข้าจากดินแดนชั้นใน แม้ว่าขนสัตว์จะช่วยกันหนาวได้ แต่ปริมาณก็มีจำกัด นอกจากนี้ ขนสัตว์ยังต้องถูกจัดสรรให้กองทัพก่อน ผลลัพธ์นี้ทำให้ประชาชนจำนวนมาก แม้มีเงินติดตัว ก็ไม่สามารถซื้อของกันหนาวได้เพียงพอ โดยเฉพาะผู้ที่อพยพมาจากดินแดนชั้นใน สิ่งเดียวที่น่าดีใจคือปีนี้ซั่วเป่ยผลิตถ่านอัดแท่งออกมาได้ ตอนนี้การผลิตถ่านอัดแท่งยังคงเพิ่มขึ้น และได้กระจายไปยังทุกเมือง ประชาชนจำนวนไม่น้อยเริ่มใช้ถ่านอัดแท่งสำหรับทำความร้อนในฤดูหนาว แต่ถ่านอัดแท่งนี้ไม่ได้มีทุกคนที่สามารถซื้อได้ และยังไม่สามารถเผาใช้ได้ตลอดเวลา สำหรับประชาชนที่มีฐานะยากจน พวกเขายอมเสี่ยงความหนาวไปตัดฟืนบนภูเขา หรือเก็บฟางแห้งนอกเมือง มากกว่าที่จะจ่ายเงินซื้อถ่านอัดแท่ง หยุนเจิงครุ่นคิดเล็กน้อย ก
เมื่อคิดเช่นนี้ ข้าวที่พวกเขาส่งไปถึงซั่วเป่ยแล้วก็เหมือนกับให้เปล่า แถมยังต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกหลายหมื่นตำลึง จนมุมจนไม่มีทางออก พวกเขาจึงคิดไปขอความช่วยเหลือจากจางซู แต่เมื่อสอบถามดู ก็พบว่าจางซูกลับไปเมืองหลวงแล้ว สุดท้าย เมื่อไม่มีหนทางอื่น พวกเขาจึงไปยังจวนอ๋องเพื่อขอความเมตตา แต่คนของจวนอ๋องไม่แม้แต่จะให้พวกเขาเข้าไป บอกเพียงให้ไปหาเฉินปู้ เพราะเรื่องนี้ตอนนี้อยู่ในความดูแลของเฉินปู้ ภายใต้คำแนะนำของคนในจวนอ๋อง พวกเขาก็ได้พบเฉินปู้ แต่เฉินปู้พูดคำเดิมซ้ำไปซ้ำมา “ทุกอย่างให้ยึดตามสัญญา” หากต้องยึดตามสัญญา พวกเขาจะต้องขาดทุนจนแทบไม่เหลืออะไรเลย พวกเขาอยู่ในติ้งเป่ยมาหลายวัน พยายามหาเฉินปู้หลายครั้ง แต่เฉินปู้ไม่ยอมผ่อนปรนเลย จนกระทั่งทราบข่าวว่าหยุนเจิงกำลังจะกลับมาพร้อมชัยชนะ พวกเขาจึงคิดจะมาขอความเมตตาจากหยุนเจิง “อย่างนี้นี่เองหรือ?” หยุนเจิงขมวดคิ้วมองคนทั้งสอง “เมื่อคราวอยู่ที่หม่าอี้เฉิง ข้าบอกพวกเจ้าไปหลายครั้งแล้ว หากทำไม่ได้ก็ถอนตัวเสียตั้งแต่แรก ข้าไม่ถือสา แต่ตอนนี้พวกเจ้าผิดสัญญา เมื่อถึงเวลาต้องรับผิดชอบกลับมาขอข้าให้อภัย นี่มันออกจะเอาเ
หยุนเจิงมองตามเสียงไป เห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งถือผ้าสีแดงที่ไม่รู้ไปเอามาจากไหน โบกสะบัดอย่างแรงราวกับกลัวว่าเขาจะมองไม่เห็นพวกเขาในกลุ่มฝูงชน พวกเขายังพยายามฝ่าแนวกำแพงมนุษย์ที่ทหารตั้งไว้ แต่ถูกสกัดไว้อย่างแน่นหนา หรือว่าคนพวกนี้มีเรื่องร้องทุกข์? ต้องการมาร้องเรียนกับตนอย่างนั้นหรือ? ขณะที่หยุนเจิงกำลังสงสัย เฉินปู้ก็เดินเข้าไปอย่างรวดเร็วและตะโกนว่า “มีเรื่องอะไรก็รอวันหลังพูด! วันนี้เป็นวันชัยชนะของท่านอ๋อง อย่าก่อความวุ่นวายที่นี่!” อย่างไรก็ตาม คำตะโกนของเฉินปู้กลับไม่ได้ผลมากนัก คนกลุ่มนั้นยังคงตะโกนเรียก และโบกผ้าสีแดงไปทางหยุนเจิงอย่างแรง ถ้าไม่รู้อาจจะคิดว่าคนพวกนี้เป็นแฟนคลับของหยุนเจิงเสียอีก! เห็นพวกเขาตะโกนอย่างเอาเป็นเอาตาย หยุนเจิงคาดว่าคงมีเรื่องสำคัญ จึงสั่งการองครักษ์ข้างกายว่า “ไป พาพวกเขามาหาข้า!” “พ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์รับคำสั่งแล้วรีบออกไปทันที ไม่นาน องครักษ์ก็นำตัวสองคนออกมาจากกลุ่มนั้นมาหาหยุนเจิง เมื่อทั้งสองคนเดินเข้ามาใกล้ แววตาของหยุนเจิงฉายแววเข้าใจบางอย่าง นี่ไม่ใช่พ่อค้าข้าวที่ข้าเคยพบก่อนหน้านี้หรือ? ถึงว่าทำไมถึงได้ร
ขณะที่หญิงทั้งสองกำลังพูดคุยกัน เสียงกีบม้าก็ดังแว่วมาในสายลม “พวกเขามาถึงแล้ว!” สีหน้ากังวลของจื่อเยี่ยพลันเปลี่ยนเป็นความหวัง นางมองไปยังที่ไกลด้วยความคาดหวัง เสิ่นลั่วเยี่ยนก็เป็นเช่นเดียวกัน ในระหว่างที่หญิงทั้งสองกำลังมองไปไกล หยุนเจิงก็นำกองทหารองครักษ์ควบม้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว เมื่อหยุนเจิงและพวกปรากฏตัวในสายตา เสียงโห่ร้องยินดีก็ดังกึกก้องขึ้นจากฝูงชนด้านหลัง หญิงทั้งสองหันกลับไปมองฝูงชนด้านหลัง ใบหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ผู้ชายของพวกนางได้รับความรักและความเคารพจากประชาชนเหล่านี้ นางจึงรู้สึกภูมิใจเป็นธรรมดา จากที่ไกล หยุนเจิงก็เห็นเสิ่นลั่วเยี่ยนและจื่อเยี่ยที่ยืนอยู่ด้านหน้า หยุนเจิงรีบพาเมี่ยวอินควบม้าตรงไปข้างหน้า แม้จะยังห่างกันสิบจ้าง หยุนเจิงก็กระโดดลงจากม้าและรีบวิ่งไปหาทั้งสองทันที หญิงทั้งสองเองก็วิ่งตรงไปหาหยุนเจิงโดยไม่รู้ตัว ผู้ติดตามของนางรีบตามไปด้วยความกลัวว่านางจะพลัดตก เมื่อทั้งสองฝ่ายมุ่งหน้าหากัน ไม่นานพวกเขาก็พบกัน หยุนเจิงจับมือนางละคน มองหญิงทั้งสองด้วยสายตาอ่อนโยนพลางกล่าวตำหนิ “พวกเจ้าตั้งครรภ์อยู่ ยังจะวิ่งเร