นาทีถัดมา ร่างของเกาซื่อเจินสั่นไหวโอนเอนล้มไปกับพื้นทว่า ต่อให้เป็นเช่นนี้ ในสถานที่เกิดเหตุก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปพยุงหยุนเจิงมองเกาซื่อเจินที่เลือดเต็มปากนิ่งๆ “โจรชั่ว นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะทำเรื่องยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานเช่นนี้ เจ้าเอาหน้าที่ไหนมาเห่าหอนอยู่หน้าข้า?”“อย่างเจ้า คู่ควรเรียนกนักปราชญ์ขงจื๊อ?”“ตามความคิดของข้า เจ้ามันก็แค่โจรเฒ่าหลอกลวงโลกเพื่อชื่อเสียงเท่านั้น!”ยังจะหลงเหลือชื่อที่ดีงามไว้ตลอดไป?เจ้าเกาซื่อเจินไม่ใช่อยากหลงเหลือชื่อที่ดีงามไว้ตลอดไปหรือ?วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มลองรสชาติแห่งความอับอายชั่วนิรันดร์!คิดว่าตัวเองมีสถานะเป็นนักปราชญ์ขงจื๊อไร้สาระ ก็สามารถมากำเริบเสิบสานต่อหน้าเขาได้แล้ว?ปณิธานเพื่อใต้หล้า เพื่อชาวประชาพึ่งพาตนเอง สืบทอดการเรียนรู้แห่งปราชญ์ เพื่อทุกสรรพสิ่งสงบสุขปลอดภัยหากเกาซื่อเจินทำได้จริง ก็เหมาะสมกับฉายานักปราชญ์ขงจื๊อแต่น่าเสียงดาย เกาซื่อเจินเดิมก็ทำไม่ได้จากมุมของเขา เกาซื่อเจินก็แค่โจรเฒ่าอาศัยที่ตัวเองอายุมากเที่ยวดูถูกคนอื่นเท่านั้น!“เจ้า...เจ้าใส่ร้ายคน! เจ้า...ป้ายสีคนอื่น...”เกาซื่อเจินโกรธมาก น้ำตาขุ่นม
“เจ้า...ฟู่...”เกาซื่อเจินเพิ่งพูดออกมาแค่คำเดียว ก็พ่นเลือดสดออกมาอีกครั้งแต่ว่าครั้งนี้ เกาซื่อจนหมดสติไปโดยตรงแค่นี้ก็ไม่ไหวแล้ว?หยุนเจิงถากถางในใจ จากนั้นก็สั่งเมี่ยวอิน “รักษาโจรเฒ่านี่หน่อย อย่าปล่อยให้เขาตาย! ข้าต้องการให้โจรเฒ่ามีชีวิต ให้เขาเห็นด้วยตาว่าเขาถูกคนทั้งใต้หล้าดูหมิ่นเช่นไร!”“ก็ได้!”เมี่ยวอินจนใจ เดินเข้าไปจับชีพจรให้เกาซื่อเจินตาแก่นี่ก็เหลือเกินยั่วยุ่ใครไม่ยุ ต้องมายั่วยุหยุนเจิงให้ได้จั่วเริ่นเดินเข้ามา ชี้ไปที่กลุ่มคนที่คุกเข่าแล้วถาม “องค์ชาย คนพวกนี้จัดการเช่นไร?”หยุนเจิงกวาดสายตาเย็นชามองทุกคน “เยี่ยเฉินและหวังจิ้งอยู่ก่อน คนที่เหลือ ส่งไปขุดเหมือง!”ขุด...เหมือง?เมื่อได้ยินคำพูดของหยุนเจิง ทุกคนแทบจะหมดสติให้พวกเขาคนที่นุ่นนวลบอบบางอย่างพวกเขาไปขุดเหมือง ไม่ต่างจากเอาชีวิตพวกเขา?“ท่านอ๋องไว้ชีวิตด้วย!”“ข้าถูกเกาซื่อเจินโจรเฒ่ายุยง...”“ขอท่านอ๋องเมตตาด้วย...”ทันใดนั้น ทุกคนก็พากันร้องไห้อ้อนวอนหยุนเจิงส่ายหน้าอย่างเย็นชา “นักปราชญ์หยุน ฟ้าจะมอบหมายภาระอันยิ่งใหญ่ให้กับใครคนหนึ่ง ต้องให้เขาลำบากเพื่อฝึกความมุ่งมั่น ให้เขาลำ
หยุนเจิงใช้อิทธิพลในการสยบเรื่องการร้องทุกข์แต่ เรื่องนี้ยังไม่นับว่ายุติหยุนเจิงอยากรู้มาก ที่แท้เป็นใครสร้างลมสร้างฝนอยู่เบื้องหลังเขาไม่กลัวศัตรู แต่ไม่ชอบความรู้สึกที่ไม่รู้แม้กระทั่งว่าศัตรูเป็นใครคนที่คู่ควรให้สงสัยมากที่สุด ย่อมต้องเป็นหยุนลี่องค์รัชทายาทแต่ว่า หยุนเจิงรู้ดี คนเบื้องหลังเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นหยุนลี่ก็เหมือนกับเรื่องลอบสังหารก่อนหน้านี้ คนคู่ควรให้สงสัยมีเยอะเกินไปไม่แน่ว่า คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องการลอบสังหารและเรื่องนี้ต่างก็เป็นคนเดียวกันคิดถึงเรื่องการลอบสังหาร หยุนเจิงก็แอบขมวดคิ้วอีกครั้งเขาส่งคนไปในด่านนานมากแล้วจนถึงตอนนี้ กลับไม่ได้ข่าวกลับมาแม้แต่น้อยเขาถึงขั้นไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นเป็นหรือตายศัตรูไม่น่ากลัว คนที่หน้ากลัวก็คือศัตรูที่ซ่อนอยู่ในที่ลับจำเป็นต้องจับคนผู้นี้ออกมาโดยเร็วที่สุดตอนที่หยุนเจิงกำลังคิดเรื่อยเปื่อย เยี่ยจื่อและเมี่ยวอินเข้ามาอย่างเชื่องช้า“ตาแก่นั่นเป็นเช่นไรบ้าง?”หยุนเจิงเก็บความคิดของตนเองไว้ จากนั้นก็ถามเมี่ยวอิน“ไม่มีสิ่งใดร้ายแรง”เมี่ยวอินส่ายหน้าเบาๆ กล่าวอย่างโหดเหี้ยม “ตาแก่นี่คิดจะต
วันนี้เรื่องนี้สงบแล้ว พรุ่งนี้บางทีอาจมีเรื่องอื่นโผล่มาอีกตั้งแต่โบราณถึงปัจจุบัน ไม่ว่ายุครุ่งเรืองใดล้วนได้มาจากการการรักษาความสงบสุขอย่างยาวนานการบังคับใช้อำนาจและการสังหารหมู่อย่างสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่ว่ายุครุ่งเรืองใด ต่างก็จะค่อยๆ แตกแยกสลายไปนางอยากเกลี้ยกล่อมหยุนเจิง แต่ไม่รู้ควรเกลี้ยกล่อมเช่นไรมองดูเยี่ยจื่อที่ใบหน้ากลัดกลุ้ม หยุนเจิงอดไม่ได้ที่จะดึงมือนาง กล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “ใต้หล้ามีปัญญาชนรุ่นเก่า ย่อมมีปัญญาชนรุ่นใหม่! ข้าสามารถกำจัดปัญญาชนรุ่นเก่า แล้วก็ยังสามารถสร้างปัญญาชนรุ่นใหม่ได้!”บางเรื่อง ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาลงมือเองยืมแรงเพื่อตอบโต้ ไหนเลยจะไม่ได้!เผชิญกับสายตาหนักแน่นของหยุนเจิง เยี่ยจื่อและเมี่ยวอินชะงักไปยามจำเป็น ใช้ปัญญาชนรุ่นใหม่มาต่อต้านปัญญาชนรุ่นเก่าหรือ?นี่...นับว่าเป็นวิธีที่ดีมาก!สนทนากับเยี่ยจื่อและเมี่ยวอินมากมายแล้ว จั่วเริ่นส่งคนมารายงาน เกาซื่อเจินฟื้นแล้วทว่า อารมณ์ของตาแก่นี่ไม่มั่นคงอย่างยิ่ง ตื่นขึ้นมาก็อยากฆ่าตัวตายยังดีที่มีคนเฝ้าอยู่ ตาแก่นี่ไม่มีโอกาสตายชั่วคราว“ฆ่าตัวตาย?”หยุนเจิงถากถางดูแคลน “ตาแก่นี่
ปัญญาชนคร่ำครึอย่างเกาซื่อเจิน เดิมก็ไม่ค่อยมีแนวป้องกันจิตใจมากนักหยุนเจิงกระแทบทำลายแนวป้องกันจิตใจเกาซื่อเจินได้อย่างง่ายดายมาก“เจ้าคิดจะทำสิ่งใด?”เกาซื่อเจินน้ำตานองหน้า ถามหยุนเจิงด้วยใบหน้าโศกเศร้าหยุนเจิงไม่อ้อมค้อมกับเกาซื่อเจิน ถามตรงประเด็น “ใครใช้ให้พวกเจ้ามาร้องทุกข์ที่ซั่วเป่ย?”เกาซื่อเจินเข้าใจความหมายของหยุนเจิงทันที กล่าวด้วยความโศกเศร้า “เจ้าคิดว่าข้ารับคำสั่งจากผู้อื่น?”“ไม่ใช่หรือ?”หยุนเจิงเลิกคิ้ว จากนั้นก็ถากถาง “ข้ากับเจ้าไร้อคติไร้ความแค้น หากไม่ใช่คนสั่งการมา เหตุใดเจ้าจึงวิ่งมาที่ซั่วเป่ยสร้างความรำคาญให้ข้าและจื่อเอ๋อร์? เจ้ากินอิ่มแล้วว่างเกินไป? หรือว่าคิดจะใช้เรื่องนี้สร้างชื่อเสียง?หยุนเจิงไม่เกรงใจสักนิด ไม่ให้เกียรติเกาซื่อเจินที่เป็นนักปราชญ์ขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่เลยแม้แต่น้อยคำไร้สาระอย่างร้องทุกข์เพื่อชาวประชา หยุนเจิงไม่เชื่อเลยสักนิดชาวบ้านคิดเพียงทำเช่นไรให้กินอิ่มท้อง ใครบ้างจะมีความคิดเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ส่วนปกป้องใบหน้าครอบครัวสวรรค์ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเลยจักรพรรดิเหวินประกาศราชโองการแล้ว เหตุใดต้องให้เกาซื่อเจินมาปกป้องเกี
ไม่แปลกใจเลยที่ตาแก่นี่ไม่เข้าราชสำนักเป็นขุนนางสมองอย่างเขา หากเป็นขุนนางก็มีแต่สร้างหายนะให้ชาวบ้าน“เจ้ารู้จักหลายคนนั้นหรือไม่?”หยุนเจิงถาม“ไม่รู้จัก”เกาซื่อเจินตอบโดยไม่ต้องคิด“แม้แต่ชื่อของพวกเขาเราก็ไม่รู้จัก?”เยี่ยจื่อถามยังไม่ยอมแพ้เกาซื่อเจินใส่หน้าเบาๆ “ตั้งแต่ตอนจนจบ พวกเราไม่เคยสนทนากันสักประโยค…”เมื่อได้ฟังคำของเกาซื่อเจิน ทั้งสามคนยิ่งหมดคำจะพูดตาแก่นี่ แม้แต่ประโยคเดียวก็ไม่เคยสนทนากับเขา ก็กระโดดลงหลุมที่เขาขุดไว้แล้วคิดจะหลอกตาแก่นี่ ช่างง่ายได้เสียจริง!“ช่างเถอะ ข้าไม่ทำให้เจ้าลำบากชั่วคราว”หยุนเจิงส่ายหน้าเบาๆ มองเกาซื่อเจินด้วยใบหน้าสุดเอือมระอา “ต่อไปอ่านหนังสือให้น้อยหน่อย ดูเรื่องราวถูกผิดในโลกให้มากหน่อยเถอะ! เจ้ารีบรักษาร่างกายให้ดี กลับไปข้ามีภารกิจสำคัญมอบให้เจ้า!”“ภารกิจ...สำคัญ?”เกาซื่อเจินมองหยุนเจิงอย่างมึนงงแม้เขาจะคร่ำครึ แต่ก็ไม่โง่ถึงขั้นคิดว่าหยุนเจิงละทิ้งความขุ่นเคืองในอดีตและมอบหมายภารกิจสำคัญให้เขาหยุนเจิงหากสามารถละทิ้งความขุ่นเคืองในอดีตได้จริง ก็คงไม่สังหารปัญญาชนติดต่อกันต่อหน้าเขาหรอกตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว หย
“อะไรนะ?”เยี่ยจื่อสีหน้าเปลี่ยนไป นัยน์ตาไหววูบแววเย็นยะเยือกผู้ประสบภัย!นี่ต้องการผลักผู้ประสบภัยมาที่ซั่วเป่ย ทำให้ผู้ประสบภัยเหล่านี้ล้างผลาญซั่วเป่ย!หยุนเจิงย่อมรู้ถึงการเดินพันในเรื่องนี้ แต่ไม่ได้แสดงความโกรธใดออกมา ในทางกลับกันก็ถามด้วยยังถามด้วยสีหน้าสงบ “ผู้ประสบภัยถึงที่ใดแล้ว นานเท่าใดกว่าจะมาถึงด่านเป่ยลู่?”คนผู้นั้นตอบทันที “พวกเขาตอนนี้กำลังเดินทางไปสุยโจว ภายในสองเดือนน่าจะมาถึงด่านเป่ยลู่...”ผู้ประสบภัยทางใต้ต้องการมาซั่วเป่ย สำหรับซั่วเป่ยตอนนี้ ไม่ใช่ข่าวที่ดีแน่นอนผู้ประสบภัยเหล่านี้กับคนที่อพยพมาจากภายในด่านไม่เหมือนกันคนเหล่านี้คือผู้ประสบภัย!ผู้ประสบภัยมาที่ซั่วเป่ย ซั่วเป่ยย่อมต้องเปิดคลังสงเคราะห์ผู้ประสบภัยเปิดคลังสงเคราะห์ผู้ประสบภัย ก็เท่ากับอาหารที่ต้องบริโภคจำนวนมหาศาลหากผู้ประสบภัยมาไม่กี่หมื่นคน ยังไม่เท่าใดแต่หากผู้ประสบภัยมามากเกินไป เสบียงอาหารของพวกเขาอาจไม่เพียงพอทว่า ตอนที่ผู้ประสบภัยเหล่านี้มาถึงซั่วเป่ย คงอ่อนแออย่างมากไม่เพียงต้องการเสบียงอาหาร ยังต้องการปัจจัยในการสงเคราะห์ผู้ประสบภัยอื่นด้วยหากผู้ประสบภัยจำนวนมากเส
หลังตัดสินใจได้แล้ว หยุนเจิงสั่งจั่วเริ่นทันที “ส่งคนรีบไปหม่าอี้ ให้จางซูเลือกคนที่คุ้นเคยขั้นตอนบ่งสุราและกลั่นแอลกอฮอล์รีบมายังด่านเป่ยลู่!”จั่วเริ่นรับคำสั่ง จากนั้นก็ไปทำตามงานที่หยุนเจิงมอบหมาย“เจ้าคิดจะนำวิธีบ่มสุราและกลั่นแอลกอฮอล์ถวายออกไป?”เยี่ยจื่อเข้าใจเจตนาของหยุนเจิงทันที“อื้ม”หยุนเจิงพยักหน้า “ที่สำคัญคือเพื่อทำแอลกอฮอล์! มันถูกบันทึกไว้ในตำราโบราณที่ข้าเคยอ่าน แอลกอฮอล์มีประโยชน์มากในการต่อสู้กับโรคระบาด! แม้อำเภอจวีผิงห่างไกลจากพวกเรามาก โรคระบาดทางนั้นไม่ส่งผลกระทบถึงซั่วเป่ย แต่การควบคุมโรคระบาดให้เร็วที่สุด ไม่เพียงสามารถลดผลกระทบของโรคระบาดที่ต้าเฉียนได้ สำหรับพวกเราก็มีประโยชน์เช่นกัน...”ต้าเฉียนถูกอุทกภัยครั้งนี้ทำลายพลังหยวน สำหรับซั่วเป่ยแล้วก็มีผลกระทบเช่นกันแต่ตอนนี้ยังไม่แสดงออกมา ผ่านไปสักระยะก็จะปรากฎออกมาให้เห็นเส้นทางร่ำรวยจากการบ่มสุราไม่มีแล้ว พวกเขาก็ยังมีเส้นทางร่ำรวยอื่นแต่คนเหล่านี้ตายแล้ว ก็ตายไปแล้วจริงๆเวลานี้ ไม่จำเป็นต้องไปกังวลกับกำไรขาดทุนของสิ่งเหล่านี้“อื้ม ข้าสนับสนุนเจ้า!”เยี่ยจื่อมองหยุนเจิงด้วยความรู้สึกอบอุ่นอ่
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ
วันถัดมา จักรพรรดิเหวินที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางก็ตื่นสายเล็กน้อย หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ จักรพรรดิเหวินก็ให้ทุกคนพาเดินสำรวจในเล่ออาน จักรพรรดิเหวินไม่ได้เปิดเผยฐานะตนเอง ไม่ได้พาผู้ติดตามมากมาย และยังปลอมตัวเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงความยุ่งยาก หลังจากเดินสำรวจรอบเมือง จักรพรรดิเหวินก็ค่อนข้างพอใจ ระหว่างเดินบนถนนในเมือง จักรพรรดิเหวินก็ย่อตัวลงดูอะไรบางอย่าง “นี่มันอะไรหรือ?” จักรพรรดิเหวินชี้ไปที่ปูนระหว่างก้อนอิฐสองก้อนแล้วถาม “นี่คือปูนซีเมนต์” หยุนเจิงอธิบาย “มันทำหน้าที่เหมือนกาวข้าวเหนียว แต่มีความแข็งแรงกว่าเล็กน้อย และหาง่ายกว่า ไม่เปลืองข้าว แค่ปริมาณการผลิตยังน้อยอยู่” “สิ่งนี้ใช้ได้ทีเดียว!” จักรพรรดิเหวินลุกขึ้นช้าๆ “เจ้าเคยคิดจะขายปูนซีเมนต์นี้ไปพื้นที่เขตในหรือไม่?” “นั่นคงยากหน่อย” หยุนเจิงส่ายหัว “ซั่วเป่ยยังขาดปูนนี้มาก จะเอาไปขายที่เขตในได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ส่วนใหญ่ใช้ในงานของราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้” “เช่นนั้น มันเทศล่ะ?” จักรพรรดิเหวินมองหยุนเจิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่ามันเทศในซั่วเป่ยป
“ห้ะ?” หยุนเจิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “วางใจเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี” จักรพรรดิเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นช่วงสำคัญที่เจ้าจะรวบรวมใจชาวเป่ยหวน แม้ข้าจะอยากไปบวงสรวงฟ้าดินที่เขาเทพหมาป่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ข้าเข้าใจดี” “เสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่เรื่องของขอบเขตหรือไม่ขอบเขตนะพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงคร่ำครวญแทบล้มประดาตาย “เสด็จพ่อจะไปเยือนวังหลวงเป่ยหวน เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่เสด็จพ่อคิดดูเถิด หากเสด็จพ่อไป ลูกคงต้องนำทัพสักหมื่นสองหมื่นนายเพื่อคุ้มครองเสด็จพ่อใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? ทัพหมื่นสองหมื่นนาย เดินทางหน้าหนาว ต้องขนเสบียงและเสื้อผ้ากันหนาวแค่ไหน? ไปกลับอย่างไรเสียก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” นี่ยังไม่รวมว่าต้องออกเดินทางจากค่ายใหญ่เขาห่านป่าหวนกลับ! หากออกเดินทางจากที่อื่น เวลาก็ยิ่งนานกว่านี้! นี่เป็นการเดินทางของฮ่องเต้นะ! จะให้เดินทางเร่งด่วนตลอดทางก็ไม่ได้! ต่อให้เสด็จพ่ออยากไปจริง ก็ควรรอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้! “สักสองเดือนก็สักสองเดือนเถอะ!” จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่จัดงานแต่งกับเจียเ
จักรพรรดิเหวินหยุดครู่หนึ่ง ก่อนถ่ายทอดคำที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยกล่าวไว้ให้หยุนเจิงฟัง ผู้เลี้ยงแกะในมือนั้น ต้องมีผืนดิน หมาป่า แกะ และสุนัข! ผืนดิน คือกฎเกณฑ์ ขีดเส้นจำกัดไว้เป็นคอก หมาป่าคือภัยคุกคาม บอกฝูงแกะว่าอย่าได้วิ่งพล่าน ในพื้นที่ที่ขีดเส้นให้เท่านั้นจึงจะปลอดภัยจากหมาป่า แกะ คือหัวหน้าฝูง ขณะเลี้ยง หากควบคุมหัวหน้าฝูงได้ ฝูงแกะก็จะไม่หลงทาง สุนัขช่วยต้อนฝูงแกะ นำแกะที่ไม่เชื่อฟังกลับเข้าฝูง เมื่อได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงก็อดไม่ได้ที่จะตระหนักในทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จางฮว๋ายก็คือหัวหน้าฝูงแกะตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิพระองค์ก่อนหรือเสด็จพ่อ ต่างก็ต้องการหัวหน้าฝูงตัวนี้เพื่อควบคุมฝูงแกะ ผ่านไปครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “เสด็จพ่อคงไม่ได้คิดจะส่งเกาซื่อเจินมาให้ลูกเป็นหัวหน้าฝูงใช่ไหม?” “เจ้าคิดว่าเกาซื่อเจินมีความสามารถจะเป็นหัวหน้าฝูงหรือ?” จักรพรรดิเหวินเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม กล่าวอย่างมีนัยว่า “หัวหน้าฝูงไม่ใช่ว่าใครจะเป็นได้!” เช่นนี้เองหรือ? หยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ในใจ จริงแท้ เกาซื่อเจินไม่มีความสามาร
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ
หยุนเจิงเล่าเรื่องนี้กินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ระหว่างนั้น จักรพรรดิเหวินแทบไม่พูดแทรก เพียงแต่ทานหม้อไฟร้อนๆ พร้อมจิบสุราไปพลาง จนกระทั่งหยุนเจิงพูดจบ จักรพรรดิเหวินจึงวางตะเกียบลง พร้อมมองหยุนเจิงตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าสงสัย “เสด็จพ่อ มองลูกเช่นนี้ทำไม?” หยุนเจิงถูกมองจนขนลุก ในใจแอบคิดว่า หรือว่าตาแก่คนนี้จะมีแผนร้ายอีกแล้ว “ใครสอนเรื่องพวกนี้ให้เจ้า?” จักรพรรดิเหวินมีสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “อย่ามาอ้างว่าหนังสือแปลกประหลาดเล่มนั้นสอนเจ้า ข้าไม่เชื่อว่าหนังสือจะมีเรื่องพวกนี้!” ศาสตร์แห่งจักรพรรดิ! นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเรียนรู้จากหนังสือได้ และอาจารย์ก็ไม่สามารถสอนเรื่องพวกนี้ กระทั่งองค์ชายส่วนใหญ่ยังไม่มีโอกาสได้ศึกษาเรื่องศาสตร์แห่งจักรพรรดิอย่างลึกซึ้ง แล้วหยุนเจิงที่เคยใช้เวลาอยู่แต่ในจวนปี้ปัวนั้น ใครกันที่สอนเรื่องพวกนี้ให้เขา? หรือว่าเขาจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้เอง? หยุนเจิงหัวเราะเบาๆ “เมื่อก่อนลูกไม่มีอะไรทำ ก็มักอ่านพงศาวดารบ่อยๆ เรื่องพวกนี้ลูกเรียนรู้มาจากพงศาวดาร” “ไร้สาระ!” จักรพรรดิเหวินตอบกลับอย่างไม่สุภาพ “หากเรียนรู้เรื่อง
จากทางใต้จนถึงซั่วเป่ยระยะทางไกลถึงเพียงนี้ ระหว่างทางไม่มีความช่วยเหลือจากทางการ หรือทางการไม่อนุญาตให้ผ่าน เหล่าผู้ประสบภัยแม้จะมีปีกบิน ก็ใช่ว่าจะบินมาถึงซั่วเป่ยได้ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลย ทั้งหมดเป็นเรื่องที่พี่สามของเจ้าจัดการ” จักรพรรดิเหวินหัวเราะเยาะตนเองเบาๆ “พอเถอะ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้อีก! เจ้าพูดวกไปวนมานานนักแล้ว มีข้ออ้างอะไรที่ดีกว่านี้หรือไม่?” ยังจะพูดถึงเรื่องนี้อีกหรือ? เรื่องนี้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยหรือไร? หยุนเจิงในใจเต็มไปด้วยความอึดอัด จึงไม่อยากแต่งเรื่องอ้างใดๆ อีก กล่าวตรงๆ ว่า “ลูกไม่ปิดบังเสด็จพ่อแล้ว ลูกไม่อยากจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาเลยสักนิด! ลูกคิดว่าลูกกับเจียเหยาแค่มีสถานะเป็นสามีภรรยาก็เพียงพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องจัดงานสมรสใหญ่โตให้เปลืองแรงและสิ้นเปลืองทรัพย์สินหรอก” จักรพรรดิเหวินหรี่ตาลงเล็กน้อย สีหน้าดูไม่สบอารมณ์ มองหยุนเจิงพร้อมกล่าวว่า “ข้าลำบากวุ่นวายเตรียมงานมานานถึงเพียงนี้ แม้แต่ปีใหม่ยังไม่ได้อยู่ฉลองในเมืองหลวง แต่ต้องมาเตรียมงานสมรสให้เจ้า หากเจ้าไม่จัดพิธีสมรส ข้าก็คงกลายเป็นคนหน้าไม่อายแล้ว! เจ้าลองพูดดูสิ ว
จักรพรรดิเหวินให้เวลาหยุนเจิงคิดเหตุผลมาแก้ตัวอย่างเต็มที่ พระองค์เองก็ค่อยๆ ลิ้มรสอาหารอย่างไม่รีบร้อน “เนื้อนี้ค่อนข้างเหนียวไปหน่อย” จักรพรรดิเหวินเคี้ยวเนื้อในปากแล้วกลืนลงไป จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ดูท่าว่าข้าจะแก่แล้วจริงๆ ฟันของข้าไม่เหมือนเดิมแล้ว” “……” หยุนเจิงหน้ามืด หัวเราะอย่างขื่นขมพลางมองไปที่จักรพรรดิเหวิน “ลูกจะให้คนไปหาในเมืองดูดีไหมพ่ะย่ะค่ะ ว่ามีลูกวัวอยู่บ้างหรือเปล่า แล้วให้พวกเขาเชือดมันสดๆ เอาเนื้อมาถวาย?” เหนียวอะไรกัน! ไม่ใช่ว่ากำลังอ้อมค้อมจะบอกว่าตนเองโตพอที่จะไม่ฟังคำสั่งแล้วหรือไร? จักรพรรดิเหวินหยุดมือเล็กน้อย ก่อนจะมองหยุนเจิงด้วยสายตาทั้งขบขันและหงุดหงิด “เจ้าตั้งใจจะยั่วข้าใช่ไหม?” “มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงส่ายหัวพร้อมยิ้ม “เสด็จพ่อเสด็จมาไกลถึงเพียงนี้ ลูกจะไม่รับรองเสด็จพ่ออย่างดีได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” “ช่างเถอะ! ข้าไม่กล้าสั่งให้เจ้าเชือดลูกวัวเพื่อมารับรองข้าหรอก” จักรพรรดิเหวินเอ่ยอย่างเรียบๆ “วัวเป็นรากฐานของเกษตรกรรม รอให้ลูกวัวโตแล้วใช้มันไถนาเพื่อประโยชน์ของราษฎรจะดีกว่า!” แค่นี้ก็จบแล้วไม่ใช่หรื
บัดนี้ ในห้องเหลือเพียงพวกเขาสี่คนแล้วจักรพรรดิเหวินหันไปมองเมี่ยวอินอีกครั้ง “เจ้าคือเมี่ยวอินใช่หรือไม่? ข้าจำได้ว่า ข้าได้มีพระราชโองการแต่งตั้งเจ้าเป็นชายารองของเจ้าหกแล้วไม่ใช่หรือ? เมื่อเห็นข้าแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่เรียกเสด็จพ่อสักคำ?” เมี่ยวอินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดิเหวินด้วยสีหน้าซับซ้อน “หากพระองค์เป็นหญิงสาวธรรมดาเฉกเช่นหม่อมฉัน พระองค์จะสามารถเรียกคำว่าเสด็จพ่อออกมาจากปากได้หรือเพคะ?” “ก็คงยากที่จะพูดออกมา” จักรพรรดิเหวินไม่ได้โกรธ “ข้าได้สั่งประหารครอบครัวของเจ้า แต่ข้าก็ได้ประหารลูกชายของตัวเองเช่นกัน!” “แม้ข้าจะเสียใจ แต่ข้าจะไม่ยอมรับผิดต่อเจ้า และจะไม่ร้องขอการให้อภัยจากเจ้า!” “ข้ายังคงยืนยันคำเดิม ไม่ว่ารัชทายาทองค์ก่อนจะถูกใส่ร้ายจนต้องก่อกบฏหรือไม่ แต่ตราบใดที่เขาชักธงขึ้นแล้ว เรื่องนี้ย่อมไม่มีทางย้อนกลับไปได้!” “ข้าเป็นผู้นำครอบครัว แต่เหนือสิ่งอื่นใด ข้าคือกษัตริย์ของแผ่นดินนี้!” คำพูดของจักรพรรดิเหวินหนักแน่นดุจหินผา แม้แต่เขาเองก็ไม่คิดว่าเมื่อมาถึง สิ่งแรกที่เขาต้องเผชิญคือเรื่องของเมี่ยวอิน “ใช่เพคะ!” เมี่ยวอินยิ้มเจื่อน “ห