หยุนเจิงอยู่ที่สำนักศึกษาเตรียมทหารอยู่หลายวันทุกวันนอกจากสอนนักเรียนของสำนักศึกษาเตรียมทหารแล้ว ก็ยังหาเวลาทำกล้องส่องทางไกลลำกล้องเดียวกล้องส่องทางไกลสิ่งนี้ กล่าวไปนั้นง่าย แต่ทำขึ้นมาจริงๆ ไม่ง่ายสาเหตุสำคัญมาจากการเจียรไนผลึกหินใสที่ค่อนข้างยุ่งยากนี่เป็นงานที่พิถีพิถันหยุนเจิงไม่ได้มีความอดทนเช่นนั้น แต่ตอนเริ่มทำสิ่งนี้ ไม่สามารถมอบให้คนที่ใดมาทำก็ได้ ทำได้เพียงทำเองด้วยความอดทนเพื่อมอบพลังให้ตัวเอง หยุนเจิงนำเรื่องนี้เดิมพันกับเมี่ยวอินยังดี ผ่านความหมั่นเพียรหลายวันของหยุนเจิง ในที่สุดกล้องส่องทางไกลลำกล้องเดียวทำออกมาได้แล้วหยุนเจิงชื่นชมผลงานชิ้นเอกของตัวเอง“ขี้เหร่จริงๆ!”หยุนเจิงตัวเขาเองยังอดสบถไม่ได้ตอนนี้กล้องส่องทางไกลลำกล้องเดียวแบบยืนหดได้ทำมาจากไม้ผลลัพธ์เป็นเช่นไร เขายังไม่ได้ทดลองตอนนี้นี่เป็นเพียงต้นแบบของกล้องส่องทางไกลมองได้ไกลเท่าใด หยุนเจิงก็ยังไม่แน่ใจแต่ว่า มองเห็นคนและทิวทัศน์ที่อยู่ห่างออกไปสองกิโลเมตรน่าจะไม่มีปัญหาแน่นอน คิดจะมองใบหน้าคนให้ชัดเป็นไปไม่ได้กลับไปต้องให้จางซูผู้เชี่ยวชาญด้านการปฏิบัติทำตามต้นแบบใหม่อีกครั้ง
แต่ว่า สำหรับหยุนเจิงแล้ว แค่นี้ก็เพียงพอแล้วนี่เป็นเพียงคนสองคนและม้าสองตัว หากเป็นการเคลื่อนไหวของทัพศัตรูขนาดใหญ่ ใช้การมองผ่านดวงตาพันลี้ นอกยี่สิบลี้น่าจะเห็นการจัดทัพโดยคร่าวๆ ของทัพศัตรูได้อย่างชัดเจนระยะห่างนี้ เพียงพอแล้ว!“เจ้ามาดู!”หยุนเจิงนำดวงตาพันลี้ในมือส่งให้เมี่ยวอิน “ดูว่าเจ้าหาสองคนนั้นกับม้าสองตัวพบหรือไม่!”เมี่ยวอินรับมา ส่องหาด้วยดวงตาพันลี้ไม่นาน เมี่ยวอินก็หาตำแหน่งของสองคนนั้นและม้าสองตัวพบ“ตรงนั้น!”เมี่ยวอินชี้ไปที่ตำแหน่งที่ทั้งสองอยู่ด้วยความตื่นเต้นเมื่อได้ฟังเช่นนี้ พวกตู๋กูเช่อรู้สึกคันที่หัวใจยากต่อการอดทนตู๋กูเช่อมองเมี่ยวอินตาปริบๆ ราวกับวินาทีถัดไปจะแย่งดวงตาพันลี้มาจากมือของเมี่ยวอินหยุนเจิงหัวเราะ จางนั้นก็ตบเมี่ยวอินเบาๆ บ่งบอกให้เมี่ยวอินนำดวงตาพันลี้ส่งให้พวกตู๋กูเช่อเมี่ยวอินส่งดวงตาพันลี้ไปให้ด้วยความที่ยังดูไม่หนำใจ ทันทีที่ตู๋กูเช่อรับดวงตาพันลี้มา ก็จงใจเปลี่ยนไปอีกทิศทาง จางนั้นค่อยเริ่มหาร่องรอยขอสองคนนั้นและม้าสองตัวในที่สุด ตู๋กูเช่อก็เจอตำแหน่งของสองคนนั้นและม้าสองตัวแม้มองเห็นหน้าตาทั้งสองคนไม่ชัด แต่กลับตัดส
หนึ่งวันให้หลัง หยุนเจิงมาถึงด่านเป่ยลู่หยุนเจิงเพิ่งจะเข้าสู่ด่านเป่ยลู่ มาถึงก็เห็นเยี่ยจื่อที่ยืนรออยู่ตรงประตูเมืองจั่วเริ่นยืนเป็นเพื่อนเยี่ยจื่ออยู่ด้านข้างชั่วพริบตาที่เห็นเยี่ยจื่อ หยุนเจิงอดไม่ได้ที่จะชะงักเล็กน้อยเหตุใดเยี่ยจื่อมายังด่านเป่ยลู่?ใครนำข่าวพวกคนชั่วมาหาเรื่องซั่วเป่ยไปบอกนาง?ครุ่นคิดชั่วครู่ หยุนเจิงลงจากหลังม้ามาหาเยี่ยจื่อ “เจ้ามาได้เช่นไร?”เยี่ยจื่อมองเขาด้วยสายตาโมโห “เรื่องนี้ เจ้ายังคิดจะปิดบังข้า?”เรื่องนี้ ไม่เพียงแค่นางรู้ เสิ่นลั่วเยี่ยนและฮูหยินเสิ่นพวกนางต่างก็รู้ด้วยเช่นกันตอนที่ได้ยินเรื่องนี้ ปอดของเสิ่นลั่วเยี่ยนแทบจะระเบิดด้วยความโกรธ แทบจะควบม้าบุกมายังด่านเป่ยลู่ อยากจะสั่งสอนคนพวกนี้ให้หนักยังดีที่พวกนางใช้เหตุผลว่าเสิ่นลั่วเยี่ยนกำลังตั้งครรภ์ จึงทำให้นางสงบลงได้หยุนเจิงอยากปกปิดเยี่ยจื่อจริงแท้ถูกเยี่ยจื่อกล่าวเช่นนี้ หยุนเจิงหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน ถามเปลี่ยนประเด็น “ใครบอกเจ้า?”ระหว่างสนทนา หยุนเจิงเงยหน้ามองจั่วเริ่นจั่วเริ่นยิ้มเหยเกมองหยุนเจิง ใบหน้าไร้ความผิดเขาส่งคนไปรายงานด่วนที่ติ้งเป่ย เขาไม่รู้ว่าเ
ยังจะประท้วง?ถูกคนใช้เป็นหอกแล้ว ยังคิดว่าตัวเองดีเลิศเลอ?เห็นตัวพวกเขาเองเป็นอาหารหนึ่งจานแล้ว?หยุนเจิงถากถางอย่างดูถูก กล่าวนิ่งๆ “ไปเถอะ ข้าจะไปเยี่ยมพวกเขา!”“ตามความเห็นของข้า องค์ชายอย่าเพิ่งปรากฏตัวเลย”จั่วเริ่นเกลี้ยกล่อม “องค์ชายคิดจัดการพวกเขาเช่นไร มอบให้ข้าไปทำก็พอแล้ว! คนเหล่านี้แล้วไม่ใช่ผู้มีปัญญาแท้จริง แต่ในเมื่อเป็นตัวแทนของปัญญาชนทั้งใต้หล้า คนทั้งใต้หล้าก็จะตำหนิข้า แต่หากองค์ชายไป พวกเขามีเรื่องใด องค์ชายก็จะถูกประณาม…”“พวกเขาเป็นตัวแทนปัญญาชนทั่วใต้หล้าไม่ได้!”หยุนเจิงตัดบทจั่วเริ่น สีหน้าดูถูก “พวกเขาก็เป็นเพียงกลุ่มคนคร่ำครึไร้ความสามารถก็เท่านั้น!”หากปัญญาชนทั้งใต้หล้าล้วนเป็นคนชั่วเช่นนี้ รัชสมัยต้าเฉียนคงจบเห่ไปนานแล้ว!หาคนกลุ่มนี้มีความสามารถจริง ต่อให้ไม่เข้าราชสำนัก เช่นไรก็สามารถเป็นขุนนางชั่วคราวได้หากมีตำแหน่งขุนนางจริง พวกเขาไหนเลยจะมีเวลามากมายมาโจมตีทั้งด้วยวาจาและพู่กันกับเขาที่ซั่วเป่ย?แม้แต่ตำแหน่งขุนนางยังไม่มี ยังคู่ควรเรียกว่าปัญญาชนหรือ?บอกตามตรง ก็แค่กลุ่มสวะที่ถูกคัดออกยังพยายามสร้างตัวตนอย่างบ้าคลั่งก็เท่านั้น!คาดว่
ไม่นาน ขบวนคนพวกหยุนเจิงก็มาถึงนอกด่านเป่ยลู่มองดูพวกคนร้องทุกข์นั่งอยู่ตรงนั้นราวกับแม่ไก่ฟักไข่ หยุนเจิงอดไม่ได้ที่จะถากถางบนโลกมักมีคนไม่รู้ว่าสิ่งใดควรมิควร!มักมีคนคิดว่า ทุกคนต่างต้องเคารพสิ่งที่เรียกว่าปราชญ์ขงจื้อเพียงแต่น่าเสียดาย แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เห็นคนเช่นนี้อยู่ในสายตาคิดจะใช้ข้อวิพากษ์วิจารณ์ของมวลชนมาครอบงำปณิธานของเขา?ไร้เดียงสาและน่าหัวเราะ!สายตาของหยุนเจิงกวาดมองกลุ่มคนที่นั่งกรรมฐานประมาณการคร่าวๆ ตรงนี้น่าจะมีอย่างน้อยสามร้อยคน“เหตุใดจึงมีคนเพียงเท่านี้?”หยุนเจิงขมวดคิ้วถามจั่วเริ่น “ทุกคนที่มาร้องทุกข์อยู่ที่นี่แล้ว?”“……”เมื่อได้ฟังคำพูดของหยุนเจิง เยี่ยจื่อและเมี่ยวอินอดไม่ได้ที่จะพูดไม่ออกเหมือนว่า เขารังเกียจที่คนมาน้อยเกินไปแล้ว?หรือว่า เขาหวังให้คนมาร้องทุกข์ที่ซั่วเป่ยมีแปดพันหมื่นคน?จั่วเริ่นกล่าวด้วยความเคารพ “คนที่มาร้องทุกข์ทั้งหมดอยู่นี่แล้ว ผู้นั้นก็คือเกาซื่อเจินที่เป็นแกนนำ”กล่าวจบ จั่วเริ่นชี้ไปยังเกาซื่อเจินที่นั่งสงบนิ่งอยู่ด้านหน้าสุดพวกเขาอยู่ค่อนข้างไกล หยุนเจิงเห็นหน้าตาของเกาซื่อเจินไม่ชัดแต่ว่า สำหรับหยุนเจิง
ถึงเช่นไร ปัญญาชนทั้งใต้หล้ามีมากมาย ปัญญาชนที่ไม่มีชื่อเสียงก็มีจำนวนนับไม่ถ้วน คนอื่นมีสิทธิ์ใดมาแนะนำคนที่ไม่มีชื่อเสียงสักนิด?หยุนเจิงรับคำร้องทุกข์ของพวกเขาหรือไม่ สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่สำคัญมากนักขอแค่เขามีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ ต่อให้หยุนเจิงไม่ตอบรับคำร้องทุกข์ของพวกเขา ก็ยังมีประโยชน์ต่อชื่อเสียงของพวกเขาอยู่ดีหลังจากกลับไป คนทุกจตุรทิศป่าวประกาศเรื่องนี้ ชื่อเสียงก็มาแล้วไม่ใช่หรือ?ถึงเช่นไรก็มีนักปราชญ์ขงจื้อผู้ยิ่งใหญ่เกาซื่อเจินอยู่ด้วย ต่อให้หยุนเจิงเป็นท่านอ๋อง ก็คงไม่กล้าทำสิ่งใดพวกเขาขณะที่ทุกคนกำลังแอบดีใจ หยุนเจิงได้เดินมาอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้วหยุนเจิงมองประเมิณเกาซื่อเจินบนศีรษะของชายชราผู้นี้ขาวหมดแล้ว แต่ว่า กลับไม่มีความรู้สึกเหมือนไม้ใกล้ฝั่งในทางกลับกัน ชายชราผู้นี้ยังดูมีชีวิตชีวายิ่งนักชุดนักปราชญ์จัดแต่งอย่างสะอาดสะอ้าน ให้ความรู้สึกโดดเด่นมองไปแล้ว มีมาดของนักปราชญ์ขงจื้อผู้ยิ่งใหญ่อยู่จริง“ท่านคือจิ้งเป่ยอ๋อง?”เกาซื่อเจินช้อนตามองหยุนเจิง แต่ก็ไม่ได้ลุกขึ้น ยังนั่งอยู่บนพื้นเช่นนั้น“เป็นข้าเอง!”สายตาของหยุนเจิงทอดมองบนตัวเกาซื่อเจิน
“รายงาน! รายงานด่วน! มีตั๊กแตนระบาดหนักในเป่ยหวน เป่ยหวนได้รวบรวมกำลังทหารม้าเหล็กจำนวนสองแสนนายที่ชายแดน ราชครูแห่งเป่ยหวนได้นำทัพด้วยตนเองมุ่งมาทางเมืองหลวงเพื่อขอเสบียง อีกไม่กี่วันก็จะมาถึงเมืองหลวงแล้วขอรับ!”“มาขอเสบียงต้องใช้กำลังพลทหารม้าเหล็กสองแสนนายเลยรึ เป่ยหวนสมควรตาย นี่มันกำลังข่มขู่ข้าชัดๆ!”“ฝ่าบาท ราชวงศ์ของเราเพิ่งประสบกับคดีที่องค์รัชทายาทกบฏ ภายในไม่มั่นคงเป็นอย่างยิ่ง เวลานี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเปิดศึกกับเป่ยหวนได้นะพ่ะย่ะค่ะ”“มีราชโองการ: ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ขุนนางในราชสำนักเร่งมาที่พระราชวังเพื่อประชุมด่วน หากผู้ใดล่าช้า มีโทษประหาร!”...ณ ที่พำนักขององค์ชายหก เรือนปี้ปัว ราชวงศ์ต้าเฉียน หยุนเจิ้งนั่งอยู่คนเดียวที่ศาลาในสวนแม้ว่าเขาจะยอมรับความจริงเรื่องทะลุมิติเวลามาได้แล้ว แต่ในใจยังคงรู้สึกหดหู่อยู่เล็กน้อยเหตุใดจึงทะลุมิติเวลามาอยู่ในร่างขององค์ชายที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้เล่า!ที่สำคัญคือ คนผู้นี้ยังบังเอิญได้รับจดหมายเลือดที่องค์รัชทายาททิ้งไว้เพื่อเปิดโปงเรื่ององค์ชายสามกล่าวหาว่าองค์รัชทายาทก่อกบฏ หลังจากนั้นก็ทำให้เขาถูกองค์ชายสามจับตามองอยู
ตอนมีชีวิตอยู่ก็คับอกคับใจมากอยู่แล้ว ยังจะตายอย่างคับอกคับใจอีก!“คนผู้นั้นไม่ได้ให้อันใดข้าเลยจริงๆ”หยุนเจิงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้าเดาว่าคนผู้นั้นถูกบีบบังคับจนไร้ทางเลือกแล้ว ถึงได้วิ่งเต้นมาหาข้าถึงที่เรือนนี้”หยุนลี่หรี่ตาพลางกล่าวเย้ยหยัน “เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่ออย่างนั้นหรือ?”หยุนเจิงแบมือสองข้างพลางกล่าว “ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ แต่ข้าเชื่อเช่นนั้น!”เมื่อเห็นท่าทางนี้ของหยุนเจิง นางกำนัลหลายคนก็ทำท่าทางเหมือนกับเห็นผีก็มิปานพระเจ้าช่วย!องค์ชายหกผู้อ่อนแอผู้นี้ช่างกล้ายิ่งนัก นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะกล้ากล่าววาจาเช่นนี้กับองค์ชายสามเมื่อวานเขาถูกองค์ชายสามตบหน้าฉาดใหญ่จนสมองเลอะเลือนไปแล้วกระมังเมื่อเห็นหยุนเจิงทำตัวแปลกไปเช่นนี้ สีหน้าของหยุนลี่พลันเคร่งขรึมลง เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “นี่เจ้าดื้อรั้นจะไม่ยอมเอาของที่คนผู้นั้นให้เจ้าออกมาให้ข้าอย่างนั้นรึ?”“ก็ข้าไม่มี ข้าจะเอาให้เจ้าได้อย่างไรกันเล่า”หยุนเจิงยักไหล่ “เอาหล่ะ ข้ายังต้องไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ ไม่อยากฟังคำพูดไร้สาระของเจ้า! หากเจ้าคิดว่าข้ามีของที่เจ้าต้องการ เจ้าก็เรียกคนมาค้นหาเองเถอะ!”ขณะท