หนึ่งวันให้หลัง หยุนเจิงมาถึงด่านเป่ยลู่หยุนเจิงเพิ่งจะเข้าสู่ด่านเป่ยลู่ มาถึงก็เห็นเยี่ยจื่อที่ยืนรออยู่ตรงประตูเมืองจั่วเริ่นยืนเป็นเพื่อนเยี่ยจื่ออยู่ด้านข้างชั่วพริบตาที่เห็นเยี่ยจื่อ หยุนเจิงอดไม่ได้ที่จะชะงักเล็กน้อยเหตุใดเยี่ยจื่อมายังด่านเป่ยลู่?ใครนำข่าวพวกคนชั่วมาหาเรื่องซั่วเป่ยไปบอกนาง?ครุ่นคิดชั่วครู่ หยุนเจิงลงจากหลังม้ามาหาเยี่ยจื่อ “เจ้ามาได้เช่นไร?”เยี่ยจื่อมองเขาด้วยสายตาโมโห “เรื่องนี้ เจ้ายังคิดจะปิดบังข้า?”เรื่องนี้ ไม่เพียงแค่นางรู้ เสิ่นลั่วเยี่ยนและฮูหยินเสิ่นพวกนางต่างก็รู้ด้วยเช่นกันตอนที่ได้ยินเรื่องนี้ ปอดของเสิ่นลั่วเยี่ยนแทบจะระเบิดด้วยความโกรธ แทบจะควบม้าบุกมายังด่านเป่ยลู่ อยากจะสั่งสอนคนพวกนี้ให้หนักยังดีที่พวกนางใช้เหตุผลว่าเสิ่นลั่วเยี่ยนกำลังตั้งครรภ์ จึงทำให้นางสงบลงได้หยุนเจิงอยากปกปิดเยี่ยจื่อจริงแท้ถูกเยี่ยจื่อกล่าวเช่นนี้ หยุนเจิงหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน ถามเปลี่ยนประเด็น “ใครบอกเจ้า?”ระหว่างสนทนา หยุนเจิงเงยหน้ามองจั่วเริ่นจั่วเริ่นยิ้มเหยเกมองหยุนเจิง ใบหน้าไร้ความผิดเขาส่งคนไปรายงานด่วนที่ติ้งเป่ย เขาไม่รู้ว่าเ
ยังจะประท้วง?ถูกคนใช้เป็นหอกแล้ว ยังคิดว่าตัวเองดีเลิศเลอ?เห็นตัวพวกเขาเองเป็นอาหารหนึ่งจานแล้ว?หยุนเจิงถากถางอย่างดูถูก กล่าวนิ่งๆ “ไปเถอะ ข้าจะไปเยี่ยมพวกเขา!”“ตามความเห็นของข้า องค์ชายอย่าเพิ่งปรากฏตัวเลย”จั่วเริ่นเกลี้ยกล่อม “องค์ชายคิดจัดการพวกเขาเช่นไร มอบให้ข้าไปทำก็พอแล้ว! คนเหล่านี้แล้วไม่ใช่ผู้มีปัญญาแท้จริง แต่ในเมื่อเป็นตัวแทนของปัญญาชนทั้งใต้หล้า คนทั้งใต้หล้าก็จะตำหนิข้า แต่หากองค์ชายไป พวกเขามีเรื่องใด องค์ชายก็จะถูกประณาม…”“พวกเขาเป็นตัวแทนปัญญาชนทั่วใต้หล้าไม่ได้!”หยุนเจิงตัดบทจั่วเริ่น สีหน้าดูถูก “พวกเขาก็เป็นเพียงกลุ่มคนคร่ำครึไร้ความสามารถก็เท่านั้น!”หากปัญญาชนทั้งใต้หล้าล้วนเป็นคนชั่วเช่นนี้ รัชสมัยต้าเฉียนคงจบเห่ไปนานแล้ว!หาคนกลุ่มนี้มีความสามารถจริง ต่อให้ไม่เข้าราชสำนัก เช่นไรก็สามารถเป็นขุนนางชั่วคราวได้หากมีตำแหน่งขุนนางจริง พวกเขาไหนเลยจะมีเวลามากมายมาโจมตีทั้งด้วยวาจาและพู่กันกับเขาที่ซั่วเป่ย?แม้แต่ตำแหน่งขุนนางยังไม่มี ยังคู่ควรเรียกว่าปัญญาชนหรือ?บอกตามตรง ก็แค่กลุ่มสวะที่ถูกคัดออกยังพยายามสร้างตัวตนอย่างบ้าคลั่งก็เท่านั้น!คาดว่
ไม่นาน ขบวนคนพวกหยุนเจิงก็มาถึงนอกด่านเป่ยลู่มองดูพวกคนร้องทุกข์นั่งอยู่ตรงนั้นราวกับแม่ไก่ฟักไข่ หยุนเจิงอดไม่ได้ที่จะถากถางบนโลกมักมีคนไม่รู้ว่าสิ่งใดควรมิควร!มักมีคนคิดว่า ทุกคนต่างต้องเคารพสิ่งที่เรียกว่าปราชญ์ขงจื้อเพียงแต่น่าเสียดาย แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เห็นคนเช่นนี้อยู่ในสายตาคิดจะใช้ข้อวิพากษ์วิจารณ์ของมวลชนมาครอบงำปณิธานของเขา?ไร้เดียงสาและน่าหัวเราะ!สายตาของหยุนเจิงกวาดมองกลุ่มคนที่นั่งกรรมฐานประมาณการคร่าวๆ ตรงนี้น่าจะมีอย่างน้อยสามร้อยคน“เหตุใดจึงมีคนเพียงเท่านี้?”หยุนเจิงขมวดคิ้วถามจั่วเริ่น “ทุกคนที่มาร้องทุกข์อยู่ที่นี่แล้ว?”“……”เมื่อได้ฟังคำพูดของหยุนเจิง เยี่ยจื่อและเมี่ยวอินอดไม่ได้ที่จะพูดไม่ออกเหมือนว่า เขารังเกียจที่คนมาน้อยเกินไปแล้ว?หรือว่า เขาหวังให้คนมาร้องทุกข์ที่ซั่วเป่ยมีแปดพันหมื่นคน?จั่วเริ่นกล่าวด้วยความเคารพ “คนที่มาร้องทุกข์ทั้งหมดอยู่นี่แล้ว ผู้นั้นก็คือเกาซื่อเจินที่เป็นแกนนำ”กล่าวจบ จั่วเริ่นชี้ไปยังเกาซื่อเจินที่นั่งสงบนิ่งอยู่ด้านหน้าสุดพวกเขาอยู่ค่อนข้างไกล หยุนเจิงเห็นหน้าตาของเกาซื่อเจินไม่ชัดแต่ว่า สำหรับหยุนเจิง
ถึงเช่นไร ปัญญาชนทั้งใต้หล้ามีมากมาย ปัญญาชนที่ไม่มีชื่อเสียงก็มีจำนวนนับไม่ถ้วน คนอื่นมีสิทธิ์ใดมาแนะนำคนที่ไม่มีชื่อเสียงสักนิด?หยุนเจิงรับคำร้องทุกข์ของพวกเขาหรือไม่ สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่สำคัญมากนักขอแค่เขามีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ ต่อให้หยุนเจิงไม่ตอบรับคำร้องทุกข์ของพวกเขา ก็ยังมีประโยชน์ต่อชื่อเสียงของพวกเขาอยู่ดีหลังจากกลับไป คนทุกจตุรทิศป่าวประกาศเรื่องนี้ ชื่อเสียงก็มาแล้วไม่ใช่หรือ?ถึงเช่นไรก็มีนักปราชญ์ขงจื้อผู้ยิ่งใหญ่เกาซื่อเจินอยู่ด้วย ต่อให้หยุนเจิงเป็นท่านอ๋อง ก็คงไม่กล้าทำสิ่งใดพวกเขาขณะที่ทุกคนกำลังแอบดีใจ หยุนเจิงได้เดินมาอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้วหยุนเจิงมองประเมิณเกาซื่อเจินบนศีรษะของชายชราผู้นี้ขาวหมดแล้ว แต่ว่า กลับไม่มีความรู้สึกเหมือนไม้ใกล้ฝั่งในทางกลับกัน ชายชราผู้นี้ยังดูมีชีวิตชีวายิ่งนักชุดนักปราชญ์จัดแต่งอย่างสะอาดสะอ้าน ให้ความรู้สึกโดดเด่นมองไปแล้ว มีมาดของนักปราชญ์ขงจื้อผู้ยิ่งใหญ่อยู่จริง“ท่านคือจิ้งเป่ยอ๋อง?”เกาซื่อเจินช้อนตามองหยุนเจิง แต่ก็ไม่ได้ลุกขึ้น ยังนั่งอยู่บนพื้นเช่นนั้น“เป็นข้าเอง!”สายตาของหยุนเจิงทอดมองบนตัวเกาซื่อเจิน
“รายงาน! รายงานด่วน! มีตั๊กแตนระบาดหนักในเป่ยหวน เป่ยหวนได้รวบรวมกำลังทหารม้าเหล็กจำนวนสองแสนนายที่ชายแดน ราชครูแห่งเป่ยหวนได้นำทัพด้วยตนเองมุ่งมาทางเมืองหลวงเพื่อขอเสบียง อีกไม่กี่วันก็จะมาถึงเมืองหลวงแล้วขอรับ!”“มาขอเสบียงต้องใช้กำลังพลทหารม้าเหล็กสองแสนนายเลยรึ เป่ยหวนสมควรตาย นี่มันกำลังข่มขู่ข้าชัดๆ!”“ฝ่าบาท ราชวงศ์ของเราเพิ่งประสบกับคดีที่องค์รัชทายาทกบฏ ภายในไม่มั่นคงเป็นอย่างยิ่ง เวลานี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเปิดศึกกับเป่ยหวนได้นะพ่ะย่ะค่ะ”“มีราชโองการ: ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ขุนนางในราชสำนักเร่งมาที่พระราชวังเพื่อประชุมด่วน หากผู้ใดล่าช้า มีโทษประหาร!”...ณ ที่พำนักขององค์ชายหก เรือนปี้ปัว ราชวงศ์ต้าเฉียน หยุนเจิ้งนั่งอยู่คนเดียวที่ศาลาในสวนแม้ว่าเขาจะยอมรับความจริงเรื่องทะลุมิติเวลามาได้แล้ว แต่ในใจยังคงรู้สึกหดหู่อยู่เล็กน้อยเหตุใดจึงทะลุมิติเวลามาอยู่ในร่างขององค์ชายที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้เล่า!ที่สำคัญคือ คนผู้นี้ยังบังเอิญได้รับจดหมายเลือดที่องค์รัชทายาททิ้งไว้เพื่อเปิดโปงเรื่ององค์ชายสามกล่าวหาว่าองค์รัชทายาทก่อกบฏ หลังจากนั้นก็ทำให้เขาถูกองค์ชายสามจับตามองอยู
ตอนมีชีวิตอยู่ก็คับอกคับใจมากอยู่แล้ว ยังจะตายอย่างคับอกคับใจอีก!“คนผู้นั้นไม่ได้ให้อันใดข้าเลยจริงๆ”หยุนเจิงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้าเดาว่าคนผู้นั้นถูกบีบบังคับจนไร้ทางเลือกแล้ว ถึงได้วิ่งเต้นมาหาข้าถึงที่เรือนนี้”หยุนลี่หรี่ตาพลางกล่าวเย้ยหยัน “เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่ออย่างนั้นหรือ?”หยุนเจิงแบมือสองข้างพลางกล่าว “ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ แต่ข้าเชื่อเช่นนั้น!”เมื่อเห็นท่าทางนี้ของหยุนเจิง นางกำนัลหลายคนก็ทำท่าทางเหมือนกับเห็นผีก็มิปานพระเจ้าช่วย!องค์ชายหกผู้อ่อนแอผู้นี้ช่างกล้ายิ่งนัก นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะกล้ากล่าววาจาเช่นนี้กับองค์ชายสามเมื่อวานเขาถูกองค์ชายสามตบหน้าฉาดใหญ่จนสมองเลอะเลือนไปแล้วกระมังเมื่อเห็นหยุนเจิงทำตัวแปลกไปเช่นนี้ สีหน้าของหยุนลี่พลันเคร่งขรึมลง เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “นี่เจ้าดื้อรั้นจะไม่ยอมเอาของที่คนผู้นั้นให้เจ้าออกมาให้ข้าอย่างนั้นรึ?”“ก็ข้าไม่มี ข้าจะเอาให้เจ้าได้อย่างไรกันเล่า”หยุนเจิงยักไหล่ “เอาหล่ะ ข้ายังต้องไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ ไม่อยากฟังคำพูดไร้สาระของเจ้า! หากเจ้าคิดว่าข้ามีของที่เจ้าต้องการ เจ้าก็เรียกคนมาค้นหาเองเถอะ!”ขณะท
ภายในตำหนัก จักรพรรดิเหวินเรียกเหล่าขุนนางมารวมตัวกันด่วนเพื่อหารือรับมือเรื่องเป่ยหวนขอเสบียงอาหารณ ตอนนี้จักรพรรดิเหวินกำลังปวดเศียรเวียนเกล้าเป็นอย่างยิ่งหากมอบเสบียงให้เป่ยหวน ก็เท่ากับว่าสนับสนุนศัตรูของแคว้นต้าเฉียนแต่หากไม่มอบเสบียงให้ เป่ยหวนก็ไม่มีทางรอดในเหมันตฤดูที่จะมาถึง และต้องลงทางใต้เพื่อปล้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เมื่อถึงตอนนั้น ทางเหนือที่กำลังทำการฟื้นฟูมาเป็นเวลาหลายปี คงต้องเข้าสู่สงครามอันวุ่นวายอีกครั้งแคว้นต้าเฉียนเพิ่งจะประสบกับแผนการก่อกบฏขององค์รัชทายาท ศึกภายในยังไม่นิ่ง ตอนนี้หากต้องทำศึกกับเป่ยหวน โอกาสชนะมีน้อยมาก และแม้ว่าจะชนะ ก็เกรงว่าจะเป็นชัยชนะที่น่าสังเวชและในขณะที่จักรพรรดิเหวินกำลังปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่นั้น ฝ่ายสงครามกับฝ่ายสันติก็กำลังโต้เถียงกันอย่างไม่มีใครยอมใครอย่างไรก็ตาม ฝ่ายสันติมีความได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัดจักรพรรดิเหวินฟังการโต้เถียงนี้จนปวดเศียรเวียนเกล้า อีกทั้งยังไม่อาจได้และในตอนนี้เอง ซูเฟยร้องห่มร้องไห้เดินพรวดพราดเข้ามาโดยไม่สนการขัดขวางขององครักษ์ที่อยู่ด้านหน้าตำหนักแต่อย่างใดเลย “ฝ่าบาท ได้โปรดให้ควา
หากไม่หนีจะอยู่ทำหอกอันใดในวังหลวงล่ะ?หากอยู่ในวังหลวงต่อ ก็ต้องถูกฆ่าตายเป็นแน่!หนี!ต้องหนี!สายตาของจักรพรรดิเหวินดุดันขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชา จ้องมองหยุนเจิงพลางกล่าว “เจ้าลูกทรพี เหตุใดเจ้าถึงไม่พูด เราจะให้เจ้าพูด ให้โอกาสเจ้าอธิบาย!”หยุนเจิงรับกับความโกรธโค้งคำนับพลางกล่าว “ลูกไม่อยากอธิบายพ่ะย่ะค่ะ และไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายด้วย! ไม่ว่าอย่างไร ลูกก็บังอาจทำร้ายพี่สามเช่นนั้น ไปแล้ว! ลูกยอมรับโทษพ่ะย่ะค่ะ!”เมื่อได้ยอนคำพูดนี้ของหยุนเจิง สวีสือฝู่ก็อดที่จะทำเสียงเหอะๆ อยู่ในใจไม่ได้ สวะไร้ประโยชน์ก็ยังเป็นสวะไร้ประโยชน์อยู่วันยังค่ำ!ให้โอกาสไปแล้วก็ไม่ใช้ทว่า ต่อให้ให้โอกาสคนไร้ประโยชน์อธิบายมันก็ไร้ค่าอยู่ดี!เขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่ให้จักรพรรดิเหวินถอดยศฐาบรรดาศักดิ์องค์ชายไร้ประโยชน์นี้ให้เป็นสามัญชนคนธรรมดาสวีสือฝู่ครุ่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโค้งคำนับและกล่าวว่า “ฝ่าบาท ในเมื่อองค์ชายหกยอมรับโทษแล้ว โปรดฝ่าบาทลดยศฐาบรรดาศักดิ์องค์ชายหกเป็นสามัญชนคนธรรมดา เพื่อไม่ให้คนอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง!”“โปรดฝ่าบาทลดยศฐาบรรดาศักดิ์องค์ชายหกเป็นสามัญชนเพื่อไม่