ถึงเช่นไร ปัญญาชนทั้งใต้หล้ามีมากมาย ปัญญาชนที่ไม่มีชื่อเสียงก็มีจำนวนนับไม่ถ้วน คนอื่นมีสิทธิ์ใดมาแนะนำคนที่ไม่มีชื่อเสียงสักนิด?หยุนเจิงรับคำร้องทุกข์ของพวกเขาหรือไม่ สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่สำคัญมากนักขอแค่เขามีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ ต่อให้หยุนเจิงไม่ตอบรับคำร้องทุกข์ของพวกเขา ก็ยังมีประโยชน์ต่อชื่อเสียงของพวกเขาอยู่ดีหลังจากกลับไป คนทุกจตุรทิศป่าวประกาศเรื่องนี้ ชื่อเสียงก็มาแล้วไม่ใช่หรือ?ถึงเช่นไรก็มีนักปราชญ์ขงจื้อผู้ยิ่งใหญ่เกาซื่อเจินอยู่ด้วย ต่อให้หยุนเจิงเป็นท่านอ๋อง ก็คงไม่กล้าทำสิ่งใดพวกเขาขณะที่ทุกคนกำลังแอบดีใจ หยุนเจิงได้เดินมาอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้วหยุนเจิงมองประเมิณเกาซื่อเจินบนศีรษะของชายชราผู้นี้ขาวหมดแล้ว แต่ว่า กลับไม่มีความรู้สึกเหมือนไม้ใกล้ฝั่งในทางกลับกัน ชายชราผู้นี้ยังดูมีชีวิตชีวายิ่งนักชุดนักปราชญ์จัดแต่งอย่างสะอาดสะอ้าน ให้ความรู้สึกโดดเด่นมองไปแล้ว มีมาดของนักปราชญ์ขงจื้อผู้ยิ่งใหญ่อยู่จริง“ท่านคือจิ้งเป่ยอ๋อง?”เกาซื่อเจินช้อนตามองหยุนเจิง แต่ก็ไม่ได้ลุกขึ้น ยังนั่งอยู่บนพื้นเช่นนั้น“เป็นข้าเอง!”สายตาของหยุนเจิงทอดมองบนตัวเกาซื่อเจิน
ควรทำความเคารพเช่นไร?ประโยคเดียวของหยุนเจิง พลันทำให้เกาซื่อเจินนิ่งไปเขาไร้ลาภยศติดตัว!เขาย่อมรู้ดี ตามหลักมารยาทของต้าเฉียนแล้ว เขาควรคุกเข่าคาราวะหยุนเจิงแต่เขาเป็นนักปราชญ์ขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่!ยศนักปราชญ์ขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ลาภยศ แต่เหนือกว่าลาภยศ!ขอแค่เขาเกาซื่อเจินยินดี เขาสามารถเข้าราชสำนักเป็นขุนนางได้ตลอดเวลาแต่ว่า ภายในใจเกาซื่อเจินก็รู้ดี ต่อให้เขาเข้าราชสำนักเป็นขุนนาง ตำแหน่งขุนนางก็ยังอยู่ใต้จางฮว๋ายไกลลิบลับต่างก็ได้รับการยอมรับเป็นนักปราชญ์ขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่ ตำแหน่งขุนนางต่ำกว่าจางฮว๋ายมากเกินไป ก็เป็นการขายหน้าไม่ใช่หรือ?ส่วนเรื่องการทำความเคารพ อย่าว่าแต่ตอนนี้คนที่พบคือหยุนเจิงเลย ต่อให้ตอนนี้คนที่พบคือจักรพรรดิเหวิน หากไม่ใช่จักรพรรดิเหวินร้องขอ ขอแค่ไม่ใช่ในท้องพระโรง เขาก็ไม่มีทางคุกเข่าคาราวะ!“การคุกเข่าคาราวะของข้า กลัวว่าท่านอ๋องจะรับไม่ไหว!”เกาซื่อเจินช้อนตามองหยุนเจิง บนใบหน้ามีความบูดบึ้งแล้ว“ข้าเป็นองค์ชาย แล้วก็เป็นซั่วเป่ยเจี๋ยตู้สื่อ เหตุใดจึงรับการคาราวะจากสามัญชนคนหนึ่งอย่างเจ้าไม่ไหว?”หยุนเจิงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าอายุปูนนี้
ตอนนี้พวกเขากลัวจริงๆ ว่าท่านอ๋องบ้าเลือดเพิ่งกลับมาจากสนามรบผู้นี้จะมาเอาชีวิตพวกเขาโดยตรงแต่ว่า ก็ยังมีคนที่หัวแข็งมั่นใจว่าหยุนเจิงไม่กล้าฆ่าพวกเขา จ้องหยุนเจิงด้วยความเดือดดาลใบหน้าชราของเกาซื่อเจินกระตุกอย่างควบคุมไม่อยู่“ท่านอ๋อง!”เกาซื่อเจินขึ้นเสียง กล่าวด้วยความโมโห “ท่านอ๋องปฏิบัติกับคนที่มาร้องทุกข์เช่นนี้ หรือว่า...”“ข้าสนใจพวกเจ้าเพื่อสิ่งใด!”หยุนเจิงตัดบทเกาซื่อเจิน “ในมื่อไม่มีลาภยศติดตัว ก็ควรคุกเข่าคาราวะข้า! รวมถึงเจ้าด้วย!”ท่าทางของหยุนเจิงแข็งขืนมาก สายตาเย็นชาจับต้องเกาซื่อเจิน“บังอาจ!”เกาซื่อเจินหวดเคราสั่น “อาจารย์เฒ่าเป็นนักปราชญ์ขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่ เจ้ายังกล้าให้อาจารย์เฒ่าคุกเข่าคาราวะ?”เวลานี้ เกาซื่อเจินในที่สุดก็หยิบเอามาดนักปราชญ์ขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่ออกมาแล้ว“นักปราชญ์ขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่?”หยุนเจิงหัวเราะเยาะ “เมื่อครู่เจ้าบอกไม่ใช่ เจ้าก็แค่ชายชรายากจนคร่ำครึ? เหตุใด ตอนนี้ต้องการให้เจ้าทำความเคารพ ก็เริ่มบอกว่าตัวเองเป็นนักปราชญ์ขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่แล้ว? สิ่งที่เรียกว่านักปราชญ์ขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่ กลับกรอกเช่นนี้ ไร้ยางอายเพียงนี้หรือ?”“เจ้า
เกาซื่อเจินแม้จะไม่เต็มใจอย่างยิ่ง แต่สุดท้ายก็คุกเข่าเขาไม่อยากตบหน้าตัวเองแต่ภายในใจเกาซื่อเจินยังคงข่มกลั้นไฟโทสะมองคนที่คุกเข่าอยู่ที่พื้น พวกจั่วเริ่นอดไม่ได้ที่จะแอบชื่นชมเป็นองค์ชายที่เก่งกาจไม่กี่ประโยคก็ทำให้คนเหล่านี้คุกเข่าได้แล้วสุดท้ายก็เป็นอย่างที่ท่านอ๋องกล่าว กับคนเหล่านี้ไม้อ่อนใช้ไม่ได้ผล ต้องใช้ไม้แข็ง!เยี่ยจื่อมองหยุนเจิงด้วยความกังวล ภายใจกลับเป็นห่วงตอนนี้หยุนเจิงน่าเกรงขาม แต่เรื่องนี้แพร่ออกไปแล้ว ต้องทำให้ปัญญาชนมากมายยืนอยู่ตรงข้ามกับเขาคนที่ผลักดันเรื่องนี้อยู่เบื้องหลังก็จะได้ตามเป้าหมายของเขาแล้วหยุนเจิงไม่รู้ว่าในใจพวกเขาคิดสิ่งใด เพียงแค่มองคนตรงหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นก็หันไปถามเกาซื่อเจินด้วยร้อยยิ้ม “เจ้าว่า ข้าสอนมารยาทพวกเขา ดีกว่าเจ้าสอนใช่หรือไม่?”“ท่านอ๋องช่างน่าเกรงขาม! ผู้เฒ่านับถือ!”เกาซื่อเจินเงยหน้าขึ้นมา จากนั้นก็หยิบแผ่นหยกชิ้นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้วยกขึ้นสูง ตะโกนเสียงดัง “ผู้เฒ่าเกาซื่อเจิน พาบรรดาปัญญาชนมาขอร้องทุกข์กับท่านอ๋อง!”นี่คือขั้นตอนการร้องทุกข์ตามมาตราฐานหยุนเจิงแม้ไม่อยากฟัง แต่ก็ไม่อาจเอาแต่ใจได้
“ข้าไม่มีเจตนาใด เพียงแค่ร้องทุกข์เพื่อชาวบ้านเท่านั้น!”เกาซื่อเจินตะโกนเสียงดัง “ราษฏรทั้งใต้หล้าหวังว่าท่านอ๋องของต้าเฉียนเราจะเป็นวีรบุรุษที่สง่าผ่าเผย ไม่ใช่คนไร้ยางอายที่ทำลายหลักจริยธรรม!”เกาซื่อเจินกล่าว จากนั้นก็เงยหน้ามองเมี่ยวอิน “ปีศาจ หากเจ้าไม่อยากให้ท่านอ๋องแบกชื่อเสื่อมทรามแทนวีรบุรษเพื่อเจ้า ก็ควรฆ่าตัวตายซะ!”เมื่อได้ฟังคำของเกาซื่อเจิน เมี่ยวอินใบหน้ากระตุกอย่างควบคุมไม่อยู่หยุนเจิงในใจทั้งโกรธทั้งขบขันตาแก่นี่ แม้แต่คนยังจำผิด ยังเอะอะโวยวายอยู่ที่นี่?“เหล่าเกา ข้าว่าเจ้าสายตาแก่ฟ่าฟางแล้ว”เยี่ยจื่อมองเกาซื่อเจินด้วยสายตาเย็นชา “นางชื่อเมี่ยวอิน ข้าต่างห่างเยี่ยจื่อ!”“เจ้า...เจ้าคือเยี่ยจื่อ?”เกาซื่อเจินประหลาดใจเขาเห็นเมี่ยวอินหน้าตามีเสน่ห์งดงาม เกิดมาด้วยหน้าตางดงามเป็นก่อเกิดหายนะ จึงนึกว่าเมี่ยวอินก็คือเยี่ยจื่อ!“ถูกต้อง!”เยี่ยจื่อไม่หยิ่งยโสและไม่ทำตนให้ต่ำต้อย “ข้าก็คือคนที่เจ้าเรียกว่าปีศาจ! แต่ว่า ข้าสามารถบอกเจ้าได้อย่างชัดเจน ข้าไม่เพียงจะไม่ฆ่าตัวตาย ยังจะเป็นผู้หญิงที่คลอดบุตรให้ท่านอ๋องด้วย! ฝ่าบาทพระราชทานสมรสให้แล้ว มีที่ให้เจ้า
“รายงาน! รายงานด่วน! มีตั๊กแตนระบาดหนักในเป่ยหวน เป่ยหวนได้รวบรวมกำลังทหารม้าเหล็กจำนวนสองแสนนายที่ชายแดน ราชครูแห่งเป่ยหวนได้นำทัพด้วยตนเองมุ่งมาทางเมืองหลวงเพื่อขอเสบียง อีกไม่กี่วันก็จะมาถึงเมืองหลวงแล้วขอรับ!”“มาขอเสบียงต้องใช้กำลังพลทหารม้าเหล็กสองแสนนายเลยรึ เป่ยหวนสมควรตาย นี่มันกำลังข่มขู่ข้าชัดๆ!”“ฝ่าบาท ราชวงศ์ของเราเพิ่งประสบกับคดีที่องค์รัชทายาทกบฏ ภายในไม่มั่นคงเป็นอย่างยิ่ง เวลานี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเปิดศึกกับเป่ยหวนได้นะพ่ะย่ะค่ะ”“มีราชโองการ: ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ขุนนางในราชสำนักเร่งมาที่พระราชวังเพื่อประชุมด่วน หากผู้ใดล่าช้า มีโทษประหาร!”...ณ ที่พำนักขององค์ชายหก เรือนปี้ปัว ราชวงศ์ต้าเฉียน หยุนเจิ้งนั่งอยู่คนเดียวที่ศาลาในสวนแม้ว่าเขาจะยอมรับความจริงเรื่องทะลุมิติเวลามาได้แล้ว แต่ในใจยังคงรู้สึกหดหู่อยู่เล็กน้อยเหตุใดจึงทะลุมิติเวลามาอยู่ในร่างขององค์ชายที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้เล่า!ที่สำคัญคือ คนผู้นี้ยังบังเอิญได้รับจดหมายเลือดที่องค์รัชทายาททิ้งไว้เพื่อเปิดโปงเรื่ององค์ชายสามกล่าวหาว่าองค์รัชทายาทก่อกบฏ หลังจากนั้นก็ทำให้เขาถูกองค์ชายสามจับตามองอยู
ตอนมีชีวิตอยู่ก็คับอกคับใจมากอยู่แล้ว ยังจะตายอย่างคับอกคับใจอีก!“คนผู้นั้นไม่ได้ให้อันใดข้าเลยจริงๆ”หยุนเจิงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้าเดาว่าคนผู้นั้นถูกบีบบังคับจนไร้ทางเลือกแล้ว ถึงได้วิ่งเต้นมาหาข้าถึงที่เรือนนี้”หยุนลี่หรี่ตาพลางกล่าวเย้ยหยัน “เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่ออย่างนั้นหรือ?”หยุนเจิงแบมือสองข้างพลางกล่าว “ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ แต่ข้าเชื่อเช่นนั้น!”เมื่อเห็นท่าทางนี้ของหยุนเจิง นางกำนัลหลายคนก็ทำท่าทางเหมือนกับเห็นผีก็มิปานพระเจ้าช่วย!องค์ชายหกผู้อ่อนแอผู้นี้ช่างกล้ายิ่งนัก นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะกล้ากล่าววาจาเช่นนี้กับองค์ชายสามเมื่อวานเขาถูกองค์ชายสามตบหน้าฉาดใหญ่จนสมองเลอะเลือนไปแล้วกระมังเมื่อเห็นหยุนเจิงทำตัวแปลกไปเช่นนี้ สีหน้าของหยุนลี่พลันเคร่งขรึมลง เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “นี่เจ้าดื้อรั้นจะไม่ยอมเอาของที่คนผู้นั้นให้เจ้าออกมาให้ข้าอย่างนั้นรึ?”“ก็ข้าไม่มี ข้าจะเอาให้เจ้าได้อย่างไรกันเล่า”หยุนเจิงยักไหล่ “เอาหล่ะ ข้ายังต้องไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ ไม่อยากฟังคำพูดไร้สาระของเจ้า! หากเจ้าคิดว่าข้ามีของที่เจ้าต้องการ เจ้าก็เรียกคนมาค้นหาเองเถอะ!”ขณะท
ภายในตำหนัก จักรพรรดิเหวินเรียกเหล่าขุนนางมารวมตัวกันด่วนเพื่อหารือรับมือเรื่องเป่ยหวนขอเสบียงอาหารณ ตอนนี้จักรพรรดิเหวินกำลังปวดเศียรเวียนเกล้าเป็นอย่างยิ่งหากมอบเสบียงให้เป่ยหวน ก็เท่ากับว่าสนับสนุนศัตรูของแคว้นต้าเฉียนแต่หากไม่มอบเสบียงให้ เป่ยหวนก็ไม่มีทางรอดในเหมันตฤดูที่จะมาถึง และต้องลงทางใต้เพื่อปล้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เมื่อถึงตอนนั้น ทางเหนือที่กำลังทำการฟื้นฟูมาเป็นเวลาหลายปี คงต้องเข้าสู่สงครามอันวุ่นวายอีกครั้งแคว้นต้าเฉียนเพิ่งจะประสบกับแผนการก่อกบฏขององค์รัชทายาท ศึกภายในยังไม่นิ่ง ตอนนี้หากต้องทำศึกกับเป่ยหวน โอกาสชนะมีน้อยมาก และแม้ว่าจะชนะ ก็เกรงว่าจะเป็นชัยชนะที่น่าสังเวชและในขณะที่จักรพรรดิเหวินกำลังปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่นั้น ฝ่ายสงครามกับฝ่ายสันติก็กำลังโต้เถียงกันอย่างไม่มีใครยอมใครอย่างไรก็ตาม ฝ่ายสันติมีความได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัดจักรพรรดิเหวินฟังการโต้เถียงนี้จนปวดเศียรเวียนเกล้า อีกทั้งยังไม่อาจได้และในตอนนี้เอง ซูเฟยร้องห่มร้องไห้เดินพรวดพราดเข้ามาโดยไม่สนการขัดขวางขององครักษ์ที่อยู่ด้านหน้าตำหนักแต่อย่างใดเลย “ฝ่าบาท ได้โปรดให้ควา