หลี่ฮุ่ยหรานพูดจบเธอก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อยจึงพูดใหม่: “ฉันเพียงแค่เป็นห่วงคุณ...”เธออยากลองที่จะเป็นห่วงหลินเฟิงดูบ้าง“เป็นห่วงอะไรผม?”“เป็นห่วงว่าคุณจะถูกคนกลุ่มนั้นหลอกเอา”หลี่ฮุ่ยหรานยังคงคิดว่าหลินเฟิงเป็นคนที่ไม่เคยเจอโลกภายนอกมาก่อน ในเมื่อเขาอยู่แต่ในบ้านของเธอมาตลอดสามปี แทบจะไม่ได้ออกไปดูโลกภายนอกเลยด้วยซ้ำแต่เธอกลับไม่รู้เลยว่า ประสบการณ์ของหลินเฟิงนั้นอาจจะเยอะกว่าเธอเป็นอย่างมาก“ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงของคุณ แต่ดูจากตอนนี้น่าจะเป็นไปไม่ได้หรอก”หลินเฟิงยิ้ม ด้วยความมั่นใจในตัวเองหลี่ฮุ่ยหรานพาเขาไปส่งยังคฤหาสน์อ่าวเทียนสุ่ยหลินเสวี่ยฮุ่ยรออยู่ที่หน้าประตูเป็นเวลานานแล้วเมื่อเห็นหลินเฟิงกลับมา เธอก็โผเข้ามากอดในทันที“พี่เฟิง พี่กลับมาได้สักที”หลินเฟิงเห็นท่าทางของเธอแบบนี้จึงรีบถามขึ้น: “เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?”“เปล่า ฉันอยู่ที่บ้านรู้สึกเบื่อเล็กน้อย...” หลินเสวี่ยฮุ่ยส่ายหน้าติดต่อกันในตอนนี้หลี่ฮุ่ยหรานก็เดินลงมาจากรถเช่นกัน เมื่อเห็นหลินเสวี่ยฮุ่ยเธอก็ตกตะลึงอย่างมากดูอายุของเด็กสาวคนนี้ น่าจะเป็นแค่นักศึกษาอยู่เลยและรูปร่างหน้าตาก็ดี
“ถ้าหากเป็นแบบนี้ก็อยู่ใกล้ผมหน่อย และคุณก็สามารถทำงานได้ คุณคิดว่าอย่างไรครับ?”จ้าวเฉียวอวิ๋นพยักหน้าติดต่อกัน: “ได้สิ ได้สิ”จู่ ๆ เธอก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงพูดว่า: หน้าร้านของที่นี่คงจะแพงมากสินะ?”“หรือว่าช่างมันเถอะ”หลินเฟิงยิ้มแล้วพูด: “วางใจเถอะครับ เงินแค่นี้ผมยังมีอยู่ครับ”“งั้น…ต้องขอบคุณมาก ๆ นะคะ ฉันไม่รู้เลยว่าควรจะขอบคุณคุณอย่างไร?”จ้าวเฉียวอวิ๋นพูดขอบคุณหลายครั้ง: คือว่า ฉันพาเสวี่ยฮุ่ยไปอยู่ด้วยได้ไหมคะ คุณวางใจได้พวกเราไม่มีทางหนีไปไหนแน่นอน”หลินเฟิงถามด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย: คุณน้าจ้าว คุณไม่ไว้ใจผมใช่ไหมครับ?”เธอระแวงในตัวเขาถึงขนาดนี้ พูดว่าไม่เสียใจนั่นก็เป็นไปไม่ได้ในเมื่อเขาจริงใจต่อพวกเธอแต่อีกฝ่ายกลับระแวงเขาตั้งหลายครั้งหลายหนจ้าวเฉียวอวิ๋นรีบส่ายหน้า เมื่อเห็นว่าหลินเสวี่ยฮุ่ยไม่อยู่ เธอถึงได้พูดขึ้นมา: “ไม่ใช่นะ อันที่จริง…สถานการณ์ของเสวี่ยฮุ่ยคุณน่าจะรู้ดี”“เธอไม่ใช่ลูกสาวแท้ ๆ ของฉัน คุณก็รู้สินะคะ…”“แน่นอนครับ พูดตามตรงนะครับ ครั้งแรกที่ผมไปร้านของคุณ ก็เพราะจะไปหาหลินเสวี่ยฮุ่ย” หลินเฟิงเห็นเธอเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา เขาก็ไม่ได้ป
กลางดึก ที่ลานบ้านตระกูลหลี่ว์ หลี่ว์เจิ้งหยางมายังห้องหนังสือของพ่อหลี่ว์เฉิงเลี่ยงเห็นลูกชายของเขามาถึง ก็วางหนังสือที่อยู่ในมือลง และถามเขาขึ้นมา: “ได้ยินว่าวันนี้ไปงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ตระกูลหลี่ นายแสดงออกเป็นอย่างไรบ้างล่ะ?”“แม่ง โชคไม่ดีครับ”หลี่ว์เจิ้งหยางพูดด่าทอ: “ความโดดเด่นของวันนี้แม่งถูกหลินเฟิงคนนั้นแย่งไปจนหมด”“วันนี้ไม่เพียงเลขาผู้ว่าที่มา แม้แต่ตระกูลถังคนเหล่านั้นก็มากันหมด อีกทั้งยังเป็นฝ่ายเชิญหลินเฟิงไปเป็นแขก”“ทำให้ผมเสียหน้าเป็นอย่างมาก”หลี่ว์เฉิงเลี่ยงพูดสั่งสอนขึ้นมา: “ช่างเถอะ ไม่ต้องใส่ใจกับเรื่องเล็กแค่นี้ ตอนนี้ลูกควรจะคิดหาวิธีที่จะเอาตำรับยาปรับประสานพลังมาให้ได้”“ผมก็อยากนะครับ แต่ตอนนี้หลี่ฮุ่ยหรานไม่เชื่อมั่นในตัวผมเป็นอย่างมาก” หลี่ว์เจิ้งหยางพูดบ่นด้วยสีหน้าจนปัญญาหลี่ว์เฉิงเลี่ยงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น: “ดูท่าฉันคงจะต้องออกโรงด้วยตัวเองแล้ว”หลี่ว์เจิ้งหยางได้ยินแบบนี้ก็พูดเตือนทันที: “พ่อ พ่ออย่ามองข้ามหลินเฟิงคนนี้นะ ผมรู้สึกว่าไอ้หมอนี่ไม่ธรรมดาหลี่ว์เฉิงเลี่ยงได้ยินแบบนี้ก็ยิ้มในทันที: “ฮ่าฮ่าฮ่า...ถ้าหากเขาม
หลี่ว์เฉิงเลี่ยงรีบพูดขึ้น: “สหายน้อยหลินไม่จำเป็นต้องรีบปฏิเสธกันถึงขนาดนี้ ผมไม่ได้จะบังคับเอาตำรับยานี้จากคุณสักหน่อย พวกเราตระกูลหลี่ว์สามารถจ่ายเงินซื้อได้”“อีกอย่าง ต่อไปพวกเรายังสามารถร่วมงานกันได้”“สหายน้อยหลินมีความสามารถมากมาย หรือว่าคุณอยากจะให้ถังหว่านเลี้ยงดูไปตลอดชีวิตเหรอ?”หลินเฟิงได้ยินคำพูดนี้ก็หัวเราะออกมาทันทีเห็นเขาไม่ได้ตอบโต้ หลี่ว์เฉิงเลี่ยงคิดว่าเรื่องนี้ยังมีความหวังอยู่ จึงพูดขึ้นทันที: “สหายน้อยหลิน พวกเราตระกูลหลี่ว์ถึงแม้จะไม่ใช่ตระกูลร่ำรวยอะไร แต่ถ้าหากมีความร่วมมือของสหายน้อยหลิน”“พวกเราร่วมมือกัน สร้างสถานการณ์ที่ชนะร่วมกันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้นะครับ”หลินเฟิงรีบยกมือขึ้นขัดจังหวะ: “พอแล้ว ผมจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ตำรับยาปรับประสานพลังผมไม่มีทางเอาให้พวกคุณ และก็ไม่มีทางที่จะร่วมมือกับพวกคุณตระกูลหลี่ว์”“คุณกลับไปได้แล้ว”ตระกูลถังมีพลังอำนาจแบบไหนกัน ตัวเองกินอิ่มอยู่สบายแล้วยังจะดันทุรังหาเรื่องไปแสวงหาสิ่งที่อยู่ไกลตัว ไปร่วมมือกับตระกูลหลี่ว์หรือไงหลี่ว์เฉิงเลี่ยงขมวดคิ้ว: “สหายน้อยหลิน นี่เป็นโอกาสดีที่คุณจะสร้างเนื้อสร้างตัว ผมหวังว่า
หลายวันมานี้หลินเฟิงเข้ากรรมฐานฝึกวิทยายุทธ หลินเสวี่ยฮุ่ยก็ไม่กล้ารบกวนกลางวันเรียนหนังสือ ตอนที่ไม่มีเรียนก็ไปช่วยเหลือที่ร้านเล็ก ๆ ของแม่ตัวเองจ้าวเฉียวอวิ๋นก็เปิดร้านอาหารเล็ก ๆ ของตัวเองขึ้นมา เมื่อถึงเวลาอาหารก็ยุ่งจนทำไม่ทันคืนนี้ หลินเสวี่ยฮุ่ยช่วยแม่ของเธอเก็บกวาดร้านอาหารเรียบร้อย และปิดประตูร้านในตอนนี้จ้าวเฉียวอวิ๋นก็พูดขึ้นมา: “หลินเสวี่ย คืนนี้ลูกไม่ต้องกลับไปดีไหม คืนนี้พักอยู่ที่นี่เถอะ”หลินเสวี่ยฮุ่ยส่ายหน้าในทันทีจากนั้นก็พูดขึ้นมา: “ไม่ได้ วันนี้หนูต้องกลับอ่าวเทียนสุ่ย ตอนนี้หลินเฟิงเข้ากรรมฐาน และก็ไม่รู้ว่าจะออกมาเมื่อไหร่”“หนูยังต้องกลับไปดูเขา”จ้าวเฉียวอวิ๋นได้ยินแบบนี้ก็ยิ้มออกมา: “ลูกใส่ใจหลินเฟิงมากจริง ๆ เลยนะ”ใบหน้าสวยงามของหลินเสวี่ยฮุ่ยแดงระเรื่อ และพูดด้วยความเขินอาย: “มีที่ไหนกัน หลินเฟิงเขาก็ถือว่าเป็นผู้มีพระคุณใหญ่หลวงของครอบครัวเรา หนูดูแลเขาก็เป็นสิ่งสมควรนะคะ”“เอาเถอะ งั้นลูกรีบกลับไปเร็วหน่อย” จ้าวเฉียวอวิ๋นพูดหลินเสวี่ยฮุ่ยพยักหน้า และขี่รถจักรยานไฟฟ้าของเธอกลับไปที่อ่าวเทียนสุ่ยตอนนี้ท้องฟ้ามืดขึ้นเรื่อย ๆ มีเมฆดำปกคลุมอย
แต่แรงของเธอน้อยเกินไปจริง ๆชายอัปลักษณ์หัวเราะร่าแล้วพูดขึ้น: “ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องกังวล ฉันแค่ทิ้งร่องรอยไว้บนหน้าของเธอ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว เดี๋ยวก็เสร็จแล้วนะ”“ถ้าเธอยิ่งดิ้น ก็จะยิ่งเจ็บนะ”หลินเสวี่ยฮุ่ยร้องไห้จนดวงตาพร่ามัว มองดูมีดพกทียิ่งใกล้ตัวเข้ามาเรื่อย ๆ ในใจก็รู้สึกสิ้นหวังอย่างมากเสียงฟ้าแลบแวบผ่าน ทำให้ทั้งบ้านสว่างไสวในทันที“ตู้ม”ที่ชั้นล่างมีเสียงดังสนั่นดังขึ้นทำให้ทั้งสองคนตกใจจนสะดุ้งโหยง“พี่เฟิง ช่วยด้วย...” หลินเสวี่ยฮุ่ยพยายามตะโกนเสียงดังด้วยแรงทั้งหมดที่มีจู่ ๆ ชายอัปลักษณ์ก็รู้สึกว่าที่ด้านหลังมีพลังที่รุนแรงปล่อยออกมาเขาหันกลับไปในทันที เห็นเพียงแค่ว่าที่ด้านหลังมีคนยืนอยู่ค่ำคืนที่มืดสนิท ดวงตาของคนผู้นั้นกลับส่องแสงเย็นเยือก จ้องมองไปถึงจิตวิญญาณชายอัปลักษณ์รู้ว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแล้ว จึงคิดอยากที่จะชิงลงมือก่อน“ปึง” เสียงอุดอู้ดังขึ้น ชายอัปลักษณ์ยืนอึ้งอยู่ที่เดิมเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลินเฟิงลงมือในตอนไหน มีดของเขาถูกแย่งไปเรียบร้อยแล้วและข้อมือถูกหักงอในทันที“อ้าก...”ชายอัปลักษณ์ร้องด้วยความเจ็บปวด และถอยหลังไปเรื่อ
“ขั้นเทพ?” คุณนายซ่งมองไปทางสามีของตัวเองด้วยความสงสัยเธอไม่ใช่นักบู๊จึงไม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้มากนัก รู้เพียงแค่ว่าสามีของเธอเป็นปรมาจารย์กำลังภายใน แค่นี้ก็สามารถที่จะตั้งสำนักได้แล้วถ้าหากเป็นเทพปรมาจารย์ งั้นจะเก่งกาจถึงขั้นไหนกันนะ?ซ่งเฉียนคุนพยักหน้าพูด: “คุณดูความผิดปกติของท้องฟ้าสิ เจียงโจวจะต้องมีเทพปรมาจารย์บรรลุแล้วแน่นอน ดูท่าเมืองเจียงโจวจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แล้วสินะ”......ขณะเดียวกันที่ตระกูลไป๋ ไป๋ชิงเฉี่ยนก็ได้ยินเสียงฟ้าผ่าที่ด้านนอกเธอคลุมชุดนอนแล้วเดินออกมา ก็เห็นว่าพ่อของเธอก็ยืนอยู่ที่หน้าต่างเช่นเดียวกัน และมองไปยังท้องฟ้าผ่านกระจกจนกระทั่งลูกสาวของตัวเองปรากฏตัวขึ้น ไป๋เจิ้นหัวยิ้มแล้วพูดขึ้น: “ชิงเฉี่ยน ดึกขนาดนี้แล้วทำไมถึงยังไม่นอน?”ไป๋ชิงเฉี่ยนพูดเสียงเบา: “เมื่อครู่ได้ยินเสียงฟ้าผ่าจนทำให้หนูตื่น”ไป๋เจิ้นหัวพยักหน้าพูด: “นี่ไม่ใช่สายฟ้าธรรมดา ๆ น่าจะมีเทพผู้แข็งแกร่งบรรลุแล้ว”“เทพผู้แข็งแกร่ง? เก่งมากเลยเหรอคะ?” ไป๋ชิงเฉี่ยนถามด้วยความสงสัย“แน่นอน เหยนควานก็ยังเป็นเพียงแค่ปรมาจารย์กำลังภายใน”ไป๋เจิ้นหัวถอนหายใจ:
หลินเฟิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “ออกคำสั่งให้ระงับตระกูลหลี่ว์”“ครับ...”จ้าวเทียนหวาไม่ได้ลังเลเลยแม้แต่น้อย และตอบรับในทันที......ขณะเดียวกัน หลี่ว์เจิ้งหยางที่เดินเข้าไปในห้องหนังสือของพ่อตัวเองแล้วถามขึ้น: “พ่อ เป็นอย่างไรบ้าง? หลินเฟิงคนนั้นได้มอบตำรับยาปรับประสานพลังให้ไหม?”หลี่ว์เฉิงเลี่ยงตบโต๊ะอย่างแรง และด่าทอด้วยความโมโห: “ไอ้หมอนี่ให้ฉันไปคุกเข่าขอโทษมัน มันกำเริบเสิบสานจริง ๆ”หลี่ว์เจิ้งหยางหรี่ตาลงแล้วพูดขึ้น: “ถ้าหากไม่มีหนทางจริง ๆ พวกเราก็ลักพาตัวหลี่ฮุ่ยหลานเลยเถอะ ผมดูแล้วไอ้หลินเฟิงคนนั้นยังมีความรู้สึกต่อหลี่ฮุ่ยหรานอยู่”“ถ้าหากใช้หลี่ฮุ่ยหรานข่มขู่ให้มันมอบตำรับยาปรับประสานพลังออกมาได้งั้นก็คุ้มค่าแล้ว”หลี่ว์เฉิงเลี่ยงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น: “ดูท่าแล้วคงจะใช้ได้แค่วิธีนี้แล้วล่ะ”“จะโทษก็ต้องโทษตัวหลินเฟิงเองที่ไม่เจียมตัว”หลี่ว์เจิ้งหยางพยักหน้า และลงมือปฏิบัติการทันทีในตอนนี้ โทรศัพท์ของห้องหนังสือก็ดังขึ้น หลี่ว์เฉิงเลี่ยงเพิ่งจะรับสาย อีกฝ่ายก็ด่าเปิดเป็นชุดในทันที“หลี่ว์เฉิงเลี่ยง แกแม่งถูกประตูหนีบหัวเหรอ? ถึงได้กล้าหาเรื่อง