“พระชายาอ๋อง เจ้า...เจ้ากลับมาแล้วจริงหรือ?"แม่ชีที่กำลังกวาดลานเอ่ยถามอย่างเหลือเชื่อเซี่ยเชียนฮวันเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า "พวกเจ้าคิดว่าข้าตายแล้วหรือ""หลิวไท่เฟยบอกว่า ตอนที่เจ้ากำลังเดินเล่นบริเวณวัดถู่ตี้กง ไม่ทันระวังลื่นล้มลงไปในเหว ที่แห่งนั้นอันตรายยิ่งนัก ก้นเหวมีงูพิษสัตว์ดุร้ายมากมาย พวกเราจึงคิดว่าเจ้าไม่อาจกลับมาได้แล้ว” แม่ชีพูดแล้วส่ายหน้า"นั่นหมายความว่าข้าเป็นผู้มีบุญซึ่งพระพุทธเจ้าทรงคุ้มกัน" เซี่ยเชียนฮวันยิ้มขึ้นอย่างบางเบาเมื่อแม่ชีผู้นี้เอ่ยขึ้น เซี่ยเชียนฮวันก็เข้าใจได้ในทันที หลิวไท่เฟยคงไม่บอกกับคนอื่นว่านางเป็นคนผลักตนลงไปในเหว บอกเพียงแค่ว่าตนตกเหวเพื่อจะได้หลอกลวงผู้อื่นให้เชื่อภิกษุณีติงจิ้งที่นำทางเซี่ยเชียนฮวันเมื่อวานนี้ ได้ยินว่านางกลับมาแล้วจึงรีบเดินทางมาทันทีนางเห็นว่าเซี่ยเชียนฮวันสบายดี หัวใจตุ้มๆ ต่อมๆ ก็ผ่อนคลายลงแล้วกล่าวหลายครั้งว่า “อามิตตาพุทธ” คนที่ถูกส่งมา ณ ที่นี้ แม้จะกล่าวว่าเป็นคนที่ราชวงศ์ไม่ต้องการ แต่หากพวกนางเป็นอะไรขึ้นมา อารามจื่อเสียก็จะถูกลงโทษอย่างเคร่งครัดโดยฮ่องเต้“พระชายาอ๋อง เจ้าไม่คุ้นเคยกับทางที่นี่และยังก
"ช่างเถิดพระชายาอ๋อง ข้าเดินทางจากไปก็ได้"ถึงอย่างไรหลินซวี่ก็เป็นชายหนุ่มเลือดร้อนคนหนึ่งเขาถูกสตรีกลุ่มนี้บีบบังคับ ทั้งยังมีผลกระทบต่อความบริสุทธิ์ของพระชายาอ๋อง บัดนี้เขาจึงไม่อาจทนได้เขาหยิบนกหวีดออกมา ยัดใส่มือเซี่ยเชียนฮวันแล้วกระซิบว่า "ข้าน้อยจะไปหาที่พักอาศัยตรงตีนเขา หากท่านพบอันตรายใด ได้โปรดเป่านกหวีดนี้ แล้วข้าน้อยจะรีบเดินทางมา""เสี่ยวหลินจื่อ"เซี่ยเชียนฮวันเห็นเขาเดินหันหลังจากไป ใช้ไม้เท้าพยุงร่างของตนลงภูเขา เดิมทีนางต้องการจะเอ่ยบางอย่างขึ้นแต่ก็ได้เงียบลงภิกษุณีติงจิ้งยกมือขึ้นโบกเบาๆ "เอาเถอะ ในเมื่อพระชายาอ๋องเดินทางกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว พวกเราก็แยกย้ายกันเถอะ"ทุกคนแยกย้ายกันไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเซี่ยเชียนฮวันหันหลังกลับมามองดูหลิวไท่เฟย พบว่าสตรีนางนี้เผยอมุมปากยิ้มขึ้นอย่างเยือกเย็น ก่อนจะเดินติดตามภิกษุณีติงจิ้งไปข้างหลัง ไม่ได้เอ่ย คำใดกับนางอีกสักประโยคเดียวถึงอย่างไรนางก็เคยเป็นสนมผู้ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้พระองค์ก่อนนางได้ต่อสู้แก่งแย่งกับสตรีในวังหลังมาเป็นเวลาหลาย 10 ปี สำหรับเซี่ยเชียนฮวันแล้วยังอ่อนหัดนักเซี่ยเชียนฮวันถอน
"แม้แต่ฮ่องเต้ยังกล่าวว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ข้าน้อยจึงเป็นกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อท่านอ๋องเท่านั้น” ซูอวี้เออร์พูดขึ้นเซียวเย่หลันมองไปที่นาง “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเสด็จพ่อเคยกล่าวเช่นนั้นในพระราชสำนัก?"“องค์ องค์หญิงแปดเล่าให้ข้าฟัง ดูเหมือนเรื่องนี้จะแพร่ไปทั่วราชวังหลวง"ซูอวี้เออร์แสร้งทำท่าทีจริงจังเดิมทีนางต้องการทำให้ชายหนุ่มรู้สึกว่าเซี่ยเชียนฮวันเป็นตัวซวย คิดไม่ถึงว่าเขาจะไม่หลงกล ซ้ำยังวกกลับมาจับผิดคำพูดของนางการสนทนากับเซียวเย่หลันจะหละหลวมสักน้อยไม่ได้เลย“ความซวยหรือลางบอกเหตุร้ายเหล่านั้น ล้วนเป็นเพียงกลอุบายที่หลี่ฉางหมิงหยิบยกออกมาพูดเอง การที่ข้าให้นางเดินทางไปภูเขาจื่อเสียก็เพื่อให้นางไปไตร่ตรองตนเอง หาใช่ว่าข้าเชื่อเรื่องราวผีสางเหล่านั้น" เซียวเย่หลันกล่าวขึ้นเบาๆ “ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง ข้างมงายจนเกินไป ทำให้ท่านอ๋องรู้สึกขบขัน” ซูอวี้เออร์ก้มหน้าลงเซียวเย่หลันนิ่งเงียบไม่ได้พูดอะไรออกมาเขาคิดเพียงว่า หากตอนนี้เซี่ยเชียนฮวันอยู่ข้างกายเขา ก็คงจะหัวเราะเยาะเย้ยกับคำพูดเรื่องผีสางไร้สาระแบบนี้พร้อมกับเขาอย่างแน่นอนแม้ว่าสตรีผู้นั้นจะไม่ได้ร่ำเรีย
"แม่นางซู หลินซวี่เป็นคนนิสัยเช่นไรข้ารู้ดี ต่อให้เขาและพระชายาอ๋องอยู่กันสองคนตามลำพัง ก็คงเป็นเพราะคอยคุ้มกันอารักขาพระชายาอ๋อง เขาจะไม่ทำสิ่งใดที่เลยเกินอย่างแน่นอน"เย่ซิ่นเอ่ยขึ้นด้วยความเย็นชาเขาไม่อยากฟังซูอวี้เออร์พูดจาไร้สาระได้อีกต่อไปก่อนหน้านี้ เขาเองก็เคยคิดว่าซูอวี้เออร์เป็นกุลสตรีที่งดงามและอ่อนโยน หากไม่ใช่เพราะมีตัวตนที่ต่ำต้อยไปหน่อย ก็คงเป็นตัวเลือกที่ดีจะขึ้นเป็นตำแหน่งพระชายาอ๋องบัดนี้เมื่อมีเซี่ยเชียนฮวันมาเปรียบเทียบ เขากลับไม่ชอบซูอวี้เออร์มากขึ้นทุกที"องครักษ์เย่กล่าวเช่นนี้ ข้าเองก็เชื่อเจ้า เพียงแต่ข้าได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์ในภูเขาจื่อเสียมามากมายเหลือเกิน กล่าวว่าพระชายาอ๋องให้องครักษ์ลับผู้นั้นปลูกกระท่อมหลังเล็กๆ ไว้ที่ตีนเขา นำข้าวนำน้ำไปให้เขาด้วยตนเอง จนกระทั่งดึกดื่นจึงเดินทางกลับ”ซูอวี้เออร์แสร้งกล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อนบางเบา เกรงว่าเซียวเย่หลันจะโมโหขึ้นมา จึงไม่ค่อยกล้าพูดเท่าไหร่นัก นางเหลือบมองดูเล็กน้อยแต่เมื่อประโยคนี้ถูกกล่าวออกมาแล้ว เซียวเย่หลันก็สีหน้าเปลี่ยนเป็นมืดมนทันที แววตาผิดหวังก็ให้ค่อยๆ จางหายไป"ข้าสั่งให้เขาไปทำหน้า
ในตอนแรกเซี่ยเชียนฮวันคิดว่าเป็นเสียงลมแต่การเคาะนั้นดูมีจังหวะ ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกเหมือนมีใครกำลังส่งสัญญาณบางอย่างดึกดื่นเช่นนี้ ฟังแล้วช่างน่าใจหายเซี่ยเชียนฮวันจับผ้าห่มไว้แน่นแล้วหลับตาไม่กล้าลงจากเตียง และไม่กล้าไปเปิดหน้าต่างผ่านไปไม่นานในที่สุดคนที่อยู่นอกหน้าต่างก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาผลักประตูเข้ามาช้าๆ แล้วกระโดดเข้ามาในห้อง หยุดยืนอยู่ข้างเตียงของเซี่ยเชียนฮวันเซี่ยเชียนฮวันสัมผัสได้ถึงลมหายใจไม่คุ้นเคยที่มาอยู่ข้างกายตนนางจึงคลำไปที่ใต้หมอนเพื่อหยิบนกหวีด ก่อนจะนำมันออกมาอย่างรวดเร็วแล้วตั้งใจจะเป่า“ชู่ว์!"ผู้บุกรุกยามวิกาลคนนั้นเข้ามาจับมือเซี่ยเชียนฮวันไว้เพื่อไม่ให้นางเป่านกหวีดเขากระซิบเสียงบางเบา “อย่าได้เสียงดังไป ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอกน่า""เจ้าเป็นใคร?"ในที่สุดเซี่ยเชียนฮวันก็เบิกตากว้างเพื่อมอง ถึงมีแสงจากดวงจันทร์ แต่นางก็ยังมองไม่เห็นใบหน้าแท้จริงของเขาเขาปิดใบหน้าเอาไว้ เผยออกมาเพียงดวงตาที่กำลังยิ้ม"เสี่ยวเชียนฮวัน เจ้าลืมข้าอีกแล้วหรือ ช่างทำให้ข้ารู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก"ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ "อย่างน้อยเมื่อครั้งก่อนในพระราชวัง ข้าก็เค
"เป็นเจ้าต่างหากที่เอ่ยชื่อเซียวเย่หลันขึ้นมาก่อน เหตุใดจึงหันมาโทษข้า"เซี่ยเชียนฮวันพึมพำออกมาแต่นางก็รู้ดีว่าเซียวเย่หลันชายผู้นั้นอารมณ์ไม่แน่ไม่นอน นางอยู่ในจวนจ้านอ๋องมานานจึงได้เคยชินแล้วชายปิดหน้าตะคอกขึ้น "เซียวเย่หลันเอาแต่ฝึกซ้อมทหาร ไม่ไปประชุมราชวงศ์ จึงทำให้องค์ชายรองมีโอกาสได้รับความโปรดปรานอีกครั้ง""องค์ชายรองได้รับความโปรดปรานอีกครั้งหรือ? คาดไม่ถึงว่าข้าเดินทางออกจากเมืองหลวงมาได้ไม่ถึงครึ่งเดือน สถานการณ์กลับเปลี่ยนแปลงไปได้มากเช่นนี้" เซี่ยเชียนฮวันพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจแต่นางก็ไม่ได้รู้สึกแปลกการที่องค์ชายรองกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง นับว่าเป็นสิ่งที่นางคาดเดาเอาไว้ชายปิดหน้านั่งเคียงข้างนางอยู่บนเตียง ไม่ถือตัวว่าตนเป็นคนนอก เขาขัดสมาธิแล้วถอนหายใจออกมา "ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานเฉิงกุ้ยเฟย ดังนั้นจึงอดใจปฏิบัติต่อโอรสของนางด้วยความเย็นชาได้ไม่นานหรอก”“อีกไม่กี่วัน ราชวงศ์จะจัดการปิดล้อมล่าสัตว์ครั้งสุดท้ายก่อนที่ฤดูหนาวจะมาถึง เดิมทีทุกคนคิดว่าองค์ชายรองคงไม่ได้ไปแล้ว คาดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะทรงเอ่ยชื่อให้เขาไปด้วย”ประโยคนี้ตอนเขาพูดออกมา รู้สึกเหมือนไม่พอ
"เจ้าคิดจะทำสิ่งใด?!"ขณะที่เซี่ยเชียนฮวันกำลังจ้องดูแผนที่อย่างใจจดใจจ่อ นางสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของชายหนุ่มเข้ามาใกล้ จึงตกใจสะดุ้งหนีชายปิดหน้าแตะไปที่คางของตนแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า "ใครให้เจ้าจุดไฟเล่า ท่ามกลางความคลุมเครือเช่นนี้ ข้ารู้สึกว่าเจ้างดงามกว่าหญิงใดในปฐพี"อีกอย่าง บัดนี้ทั้งสองกำลังนั่งสนทนากระซิบกระซาบอยู่บนเตียงเขาเป็นชายหนุ่มปกติคนหนึ่ง จะไม่ให้จิตใจว่อกแว่กได้อย่างไรเซี่ยเชียนฮวันโบกมือปฏิเสธด้วยความรังเกียจ "บัดนี้ข้าเป็นหญิงตั้งครรภ์ท้องโต เจ้ายังมีความสนใจในตัวข้า คงจะบ้าไปแล้วกระมัง""งั้นหรือ? ข้าไม่เห็นว่าท้องเจ้าจะเปลี่ยนแปลงไปสักเท่าไร สู้เจ้าเปลื้องผ้าออกให้ข้าดูได้ชัดเจนกว่านี้เป็นไร" ชายปิดหน้าหรี่ตาลงแล้วเลื่อนแววตานั้นไปที่ท้องน้อยของนางแววตาของเขาราวกับงูพิษ ทำให้เซี่ยเชียนฮวันรู้สึกอึดอัดใจนางถอยหลังออกไปอีกเล็กน้อยจนเกือบจะตกเตียง นางไม่มีทางเลือกอื่นทำได้เพียงคว้าขอบเตียงไว้ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า "หากเจ้ากล้าพูดเรื่องไร้สาระเหล่านี้อีก ข้าจะใช้เข็มของข้าจัดการกับเจ้าโลกของเจ้าเสีย จากนี้ไปเจ้าจะได้ไม่สามารถคิดเรื่องมิดีมิร้ายกั
สองวันต่อมาเซี่ยเชียนฮวันออกใบสั่งยาเพื่อขับความเย็นในร่างกาย แล้วให้เสี่ยวตงนำยาบำรุงมาให้ในห้องศึกษาตำราภิกษุณีและเหล่าไท่เฟยทั้งหลายบำเพ็ญตนอยู่บนภูเขามาเป็นเวลาเนิ่นนานหลายปี พวกนางทนทุกข์ทรมานจากร่างกายที่หนาวเย็น ด้วยเหตุนี้ยาสมุนไพรที่เซี่ยเชียนฮวันจัดเตรียมไว้จึงเป็นที่นิยมกันอย่างมาก ทุกคนดื่มวันละหนึ่งถ้วยรวมถึงหลิวไท่เฟยด้วยจนกระทั่งวันที่สาม หลังจากหลิวไท่เฟยดื่มยาบำรุงและศึกษาตำราเรียบร้อยแล้ว จึงเตรียมตัวกลับไปพักผ่อนที่ห้องเมื่อเห็นว่ารอบกายไม่มีใคร เซี่ยเชียนฮวันจึงปรากฏตัวขึ้นแล้วขวางทางนางไว้"พระชายาจ้านอ๋อง มาหาข้ามีธุระหรือ?"หลิวไท่เฟยยิ้มขึ้นอย่างเสแสร้งเซี่ยเชียนฮวันส่งเสียงหึๆ ออกมาด้วยความเยาะเย้ย “ในตอนนั้นเจ้าต้องการผลักข้าตกภูเขา แต่บัดนี้กลับดื่มยาบำรุงที่ข้าปรุงขึ้นทุกวัน หน้าด้านหน้าทนเหลือเกิน""ข้าเคยผลักเจ้าเมื่อไหร่กัน? พระชายาอ๋องลื่นล้มไปเองเท่านั้น” หลิวไท่เฟยหรี่ตาลง ไม่ยอมรับการกระทำอันชั่วร้ายของนางแต่เซี่ยเชียนฮวันหาได้สนใจว่าสตรีหัวใจโหดเหี้ยมผู้นี้จะยอมรับหรือไม่นางเผยอมุมปากยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา "หลิวไท่เฟย บัดนี้เจ้ารู้สึก