“ข้าคิดว่าท่านเรียกข้าออกมาเพื่ออะไรบางอย่าง ที่แท้ก็อยากจะเตือนข้านี่เอง”เซี่ยเชียนฮวันหัวเราะออกมาเซี่ยเหยียนมองนางอย่างไม่อยากจะเชื่อ สีหน้าของเขาจริงจังมาก “ฮวันฮวัน เจ้าอย่าเพิ่งวางใจไป ตอนนี้องค์ชายรองเพียงสูญเสียอำนาจไปชั่วขณะหนึ่ง เบื้องหลังของเขายังมีเฉิงกุ้ยเฟย มันเป็นเพียงเรื่องของเวลาที่เขาจะกลับมาอีกครั้ง”“พี่ชายของข้าเป็นคุณชายที่ไม่สนใจการเมืองมิใช่หรือ? แล้วทำไมวันนี้ถึงได้พูดเรื่องเหล่านี้อย่างมีเหตุผลได้”เซี่ยเชียนฮวันตบไหล่เซี่ยเหยียน ปล่อยให้เขานั่งทานอาหารอย่างสบายใจต่อเซี่ยเหยียนร้องหึออกมา แสร้งทำตัวสูงส่งลึกล้ำ “ที่ตอนนี้พี่ชายเจ้าเป็นคุณชายสำอาง นั่นก็เพราะว่ายังไม่ถึงเวลาเปิดเผยโฉมหน้า”“พอเถอะ พวกเกาะพ่อเกาะแม่ทุกคนก็ชอบพูดแบบนี้”เซี่ยเชียนฮวันกลอกตาใส่เขาที่ไม่มีใครเห็นคุณค่า ก็เพราะยังไม่ถึงเวลา หรือโชคไม่ดี...ผู้ชายมักจะชอบหาเหตุผลให้กับตัวเองเวลาไม่ได้รับความสนใจเมื่อเห็นท่าทางรังเกียจของน้องสาว เซี่ยเหยียนก็แค่หัวเราะฮิฮะ “เกาะพ่อเกาะแม่? ฮวันฮวัน คำพูดของเจ้าแปลกใหม่มาก พี่ชายชอบมันนะ”“ท่านก็ทราบดีว่าข้ารู้ขอบเขตตัวเองดี นอกจากนี้มี
เมื่อได้ยินคำว่า ‘หมอผี’ สองคำนี้ เซี่ยเชียนฮวันก็อดสะดุ้งด้วยความตกใจไม่ได้!หมอผีที่แท้ก็มีหมอผีอยู่ที่นี่?!“หมอผีที่ท่านพูดถึง ใช่คนที่ฝึกฝนเจ็ดตำราหมอผีหรือเปล่า?” เซี่ยเชียนฮวันถามนางไม่แน่ใจว่าหมอที่นี่ มีส่วนเกี่ยวข้องกับหมอผีที่สอนนางเมื่อชาติก่อนหรือไม่บางทีพวกเขาอาจจะใช้ชื่อเดียวกันเซี่ยเหยียนส่ายหน้า “ข้าไม่เคยได้ยินเจ็ดตำราหมอผีที่เจ้าเอ่ยถึง แต่ได้ยินมาว่าท่านหญิงหยวนหลี่เชี่ยวชาญการใช้เข็มเงิน โดยเฉพาะสิบสองเข็มประตูผีอะไรนั่น มันดูเหมือนของเจ้ามาก”“สิบสามเข็มต่างหาก”เซี่ยเชียนฮวันลุกขึ้นทันที“ฮวันฮวัน เจ้าจะทำอะไร” เซี่ยเหยียนเงยหน้ามองนางด้วยความประหลาดใจ“ไปเยี่ยมคารวะเทพธิดาที่ท่านพูดถึง”คาดไม่ถึงว่า จะได้เจอเพื่อนร่วมชั้นที่นี่ดูเหมือนจะมีด้ายที่มองไม่เห็นชักใยนาง และเปลี่ยนชะตากรรมของนางถ้าหากท่านหญิงหยวนหลี่เป็นผู้สืบทอดของหมอผีจริงๆ ก็อาจจะได้เบาะแสอะไรบางอย่างจากท่านหญิงผู้นี้ ว่าเหตุใดนางถึงได้มายังต้าเซี่ย และจะกลับโลกเดิมอย่างไรถ้าหากโชคดี ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถหาตำราครึ่งหลังของเจ็ดตำราหมอผีที่หายสาปสูญไปนานแล้วพบก็ได้“เจ้ารอก่อน พี่
“ข้าพูดจาเรื่อยเปื่อย หรือว่ามีคนลวงโลก ตัวเจ้าก็รู้อยู่แก่ใจ”เซี่ยเชียนฮวันไม่มีทีท่าสะทกสะท้านนี่เป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างผู้ที่ถูกเรียกว่า “เทพธิดา”ท่านหญิงหยวนหลี่ยกเปลือกตาขึ้นและมองมาที่นาง “ข้ารักษาคนมามากมาย แต่ท่านกลับบอกว่าข้าเป็นคนลวงโลก?”“ใช่แล้ว ทักษะแพทย์ของท่านหญิงเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของทุกคน สตรีเช่นเจ้าอย่ามาพูดจาไร้สาระ!”“พวกเจ้าเป็นคนของโรงหมออื่นที่ส่งมาก่อกวนใช่หรือไม่?”“มีโรงหมอมากมายในเมืองหลวง แต่มีแค่ถงซ่านถังเท่านั้นที่ไม่เก็บเงินคนยากไร้ ต้องมีคนคิดว่าท่านหญิงตัดเส้นทางทำเงินของพวกเขา!”“ช่างไม่กลัวบาปกรรมจริงๆ...”ผู้คนต่างชี้นิ้วมาที่เซี่ยเชียนฮวันราวกับว่านางได้ทําอะไรที่ชั่วร้ายยกเว้นชายขี้เมาที่ยืนกอดขวดน้ำเต้าอยู่หน้าทางเข้า ที่ทำเหมือนกำลังดูการแสดงดีดีดวงตาของเซี่ยเหยียนพลันมืดมิด พร้อมปรากฏแสงอันเย็นเยียบที่หาได้ยาก เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาซึ่งแตกต่างจากปกติโดยสิ้นเชิง “แต่ไหนแต่ไรมาน้องสาวของข้าไม่เคยพูดผิด พวกเจ้าต้องถูกหลอกอย่างแน่นอน”นิสัยปกป้องพวกพ้องของพี่ชายก้าวมาถึงจุดนี้ได้ ช่างหาได้ยากยิ่งนัก“อ๊ะ ข้าจำได้แล้ว
“นี่ ถอดเสื้อของนายออกแล้วแสดงให้ทุกคนดูสิ”มีบางคนอดพูดไม่ได้ชายคนนั้นรีบโบกมือปฏิเสธ พูดจาตะกุกตะกักว่า “ข้า...ข้ามาที่นี่เพื่อให้ท่านหญิงช่วยรักษา พวกเจ้าอาศัยอะไรมาสั่งให้ข้าถอดเสื้อให้ดู...”เซี่ยเชียนฮวันเบะปาก “ชายร่างใหญ่ถอดเสื้อให้ดู มีอะไรต้องเขินอาย หรือว่าเจ้าไม่กล้า”เมื่อนางพูดอย่างนั้นทุกคนก็สงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ !เพราะเมื่อดูจากท่าทางของผู้ชายคนนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าร้อนตัวมาก เหมือนความลับถูกเปิดเผย“รีบถอดเสื้อให้พวกเราดู”“ใช่แล้ว เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของท่านหญิง ถ้าไม่มีผีในใจ แล้วทำไมถึงไม่ให้ดูล่ะ””“ดูซี่โครงของเขาสิ เหมือนมีอะไรยื่นออกมา...”ฝูงชนต่างเจ้าพูดคำข้าพูดคำ และค่อยๆ เข้าใกล้ชายคนนั้นมีบางคนเอื้อมมือไปดึงเสื้อของเขาสถานการณ์แทบจะคุมไม่ไหวแล้วในขณะที่ทุกคนมุ่งความสนใจไปที่ชายคนนั้น ไม่มีใครพบว่าใบหน้าของท่านหญิงหยวนหลี่แทบจะดูไม่ได้ สองมือของนางจิกกำโต๊ะแน่นเธอขยิบตาให้ชายคนนั้นชายคนนั้นเข้าใจ และตะโกนเสียงดังทันที “พอได้แล้ว ข้าไม่รักษาแล้ว!”จากนั้นเขาก็วิ่งหนีไปทันที!“เดี๋ยวก่อน! ทำไมถึงหนีไปล่ะ??”“โธ่เอ๊ย! ท่าทางดูแข
เซี่ยเชียนฮวันไม่สามารถเข้าใจชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าได้ตอนที่อยู่ถงซ่านถังเมื่อครู่เขาดูเหมือนไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่ถูกท่านหญิงหยวนหลี่หลอก มิหนำซ้ำยังยืนดูเรื่องตลกอยู่ข้างๆแต่เซี่ยเชียนฮวันแค่รู้สึกว่าเขาแปลกนิดหน่อยเท่านั้น นางตอบกลับอย่างง่ายๆ แบบไม่เสียเวลาคิด “ตอนเด็กๆ มีปู่คนหนึ่งเคยสอนเรื่องแพทย์ให้แก่ข้า และตอนนี้ชายชราก็เดินทางไกลแล้ว”คนขี้เมาไม่ใช่คนแรกที่ถามคําถามนี้ เซี่ยเชียนฮวันอธิบายด้วยเหตุผลตามปกติแต่ไม่คาดว่า ชายขี้เมาจะไม่ยอมรับเหมือนคนอื่นๆ เขายังถามต่อว่า “แซ่ของชายชราที่เจ้าพูดถึงคืออะไร อาศัยอยู่ที่ไหน มีลักษณะอย่างไร?”ความคิดของเขาทำให้เซี่ยเชียนฮวันรู้สึกประหลาดใจขึ้นเรื่อยๆนางไม่ตอบ แต่ย้อนถามว่า “ข้าไม่รู้จักท่าน แล้วเหตุใดข้าต้องบอกท่านด้วย?”“เพราะข้าคิดว่าเจ้าไม่ได้พูดความจริง”ชายขี้เมาถือน้ำเต้า ยืนเอียงไหล่ข้างหนึ่งสูงข้างหนึ่งต่ำอย่างเกียจคร้าน พร้อมเปล่งเสียงหัวเราะแหบแห้งที่ฟังไม่เข้าหูเซี่ยเชียนฮวันสีหน้าเปลี่ยนไป เมื่อพูดอีกครั้งนางก็ไม่สุภาพอีกต่อไป “ไม่สู้ท่านพูดมาก่อนว่าท่านเป็นใคร แล้วข้าจะพิจารณาว่าควรจะบอกความจริงกับท่านหรือไม
เมื่อชายขี้เมาถอดหมวกออก ก็เผยให้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มที่หล่อเหลามากคนหนึ่งดูอายุไม่เกินสามสิบปีถ้าไม่ใช่เพราะชุดดูโทรมจนเกินไป ด้วยรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาดูดีของเขา อาจกล่าวได้ว่าเขาเป็นหนุ่มหน้าสวยเขาวางหมวกลงบนโต๊ะ ยกขาขึ้นเก้าอี้ และกล่าวยิ้มๆ ว่า “พรสวรรค์ของแม่หนูนั่นไม่เลวเลย”“ข้าบอกเจ้าแล้ว ว่าอย่าพยายามไปหลอกพระชายาจ้านอ๋องคนนั้น ”เจ้าของร้านสาวชี้นิ้วไปที่เขา ในน้ำเสียงแฝงไปด้วยความอิจฉาชายขี้เมาไม่สนใจ “พระชายาอ๋องก็ดี ฮองเฮาก็ดี การเรียนแพทย์จะต้องดูที่จิตใจและพรสวรรค์ ไม่ใช่ตำแหน่งไร้สาระ”“เจ้าไม่เคยรับลูกศิษย์มาก่อน”เจ้าของร้านสาวมักได้ยินว่าพระชายาจ้านอ๋องเป็นถุงฟางไร้ประโยชน์นางไม่เข้าใจว่าทำไม ชายขี้เมาถึงได้ชอบเซี่ยเชียนฮวัน“ข้าไม่ได้บอกว่าจะรับนางเป็นศิษย์ในตอนนี้” ชายขี้เมาเอนกายบนเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน ดวงตาที่เต็มไปด้วยดวงดาวคู่นั้นดูลึกล้ำ “เพียงแต่ ด้วยสภาพร่างกายของข้า มันถึงเวลาที่ต้องหาผู้สืบทอดแล้ว...อีกด้านหนึ่งเซี่ยเชียนฮวันเดินอยู่บนถนนครึ่งค่อนวัน แต่ก็หาเซี่ยเหยียนไม่พบในขณะที่กำลังคิดว่านางควรจะกลับจวนด้วยตัวเองหรือไม่ ก็บังเ
“เอาล่ะ สิ่งเจ้าพูดก็มีเหตุผล”ซูอวี้เออร์แสดงสีหน้าเย็นชาเมื่อใดก็ตามที่นึกถึงใบหน้ายินดีของเซี่ยเชียนฮวันยามได้ของพระราชทาน นางก็รู้สึกขุ่นเคืองในใจ แทบรอไม่ไหวที่จะได้เห็นเซี่ยเชียนฮวันหายไปจากโลกนี้นี่ไม่ใช่ฤดูกาลที่ดีที่สุดสำหรับการแพร่ระบาดแต่ในเมื่อนางกับท่านหญิงหยวนหลี่อยากจะกำจัดเซี่ยเชียนฮวันไปเร็วๆ ก็ต้องใช้แผนที่เตรียมไว้ล่วงหน้าก่อนเวลา“อวิ๋นซี เจ้าไปหยิบของมา”ซูอวี้เออร์หันไปสั่งอวิ๋นซียกชายกระโปรงขึ้นแล้วเดินลงไปที่ชั้นล่าง เมื่อกลับมาก็ถือกรงติดมือมาด้วย ก่อนจะวางตรงหน้าท่านหญิงหยวนหลี่ภายในกรงเต็มไปด้วยหนูอ้วนท้วมแต่สิ่งที่แตกต่างไปจากหนูทั่วไปคือ หนูเหล่านี้มีสีขนแปลกๆ มันเป็นสีเทาเงินท่านหญิงหยวนหลี่มองหนูอ้วนท้วมสีเทาเงินที่วิ่งพล่านอยู่ในกรงเหล่านั้น แล้วขมวดคิ้ว นางรู้สึกคลื่นไส้ และไม่อยากมองไปมากกว่านี้“ทุกตัวทำเครื่องหมายไว้แล้วใช่หรือไม่?” ซูอวี้เออร์ถาม“เรียนนายหญิง ทำไว้แล้วเจ้าค่ะ”อวิ๋นซีปิดปากและจมูกด้วยผ้าเช็ดหน้า หยิบไม้แท่งหนึ่งขึ้นมา แล้วจิ้มไปที่ตัวของหนูเหล่านั้น เพื่อแสดงเครื่องหมายออกมานางจงใจรักษาระยะห่างจากกรงหนูราวกั
เซียวเย่หลันพาซูอวี้เออร์มาทานอาหารเที่ยงกับพระสนมหมิงสนมหมิงเห็นเซี่ยเชียนฮวันมาปรากฏตัวขึ้นมา ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร เพียงบอกสาวใช้ว่า “เพิ่มตะเกียบอีกคู่”“แค่ก ไม่ต้องเจ้าค่ะ ความจริงข้าทานอาหารมาแล้ว...”อาหารมื้อนี้ เซี่ยเชียนฮวันไม่อยากเข้าร่วมเลยจริงๆแต่พูดไม่ทันขาดคำ เสียงท้องของนางก็ร้องดัง “โครกคราก” ทำให้บรรยากาศที่น่าอึดอัดใจอยู่แล้วยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ “เจ้ากลัวข้าจะวางยาพิษในอาหารหรือ”หมิงเฟยเงยหน้าขึ้นมาด้วยสายตาที่มืดมนเซี่ยเชียนฮวันไม่มีทางเลือก นางเดินไปนั่งที่เก้าอี้ว่าง คิดจะทานสักคำสองคำพอเป็นพิธีแล้วจากไปเซียวเย่หลันมีสีหน้าตายด้าน ส่วนซูอวี้เออร์ทำสีหน้านางชาเขียว นอกจากนี้ยังมีสนมหมิงที่แผ่กลิ่นไอผีสาวเป็นระยะๆ...อาหารดีแค่ไหน ก็กลืนไม่ลง“ท่านอ๋องไม่เคยบอกหม่อมฉันเลย ว่าเสด็จแม่ชอบอาหารมังสวิรัติ เสด็จแม่นับถือพุทธหรือเพคะ?”ซูอวี้เออร์ทำตัวออดอ้อนกับเซียวเย่หลันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และพยายามจะดึงพระสนมหมิงเข้ามาร่วมด้วย เพื่อกันเซี่ยเชียนฮวันเป็นคนนอกในครอบครัวนี้สนมหมิงหยิบตะเกียบขึ้นมา กล่าวเสียงเรียบเฉยว่า “ข้าไม่ได้นับถือพุทธ เพียงแต่เห็น