“ข้าพูดจาเรื่อยเปื่อย หรือว่ามีคนลวงโลก ตัวเจ้าก็รู้อยู่แก่ใจ”เซี่ยเชียนฮวันไม่มีทีท่าสะทกสะท้านนี่เป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างผู้ที่ถูกเรียกว่า “เทพธิดา”ท่านหญิงหยวนหลี่ยกเปลือกตาขึ้นและมองมาที่นาง “ข้ารักษาคนมามากมาย แต่ท่านกลับบอกว่าข้าเป็นคนลวงโลก?”“ใช่แล้ว ทักษะแพทย์ของท่านหญิงเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของทุกคน สตรีเช่นเจ้าอย่ามาพูดจาไร้สาระ!”“พวกเจ้าเป็นคนของโรงหมออื่นที่ส่งมาก่อกวนใช่หรือไม่?”“มีโรงหมอมากมายในเมืองหลวง แต่มีแค่ถงซ่านถังเท่านั้นที่ไม่เก็บเงินคนยากไร้ ต้องมีคนคิดว่าท่านหญิงตัดเส้นทางทำเงินของพวกเขา!”“ช่างไม่กลัวบาปกรรมจริงๆ...”ผู้คนต่างชี้นิ้วมาที่เซี่ยเชียนฮวันราวกับว่านางได้ทําอะไรที่ชั่วร้ายยกเว้นชายขี้เมาที่ยืนกอดขวดน้ำเต้าอยู่หน้าทางเข้า ที่ทำเหมือนกำลังดูการแสดงดีดีดวงตาของเซี่ยเหยียนพลันมืดมิด พร้อมปรากฏแสงอันเย็นเยียบที่หาได้ยาก เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาซึ่งแตกต่างจากปกติโดยสิ้นเชิง “แต่ไหนแต่ไรมาน้องสาวของข้าไม่เคยพูดผิด พวกเจ้าต้องถูกหลอกอย่างแน่นอน”นิสัยปกป้องพวกพ้องของพี่ชายก้าวมาถึงจุดนี้ได้ ช่างหาได้ยากยิ่งนัก“อ๊ะ ข้าจำได้แล้ว
“นี่ ถอดเสื้อของนายออกแล้วแสดงให้ทุกคนดูสิ”มีบางคนอดพูดไม่ได้ชายคนนั้นรีบโบกมือปฏิเสธ พูดจาตะกุกตะกักว่า “ข้า...ข้ามาที่นี่เพื่อให้ท่านหญิงช่วยรักษา พวกเจ้าอาศัยอะไรมาสั่งให้ข้าถอดเสื้อให้ดู...”เซี่ยเชียนฮวันเบะปาก “ชายร่างใหญ่ถอดเสื้อให้ดู มีอะไรต้องเขินอาย หรือว่าเจ้าไม่กล้า”เมื่อนางพูดอย่างนั้นทุกคนก็สงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ !เพราะเมื่อดูจากท่าทางของผู้ชายคนนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าร้อนตัวมาก เหมือนความลับถูกเปิดเผย“รีบถอดเสื้อให้พวกเราดู”“ใช่แล้ว เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของท่านหญิง ถ้าไม่มีผีในใจ แล้วทำไมถึงไม่ให้ดูล่ะ””“ดูซี่โครงของเขาสิ เหมือนมีอะไรยื่นออกมา...”ฝูงชนต่างเจ้าพูดคำข้าพูดคำ และค่อยๆ เข้าใกล้ชายคนนั้นมีบางคนเอื้อมมือไปดึงเสื้อของเขาสถานการณ์แทบจะคุมไม่ไหวแล้วในขณะที่ทุกคนมุ่งความสนใจไปที่ชายคนนั้น ไม่มีใครพบว่าใบหน้าของท่านหญิงหยวนหลี่แทบจะดูไม่ได้ สองมือของนางจิกกำโต๊ะแน่นเธอขยิบตาให้ชายคนนั้นชายคนนั้นเข้าใจ และตะโกนเสียงดังทันที “พอได้แล้ว ข้าไม่รักษาแล้ว!”จากนั้นเขาก็วิ่งหนีไปทันที!“เดี๋ยวก่อน! ทำไมถึงหนีไปล่ะ??”“โธ่เอ๊ย! ท่าทางดูแข
เซี่ยเชียนฮวันไม่สามารถเข้าใจชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าได้ตอนที่อยู่ถงซ่านถังเมื่อครู่เขาดูเหมือนไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่ถูกท่านหญิงหยวนหลี่หลอก มิหนำซ้ำยังยืนดูเรื่องตลกอยู่ข้างๆแต่เซี่ยเชียนฮวันแค่รู้สึกว่าเขาแปลกนิดหน่อยเท่านั้น นางตอบกลับอย่างง่ายๆ แบบไม่เสียเวลาคิด “ตอนเด็กๆ มีปู่คนหนึ่งเคยสอนเรื่องแพทย์ให้แก่ข้า และตอนนี้ชายชราก็เดินทางไกลแล้ว”คนขี้เมาไม่ใช่คนแรกที่ถามคําถามนี้ เซี่ยเชียนฮวันอธิบายด้วยเหตุผลตามปกติแต่ไม่คาดว่า ชายขี้เมาจะไม่ยอมรับเหมือนคนอื่นๆ เขายังถามต่อว่า “แซ่ของชายชราที่เจ้าพูดถึงคืออะไร อาศัยอยู่ที่ไหน มีลักษณะอย่างไร?”ความคิดของเขาทำให้เซี่ยเชียนฮวันรู้สึกประหลาดใจขึ้นเรื่อยๆนางไม่ตอบ แต่ย้อนถามว่า “ข้าไม่รู้จักท่าน แล้วเหตุใดข้าต้องบอกท่านด้วย?”“เพราะข้าคิดว่าเจ้าไม่ได้พูดความจริง”ชายขี้เมาถือน้ำเต้า ยืนเอียงไหล่ข้างหนึ่งสูงข้างหนึ่งต่ำอย่างเกียจคร้าน พร้อมเปล่งเสียงหัวเราะแหบแห้งที่ฟังไม่เข้าหูเซี่ยเชียนฮวันสีหน้าเปลี่ยนไป เมื่อพูดอีกครั้งนางก็ไม่สุภาพอีกต่อไป “ไม่สู้ท่านพูดมาก่อนว่าท่านเป็นใคร แล้วข้าจะพิจารณาว่าควรจะบอกความจริงกับท่านหรือไม
เมื่อชายขี้เมาถอดหมวกออก ก็เผยให้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มที่หล่อเหลามากคนหนึ่งดูอายุไม่เกินสามสิบปีถ้าไม่ใช่เพราะชุดดูโทรมจนเกินไป ด้วยรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาดูดีของเขา อาจกล่าวได้ว่าเขาเป็นหนุ่มหน้าสวยเขาวางหมวกลงบนโต๊ะ ยกขาขึ้นเก้าอี้ และกล่าวยิ้มๆ ว่า “พรสวรรค์ของแม่หนูนั่นไม่เลวเลย”“ข้าบอกเจ้าแล้ว ว่าอย่าพยายามไปหลอกพระชายาจ้านอ๋องคนนั้น ”เจ้าของร้านสาวชี้นิ้วไปที่เขา ในน้ำเสียงแฝงไปด้วยความอิจฉาชายขี้เมาไม่สนใจ “พระชายาอ๋องก็ดี ฮองเฮาก็ดี การเรียนแพทย์จะต้องดูที่จิตใจและพรสวรรค์ ไม่ใช่ตำแหน่งไร้สาระ”“เจ้าไม่เคยรับลูกศิษย์มาก่อน”เจ้าของร้านสาวมักได้ยินว่าพระชายาจ้านอ๋องเป็นถุงฟางไร้ประโยชน์นางไม่เข้าใจว่าทำไม ชายขี้เมาถึงได้ชอบเซี่ยเชียนฮวัน“ข้าไม่ได้บอกว่าจะรับนางเป็นศิษย์ในตอนนี้” ชายขี้เมาเอนกายบนเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน ดวงตาที่เต็มไปด้วยดวงดาวคู่นั้นดูลึกล้ำ “เพียงแต่ ด้วยสภาพร่างกายของข้า มันถึงเวลาที่ต้องหาผู้สืบทอดแล้ว...อีกด้านหนึ่งเซี่ยเชียนฮวันเดินอยู่บนถนนครึ่งค่อนวัน แต่ก็หาเซี่ยเหยียนไม่พบในขณะที่กำลังคิดว่านางควรจะกลับจวนด้วยตัวเองหรือไม่ ก็บังเ
“เอาล่ะ สิ่งเจ้าพูดก็มีเหตุผล”ซูอวี้เออร์แสดงสีหน้าเย็นชาเมื่อใดก็ตามที่นึกถึงใบหน้ายินดีของเซี่ยเชียนฮวันยามได้ของพระราชทาน นางก็รู้สึกขุ่นเคืองในใจ แทบรอไม่ไหวที่จะได้เห็นเซี่ยเชียนฮวันหายไปจากโลกนี้นี่ไม่ใช่ฤดูกาลที่ดีที่สุดสำหรับการแพร่ระบาดแต่ในเมื่อนางกับท่านหญิงหยวนหลี่อยากจะกำจัดเซี่ยเชียนฮวันไปเร็วๆ ก็ต้องใช้แผนที่เตรียมไว้ล่วงหน้าก่อนเวลา“อวิ๋นซี เจ้าไปหยิบของมา”ซูอวี้เออร์หันไปสั่งอวิ๋นซียกชายกระโปรงขึ้นแล้วเดินลงไปที่ชั้นล่าง เมื่อกลับมาก็ถือกรงติดมือมาด้วย ก่อนจะวางตรงหน้าท่านหญิงหยวนหลี่ภายในกรงเต็มไปด้วยหนูอ้วนท้วมแต่สิ่งที่แตกต่างไปจากหนูทั่วไปคือ หนูเหล่านี้มีสีขนแปลกๆ มันเป็นสีเทาเงินท่านหญิงหยวนหลี่มองหนูอ้วนท้วมสีเทาเงินที่วิ่งพล่านอยู่ในกรงเหล่านั้น แล้วขมวดคิ้ว นางรู้สึกคลื่นไส้ และไม่อยากมองไปมากกว่านี้“ทุกตัวทำเครื่องหมายไว้แล้วใช่หรือไม่?” ซูอวี้เออร์ถาม“เรียนนายหญิง ทำไว้แล้วเจ้าค่ะ”อวิ๋นซีปิดปากและจมูกด้วยผ้าเช็ดหน้า หยิบไม้แท่งหนึ่งขึ้นมา แล้วจิ้มไปที่ตัวของหนูเหล่านั้น เพื่อแสดงเครื่องหมายออกมานางจงใจรักษาระยะห่างจากกรงหนูราวกั
เซียวเย่หลันพาซูอวี้เออร์มาทานอาหารเที่ยงกับพระสนมหมิงสนมหมิงเห็นเซี่ยเชียนฮวันมาปรากฏตัวขึ้นมา ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร เพียงบอกสาวใช้ว่า “เพิ่มตะเกียบอีกคู่”“แค่ก ไม่ต้องเจ้าค่ะ ความจริงข้าทานอาหารมาแล้ว...”อาหารมื้อนี้ เซี่ยเชียนฮวันไม่อยากเข้าร่วมเลยจริงๆแต่พูดไม่ทันขาดคำ เสียงท้องของนางก็ร้องดัง “โครกคราก” ทำให้บรรยากาศที่น่าอึดอัดใจอยู่แล้วยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ “เจ้ากลัวข้าจะวางยาพิษในอาหารหรือ”หมิงเฟยเงยหน้าขึ้นมาด้วยสายตาที่มืดมนเซี่ยเชียนฮวันไม่มีทางเลือก นางเดินไปนั่งที่เก้าอี้ว่าง คิดจะทานสักคำสองคำพอเป็นพิธีแล้วจากไปเซียวเย่หลันมีสีหน้าตายด้าน ส่วนซูอวี้เออร์ทำสีหน้านางชาเขียว นอกจากนี้ยังมีสนมหมิงที่แผ่กลิ่นไอผีสาวเป็นระยะๆ...อาหารดีแค่ไหน ก็กลืนไม่ลง“ท่านอ๋องไม่เคยบอกหม่อมฉันเลย ว่าเสด็จแม่ชอบอาหารมังสวิรัติ เสด็จแม่นับถือพุทธหรือเพคะ?”ซูอวี้เออร์ทำตัวออดอ้อนกับเซียวเย่หลันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และพยายามจะดึงพระสนมหมิงเข้ามาร่วมด้วย เพื่อกันเซี่ยเชียนฮวันเป็นคนนอกในครอบครัวนี้สนมหมิงหยิบตะเกียบขึ้นมา กล่าวเสียงเรียบเฉยว่า “ข้าไม่ได้นับถือพุทธ เพียงแต่เห็น
“ฉึก!”เซี่ยเชียนฮวันมัวแต่คิดจะเข้าไปผลักเซียวเย่หลัน นางลืมดูเศษแก้วที่ใต้เท้าและเหยียบเข้าอย่างไม่ทันระวัง เจ็บเสียจนแทบทรงตัวไม่อยู่เสี้ยววินาทีนั้น เซียวเย่หลันยื่นมือออกไปรับเศษที่ลอยมาทางเซี่ยเชียนฮวันไว้ท่ามกลางอากาศ“ซี้ด...”เซี่ยเชียนฮวันล้มลงบนร่างของเซียวเย่หลัน ในใจหวาดกลัวเล็กน้อยนางเงยหน้าขึ้นมองเขา “มือเจ้าได้รับบาดเจ็บ”“ไม่เป็นไร”แม้ว่าเซียวเย่หลันจะคว้าเศษนั้นเอาไว้ได้ แต่นิ้วมือของเขาก็ถูกบาด เลือดไหลราวกับสายน้ำเมื่อเห็นดังนั้น การโจมตีของหมิงเฟยจึงหยุดลง นางยืนอยู่ที่เดิม สายตาจับจ้องมายังพวกเขาพลางเหนื่อยหอบทันใดนั้นเอง ก็มีเสียง “โอ๊ย” ดังขึ้นมาจากด้านข้างเป็นซูอวี้เออร์นั่นเองนางเห็นว่าเซี่ยเชียนฮวันเข้าไปช่วยบังเซียวเย่หลันเอาไว้ ส่วนตนไม่ได้ทำอะไรเลยจึงรู้สึกว่าไม่ดีนัก จากนั้นรีบก้มลงไปหยิบเศษแก้วแล้วกรีดไปที่เท้าของตนเซียวเย่หลันรีบลุกขึ้นไปพยุงซูอวี้เออร์ซูอวี้เออร์น้ำตาไหลนองหน้า "ท่านอ๋องเพคะ เดิมทีข้าน้อยตั้งใจจะเข้าไปช่วยบังไว้ แต่ไม่ทันระวังจึงทำให้...""เอาเถิด อย่าร้องไห้ไป"เซียวเย่หลันเห็นบาดแผลที่เท้าของซูอวี้เออร์ เขาก็ข
“หากไม่ยินยอม แล้วเหตุใดก่อนหน้านั้นเจ้าจึงให้ความร่วมมือกับข้านัก?"เซียวเย่หลันเงยหน้าขึ้นมองเซี่ยเชียนฮวันซึ่งกำลังอยู่ในอารมณ์โมโห แต่ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขายังคงนิ่งดังเดิมเซี่ยเชียนฮวันนึกถึงความเจ็บปวดในครั้งนั้นขึ้นมาได้นางกัดริมฝีปากล่างของตน "ครั้งนั้นเป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญ... เจ้า เจ้าลืมเรื่องราวในคืนนั้นไปเสียเถิด”"เรื่องบังเอิญ? หึๆ เห็นได้ชัดว่าเจ้าวางแผนยั่วยวนข้าอย่างสุดกำลัง"แววตาเซียวเย่หลันเต็มไปด้วยความเยาะเย้ยเซี่ยเชียนฮวันอัดอั้นใจแต่ไม่รู้จะคัดค้านเช่นไร นางจึงทำได้เพียงตะเบ็งเสียงแข็งว่า "เจ้า... เจ้าเป็นถึงจ้านอ๋อง กลับมาถือสาเรื่องบนเตียงเช่นนี้ ไม่รู้สึกน่าอายบ้างหรือ?"นางไม่อยากคุยกับเซียวเย่หลันถึงเรื่องนี้อีก และไม่อยากใกล้ชิดกับเขามากกว่านั้นดังนั้นนางจึงพยายามดิ้นรน กำหมัดแล้วต่อยไปทางพญามัจจุราชที่อยู่ตรงหน้าหมัดของเซี่ยเชียนฮวันที่บางเบาไร้เรี่ยวแรงต่อยไปยังร่างของเขา แววตาของเซียวเย่หลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเข้ามากำข้อมือนางเอาไว้ น้ำเสียงแหบแห้งกล่าวว่า "เจ้าเอาเรื่องมากกว่าชื่อเล่นซูอวี้เออร์จริงๆ ""หา? เช่นนั้นเจ้าก็ไปหาแม่นา