จ้านหยินผลัดเธอออกเบาๆ ก้มหน้าลงสบตากับเธอไห่ถงลอบกลืนน้ำลายทุกครั้งที่สบตากับเขา เธอไม่อาจละเลยความหล่อเหลาของเขาไปได้ เอาแต่อยากจะ...แต๊ะอั๋งเขาถ้าเขาอ่อนโยนแบบนี้ตลอดไป ไม่ต้องรออาทิตย์นึงหรอก เธอกล้าจับกินทั้งดิบๆแบบนี้แหละฝึกความกล้าให้มากขึ้นอีกหน่อย ยังจับกินแบบหลากหลายลีลาได้ด้วยขณะที่ไห่ถงกำลังมโนภาพวิธีกินอยู่ในหัว เสียงทุ้มต่ำของจ้านหยินก็ดังขึ้นตรงใบหู เขาถาม "เราเคยเซ็นสัญญากันเมื่อไหร่?"ไห่ถง "..."เธอทำหน้าตะลึงราวกับไม่เชื่อว่าจ้านหยินจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา"ตอนนั้น คุณไปร่างสัญญามาไง แล้วก็ให้ฉันเซ็น บอกว่าเป็นระยะเวลาครึ่งปี"จ้านหยินมีสีหน้าสงบนิ่ง เขาพูดเสียงเรียบว่า "คุณท่องเนื้อหาในสัญญาให้ผมฟังหน่อยสิ"ไห่ถงอ้าปากพะงาบๆ ใบ้กินไปชั่วขณะเวลาผ่านไปนานขนาดนั้น เนื้อหาในสัญญา เธอจำได้ไม่มาก จำได้แค่ว่าระยะเวลาคือครึ่งปี ที่ทั้งสองฝ่ายจะไม่คุกคามชีวิตส่วนตัวของอีกฝ่ายอะไรสักอย่าง"ไห่ถง ช่วงนี้คุณอาจจะกังวลเรื่องพี่ของคุณมากเกินไป จนเกิดเป็นภาพหลอน เลยคิดไปว่าพวกเราเซ็นสัญญากัน แต่ความจริง เราไม่ได้เซ็นสัญญาอะไรทั้งนั้น ถ้าคุณคิดว่าเราเซ็นสัญญากันจริ
จ้านหยินและพี่น้องแปดคน เดินล้อมรอบคุณยายไปทั้งหมดไปกินข้าวกันที่โรงแรมกวนเฉิงผู้จัดการล็อบบี้ของโรงแรม เห็นนายน้อยทั้งแปดเดินล้อมคุณหญิงเข้ามา แต่ไม่มีบอดี้การ์ดมาด้วย ก็ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะจะทักทายด้วยความเคารพได้ไหม?แต่นายน้อยสองบอกเอาไว้ว่า ตราบใดที่นายน้อยไม่ได้พาบอดี้การ์ดมาด้วย เขาจะต้องทำเสมือนว่านายน้อยเป็นแขกธรรมดาทั่วไป ห้ามเรียกท่านว่านายน้อยเด็ดขาดขณะที่ผู้จัดการล็อบบี้กำลังคิดหนัก กลุ่มของจ้านหยินก็เข้ามาในโรงแรมแล้วทั้งหมดเดินผ่านหน้าของผู้จัดการห้องล็อบบี้ไปพี่น้องทั้งแปดคนต่างก็มีออร่าที่เหนือจากคนทั่วไป ทันทีที่เดินเข้ามาในโรงแรม ก็ดึงดูดสายตาจากผู้คนไม่น้อยได้ยินพี่น้องสองสามคนพูดกับคุณยายจ้านด้วยเสียงแผ่วเบา ได้ยินพวกเขาเรียกคุณยายอยู่สายตาของคนอื่นที่ทอดมองไปยังคุณยายจ้านเต็มไปด้วยความอิจฉา คุณยายคนนี้ชีวิตดีเกินไปมาก มีหลานชายรูปงามถึงแปดคน นี่แทบจะไม่เหลือโอกาสไว้ให้คนอื่นเลยนะ อิจฉาชะมัด!คุณยายจ้านคิด "อย่ามาอิจฉาฉัน ก็เพราะหลานชายเยอะเกินเนี่ยแหละ ฉันถึงต้องมานั่งปวดหัวเพราะเรื่องแต่งงานของพวกเขา"หลังมื้ออาหาร จ้านหยินพูดกับจ้านอี้เฉินว่า
ซูหนานกำลังคุยกับผู้นำตระกูลซู ทั้งคู่นับว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องที่ห่างกันรุ่นนึง แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อความสัมพันธ์อันแนบแฟ้นของพวกเขาชายชุดดำคนหนึ่งเดินเข้ามาเขาเดินมาตรงหน้าของทั้งคู่ แล้วพูดด้วยความนอบน้อม "นายท่าน นายน้อยซู นายน้อยแห่งตระกูลจ้านมาพบครับ""เชิญเขาเข้ามา"ชายหนุ่มรับคำด้วยท่าทีนอบน้อมเล็กน้อย แล้วหมุนตัวเดินออกไปซูหนานชี้ไปที่ซองเอกสารสีเหลืองที่วางอยู่บนโต๊ะ "จ้านหยินมาเอาของครับ""การที่เขามาด้วยตัวเอง ก็เท่ากับมาหาฉัน"ผู้นำตระกูลซูเรียกคนรับใช้ สั่งให้คนรับใช้ชงชา เตรียมผลไม้สำหรับแขกปกติแล้วเขามักจะใช้อำนาจของตระกูลตัวเองเพื่อช่วยเหลือซูหนาน ไม่สิ ช่วยจัดการธุระให้จ้านหยิน ซึ่งจ้านหยินเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ การที่เขามาถึงที่นี่ด้วยตัวเอง ก็เพื่อมาขอบคุณเขาเป็นแน่แท้"จ้านหยินอยากมาเจอพี่ตั้งนานแล้ว แต่เพราะพี่ยุ่งมาก ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน เขาก็เลยไม่มีโอกาส""เขาเป็นเพื่อนของนาย ก็ย่อมเป็นเพื่อนของพี่ด้วยเหมือนกัน ระหว่างเพื่อนก็ต้องช่วยเหลือกัน ไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้น นายพิสูจน์คุณค่าของตัวเองแล้วตอนที่อยู่จ้านซื่อกรุ๊ป พี่ดีใจแทนจริงๆ"ผู้นำตระกูลซ
"ตื๊ด ๆ ๆ ๆ..."โทรศัพท์ของผู้นำตระกูลซูดังขึ้นหลังจากกดรับสาย เขาก็พูดอย่างรู้สึกผิด "นายน้อยจ้าน ผมมีเรื่องด่วนต้องออกไปจัดการ คงต้องขอตัวก่อน"จ้านหยินรีบลุกขึ้นยืน"ซูหนาน นายดูแลนายน้อยจ้านให้ดีๆแทนพี่ด้วย"ผู้นำตระกูลซูกำชับน้องชายประโยคนึง แล้วออกไปเมื่อผู้นำตระกูลซูออกไปแล้ว ซูหนานจึงพาจ้านหยินไปที่บ้านของเขา จากนั้นจ้านหยินก็นั่งฟังแม่ซูบ่นให้ฟังทั้งคืนว่าซูหนานอายุอานามก็ตั้งเท่าไหร่แล้ว แต่ยังไม่มีแฟนกว่าจะออกจากบ้านตระกูลซูได้ลำบากแทบแย่ จ้านหยินก็พูดกับซูหนานว่า "ครั้งหน้าถ้าแม่นายอยู่บ้าน ไม่ต้องเรียกให้ฉันเข้าไปนั่งในบ้าน"ซูหนานหัวเราะคิกคัด "ฟังเข้าหูซ้าย ทะลุออกหูขวาก็พอ""นายกับคุณเซินดูตัวกันเป็นยังไงบ้าง? ไม่ได้บอกที่บ้านหรอ?""มีผู้นำที่รู้ ส่วนคนอื่นไม่ได้บอก เกรงว่ายังพูดไม่ทันจบคำ พวกเขาจะแห่ไปเตรียมขบวนขันหมาก เดี๋ยวจะทำเอาคุณเซินตกใจกลัวซะเปล่าๆ"จ้านหยินตบบ่าของเขาอย่างเห็นใจ "ถ้าชอบ ก็พยายามหน่อย ลงจากคานได้ก็สบายแล้ว""พอลงจากคาน ก็จะเร่งให้มีลูกอีก พอมีลูก ก็จะให้มีคนที่สองสามต่อ พวกผู้ใหญ่น่ะไม่เคยหยุดจู้จี้หรอก"ซูหนานไม่เชื่อเลยว่าหากตั
เขามีความตั้งใจแบบนั้น ไห่ถงก็ดีใจ แต่เธอก็ขอปฏิเสธอยู่ดีตอนที่จ้านหยินรีบร้อนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง เธอที่ใช้มือนึงกอดดอกไม้ อีกมือนึงโอบรอบคอของเขา ดึงศีรษะของเขาให้เข้ามาเบื้องหน้าของเธอ แล้วกระซิบว่า "ในบ้านห้ามวางดอกไม้เยอะเกินไป ไม่งั้นเจ้าของจะหลายใจมากขึ้นเรื่อยๆ"พูดจบเธอยังไม่วายตบหน้าอกจ้านหยินเบาๆ บอกเป็นนัยว่า ห้ามหลายใจจ้านหยิน "..."มีความเชื่อแบบนี้ด้วยหรอ?วันไหนต้องถามซูหนานหน่อยไห่ถงขึ้นรถของเขาจ้านหยินก็กลับขึ้นรถตัวเองเหมือนกัน เขาสตาร์ทรถพร้อมกับถามเธอว่า "หยางหยางเป็นยังไงบ้าง?""ยังไม่ได้หายบวมซะทีเดียว เมื่อคืนไข้ขึ้น ร้องไห้ทั้งคืน เช้านี้ไข้ลดลงแล้ว แล้วก็คงร้องไห้จนเหนื่อยถึงได้หลับไปในอ้อมกอดของพี่สาวฉัน"พอพูดถึงหยางหยาง จิตใจที่แจ่มใสของไห่ถงก็มัวหมองลง"จ้านหยิน"ไห่ถงเบนศีรษะไปมองเขา แล้วว่า "สมมติ ฉันบอกว่าสมมตินะ อีกหน่อยถ้าสมมติว่าพวกเราก็มีลูก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าความสัมพันธ์ของเราจะเปลี่ยนไปยังไง ก็ห้ามเอามาลามทำร้ายลูกด้วยเด็ดขาด ได้ไหม?"จ้านหยินเบรครถทันควันเขาก็เบนหน้ามามองไห่ถงเช่นกันสองสามีภรรยาประสานสายตากัน ต่างคนต
หลังจากที่จ้านหยินจอดรถเรียบร้อยแล้ว ก็นึกเรื่องหลักฐานโอนย้ายทรัพย์สินของโจวหงหลินขึ้นมาได้ จึงเรียกไห่ถงที่กำลังจะลงจากรถ"ผมไปขอให้เพื่อนช่วยสืบเรื่องที่โจวหงหลินโอนทรัพย์สิน เพื่อนของผมลงแรงไปมาก ส่งหลักฐานมาให้ผมตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ผมวางไว้เบาะหลังรถ อยู่ในซองเอกสารสีเหลือง""เพื่อนของคุณทุ่มแรงมากจริงๆ ไม่ทันไรก็ช่วยรวบรวมหลักฐานได้แล้ว"นอกจากความซาบซึ้งใจที่ไห่ถงมีต่อเพื่อนคนนั้นแล้วยังมีความสงสัยอยู่ดี อยากจะรู้จักซะจริงเธอยังนึกว่าต้องใช้เวลานานมากกว่าจะรวบรวมหลักฐานได้ซะอีก เพราะยังไงซะโจวหงหลินก็ไม่ได้โอนเอาตอนนี้ แต่เริ่มทำมาตั้งนานแล้วแต่ระยะเวลาแค่หนึ่งวัน อีกฝ่ายก็รวบรวมหลักฐานมาได้"จ้านหยิน เพื่อนคุณคนนั้นไม่เปิดสำนักงานนักสืบนี่น่าเสียดายมากเลยนะ"เมื่อไห่ถงลงจากรถ ก็เปิดประตูเบาะหลังออก หยิบซองเอกสารสีเหลืองที่วางไว้บนเบาะหลังขึ้นมา"ในตระกูลของเขามีคนทำงานเกี่ยวกับสืบข่าวโดยเฉพาะอยู่ พวกเขามีเส้นสายเยอะ แล้วก็ทำงานดีมาก"เครือข่ายข้อมูลของตระกูลซูครอบคลุมอยู่กว้างขวาง แล้วกวนเฉิงก็เป็นรังเดิมของตระกูลซู เครือข่ายข้อมูลในกวนเฉิงก็เลยยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไปอีก
“ป้าเหลียงคะ พี่ฉันและหยางหยางกว่าจะหลับตาลงได้ไม่ง่ายเลย ดังนั้นอย่าเพิ่งปลุกพวกเขาเลยค่ะ รอพวกเขาตื่นก่อนแล้วค่อยทำโจ๊กเสิร์ฟค่ะ”ป้าเหลียงพยักหน้า "รับทราบค่ะ"สามคนทานอาหารร่วมกัน ไห่ถงชงกาแฟสำเร็จรูปหนึ่งแก้วดื่ม เพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกกระปรี้กระเปร่าหลังจากที่ป้าเหลียงกินอิ่มแล้ว ก็ออกจากร้านอาหาร จ้านหยินคว้าช่วงเวลานี้เอื้อมมือไปคว้ามือข้างหนึ่งของไห่ถง"ถงถง"จ้านหยินพูดอย่างอบอุ่น "คุณอยู่บ้านและพักผ่อนนะ ฉันจะไปได้"ไห่ถงจับมือเขาและปลอบโยน "ฉันไม่เป็นไรค่ะ ดื่มกาแฟแก้วหนึ่งก็อิ่มแล้ว นอกจากนี้ไปหาตระกูลเหรินนั่น อาจมีปากมีเสียงกันได้ และคุณก็ทะเลาะกับคนไม่เก่งเท่าฉัน หรืแม้กระทั่งพี่ๆ น้องๆ ของคุณก็เถียงไม่ทันโจวหงอิงค่ะ”พวกเขาล้วนเป็นสุภาพบุรุษ ดังนั้นการมีปากมีเสียงกับคนอื่นจึงส่งผลไม่ดีต่อภาพพจน์“ฉันเป็นน้าของหยางหยาง และหยางหยางถูกพวกเขารังแกแบบนั้น ฉันต้องไปทวงคืนความยุตธรรมให้เขา เมื่อวานหยางหยางเป็นลมและฉันสนใจหยางหยางเท่านั้น ฉันไม่มีเวลาไปจัดการกับครอบครัวเริ่น ตอนนี้ หยางหยางดีขึ้นเล็กน้อยแล้ว ฉันก็มีกะจิตกะใจที่จะไปคิดบัญชีกับพวกเขาแล้ว”จ้านหยินมองเธอ
ตอนที่ไห่ถงรู้สึกไม่สบายใจนั่นเอง ซางเสี่ยวเฟยพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบมากและถามไห่ถง "ไห่ถง คุณแม่ของฉันจะกลับบ้านมาในตอนเที่ยงนี้ ฉันขอไปรับหยางหยางมาเล่นที่บ้านได้ไหม?"ซางเสี่ยวเฟยจำหน้าคุณน้าของตัวเองไม่ได้ แม้ว่าเธอจะดูรูปถ่ายแล้วก็ไม่สามารถแยกแยะได้ จากคำพูดของไห่ถงเด็กๆ จะน่ารักมากเมื่อตอนยังเล็กอยู่ถ้าหยางหยางเหมือนคุณน้า แม้ว่าจะมีความคล้ายคลึงกันเพียงเล็กน้อย เธอก็จะไม่ปล่อยออกผ่าน เธอต้องการพาหยางหยางไปให้คุณแม่ของเธอดูซางเสี่ยวเฟยจำได้ว่าเธอต้องการสนิทกับไห่ถงอย่างแปลกประหาก ตอนที่เจอเธอครั้งแรกตอนที่เห็นหยางหยางก็ตกหลุมรักทันทีหากหยางหยางเป็นลูกหลานของคุณน้า นี่อาจอธิบายได้ว่าทำไมเธอถึงตกหลุมรักหยางหยางตั้งแต่แรกเห็นเธอไม่เคยเห็นเด็กน้อยตัวใหญ่เท่าหยางหยางมาก่อน แต่มีเพียงหยางหยางเท่านั้นที่ทำให้เธอชอบทันที เพื่อแค่มองแวบเดียวเท่านั้น เธอหวังว่าเธอจะสามารถแย่งหยางหยางมาเป็นหลานชายของเธอได้ และซื้อของเล่นให้เขาโดยไม่ต้องเกรงใจ และหวังว่าจะสามารถเปิดโรงงานผลิตของเล่นให้หยางหยางล่นโดยเฉพาะและจะทำแบบนั้นเช่นเดียวกับไห่ถงด้วยในฐานะชางเสี่ยวเฟยคืออะไรกัน รอบตัวไม่เคย