อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้นี้จะทำอาหารที่เรือนน้องสาวเขาหรือ?เวินจื่อเฉินตั้งตัวไม่ติดไปชั่วขณะเขาหันขวับมองน้องสาวตัวเองทันทีกลับเห็นเวินซื่อพยักหน้าอย่างใจเย็น “ดีสิ เช่นนั้นคงต้องลำบากท่านอ๋องแล้ว”เป่ยเฉินหยวนยิ้มทันใด รับตะกร้าของป่ามาจากมือเวินซื่อ “เช่นนั้นท่านไปพักสักครู่ ข้าจะเอาวัตถุดิบเข้าไปจัดการเอง”พูดถึงจัดการ ความจริงก็เป็นแค่วัตถุดิบสดใหม่อย่างเห็ดป่า เยื่อไผ่ หน่อไม้เป็นต้นเขาทำท่าคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี อีกทั้งยังนำวัตถุดิบเข้าไปในห้องครัวเล็กของเวินซื่ออย่างเป็นธรรมชาติเวินซื่อหันหลังแล้วนั่งลงในลานบ้านเวินจื่อเฉินกลับยืนอยู่ด้านข้างด้วยความประหม่าเล็กน้อย หันมองทางห้องครัวเป็นระยะ“น้อง...อู๋โยว จะให้ท่านอ๋องไปทำอาหารจริงหรือ? คงจะไม่ค่อย...” ไม่ค่อยเหมาะสมเดิมทีเวินจื่อเฉินต้องการพูดอย่างนั้น แต่เมื่อหันไปเห็นใบหน้าใจเย็นของเวินซื่อ“มีสิ่งใดไม่เหมาะสมหรือ?”เวินซื่อเหลือบมองเขาอย่างเรียบเฉย “ที่นี่เป็นดินแดนบริสุทธิ์ของพุทธองค์ ส่วนข้าเป็นผู้ออกบวช ไม่มีสิ่งวุ่นวายมากมายขนาดนั้น”หากเป็นเมื่อก่อน เวินซื่ออาจจะใส่ใจอยู่บ้างเพราะเรื่องอย่าง
เวินจื่อเฉินบอกเล่าสิ่งที่ค้นพบทั้งหมด ในห้องหนังสือของเวินเฉวียนเซิ่งให้เวินซื่อฟังเมื่อได้ยินว่าสมุดบัญชีเล่มนั้นเกี่ยวข้องกับกิจการของสกุลหลาน แววตาของเวินซื่อเยือกเย็นทันทีนางรู้อยู่แล้วว่าเรื่องในตอนนั้นไม่ใช่เรื่องธรรมดานึกไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงนิ่งดูดายอะไรกัน เกรงว่าที่สกุลหลานต้องล่มสลาย ภายในนั้นคงมีฝีมือของบิดาตัวดีของนางซ่อนอยู่ด้วยเวินซื่อหลุบตาลง เก็บรวบความเย็นชาในแววตา“ตอนนี้สมุดบัญชีเล่มนั้นอยู่ที่ใด?”เวินซื่อเอ่ยถามเวินจื่อเฉินกล่าวอย่างละอายใจ “ตอนนั้นไม่ทันระวังจึงถูกพบเข้า ทำใหข้าไม่ทันได้นำสมุดบัญชีเล่มนั้นออกมาด้วย ตอนนี้น่าจะยังอยู่ในห้องหนังสือของท่านพ่อ”แต่เมื่อพูดสิ่งเหล่านี้จบ เวินจื่อเฉินรีบเอ่ยต่อ “เจ้าห้ามกลับไปเอาเด็ดขาด ความเคลื่อนไหวสองครั้งที่ผ่านมาของข้า เป็นที่จับตามองของท่านพ่อแล้ว ตอนนี้เกรงว่าห้องหนังสือของท่านคงไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้ง่ายๆ ดังนั้นให้ข้าคิดหาวิธีดีกว่า เจ้าวางใจ ข้าต้องเอาสมุดบัญชีเล่มนั้นมาให้ได้”เวินซื่อได้ยินดังนั้นจึงมองเขา “ท่านคิดจะไปเอาเองหรือ?”เวินจื่อเฉินพยักหน้าเรื่องนี้เขาย่อมต้องไปอยู่แล้ว
เวินซื่อเม้มริมฝีปากแน่น น้ำเสียงยังคงราบเรียบ “ดูเขาทำไม ข้าไม่เป็นห่วงหรอกว่าเขาจะเป็นอย่างไร”เป่ยเฉินหยวนหัวเราะพร้อมปลอบ “เอาละ ท่านไม่ได้เป็นห่วง ข้าเป็นห่วงเอง”“ตอนนี้ข้าอยากเห็นเหลือเกิน ว่าสีหน้าของเจิ้นกั๋วกงผู้นั้นจะน่าอัศจรรย์เพียงใด”ความลับที่ซุกซ่อนมาหลายปี นึกไม่ถึงว่าจะถูกลูกชายสองคนเปิดโปงหนึ่งในนั้นยังเป็นผู้สืบทอดที่เขาบ่มเพาะมาด้วยตัวเองหากบอกว่าไม่ทำอะไรเวินฉางอวิ้น เกรงว่าจะเป็นการโกหกด้วยความอำมหิตของเวินเฉวียนเซิ่ง เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่ทำสิ่งใดเลยต้องดูว่าเขาจะใจร้ายกับลูกชายคนโตมากเพียงใด“สองวันนี้ข้าสะสางงานในมือพอสมควรแล้ว เตรียมตัวให้ดี ถึงเวลาข้าจะมาสอนท่านฝึกวรยุทธ์แล้วนะ”ทั้งสองคนตกลงกันตั้งแต่แรก เพียงแต่การเดินทางไปลู่โจวทำให้เสียเวลาไปมาก หลังกลับมาเป่ยเฉินหยวนมีงานมากมายต้องจัดการ ดังนั้นจึงไม่มีเวลาว่างแต่ตอนนี้ดีขึ้นมาก เป่ยเฉินหยวนจึงตรึกตรองเรื่องเวลา“ได้ ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนวางใจเถอะ ข้าเตรียมพร้อมนานแล้ว”เวินซื่อยิ้มจางๆหลังจากทั้งสองเรียกจู๋เยวี่ยกับเสี่ยวหานมากินอาหารพร้อมกัน เป่ยเฉินหยวนจึงกลับไปคืนนี้เวินซื
ตอนเช้าหลังจากเรียนเสร็จแล้ว ม่อโฉวซือไท่ให้เวินซื่อเข้าไปในเมือง“หากอยากเรียนสิบสามเข็มประตูผี ต้องเตรียมเข็มพิเศษก่อนหนึ่งชุด ไปหาช่างหลี่ทางตะวันออกของเมือง เจ้าบอกเขาว่ามาจากอารามสุ่ยเยว่ เขาจะรู้เองว่าควรทำสิ่งใดให้เจ้า”“เจ้าค่ะ”จากนั้นหลังเวินซื่อกินอาหารกลางวันเสร็จ พาเสี่ยวหานลงเขาไปพร้อมกันทั้งสองอาศัยเกวียนของพวกชาวบ้าน หลังผ่านไปสองชั่วยามจึงถึงเมืองหลวงหลังเข้าเมือง เวินซื่อกับเสี่ยวหานมุ่งหน้าไปทางตะวันออก หาร้านของช่างหลี่จนพบบ้านของช่างหลี่ไม่ใช่ร้านตีเหล็กทั่วไป ภายในยังมีงานฝีมือประณีต อย่างเงินกับทอง หยกก็มี กลับกลายเป็นงานเหล็กที่มีน้อยที่สุดหลังเวินซื่อเดินเข้าไป มองเห็นช่างหลี่ทันทีเพราะภายในร้านมีเขาแค่คนเดียว“ขอถามหน่อย ใช่ช่างหลี่ ประสกหลี่หรือไม่?”ฉางเสี่ยวหานเอ่ยถามแทนเวินซื่อเมื่อได้ยินคนเรียกชื่อตัวเอง ช่างหลี่ที่เดิมทีกำลังงีบหลับ รีบลืมตาตื่นขึ้นมาทันที“อ้อ ใช่ใช่ ข้าก็คือช่างหลี่ ท่านทั้งสองต้องการซื้อสิ่งใดหรือ?”เมื่อช่างหลี่พูดจบก็สังเกตเห็นชุดสีฟ้าทะเลบนตัวเวินซื่อหลังประหลาดใจเขาชะงักเล็กน้อย “หรืออาจารย์น้อยท่านนี้เป็นคนขอ
“สมัยนี้แม้แต่แม่ชีก็ยังชอบแต่งตัวแล้วสินะ แต่น่าเสียดายไม่รู้จักดูน้ำหน้าตัวเอง ของที่นี่เจ้าก็คู่ควรซื้อหรือ?”หญิงสาวชุดเหลืองที่เบียดเวินซื่อจนกระเด็น หลังจากก้าวเข้าไปแล้ว หันกลับมามองเวินซื่อแวบหนึ่ง พร้อมทำหน้ารังเกียจแล้วเอ่ยขึ้น“เหอะ เจ้าพูดอะไรของเจ้า? ธิดา...คุณหนูของข้าไม่คู่ควรอย่างไรหรือ?!”ฉางเสี่ยวหานรีบพุ่งไปข้างหน้า ปกป้องเวินซื่อไปด้วย พลางจ้องหญิงสาวชุดเหลืองไปด้วย“คุณหนูอย่างข้ากำลังพูด บ่าวอย่างเจ้าพูดแทรกได้หรือ?”หญิงสาวชุดเหลืองกล่าวอย่างโมโห “หมอมอ ตบปากนางเดี๋ยวนี้!”“เจ้าค่ะ คุณหนูดูให้ดีนะเจ้าคะ!”หญิงวัยกลางคนด้านหลังหญิงสาวรีบถลกแขนเสื้อขึ้น ง้างมือตบมาหาเสี่ยวหาน“เสี่ยวหาน ตบกลับไป”เวินซื่อทำหน้าเย็นชา แล้วพูดออกไปเสี่ยวหานที่เดิมทียังลังเล เมื่อได้ยินดังนั้นดวงตาลุกวาว เบี่ยงตัวหลบฝ่ามือหญิงวัยกลางคน จากนั้นกระโดดแล้วง้างมือตบกลับไปหนึ่งฉาดเพียะ !เสียงฝ่ามือดังชัดเจนหน้าทางเข้าร้านเฟิ่งอวิ๋นตบไปบนใบหน้าหญิงวัยกลางคน พร้อมทั้งหักหน้าหญิงสาวชุดเหลืองด้วย“เจ้า! นางบ่าวชั่ว พวกเจ้ากล้าตบตีคนของข้าหรือ พวกเจ้าทั้งสองคนคงเบื่อโลกแล้วสิน
“เกิดอะไรขึ้น? ใครมาเอะอะโวยวายที่ร้านเฟิ่งอวิ๋นขนาดนี้?”ขณะนี้เอง ชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนผู้ดูแลร้านเดินออกมาจากชั้นบนพอออกมาก็เห็นอันหมิงจูตรงทางเข้าพอดี ผู้ดูแลเลิกคิ้วทันใด “ที่แท้เป็นคุณหนูใหญ่อันให้เกียรติมาเยือน เหตุใดจึงไม่ขึ้นไปดูชั้นบน? หรือว่าพนักงานในร้านของพวกเราต้อนรับได้ไม่ดี?”เหล่าพนักงานที่อยู่ตรงโถงชั้นหนึ่งต่างก้มหน้าลง ไม่มีใครพูดสิ่งใดอันหมิงจูกล่าวอย่างดูแคลน “ก็คนของพวกเจ้านะสิที่จัดการได้ไม่ดี แต่ละคนทำอย่างกับคนตาบอด คนอะไรก็ปล่อยให้เข้ามาหมด”ระหว่างที่นางพูดเช่นนี้ จงใจใช้สายตาดูแคลนกวาดมองเวินซื่อแวบหนึ่งผู้ดูแลหวังมองไปตามสายตาของนาง ถึงได้มองเห็นเวินซื่อที่ถูกอันหมิงจูบดบังไปเกือบครึ่งร่างผู้ดูแลหวังขมวดคิ้วทันใด จากนั้นสั่งการโดยไม่สนใจสิ่งใด “ยังยืนบื้ออยู่ทำไม? ยังไม่รีบไปเชิญคนคนนั้นออกจากร้านอีก ร้านเฟิ่งอวิ๋นของพวกเราไม่ต้อนรับแม่ชีหรอกนะ”เหล่าพนักงานหันมองหน้ากัน ลังเลอยู่สักครู่ ต่อมาจึงมีคนเดินเข้าไปบอก “อาจารย์น้อยท่านนี้ ขออภัยด้วย ท่านลองไปดูที่อื่นเถอะ”เวินซื่อมองพนักงานตรงหน้าอย่างเรียบเฉย จากนั้นหันมองพนักงานคนอื่นในห้องโถงท
ผู้ดูแลหวังที่รู้สึกถูกเหยียดหยามโกรธจนถลึงตา “เจ้าแม่ชีน้อยกล้ากำเริบเสิบสานที่นี่หรือ หากเจ้ายังไม่ไปอีก เชื่อหรือไม่ข้าจะให้คนมาตีเจ้าออกจากร้านทันที?”“ไม่เชื่อ”เวินซื่อตอบเขาทันทีผู้ดูแลหวังโมโหจนตะโกนเสียงดัง “เจ้าพวกโง่พวกนี้ยังยืนบื้ออยู่ทำไม? ลืมไปแล้วหรือยามปกติข้าสอนพวกเจ้าไว้อย่างไร? ยังไม่รีบไปเอาอาวุธมาอีก รีบตีนางเดี๋ยวนี้!”“กล้าหรือ!”ฉางเสี่ยวหานพุ่งมาตรงหน้าเวินซื่อ ใบหน้าดวงน้อยจ้องพวกเขาอย่างเอาเรื่องเวินซื่อยกมือลูบหัวของนาง “เสี่ยวหาน ไม่ต้องกลัว ถอยไปเถอะ”ได้ยินดังนั้น เสี่ยวหานเก็บฟันขาวของตัวเองที่แยกใส่ทันที แล้วถอยไปอยู่หลังเวินซื่อ แต่ก็ยังจ้องมองพวกเขาอย่างระแวงผู้ดูแลหวังนึกว่าคำสั่งของเขาเพียงคำเดียว เหล่าพนักงานจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของเขาด้วยความจำยอมเหมือนที่ผ่านมาแต่เขานึกไม่ถึง เหล่าพนักงานในห้องโถงมีครึ่งหนึ่งที่ไม่ขยับ ส่วนอีกครั้งหนึ่งกลับลังเล แม้จะหยิบอาวุธไว้ในมือแล้ว แต่ไม่มีใครลงมือผู้ดูแลหวังโกรธจนด่าทอเสียงดัง “ดี ดี ดีมาก พวกคนเนรคุณอย่างพวกเจ้า ลืมไปแล้วหรือว่ายามปกติข้าทำอย่างไรกับพวกเจ้า? ตอนนี้ข้ายังไม่จากไปนะ เชื่อหรือ
อันหมิงจูที่คิดจะหลบหนีออกไปเงียบๆ ตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิมทันทีเวินซื่อช้อนตาขึ้น กวาดมองไปอย่างเรียบเฉยเมื่อสบเข้ากับสายตาของนาง อันหมิงจูตกใจจนเหมือนนกกระทา หดหัวแล้วยืนอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าตอบโต้น่าเสียดายตอนนี้เวินซื่อไม่คิดจะปล่อยนางไป น้ำเสียงของนางราบเรียบ ถามขึ้นอีกครั้ง “ทำไม? ตอนนี้คุณหนูใหญ่อันกลายเป็นใบ้แล้วหรือ? แม้แต่พูดตอบก็ยังไม่เป็นหรือ?”วินาทีนั้น อันหมิงจูรู้สึกย้อนกลับไปเมื่อก่อน เหมือนทุกครั้งที่เวินซื่อไปช่วยหนุนหลังอันหลันซินที่บ้านของนาง เมื่อสายตาเช่นนั้นกวาดมอง ทั้งที่ไม่ได้พูดจาข่มขู่ แต่เต็มไปด้วยแรงกดดัน ทำให้อันหมิงจูไม่กล้าหายใจแรงแม้แต่ครั้งเดียวตอนนี้ก็เหมือนกันสีหน้าอันหมิงจูแข็งทื่อ ใบหน้าฝืนฉีกยิ้มออกมา “...ใช่ คุณหนูห้าสกุลเวินพูดถูก”เมื่อนางเอ่ยปาก เผลอเรียกเวินซื่อเหมือนเมื่อก่อนหลังจากพูดจบถึงได้รู้สึกตัว จากนั้นตกใจจนรีบกลับลำ “ไม่ๆ ๆ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ต้องเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ ธิดาศักดิ์สิทธิ์พูดถูกแล้ว!”ท่าทางของนาง เหมือนกลัวเวินซื่อจะกินนางเข้าไป เพียงเพราะนางใช้สรรพนามผิดสุดท้ายเวินซื่อเพียงเหลือบมองนางอย่างเฉยชา“ดูท่าคงพูดจ
“อืม นอกจากชาวนาผู้เช่าที่ดินแล้ว ให้จ้างองครักษ์เพิ่มด้วย จัดวางไว้ทุกที่ หลังจากนี้ หากเกิดเรื่องทำลายแปลงสมุนไพรแบบคราวก่อนอีก ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็จับตัวส่งทางการได้เลย”“ขอรับ คุณหนูวางใจเถิด บ่าวได้คัดเลือกกลุ่มแรกไว้แล้ว อีกไม่นานก็จะสามารถจัดคนลงไปได้”ประสิทธิภาพในการทำงานของพ่อบ้านหลานนั้นยอดเยี่ยมจริงๆหลังจากฟังเรื่องทั้งหมดแล้ว เวินซื่อก็แสร้งทำเป็นไปที่ห้องครัวเล็ก จากนั้นก็ถือถังใบหนึ่งเดินออกมา“ในนี้คือยาน้ำที่ข้าปรุงขึ้น หลังจากเจือจางแล้วนำไปรดในแปลงสมุนไพรทั้งหมด จะสามารถเพิ่มอัตราการรอดและสรรพคุณทางยาของสมุนไพรได้”ครึ่งหนึ่งของสิ่งที่อยู่ในถังไม้นั้นคือ น้ำทิพย์จากลำธารในมิติของนางเพื่อตบตาผู้คน นางได้ปรุงยาน้ำที่ช่วยรักษาสมุนไพรขึ้นมาจริงๆ เมื่อผสมกับน้ำทิพย์แล้ว ก็กลายเป็นน้ำสีเขียวเข้ม ดูแล้วไม่มีปัญหาใดๆ เลย“ขอรับ คุณหนูวางใจเถิด”ก่อนที่พ่อบ้านหลานจะจากไป เวินซื่อก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยกำชับ “ส่งคนไปจับตาดูความเคลื่อนไหวของจวนเจิ้นกั๋วกง หากมีอะไรผิดปกติให้รีบมารายงานทันที”“ขอรับ!”หลังจากนั้น พ่อบ้านหลานก็ถือถังน้ำนั้นออกไปแทบจะทันทีที่พ่อบ้าน
“คำพูดของเจ้าช่างเหลวไหลสิ้นดี!”เวินฉางอวิ้นมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา “อะไรคือการมองว่าเจ้าเป็นคนปกติ? พวกเราพี่น้อง ใครบ้างที่ไม่มองว่าเจ้าเป็นคนปกติ? อีกอย่าง ถ้าน้องห้ารังเกียจเจ้าจริง จะดูแลเจ้ามานานขนาดนั้นได้อย่างไร? นางไม่มีความดีความชอบก็ต้องมีความเหนื่อยยากบ้างกระมัง แต่นี่กลับแลกกับความรู้สึกของเจ้าไม่ได้สักนิดเลยหรือ?”“ข้าบอกแล้วว่า ข้าก็ไม่ได้รังเกียจนาง เพียงแต่มันก็แค่นั้น นี่ก็ถือว่าเห็นแก่ที่นางดูแลข้ามานานขนาดนั้นแล้ว”เวินอวี้จือกล่าวอย่างเย็นชา น้ำเสียงราวกับเป็นการให้ทานเวินฉางอวิ้นก็ทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว“เจ้ามัน...เจ้ามันเกินเยียวยาจริงๆ !”ด้วยความโกรธ เวินฉางอวิ้นจึงสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป“พี่ใหญ่ ยาของท่าน...”เวินอวี้จือตะโกนเรียกเขาจากด้านหลังน่าเสียดายที่เวินฉางอวิ้นเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่หันกลับมามองและออกจากเรือนเล็กของเขาไปแล้วเวินอวี้จือถือยาในมือ ขมวดคิ้วเล็กน้อยเขาไม่เข้าใจเขาพูดความจริงทั้งหมดแท้ๆ แต่เหตุใดพี่ใหญ่ถึงต้องคอยช่วยพูดแทนเวินซื่อนั่น?คนที่ควรจะรู้สึกน้อยใจไม่ควรจะเป็นเขาหรอกหรือ?เวินอวี้จือยืนอยู่ที่เดิม คร
เวินอวี้จือกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าแค่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับนางเท่านั้น กฎประจำตระกูลของสกุลเวินเรา ก็ไม่ได้มีข้อไหนที่ระบุว่าพวกเราพี่น้องต้องรักใคร่กลมเกลียวกันมิใช่หรือ?”แน่นอนว่าไม่มีกฎประจำตระกูลเช่นนี้แต่เมื่อก่อนน้องสี่ก็ไม่ได้มีท่าทีเช่นนี้กับน้องห้านี่นา?เวินฉางอวิ้นที่รู้สึกว่าอาจจะมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง จึงเอ่ยถามอย่างละเอียด “เป็นเพราะน้องห้าทำอะไร? หรือว่าเจ้าได้ยินอะไรมา?”เวินอวี้จือที่รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย หยุดการกระทำในมืออีกครั้ง“ก็ได้ ในเมื่อพี่ใหญ่อยากรู้ เช่นนั้นข้าก็จะบอกท่าน แต่เรื่องนี้ข้าจะพูดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ต่อไปอย่าได้พูดถึงเรื่องนี้ต่อหน้าข้าอีก”“ได้ เจ้าพูดมา”เวินฉางอวิ้นพยักหน้ารับเวินอวี้จือจึงกล่าวอย่างเย็นชา “เมื่อก่อนท่าทีที่ข้ามีต่อเวินซื่อนั้นก็ไม่ใช่แบบนี้จริงๆ เพราะตอนนั้นข้าป่วยบ่อย นางก็คอยดูแลข้าอยู่ที่บ้านเป็นประจำ ตามหลักแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนควรจะดีพอสมควร แต่น่าเสียดาย ที่คนบางคนทำเหมือนจริง แต่ใจกลับไม่จริง”“ใจไม่จริงอะไร?”เวินฉางอวิ้นเอ่ยถามด้วยความสงสัยในตอนนั้นเอง เวินอวี้จือเงยหน้าขึ้นมอ
เวินอวี้จือเงยหน้าขึ้นมองแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้น “ใช่ น้องหกมอบให้ข้าเมื่อสองวันก่อน”เขาเหมือนจะค้นพบอะไรบางอย่าง จึงหันไปถามเวินฉางอวิ้น “พี่ใหญ่ก็ได้รับดอกไม้จากน้องหกเหมือนกันหรือ?”เวินฉางอวิ้นพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีกเมื่อเห็นท่าทีเย็นชาของเวินฉางอวิ้นที่มีต่อเวินเยวี่ย เวินอวี้จือก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น “พี่ใหญ่ น้องหกนางทำผิดพลาดไป แต่นางก็สำนึกผิดจริงๆ แล้ว”เวินฉางอวิ้นมองดูกระถางดอกไม้นั้นแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “อาจจะ”“ไม่ใช่อาจจะ แต่เป็นจริง”เวินอวี้จือหยุดมือที่กำลังทำอยู่ “พี่ใหญ่ น้องหกนางมีจิตใจบริสุทธิ์มาตั้งแต่เกิด ก่อนหน้านี้ก็เติบโตมาจากข้างนอกอีก ไม่รู้ประสีประสา ทำผิดพลาดไปบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา เพียงแค่นางรู้สำนึกผิดและแก้ไขก็พอแล้วมิใช่หรือ? พี่ใหญ่จะถือสาอะไรนางอีกเล่า?”“จิตใจบริสุทธิ์มาตั้งแต่เกิดหรือ?”เวินฉางอวิ้นได้ยินคำพูดนี้ ก็หันไปสบตากับเวินอวี้จือ“น้องสี่ เจ้าคิดว่านางมีจิตใจบริสุทธิ์มาตั้งแต่เกิดจริงๆ หรือ?”เวินฉางอวิ้นจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเขาแล้วเอ่ยถามเช่นนี้เวินอวี้จือชะงักไปเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่เห็น จากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน
เมื่อเห็นว่าในที่สุดคนก็เข้าใจแล้ว เวินเฉวียนเซิ่งจึงพยักหน้าช้าๆ “อืม ทำตามที่ข้าบอก ตอนนี้อย่าเพิ่งไปยั่วยุเวินซื่อ รอจนถึงเวลาที่เหมาะสม เช่นนั้นแล้วจะไม่มีโอกาสให้เจ้าได้ระบายความแค้นหรือ?”“เจ้าค่ะๆ! ขอบคุณท่านพ่อที่ชี้แนะ!”“อวี้จือ ช่วยเหลือน้องสาวของเจ้าให้ดี เรื่องนี้มอบหมายให้พวกเจ้าสองคนทำร่วมกัน นี่เป็นโอกาสสุดท้าย หากพวกเจ้ายังไปก่อเรื่องอื่นอีก ก็อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้า”“ขอรับ ท่านพ่อ!”“...”หลังจากที่ออกจากเรือนเล็กของเวินเยวี่ย เวินอวี้จือก็เดินกลับไปพลางคิดเรื่องต่างๆ ไปด้วยในตอนนั้นเอง...“ตุบ!”“โอ๊ย!”“เจ็บเหลือเกิน!”เวินอวี้จือชนเข้ากับคนคนหนึ่ง ร่างกายที่อ่อนแอของเขาก็ล้มลงไปกองกับพื้นทันทีโชคดีที่ไม่ได้ล้มแรงนักเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบว่าอีกฝ่ายคือเวินฉางอวิ้น“พี่ใหญ่? ท่านไม่เป็นไรนะ? เมื่อครู่ข้ากำลังคิดอะไรเพลินๆ ไม่ได้มองทาง”เวินอวี้จือลุกขึ้นจากพื้น ยื่นมือไปพยุงเวินฉางอวิ้น“ไม่เป็นไรๆ ข้าก็ไม่ได้สังเกต ไม่ทันระวังจึงชนเจ้าแล้ว น้องสี่ เจ้าไม่ได้เจ็บตรงไหนใช่หรือไม่?”เวินฉางอวิ้นส่ายหน้า ลุกขึ้นยืนจากพื้นอย่างยากลำบากเมื่อเวินอวี้จือมอง
“เป็นไปได้อย่างไร?!”เวินอวี้จือยังคงไม่เชื่อเวินเฉวียนเซิ่งกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ถ้าเจ้าไม่เชื่อ เจ้าก็ไสหัวไปดูที่ดินที่กุยอวิ๋นเองสิ ตอนนี้แปลงสมุนไพรเหล่านั้นถูกปลูกด้วยสมุนไพรใหม่อีกครั้งจนเต็มไปหมดแล้ว”สีหน้าของเวินอวี้จือย่ำแย่ลงในทันทีเดิมทีคิดว่าอย่างน้อยตนเองน่าจะเอาคืนได้บ้างในเรื่องแปลงสมุนไพร แต่คาดไม่ถึงว่าเขาก็ยังคงพ่ายแพ้อยู่ดีหรือว่าเวินซื่อก็มีตำรายาพิษของหมอปีศาจราชันพิษอยู่ในมือ?สีหน้าของเวินเยวี่ยที่อยู่ข้างๆ ก็ดูย่ำแย่เช่นกันเจ้าคนขี้โรคผู้นี้เหตุใดยังคงไร้ประโยชน์เช่นนี้?ก่อนหน้านี้ เพื่อที่จะเอาใจนาง เวินจื่อเยวี่ยจึงนำคำพูดที่เวินอวี้จือพูดกับเขามาบอกนางด้วยเช่นกันตอนนั้นเวินอวี้จือยังพูดอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “นอกจากหมอปีศาจราชันพิษจะมาแก้พิษด้วยตนเอง ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีใครสามารถรักษาแปลงสมุนไพรของเวินซื่อได้” แต่ตอนนี้กลับถูกแก้ไขได้อย่างง่ายดาย?หรือว่ารอบตัวเวินซื่อจะมีหมอปีศาจราชันพิษซ่อนตัวอยู่?!เวินเยวี่ยชะงักไปครู่หนึ่งนางครุ่นคิดทบทวนดูว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ แต่หลังจากนั้นก็ส่ายหน้าก็แค่แม่ชีไม่กี่คนที่อยู่ข้างกายเวินซื่อ จะเป็
และยังมีบางส่วนที่เป็นที่ดินที่ซื้อเพิ่มเติมอีกหลังจากที่เวินอวี้จือดูจบแล้ว ก็เงยหน้าขึ้นมองเวินเฉวียนเซิ่งด้วยความสงสัย “ท่านพ่อ เวินซื่อซื้อเมล็ดพันธุ์และต้นกล้าสมุนไพรมากมายขนาดนี้ไปทำไม? นางไม่ได้ปลูกสมุนไพรไว้เต็มที่ดินที่กุยอวิ๋นหมดแล้วหรือ? เหตุใดยังต้องปลูกอีก?”เวินเฉวียนเซิ่งหัวเราะเยาะ “เรื่องแค่นี้ยังดูไม่ออกอีกหรือ? สมองพวกเจ้าสู้เวินซื่อไม่ได้จริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่พ่ายแพ้ให้นางครั้งแล้วครั้งเล่า”เวินเฉวียนเซิ่งกล่าวอย่างเย็นชา “ด้วยฐานะและชื่อเสียงของเวินซื่อในตอนนี้ ตำแหน่งธิดาศักดิ์สิทธิ์ของนางอาจจะอาศัยโชคและเรื่องบังเอิญทำให้รุ่งโรจน์ได้ชั่วคราว แต่ไม่มีทางยั่งยืนแน่นอน เพราะว่านางไม่ได้มีวิชาความสามารถพิเศษอะไรจริงๆ ดังนั้น นางจึงต้องคิดหาวิธีอื่นเพื่อรักษาชื่อเสียงธิดาศักดิ์สิทธิ์ของนางไว้”“จากที่ผ่านมาหลายครั้ง เห็นได้ชัดว่าเวินซื่อเลือกที่จะเดินในเส้นทางการแพทย์ อย่างเช่น ธิดาศักดิ์สิทธิ์ใช้วิชาแพทย์ช่วยเหลือผู้คนอะไรทำนองนั้น แต่การที่จะให้วิชาแพทย์เก่งกาจขึ้นอย่างรวดเร็ว มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านการแพทย์นั้นเป็นไปไม่ได้ ต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าถึงหกปีจึงจะ
ในชั่วขณะนั้น เวินอวี้จือเหงื่อกาฬแตกพลั่กแต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกยังดีที่น้องหกไม่เป็นอะไรเวินอวี้จือหันกลับไปมองเวินเฉวียนเซิ่ง ฝืนยิ้มเล็กน้อย “ท่านพ่อโปรดอภัย เป็นลูกที่ได้กลิ่นคาวเลือด จึงพูดออกไปด้วยความตื่นตระหนก”“ไม่ใช่พูดผิด แต่พูดสิ่งที่อยู่ในใจเจ้าออกมากระมัง”เวินเฉวียนเซิ่งแค่นเสียงเย็นอย่าคิดว่าเขาไม่รู้ บุตรชายที่อ่อนแอขี้โรคคนนี้ เป็นบุตรชายที่เย็นชาที่สุดในบรรดาบุตรชายทั้งสี่คนไม่ว่าจะเป็นพี่ชายน้องสาวทั้งหลาย รวมถึงบิดาอย่างเขา ก็ไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันอะไรมากนักมีเพียงบุตรสาวคนเล็กคนนี้ที่เขาพาตัวกลับมา เวินอวี้จือกลับใส่ใจบุตรสาวคนเล็กคนนี้เป็นอย่างมากแต่ก็ไม่เป็นไร บุตรชายที่มีร่างกายอ่อนแอเช่นนี้ สำหรับเขาแล้วไม่มีประโยชน์อะไรเลยผู้สืบทอดที่เขาหมายตาไว้มีเพียงคนเดียวเท่านั้นอีกสามคนที่เหลือ ขอเพียงอยู่อย่างสงบก็พอแล้วเวินเฉวียนเซิ่งเดินผ่านเวินอวี้จือเข้าไปนั่งลงจากนั้นก็เรียกองครักษ์ลับออกมา จัดการกับศีรษะของหวังชางแต่ภายในห้องนี้ก็ยังมีร่องรอยของเลือดหลงเหลืออยู่ไม่น้อยดูแล้วก็ยังคงน่าขนลุกอยู่บ้างเวินเยวี่ยรู้
เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเวินเยวี่ย เวินเฉวียนเซิ่งที่เดิมทีไม่คิดจะสนใจ สุดท้ายก็จำต้องนำเงินไปยังที่ว่าการซุ่นเทียนใครจะไปรู้ว่าพอไปถึงที่นั่นแล้ว เห็นยอดรวมของทรัพย์สินที่ขโมยที่ผู้ว่าการซุ่นเทียนคิดออกมา มีมูลค่ามากถึงหนึ่งหมื่นกว่าตำลึง“เจ้าคนสารเลวนั่นมันขโมยอะไรไปบ้าง? เหตุใดถึงได้มากมายขนาดนี้?!”ผู้ว่าการซุ่นเทียนมองเวินเฉวียนเซิ่งด้วยสายตาที่ค่อนข้างซับซ้อนสายตานี้ทำให้เวินเฉวียนเซิ่งรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาทันทีเป็นจริงดังคาด วินาทีต่อมาก็ได้ยินผู้ว่าการซุ่นเทียนเอ่ยขึ้น “คนผู้นี้ชื่อหวังชาง ก่อนหน้านี้ถูกบุตรสาวคนเล็กของท่านจัดแจงให้ไปเป็นผู้ดูแลร้านที่ร้านเฟิ่งอวิ๋น แต่เมื่อไม่นานมานี้ ร้านเฟิ่งอวิ๋นเปลี่ยนเจ้าของ เจ้าของคนใหม่พบว่าคนผู้นี้ไม่เพียงแต่มีความประพฤติไม่เหมาะสมเท่านั้น ก่อนหน้านี้ก็ยังมีพฤติกรรมทุจริต จึงได้ไล่หวังชางออก ใครจะไปรู้ว่าหวังชางอาศัยความเป็นญาติห่างๆ ของท่านเจิ้นกั๋วกง อาศัยช่วงที่คนของเจ้าของร้านไม่อยู่ ยังคงดื้อด้านอยู่ที่ร้านเฟิ่งอวิ๋นไม่ยอมไป ทั้งยังแอบขโมยเครื่องประดับล้ำค่าไปหลายชิ้น สุดท้ายถูกคนของเจ้าของร้านจับได้ มีทั้งพยานบุ