อันหมิงจูที่คิดจะหลบหนีออกไปเงียบๆ ตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิมทันทีเวินซื่อช้อนตาขึ้น กวาดมองไปอย่างเรียบเฉยเมื่อสบเข้ากับสายตาของนาง อันหมิงจูตกใจจนเหมือนนกกระทา หดหัวแล้วยืนอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าตอบโต้น่าเสียดายตอนนี้เวินซื่อไม่คิดจะปล่อยนางไป น้ำเสียงของนางราบเรียบ ถามขึ้นอีกครั้ง “ทำไม? ตอนนี้คุณหนูใหญ่อันกลายเป็นใบ้แล้วหรือ? แม้แต่พูดตอบก็ยังไม่เป็นหรือ?”วินาทีนั้น อันหมิงจูรู้สึกย้อนกลับไปเมื่อก่อน เหมือนทุกครั้งที่เวินซื่อไปช่วยหนุนหลังอันหลันซินที่บ้านของนาง เมื่อสายตาเช่นนั้นกวาดมอง ทั้งที่ไม่ได้พูดจาข่มขู่ แต่เต็มไปด้วยแรงกดดัน ทำให้อันหมิงจูไม่กล้าหายใจแรงแม้แต่ครั้งเดียวตอนนี้ก็เหมือนกันสีหน้าอันหมิงจูแข็งทื่อ ใบหน้าฝืนฉีกยิ้มออกมา “...ใช่ คุณหนูห้าสกุลเวินพูดถูก”เมื่อนางเอ่ยปาก เผลอเรียกเวินซื่อเหมือนเมื่อก่อนหลังจากพูดจบถึงได้รู้สึกตัว จากนั้นตกใจจนรีบกลับลำ “ไม่ๆ ๆ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ต้องเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ ธิดาศักดิ์สิทธิ์พูดถูกแล้ว!”ท่าทางของนาง เหมือนกลัวเวินซื่อจะกินนางเข้าไป เพียงเพราะนางใช้สรรพนามผิดสุดท้ายเวินซื่อเพียงเหลือบมองนางอย่างเฉยชา“ดูท่าคงพูดจ
“แล้วพ่อบ้านหลานสั่งการว่าอย่างไร? แล้วผู้ดูแลหวังนี่มันเรื่องอะไรกัน?”เมื่อได้ยินเวินซื่อเอ่ยถึงเขา ผู้ดูแลหวังรีบคุกเข่าก้มต่ำกว่าเดิมพนักงานเก่าแก่กล่าว “แรกเริ่มพ่อบ้านหลานทดสอบพวกเราก่อน จากนั้นเลิกจ้างพวกที่เจ้าเล่ห์ขี้ขโมย แล้วรับสมัครพนักงานใหม่บางส่วนเข้ามา ส่วนผู้ดูแลหวัง...”พนักงานเก่าแก่หันมองผู้ดูแลหวังอย่างระวังแวบหนึ่ง คล้ายไม่กล้าพูดบางอย่าง“เสี่ยวหาน”“เสี่ยวหานอยู่เจ้าค่ะ!”เมื่อเวินซื่อเรียก เสี่ยวหานตอบรับทันที“เชิญผู้ดูแลหวังออกไปข้างนอก ดูเขาให้ดี อย่าให้หนีไปเสียละ”ช่วงที่ผ่านมาฉางเสี่ยวหานฝึกวิชากับจู๋เยวี่ยมาไม่น้อยพอไม่เรียนก็ไม่รู้ พอได้เรียนถึงได้ตกใจก่อนนี้คิดว่าฉางเสี่ยวหานเป็นพวกมีตัวตนต่ำแต่กำเนิด นึกไม่ถึงว่าพละกำลังของนางไม่ใช่แข็งแกร่งอย่างธรรมดาก่อนหน้านี้ไม่เด่นชัด ดังนั้นตอนแรกจู๋เยวี่ยคิดจะสอนวิชาลอบสังหารให้นางบ้าง บวกกับการมีตัวตนของนางแต่สุดท้ายนึกไม่ถึงว่าเมื่อได้ฝึกปรือ สามวันถ้วยแตก ห้าวันไม้แตก เจ็ดวันหินแตก...แต่ละวันพละกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆทำให้เวินซื่ออิจฉาอย่างมากเด็กคนนี้เรียกได้ว่าเหมาะกับการฝึกยุทธ์แต่กำเนิด
ญาติสกุลเวินอะไร นางไม่เคยได้ยินมาก่อนเกรงว่าเวินเยวี่ยคงไปหาคนมาจากที่ไหนสักแห่งเพื่อมาก่อกวน สวมรอยเป็นญาติสกุลเวิน เพื่อวางอำนาจบาตรใหญ่ในร้านเฟิ่งอวิ๋นโดยเฉพาะเวินซื่อมองดูแววตาของพนักงานเหล่านั้นก่อนหน้านี้ตอนถูกผู้ดูแลหวังข่มขู่ สีหน้าแต่ละคนไม่ค่อยยินดีนัก น่าจะเป็นเพราะเกรงกลัวโดยเฉพาะพวกพนักงานเก่าแก่ ดูท่าคงถูกรังแกมาไม่น้อยเวินเยวี่ยมักจะชอบรังแกคนข้างกายนางไปทั่ว สุดท้ายเพื่อให้นางกลายเป็นคนโดดเดี่ยวเดียวดาย ไร้ที่พึ่งพิงชาติที่แล้วนางทำสำเร็จแล้วจริงๆแต่ชาตินี้คงไม่ง่ายขนาดนั้นแล้ว“ปกติสิ่งของในร้านมีหายไปบ้างหรือไม่?”เหล่าพนักงานต่างเอ่ยขึ้น “มีๆ ๆ! ผู้ดูแลหวังมักจะเอาของบางส่วนในร้านกลับไป แม้จะเป็นเพียงเศษเล็กเศษน้อย แต่ก็มีทั้งเงินและทอง และยังมีพวกเศษผ้าอีกด้วย”สิ่งของในร้านเฟิ่งอวิ๋นล้วนไม่ใช่ของราคาถูกชั้นสองและชั้นสามเป็นของสั่งทำทั้งหมด ผ้าที่ลูกค้าเลือกเพื่อตัดชุด รวมถึงอัญมณีกับวัสดุที่ลูกค้าเลือกทำเครื่องประดับ หลังทำสิ่งเหล่านี้ ต้องมีเศษเหลือแน่นอน แม้จะเป็นเศษเล็กเศษน้อย แต่ก็เป็นของที่มีราคาค่างวด“ไม่เพียงเท่านี้ บางครั้งก็แอบเอาเครื
หลังจากที่อันหมิงจูจากไปแล้ว เวินซื่อจึงเริ่มตรวจตราร้านเฟิ่งอวิ๋นทั้งหมดด้วยตนเอง จากนั้นก็ตรวจสอบบัญชีของเดือนนี้อีกรอบเมื่อแน่ใจว่าไม่มีปัญหาอื่นใดแล้ว นางจึงเอ่ยกำชับว่า “หากมีเรื่องอะไรหลังจากนี้ ให้ส่งจดหมายไปยังที่ดินที่กุยอวิ๋น พ่อบ้านหลานอยู่ที่นั่น เขาจะเป็นผู้รับผิดชอบจัดการเรื่องราวทั้งหมด หากมีเรื่องที่พ่อบ้านหลานจัดการไม่ได้ ก็ค่อยส่งจดหมายไปหาข้าที่อารามสุ่ยเยว่ เข้าใจหรือไม่?”“ขอรับ ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์โปรดวางใจ”หลังจากนั้น นางก็กำชับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เมื่อฉางเสี่ยวหานกลับมาแล้ว เวินซื่อถึงได้ลุกขึ้นออกจากร้านเฟิ่งอวิ๋นกิจการของร้านเฟิ่งอวิ๋นในตอนนี้ดีมาก ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไรรอจนกว่าผู้ดูแลร้านคนเดิมกลับมา ก็ให้ดูแลจัดการต่อไปได้เลยตอนนี้นางมีที่ดินอยู่ในมือสามแห่งแล้ว และนางก็ตั้งใจจะปลูกสมุนไพรทั้งสามแห่งคนของทางพ่อบ้านหลานนั้นเริ่มจะไม่พอ ดังนั้น ช่วงนี้ส่วนใหญ่แล้วเขาจึงต้องออกไปวิ่งเต้นด้วยตัวเอง ไปๆ มาๆ ระหว่างที่ดินทั้งสามแห่ง ยุ่งเสียจนแทบจะไม่ไหวดังนั้น เรื่องของร้านเฟิ่งอวิ๋น เขาก็คงยังไม่รู้แต่ประจวบเหมาะที่นางมาจัดการแล้ว พ่อบ้านห
เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเวินเยวี่ย เวินเฉวียนเซิ่งที่เดิมทีไม่คิดจะสนใจ สุดท้ายก็จำต้องนำเงินไปยังที่ว่าการซุ่นเทียนใครจะไปรู้ว่าพอไปถึงที่นั่นแล้ว เห็นยอดรวมของทรัพย์สินที่ขโมยที่ผู้ว่าการซุ่นเทียนคิดออกมา มีมูลค่ามากถึงหนึ่งหมื่นกว่าตำลึง“เจ้าคนสารเลวนั่นมันขโมยอะไรไปบ้าง? เหตุใดถึงได้มากมายขนาดนี้?!”ผู้ว่าการซุ่นเทียนมองเวินเฉวียนเซิ่งด้วยสายตาที่ค่อนข้างซับซ้อนสายตานี้ทำให้เวินเฉวียนเซิ่งรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาทันทีเป็นจริงดังคาด วินาทีต่อมาก็ได้ยินผู้ว่าการซุ่นเทียนเอ่ยขึ้น “คนผู้นี้ชื่อหวังชาง ก่อนหน้านี้ถูกบุตรสาวคนเล็กของท่านจัดแจงให้ไปเป็นผู้ดูแลร้านที่ร้านเฟิ่งอวิ๋น แต่เมื่อไม่นานมานี้ ร้านเฟิ่งอวิ๋นเปลี่ยนเจ้าของ เจ้าของคนใหม่พบว่าคนผู้นี้ไม่เพียงแต่มีความประพฤติไม่เหมาะสมเท่านั้น ก่อนหน้านี้ก็ยังมีพฤติกรรมทุจริต จึงได้ไล่หวังชางออก ใครจะไปรู้ว่าหวังชางอาศัยความเป็นญาติห่างๆ ของท่านเจิ้นกั๋วกง อาศัยช่วงที่คนของเจ้าของร้านไม่อยู่ ยังคงดื้อด้านอยู่ที่ร้านเฟิ่งอวิ๋นไม่ยอมไป ทั้งยังแอบขโมยเครื่องประดับล้ำค่าไปหลายชิ้น สุดท้ายถูกคนของเจ้าของร้านจับได้ มีทั้งพยานบุ
ในชั่วขณะนั้น เวินอวี้จือเหงื่อกาฬแตกพลั่กแต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกยังดีที่น้องหกไม่เป็นอะไรเวินอวี้จือหันกลับไปมองเวินเฉวียนเซิ่ง ฝืนยิ้มเล็กน้อย “ท่านพ่อโปรดอภัย เป็นลูกที่ได้กลิ่นคาวเลือด จึงพูดออกไปด้วยความตื่นตระหนก”“ไม่ใช่พูดผิด แต่พูดสิ่งที่อยู่ในใจเจ้าออกมากระมัง”เวินเฉวียนเซิ่งแค่นเสียงเย็นอย่าคิดว่าเขาไม่รู้ บุตรชายที่อ่อนแอขี้โรคคนนี้ เป็นบุตรชายที่เย็นชาที่สุดในบรรดาบุตรชายทั้งสี่คนไม่ว่าจะเป็นพี่ชายน้องสาวทั้งหลาย รวมถึงบิดาอย่างเขา ก็ไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันอะไรมากนักมีเพียงบุตรสาวคนเล็กคนนี้ที่เขาพาตัวกลับมา เวินอวี้จือกลับใส่ใจบุตรสาวคนเล็กคนนี้เป็นอย่างมากแต่ก็ไม่เป็นไร บุตรชายที่มีร่างกายอ่อนแอเช่นนี้ สำหรับเขาแล้วไม่มีประโยชน์อะไรเลยผู้สืบทอดที่เขาหมายตาไว้มีเพียงคนเดียวเท่านั้นอีกสามคนที่เหลือ ขอเพียงอยู่อย่างสงบก็พอแล้วเวินเฉวียนเซิ่งเดินผ่านเวินอวี้จือเข้าไปนั่งลงจากนั้นก็เรียกองครักษ์ลับออกมา จัดการกับศีรษะของหวังชางแต่ภายในห้องนี้ก็ยังมีร่องรอยของเลือดหลงเหลืออยู่ไม่น้อยดูแล้วก็ยังคงน่าขนลุกอยู่บ้างเวินเยวี่ยรู้
และยังมีบางส่วนที่เป็นที่ดินที่ซื้อเพิ่มเติมอีกหลังจากที่เวินอวี้จือดูจบแล้ว ก็เงยหน้าขึ้นมองเวินเฉวียนเซิ่งด้วยความสงสัย “ท่านพ่อ เวินซื่อซื้อเมล็ดพันธุ์และต้นกล้าสมุนไพรมากมายขนาดนี้ไปทำไม? นางไม่ได้ปลูกสมุนไพรไว้เต็มที่ดินที่กุยอวิ๋นหมดแล้วหรือ? เหตุใดยังต้องปลูกอีก?”เวินเฉวียนเซิ่งหัวเราะเยาะ “เรื่องแค่นี้ยังดูไม่ออกอีกหรือ? สมองพวกเจ้าสู้เวินซื่อไม่ได้จริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่พ่ายแพ้ให้นางครั้งแล้วครั้งเล่า”เวินเฉวียนเซิ่งกล่าวอย่างเย็นชา “ด้วยฐานะและชื่อเสียงของเวินซื่อในตอนนี้ ตำแหน่งธิดาศักดิ์สิทธิ์ของนางอาจจะอาศัยโชคและเรื่องบังเอิญทำให้รุ่งโรจน์ได้ชั่วคราว แต่ไม่มีทางยั่งยืนแน่นอน เพราะว่านางไม่ได้มีวิชาความสามารถพิเศษอะไรจริงๆ ดังนั้น นางจึงต้องคิดหาวิธีอื่นเพื่อรักษาชื่อเสียงธิดาศักดิ์สิทธิ์ของนางไว้”“จากที่ผ่านมาหลายครั้ง เห็นได้ชัดว่าเวินซื่อเลือกที่จะเดินในเส้นทางการแพทย์ อย่างเช่น ธิดาศักดิ์สิทธิ์ใช้วิชาแพทย์ช่วยเหลือผู้คนอะไรทำนองนั้น แต่การที่จะให้วิชาแพทย์เก่งกาจขึ้นอย่างรวดเร็ว มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านการแพทย์นั้นเป็นไปไม่ได้ ต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าถึงหกปีจึงจะ
“เป็นไปได้อย่างไร?!”เวินอวี้จือยังคงไม่เชื่อเวินเฉวียนเซิ่งกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ถ้าเจ้าไม่เชื่อ เจ้าก็ไสหัวไปดูที่ดินที่กุยอวิ๋นเองสิ ตอนนี้แปลงสมุนไพรเหล่านั้นถูกปลูกด้วยสมุนไพรใหม่อีกครั้งจนเต็มไปหมดแล้ว”สีหน้าของเวินอวี้จือย่ำแย่ลงในทันทีเดิมทีคิดว่าอย่างน้อยตนเองน่าจะเอาคืนได้บ้างในเรื่องแปลงสมุนไพร แต่คาดไม่ถึงว่าเขาก็ยังคงพ่ายแพ้อยู่ดีหรือว่าเวินซื่อก็มีตำรายาพิษของหมอปีศาจราชันพิษอยู่ในมือ?สีหน้าของเวินเยวี่ยที่อยู่ข้างๆ ก็ดูย่ำแย่เช่นกันเจ้าคนขี้โรคผู้นี้เหตุใดยังคงไร้ประโยชน์เช่นนี้?ก่อนหน้านี้ เพื่อที่จะเอาใจนาง เวินจื่อเยวี่ยจึงนำคำพูดที่เวินอวี้จือพูดกับเขามาบอกนางด้วยเช่นกันตอนนั้นเวินอวี้จือยังพูดอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “นอกจากหมอปีศาจราชันพิษจะมาแก้พิษด้วยตนเอง ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีใครสามารถรักษาแปลงสมุนไพรของเวินซื่อได้” แต่ตอนนี้กลับถูกแก้ไขได้อย่างง่ายดาย?หรือว่ารอบตัวเวินซื่อจะมีหมอปีศาจราชันพิษซ่อนตัวอยู่?!เวินเยวี่ยชะงักไปครู่หนึ่งนางครุ่นคิดทบทวนดูว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ แต่หลังจากนั้นก็ส่ายหน้าก็แค่แม่ชีไม่กี่คนที่อยู่ข้างกายเวินซื่อ จะเป็
ถึงขั้นเอาอีกฝ่ายมาข่มขู่เวินจื่อเยวี่ย ทำให้เวินจื่อเยวี่ยต้องเลือกระหว่างนางและหลินเนี่ยนฉือแล้วนางสารเลวที่ยังไม่เดินผ่านประตูเข้ามาจะเอาอะไรมาเทียบกับนาง!เวินเยวี่ยโกรธจัดจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ในเสี้ยววินาทีที่ก้มศีรษะลง สายตาอาบยาพิษช่างน่าสะพรึงกลัว“ยุแยงตะแคงรั่ว?”เวินซื่อแค่รู้สึกว่าคำพูดของเวินจื่อเยวี่ยน่าขบขันมาก “มีเพียงคนที่มีหัวใจเท่านั้นถึงจะรู้สึกว่าใคร ๆ ก็เป็นเช่นนี้”นางเหลือบมองเวินเยวี่ยแวบหนึ่งอย่างเฉยชา ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่แยแส “ท่านคิดว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้จะใช้พวกท่านไปก่อกวนความสงบของนางหรือ? ฝันไปเถอะ พวกท่านยังไม่คู่ควร”“เหอะ พูดเสียน่าฟัง ถ้าไม่ใช่เพราะจดหมายที่เจ้าเขียนไปฟ้อง หลินเนี่ยนฉืออยู่ที่อู๋โจวอยู่ดี ๆ จะเข้ามาที่เมืองหลวงทำไม? แล้วยังต้องการถอนหมั้นกับข้าอีก?!”ถึงตอนนี้เวินจื่อเยวี่ยยังคงเชื่อว่าเวินซื่อไปพูดอะไรกับหลินเนี่ยนฉือ ถึงทำให้หลินเนี่ยนฉือทำเช่นนั้น“ท่านคิดว่าข้อมูลในใต้หล้านี้มีสิ่งใดที่สามารถปิดบังได้อย่างนั้นหรือ? จวนเจิ้นกั๋วกงของพวกท่านได้ทำเรื่องที่น่าอับอายขายขี้หน้า ไร้ยางอายมาไม่น้อย แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงตั้งน
อูฐผอมซูบยังตัวใหญ่กว่าม้าการจะทำลายจวนเจิ้นกั๋วกงอันใหญ่โตแห่งนี้โดยอาศัยแมลงเพียงไม่กี่ตัว มันเป็นไปไม่ได้เลยแน่นอน มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิงเพียงแต่ราคาที่ต้องจ่ายนั้นสูงเกินไปอย่างเช่นการหมั้นหมายระหว่างจวนเจิ้นกั๋วกงและสกุลหลินเมื่อจวนเจิ้นกั๋วกงถูกกล่าวหาว่าสมคบคิดกับชาวต่างเผ่า เวินเฉวียนเซิ่งจะต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อชำระล้างให้หลุดพ้นจากข้อกล่าวหานี้และวิธีการที่ดีที่สุดก็ต้องเป็นการดึงผู้คนให้เข้ามาพัวพันมากขึ้นสกุลหลินที่ยังมีการหมั้นหมายกับจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นกลุ่มแรกที่รับศึกหนัก โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างหลินเนี่ยนฉือและเวินซื่อ และจะกลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เวินเฉวียนเซิ่งดึงสกุลหลินให้ลงมาพัวพันด้วยดังนั้นก่อนจะยุติการหมั้นหมายระหว่างหลินเนี่ยนฉือและเวินจื่อเยวี่ย เวินซื่อยังไม่สามารถทำอะไรบุ่มบ่ามได้ทว่า ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถแตะต้องจวนเจิ้นกั๋วกงได้ แต่การมีเวินเยวี่ยเพียงคนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียหาย“หมั้น...หมั้นหมาย?”ในขณะนี้ เสียงที่สับสนของเวินเยวี่ยก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังของ เวินจื่อเยวี่ย“พี่สาม ท่านหมั้นกับใครตั้
“ท่าน…!”เวินเยวี่ยลมแทบจับเมื่อได้ยินที่เวินซื่อพูดนางข่มไฟโทสะเอาไว้ “ธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่คนของกองทัพธงดำเสียหน่อย ให้ท่านมาทำการค้นหา ไม่น่าจะเหมาะสมกระมัง?”เวินเยวี่ยฝืนยิ้ม “ท้ายที่สุดแล้วบุญคุณความแค้นระหว่างพี่หญิงห้ากับเยวี่ยเอ๋อร์นั้นเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งกันทั่วทุกคน ถ้าเกิด…”ประโยคสุดท้ายนี้ไม่ได้พูดออกมาทั้งหมด แต่ก็สามารถเข้าใจทุกอย่างที่ควรเข้าใจถ้าเกิดเวินซื่อเข้าไปวางกลอุบายบางอย่างเพื่อใส่ร้ายนางแล้วจะทำเช่นไร?เวินซื่อหันหน้าไปเผชิญหน้ากับเวินเยวี่ย รอยยิ้มเล็ก ๆ เผยออกมาบนใบหน้าอันบริสุทธิ์ผุดผ่องและงดงามของนาง “ข้าไม่ต่ำช้าไร้ยางอายเหมือนเจ้า”ใบหน้าของเวินเยวี่ยสลดลงเพราะดำด่าของนางทันทีแต่วินาทีต่อมาก็ได้ยินเวินซื่อพูดว่า “แต่ว่านี่มันก็เป็นปัญหาจริง ๆ ในเมื่อคุณหนูหกสกุลเวินเป็นกังวลเช่นนี้ เช่นนั้นข้าธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็ขอยืนค้นหาอยู่ที่ประตูแล้วกัน”ยืนค้นหาอยู่ที่ประตูหรือ?แล้วจะค้นหาอย่างไร?ขณะที่เวินเยวี่ยและคนอื่น ๆ กำลังงุนงง เวินซื่อก็พลิกฝ่ามือ ก่อนจะหยิบขวดหยกขวดหนึ่งออกมาจากกลางฝ่ามือของนางฉางเสี่ยวหานก้าวเข้าไปรับขวดหยกจากมือของเว
“เหลวไหลสิ้นดี!”แววอันตรายฉายผ่านดวงตาอันคมกริบของเวินเฉวียนเซิ่งในทันใดเขาจ้องไปที่รถม้าที่เวินซื่อนั่งอยู่ สายตามองทะลุช่องว่างของม่านหน้าต่าง พลางชี้ตรงไปที่เวินซื่อ “เวินซื่อ เจ้ารู้ไหมว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่? เจ้ากำลังใส่ร้ายขุนนางในราชสำนักซึ่งเป็นความผิดร้ายแรง!”“หากเจ้าไม่สามารถแสดงหลักฐานใด ๆ ได้ ต่อให้เจ้าจะเคยเป็นลูกสาวของข้า ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ เด็ดขาด!”“เจิ้นกั๋วกงไม่จำเป็นต้องใจร้อนขู่ขวัญเช่นนี้”ว่าแล้วเวินซื่อก็ยกมือขึ้นเปิดม่านรถแล้ว เดินออกมาจากด้านในอย่างช้า ๆเสี่ยวหานก้าวไปข้างหน้าอย่างมีไหวพริบ ทำตามสาวใช้เหล่านั้น เอื้อมมือออกไปช่วยประคองธิดาศักดิ์สิทธิ์ของนางลงจากรถม้าช้า ๆหลังจากลงสู่พื้นและยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว เวินซื่อก็เงยหน้าขึ้นมองเวินเฉวียนเซิ่งผ่านกองทัพธงดำ นางยิ้มเล็กน้อย “ถ้าธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่มีหลักฐาน วันนี้จะกล้านำกองกำลังไปปิดล้อมจวนเจิ้นกั๋วกงของท่านได้อย่างไร”การทำงานตามคำสั่งส่วนตัวของอ๋องผู้สำเร็จราชการเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การทำงานตามพระราชโองการของฝ่าบาทก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเวินซื่อยกมือขึ้น รับพระราชโองการจากมือของกองทัพ
ให้อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนมาหนุนหลังนางแล้วอย่างไรต่อ เขาไม่เชื่อว่า อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้สง่างามจะบังคับเขาให้ถอนหมั้นได้อย่างนั้นหรือ!เมื่อเวินเฉวียนเซิ่งได้ยินเวินจื่อเยวี่ยพูด ก็มองเขาแวบหนึ่งอย่างเย็นชา “เจ้าควรคิดหาวิธีช่วยพี่ใหญ่ของเจ้าก่อนดีกว่า ถ้าครั้งนี้พี่ใหญ่ของเจ้าตาย ก็อย่าได้คิดเรื่องหมั้นหมายเลย ข้าเวินเฉวียนเซิ่ง ไม่มีลูกชายที่ใจไม้ไส้ระกำอย่างเจ้า”ใบหน้าของเวินจื่อเยวี่ยขรึมลงทันทีเขารู้ว่าลูกชายคนโปรดของบิดาไม่ใช่เขา แต่เป็นพี่ใหญ่ที่บิดาเลี้ยงดูอย่างสุดชีวิตจิตใจแต่เขานึกไม่ถึงว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว บิดาจะยังโหดร้ายถึงเพียงนี้ เอาการหมั้นหมายของเขามาข่มขู่เขาเวินจื่อเยวี่ยไม่ได้พูดอะไรอีกแต่ในขณะนี้ พ่อบ้านนั้นพูดด้วยสีหน้าขมขื่น “ท่านกั๋วกง คุณชายสาม ครั้งนี้ผู้ที่นำกองทัพธงดำมาไม่ใช่ท่านอ๋องขอรับ”เมื่อได้ยินคำพูดนี้เวินเฉวียนเซิ่งก็หันกลับไปหาพ่อบ้าน “ไม่ใช่เป่ยเฉินหยวนหรอกหรือ? แล้วใครล่ะ?”นอกจากฮ่องเต้น้อยและเป่ยเฉินหยวนเองแล้ว ยังมีใครอีกที่สามารถระดมกองทัพธงดำ ถึงขั้นกล้าปิดล้อมจวนเจิ้นกั๋วกงของเขาได้?ขณะที่เวินเฉวียนเซิ่งกำลังครุ่นคิดในหัวว
“เสี่ยวหาน ให้ข้าดูหน้าเจ้าหน่อยสิ”หลังจากขับไล่เวินเฉวียนเซิ่งและเวินจื่อเยวี่ยออกไปแล้ว เวินซื่อก็ดึงฉางเสี่ยวหานเข้ามา“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ตบไม่โดนหน้า ข้าหลบได้นิดหน่อย แค่ตบโดนหัวเท่านั้น”ถึงกระนั้น การตบของเวินจื่อเยวี่ยก็หนักหน่วงมาก จนศีรษะของฉางเสี่ยวหานถึงกับสั่นคลอนในตอนนั้น ใช้เวลาสักพักกว่าจะตอบสนองได้“เจ้าไม่ต้องกังวล การตบครั้งนี้ข้าจะต้องเอาคืนเขาอย่างแรงแน่นอน”สีหน้าของเวินซื่อเคร่งขรึมลง น้ำเสียงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งฉางเสี่ยวหานลุกขึ้นกล่าวว่า “ไม่ ๆ ๆ ไม่ต้องหรอกธิดาศักดิ์สิทธิ์ เมื่อครู่ท่านช่วยตบคืนแทนเสี่ยวหานแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีกเจ้าค่ะ”ฉางเสี่ยวหานรู้จักคนในเมืองหลวงน้อยมาก แต่หลังจากติดตามเวินซื่อมาเป็นเวลานาน ก็ได้เรียนรู้เรื่องต่าง ๆ มากขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์พูดกับสองพ่อลูกคู่นั้นเมื่อครู่ ก็ย่อมสามารถคาดเดาตัวตนของพวกเขาได้อย่างง่ายดายคนหนึ่งคืออดีตบิดาของธิดาศักดิ์สิทธิ์ อีกคนคืออดีตพี่ชายของธิดาศักดิ์สิทธิ์ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั้นย่ำแย่มากพออยู่แล้ว หากธิดาศักดิ์สิทธิ์ต้องทะเลาะกับพี่ชายหนักขึ้นด้วยเรื่
เขาขบริมฝีปากล่างแน่น กัดปากของตัวเองแตกเหมือนไม่รู้สึกตัว ปล่อยให้เลือดไหลลงจากมุมปากช้า ๆ“หลินเนี่ยนฉือล่ะ?”เวินจื่อเยวี่ยเอ่ยปากถามขึ้นทันใด“ข้าอยากพบนาง”“นางไม่อยากพบท่าน”เวินซื่อเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ“ข้าบอกว่าข้าอยากพบนาง!”เวินจื่อเยวี่ยตวาดลั่นอย่างฉุนเฉียวขึ้นมาทันใด พลางปัดมือของจางเสี่ยวหานออกมือของจางเสี่ยวหานถูกตีเจ็บ ตกใจสะดุ้งโหยง เมื่อนางรู้ตัวก็เอื้อมมือออกไปอีกครั้ง คว้าเพียงหนังสือถอนหมั้นฉบับนั้นไว้ส่วนจี้หยกก็ร่วงลงสู่พื้นดัง “ตุ้บ” ตามมาด้วยเสียงแตกหักดังขึ้น จี้หยกแยกออกเป็นสองส่วนทันทีเวินจื่อเยวี่ยที่ยังอยู่ในอาการฉุนเฉียวเมื่อได้ยินเสียงนี้อย่างกะทันหัน ก็ก้มหน้าลงมอง เกิดความสับสนขึ้นโดยพลันเขารีบเก็บจี้หยกขึ้นมา เมื่อมองดูรอยแตกหักนั้น ก็ไม่อาจยับยั้งไฟโทสะที่อัดอั้นอยู่เต็มอกไว้ได้ เพียงชั่วครู่ก็ระเบิดอารมณ์ใส่ฉางเสี่ยวหาน...“ใครให้เจ้าทำของของข้าพัง! เจ้าอยากตายหรือไง?!”“อะไรนะ? ไม่ใช่ข้า เป็นท่านต่างหากที่ปัดมือของข้าเอง...”“สาวใช้ต่ำต้อยอย่างเจ้ายังกล้าเถียงอีก!”เวินจื่อเยวี่ยลุกพรวดขึ้น สีหน้ามีรอยพยายาท ยกมือขึ้นตบหน้าฉางเส
เวินจื่อเยวี่ยมองเวินเฉวียนเซิ่งอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ท่านพ่อ พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”เวินจื่อเยวี่ยเงียบไปครู่หนึ่ง “เจ้าน่าจะเข้าใจ เจ้าสาม”“ข้าไม่เข้าใจ!”เวินจื่อเยวี่ยตวาดออกมาทันใด พลางจ้องมองไปที่บิดาของเขาอย่างไม่ละสายตาเวินเฉวียนเซิ่งถอนหายใจอีกครั้ง “แค่การหมั้นหมายเท่านั้น พ่อรู้ว่าเจ้าไม่เต็มใจยอมรับ แต่พี่ใหญ่ของเจ้ามีเวลาเหลือไม่มากแล้ว ถ้ายังไม่เอายากลับไปอีก เขาจะต้องตายในไม่ช้า”“เจ้าสาม เจ้าจะทนเห็นพี่ใหญ่ของเจ้าตายไปได้จริงหรือ?”เวินจื่อเยวี่ยที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ของเขาได้ถามด้วยเสียงอันสั่นเครือเล็กน้อย “ก็เลยต้องเสียสละการหมั้นของข้าเพื่อช่วยพี่ใหญ่อย่างนั้นหรือ? ทั้ง ๆ ที่เรายังมีวิธีอื่นอีก แต่ท่านก็ยังยืนกรานที่จะขอร้องเวินซื่อ?!”“ยังมีวิธีอื่นอีกหรือ?”สีหน้าของเวินเฉวียนเซิ่งเย็นชาลง น้ำเสียงแย่มาก “ไม่ว่าจะเป็นบัวหิมะก็ดี เห็ดหลินจือสีม่วงอายุหนึ่งร้อยปีก็ดี หรือหญ้าฝรั่นที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยซ้ำก็ดี เจ้าคิดว่ามีสิ่งไหนหาง่ายบ้าง?!”“หากพี่ใหญ่ของเจ้ายังยืดเวลาได้อีกครึ่งค่อนเดือน พ่อก็จะไม่รีบร้อนเช่นนี้! แต่นี่พี่ใหญ่ของเจ้าอาจตายได้
นางมองเวินเฉวียนเซิ่งอย่างเย็นชา “ท่านไม่มีคุณสมบัตินี้ตั้งนานแล้ว”“เวินซื่อ! จงระวังท่าทีในการพูดจาของเจ้าด้วย แม้ว่าตอนนี้เจ้าจะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่ความสัมพันธ์พ่อลูกของเจ้ากับพ่อจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลง อย่าลืมว่ายังมีเลือดของสกุลเวินไหลเวียนอยู่ในตัวเจ้า”“ใครบอกว่าเปลี่ยนแปลงไม่ได้?”เวินซื่อยิ้มเยาะ “ความสัมพันธ์นี้จะเปลี่ยนไปในไม่ช้า แต่ตอนนี้ขอวกกลับเข้าประเด็นก่อน ท่านเจิ้นจั๋วกง ท่านยังไม่ได้บอกตัวเลือกของท่านเลย ท่านวางแผนที่จะเลือกใครกันแน่?”ล้มเหลวในการเล่นกับอารมณ์ ล้มเหลวในการข่มขู่กลับมาสู่เงื่อนไขข้อแรกสุดอีกครั้ง สายตาของเวินเฉวียนเซิ่งเย็นชาลงระดับหนึ่งในทันใดเวินซื่อดูเหมือนจะมองไม่เห็นเลย เร่งรัดเขาด้วยอารมณ์ที่ดีมาก“ข้ามีเวลาไม่มากนัก ท่านเจิ้นจั๋วกงรีบตัดสินใจโดยเร็วที่สุดเถอะ มิฉะนั้นก็จะไม่มีการเจรจาใด ๆ อีกแล้ว”นางหันไปมองเวินเฉวียนเซิ่งด้วยรอยยิ้มตาหยี “‘พี่ใหญ่แสนดี’ ของข้าก็น่าจะมีเวลาไม่เพียงพอใช่ไหม?”“ถุย!”เวินจื่อเยวี่ยถ่มน้ำลายใส่นางอย่างรุนแรง “พี่ใหญ่ไม่มีน้องสาวที่ชั่วร้ายอย่างเจ้า!”“ถูกต้อง ข้าชั่วร้าย แต่ก็เทียบไม่ได้กับเว