ระหว่างทางกลับ เวินซื่อซบลงบนหลังจู๋เยวี่ย โอบกอดนางเบาๆนายบ่าวทั้งสองต่างเข้าใจตรงกันว่าจะไม่พูดถึงความลับเมื่อครู่นี้คนหนึ่งเปิดเผยความลับ ส่วนอีกคนก็เก็บงำความลับให้นางหลังจากที่กลับถึงอารามสุ่ยเยว่ ท้องฟ้าก็สว่างแล้วจริงๆเวินซื่อจึงไม่ได้กลับไปนอนอีกนางดื่มน้ำทิพย์ในมิติเล็กน้อย เพื่อเพิ่มความสดชื่นให้ตนเอง ก่อนที่เป่ยเฉินหยวนจะมาถึง นางก็เรียกจู๋เยวี่ยออกมาอีกครั้งเพราะนางตั้งใจจะมอบหมายงานอย่างหนึ่งให้จู๋เยวี่ย“จู๋เยวี่ย ก่อนหน้านี้เจ้าน่าจะเคยเห็นองครักษ์ลับที่อยู่ข้างกายเจิ้นกั๋วกงแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง รับมือได้หรือไม่?”จู๋เยวี่ยพยักหน้า “ได้เจ้าค่ะ”“ถ้าเช่นนั้น หลังจากที่ข้าออกเดินทางไปพร้อมกับรถม้าของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนหนึ่งวันแล้ว เจ้าช่วยไปลักพาตัวคนคนหนึ่งที่จวนเจิ้นกั๋วกงมาให้ข้าที”“เจ้าค่ะ”จู๋เยวี่ยพยักหน้ารับคำโดยไม่ถามด้วยซ้ำว่าเป็นใครเวินซื่อยิ้ม “คนผู้นั้นเจ้าเคยเห็นมาหลายครั้งแล้ว ก็คือเวินเยวี่ย ตอนนี้เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ นางน่าจะนอนอยู่บนเตียงไม่สามารถขยับได้ เจ้าช่วยพานางมาให้ข้า อย่าให้ผู้ใดพบเห็น”“อู๋โยววางใจเถิด”หลังจากมอบหม
สีหน้ากังวลบนใบหน้าของเวินฉางอวิ้นไม่ได้เสแสร้งเขาเป็นห่วงเวินซื่อที่จะต้องไปที่จินโจวมากจริงๆ แต่เขาก็มักจะประเมินความตั้งใจของเวินซื่อต่ำเกินไปทุกครั้ง“คุณชายใหญ่ไม่ต้องพูดแล้ว การเดินทางไปจินโจวครั้งนี้เป็นความตั้งใจของข้า ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายืนกรานที่จะไป ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนใจข้าได้”“น้องห้า! เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?!”ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือตอนนี้ เวินฉางอวิ้นก็ไม่สามารถเข้าใจนางได้จริงๆ “สถานที่อันตรายเช่นนั้น เหตุใดเจ้าถึงต้องไปด้วย?! เหมือนกับตอนที่พี่ใหญ่เคยเตือนเจ้า เจ้าก็ไม่เคยฟัง ไม่ยอมกลับบ้าน และไม่ยอมหันหลังกลับ!”“แม้ว่าเจ้าจะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ทำได้เพียงใช้ชีวิตอย่างสงบเรียบง่าย ละจากทางโลก จะไปลำบากที่อารามแม่ชีนั่นก็ช่างเถอะ แต่ตอนนี้เป็นเรื่องที่เอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้จินโจววุ่นวายมากแค่ไหน?!”“น้องห้า เลิกเอาแต่ใจตัวเองได้แล้ว ตามพี่ใหญ่กลับไปเถอะ!”เวินฉางอวิ้นไม่อยากเห็นเวินซื่อไปจินโจว เขาพยายามเกลี้ยกล่อมด้วยความหวังดี แต่น่าเสียดายที่เวินซื่อมีเพียงความเฉยเมยต่อคำพูดเหล่านี้ของเขา“ข้าได้พูดไปแล้ว ไม่ต้องเกลี้ยกล่อมอีก และ
เนื่องจากเวินซื่อไม่อยากถูกใครรบกวน หลังจากนั้นหากมีใครคิดจะมาหาเวินซื่ออีก ก็ถูกเป่ยเฉินหยวนสั่งให้คนขวางไว้ ไม่อนุญาตให้เข้าใกล้เวินซื่อนั่งอยู่ในรถม้า บางครั้งก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดูเหมือนว่าฉีเซิ่งจากจวนเสนาบดีนั่นจะมาและก็มีชุยเส้าเจ๋อที่ปรากฏตัวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยแต่สิ่งที่เวินซื่อไม่รู้ก็คือ ในบรรดาคนที่มาร่วมส่งนาง ยังมีอันหลันซินอีกคนมองรถม้าและกองทัพที่เคลื่อนตัวออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ อันหลันซินที่ยืนอยู่หลังต้นไม้กับสาวใช้คนสนิท ก็มองตามด้วยสายตาเหม่อลอย“อาซื่อ เจ้าคงลืมข้าไปนานแล้วสินะ? แต่เจ้าลืมข้าได้อย่างไรกัน?”อันหลันซินหัวเราะเยาะตัวเอง“นางเคยบอกว่าต่อไปพวกเราจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด แต่น่าเสียดาย ในใจของเจ้าข้าไม่มีวันเทียบกับหลินเมี่ยวฉือได้”อันหลันซินพึมพำกับตัวเอง แม้แต่เลือดที่ไหลออกมาจากมือที่จิกเปลือกไม้อย่างแรง นางก็ไม่ได้สนใจนางเพียงแต่มองไปยังทิศทางที่เวินซื่อจากไป “ไปเถอะ ไปเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าที่จินโจวให้ดี รอวันที่เจ้ากลับมา เจ้าจะนึกถึงข้าขึ้นมาอีกครั้ง”หลังจากพูดจบ อันหลันซินก็หันหลังออกไปจากที่นี่……รถม้าเคลื่อนตัวออกห่า
เวินซื่อพยักหน้าอย่างว่าง่ายรอจนกระทั่งเขาออกจากห้องไปเลี้ยวขวาและเข้าไปในห้องของตัวเองแล้ว เวินซื่อจึงปิดประตูแล้วเริ่มเก็บของไม่นานนัก ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนก็มาเคาะประตู“อู๋โยว เก็บของเรียบร้อยแล้วหรือยัง?”เห็นได้ชัดว่ากำลังเร่งให้นางลงไปกินข้าวได้แล้วเวินซื่อที่เพิ่งปูเตียงเสร็จ “...”ก็ได้ เมื่อเทียบกับท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่มักจะออกไปรบข้างนอก ความเร็วของนางช้ากว่าเล็กน้อยจริงๆ ช่างเถอะ เดี๋ยวค่อยเก็บก็ได้“มาแล้วๆ ”เวินซื่อเปิดประตูเดินออกมา “ไปกันเถอะ ข้างบนนี้ยังได้กลิ่นอาหารมาจากข้างล่างเลย ดูเหมือนว่าจะทำเสร็จแล้ว”ตอนนี้นางก็รู้สึกหิวขึ้นมาพอดีจริงๆ เป่ยเฉินหยวนยิ้ม “ลืมบอกท่านไปเลย ในกล่องไม้บนรถม้ามีขนมอยู่เล็กน้อย ถ้าท่านหิวก็หยิบออกมากินได้”เวินซื่อนั่งรถม้ามาทั้งวัน กลับไม่พบเรื่องนี้จริงๆ ที่สำคัญรถม้าคันนั้นก็ไม่ใช่ของนาง คงไม่ดีที่จะไปค้นหาของในรถม้าของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตเมื่อลงมาถึงชั้นล่าง เวินซื่อก็พบว่าบรรยากาศรอบตัวของเป่ยเฉินหยวนที่อยู่ข้างๆ เปลี่ยนเป็นน่าเกรงขามขึ้นนางเงยหน้าขึ้นมอง จึงพบว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร มีแขก
“เหตุใดจึงไม่กินเนื้อเลยสักนิด? กินแต่ผัก?”เป่ยเฉินหยวนทานข้าวอย่างรวดเร็วมาก หลังจากที่ทานเสร็จแล้ว ก็จ้องมองเวินซื่อกินข้าวตลอดพอจ้องมองอยู่แบบนี้ก็พบความผิดปกติ นังหนูคนนี้คีบแต่ผัก ทั้งซ้ายทีขวาที ไม่คีบเนื้อเลยไม่กินเนื้อแม้แต่ชิ้นเดียวทันใดนั้น เป่ยเฉินหยวนก็ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถาม “ท่านไม่ชอบกินเนื้อที่นี่หรือ?”เวินซื่อส่ายหน้า ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “ท่านอ๋องลืมไปแล้วหรือ ตอนนี้ข้าเป็นนักบวชนะ นักบวชกินเนื้อไม่ได้”เนื่องจากตอนนี้เวินซื่อไม่ได้สวมชุดสีฟ้าทะเล แต่เป็นชุดธรรมดา ดังนั้นเป่ยเฉินหยวนจึงไม่ได้นึกขึ้นได้ในทันทีหลังจากได้ยินคำพูดของนาง จึงตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้นกว่าเดิมเดิมทีนังหนูก็ตัวผอมอยู่แล้ว ทั้งผอมทั้งเล็ก ยังไม่กินเนื้ออีก ร่างกายจะเติบโตเต็มที่ได้อย่างไร?“กินไม่ได้สักนิดเลยหรือ?”เวินซื่อส่ายหน้า “กินไม่ได้”เป่ยเฉินหยวนพูดจาหว่านล้อม “ที่นี่ไม่ใช่อารามสุ่ยเยว่ ท่านแอบกินนิดหน่อยก็ได้”เวินซื่อยังคงส่ายหน้า “ไม่ได้หรอก ข้ารู้ว่าที่นี่ไม่ใช่อารามสุ่ยเยว่ แต่ข้าตั้งใจบำเพ็ญตบะ หากผิดศีลก็เท่ากับทำลายการบำเพ็ญตบะ”เมื่อได้ยินเช่นนี้
“พ่ะย่ะค่ะ”หลังจากสั่งการเสร็จ เป่ยเฉินหยวนก็หันหลังกลับขึ้นไปชั้นบน ระหว่างที่เดินผ่านปากทางบันไดก็เรียกเสี่ยวเอ้อร์ “ยกน้ำขึ้นมาสองถัง”“ดะ...ได้เลยขอรับ ข้าน้อยจะรีบไปเดี๋ยวนี้! เดี๋ยวนี้เลย!”เสี่ยวเอ้อร์ที่ตกใจกลัวจนวิญญาณแทบหลุดจากร่างรีบวิ่งกลับไปที่ห้องครัวเป่ยเฉินหยวนก้าวเท้ากลับขึ้นไปชั้นบน เดิมทีตั้งใจจะกลับไปที่ห้องของตัวเองก่อน เพื่อรออาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วค่อยมาหาเวินซื่อ เพื่อไม่ให้นังหนูตกใจแต่คาดไม่ถึงว่า เขาเพิ่งขึ้นมาถึงชั้นสามก็เห็นเวินซื่อนั่งอยู่หน้าประตูเป่ยเฉินหยวนประหลาดใจทันที “เหตุใดถึงมานั่งอยู่หน้าประตู? บอกให้ท่านกลับไปที่ห้องก่อนมิใช่หรือ?”“ก็รอท่านอยู่น่ะสิ เหตุใดตัวท่านถึงมีเลือดเยอะขนาดนี้ บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่?”เมื่อเวินซื่อเงยหน้าขึ้น เห็นสภาพเช่นนี้ของเขา ก็รีบลุกขึ้นเดินเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง“ไม่เป็นไร ไม่ใช่เลือดของข้าหรอก”เป่ยเฉินหยวนยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย เมื่อเห็นว่านางเป็นห่วงเขา จึงรู้สึกอยากจะโอ้อวดสักหน่อย “พวกหัวมังกุท้ายมังกรพวกนั้น ต่อให้มาอีกสามสิบคน ก็อย่าหวังว่าจะทำร้ายข้าได้แม้แต่น้อย”เขาเ
เวินซื่อรู้มานานแล้วว่า ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนท่านนี้หล่อเหลาเพียงใด แต่นางไม่คิดว่าท่านอ๋องจะงดงามจนถึงขั้นมีเสน่ห์เย้ายวนใจเช่นนี้เวินซื่อรู้สึกว่าถ้าตนเองยังคงมองต่อไป คงจะเสียสมาธิแน่ๆนางรีบละสายตา แล้วเอ่ยขึ้นอย่างประหม่าเล็กน้อย “ทะ...ท่านอ๋อง ผมของท่านดูเหมือนจะยุ่งเหยิงเล็กน้อย หรือว่าจะมัดขึ้นดี? จะได้ไม่เกะกะตอนทายาบริเวณแผล”เดิมทีเป่ยเฉินหยวนก็จงใจทำเช่นนี้ดังนั้นเขาจึงไม่พลาดที่จะเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจของเวินซื่อในชั่วขณะนั้นคนที่ไม่เคยสนใจรูปลักษณ์ภายนอกของตัวเองในอดีต เวลานี้กลับเหมือนนกยูงรำแพนหาง อวดโฉมของตนเองอย่างต่อเนื่อง“หืม? อย่างนั้นหรือ? ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกะกะหรือไม่ ท่านช่วยดูให้ข้าหน่อยเถอะ?”เป่ยเฉินหยวนพูดพลางเดินไปยืนหันหลังให้เวินซื่อ เสื้อคลุมเลื่อนหลุดลงมาครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นแขนที่แข็งแรงกำยำ และกล้ามเนื้อหลังที่นูนขึ้นมาเป็นมัดๆเวินซื่อคาดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่ปกติแล้วดูผอมบางเวลาที่สวมเสื้อผ้า ภายในเสื้อผ้ากลับซ่อนรูปร่างที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังเช่นนี้ไว้เวินซื่อมองจนรู้สึกว่าทุกส่วนในร่
เวินซื่อทายาให้เขาจนทั่วแผลแล้วจากนั้นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ท่านมีลูกน้องตั้งเยอะแยะมิใช่หรือ? ข้าไม่เชื่อว่าท่านไปหาพวกเขา แล้วพวกเขาจะไม่ยอมทายาให้”เป่ยเฉินหยวนได้แต่กางมืออย่างจนใจ “พวกเขาไม่กล้าหรอก แต่ข้าก็รังเกียจพวกเขา”ให้ชายชาตรีอะไรมาทายาให้เขา?ให้คนที่ตัวเองชอบมาทายาให้ถึงจะหวานที่สุดเป่ยเฉินหยวนพูดจาเอาใจเวินซื่อ “ท่านดูสิ หากไม่ใช่เพราะท่านเตือนข้าด้วยความใส่ใจเมื่อครู่ ข้าจะไปนึกได้อย่างไรว่าตัวเองมีแผล? ถ้าเป็นลูกน้องพวกนั้น พวกเขายิ่งหยาบกว่าข้าอีก ให้พวกเขาเตือนข้าก็เกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้”ถึงแม้ว่าเดิมทีเขาจะไม่ได้บาดเจ็บอะไร แต่นังหนูของเขาก็ถือยารอเขาแล้ว ไม่มีแผลก็ต้องมี“เรื่องครั้งหน้าค่อยว่ากัน ตอนนี้หากท่านยังกล้าพูดจาเหลวไหลอีก ต่อไปอีกหลายวันข้าจะไม่ทายาให้ท่านแล้ว”ที่ทาอยู่นี่ใช่ยาที่ไหนกันเล่า?สิ่งที่ทาอยู่นี่คือน้ำผึ้งชัดๆ หวานไปถึงก้นบึ้งหัวใจของเป่ยเฉินหยวนแล้ว“ได้ๆ ฟังอู๋โยวทุกอย่าง”คำพูดนี้ทำให้เวินซื่อรู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูกนางอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นตีเป่ยเฉินหยวนสักทีเมื่อเป่ยเฉินหยวนหันกลับมามองนางด้วยความสง
ถึงขั้นเอาอีกฝ่ายมาข่มขู่เวินจื่อเยวี่ย ทำให้เวินจื่อเยวี่ยต้องเลือกระหว่างนางและหลินเนี่ยนฉือแล้วนางสารเลวที่ยังไม่เดินผ่านประตูเข้ามาจะเอาอะไรมาเทียบกับนาง!เวินเยวี่ยโกรธจัดจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ในเสี้ยววินาทีที่ก้มศีรษะลง สายตาอาบยาพิษช่างน่าสะพรึงกลัว“ยุแยงตะแคงรั่ว?”เวินซื่อแค่รู้สึกว่าคำพูดของเวินจื่อเยวี่ยน่าขบขันมาก “มีเพียงคนที่มีหัวใจเท่านั้นถึงจะรู้สึกว่าใคร ๆ ก็เป็นเช่นนี้”นางเหลือบมองเวินเยวี่ยแวบหนึ่งอย่างเฉยชา ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่แยแส “ท่านคิดว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้จะใช้พวกท่านไปก่อกวนความสงบของนางหรือ? ฝันไปเถอะ พวกท่านยังไม่คู่ควร”“เหอะ พูดเสียน่าฟัง ถ้าไม่ใช่เพราะจดหมายที่เจ้าเขียนไปฟ้อง หลินเนี่ยนฉืออยู่ที่อู๋โจวอยู่ดี ๆ จะเข้ามาที่เมืองหลวงทำไม? แล้วยังต้องการถอนหมั้นกับข้าอีก?!”ถึงตอนนี้เวินจื่อเยวี่ยยังคงเชื่อว่าเวินซื่อไปพูดอะไรกับหลินเนี่ยนฉือ ถึงทำให้หลินเนี่ยนฉือทำเช่นนั้น“ท่านคิดว่าข้อมูลในใต้หล้านี้มีสิ่งใดที่สามารถปิดบังได้อย่างนั้นหรือ? จวนเจิ้นกั๋วกงของพวกท่านได้ทำเรื่องที่น่าอับอายขายขี้หน้า ไร้ยางอายมาไม่น้อย แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงตั้งน
อูฐผอมซูบยังตัวใหญ่กว่าม้าการจะทำลายจวนเจิ้นกั๋วกงอันใหญ่โตแห่งนี้โดยอาศัยแมลงเพียงไม่กี่ตัว มันเป็นไปไม่ได้เลยแน่นอน มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิงเพียงแต่ราคาที่ต้องจ่ายนั้นสูงเกินไปอย่างเช่นการหมั้นหมายระหว่างจวนเจิ้นกั๋วกงและสกุลหลินเมื่อจวนเจิ้นกั๋วกงถูกกล่าวหาว่าสมคบคิดกับชาวต่างเผ่า เวินเฉวียนเซิ่งจะต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อชำระล้างให้หลุดพ้นจากข้อกล่าวหานี้และวิธีการที่ดีที่สุดก็ต้องเป็นการดึงผู้คนให้เข้ามาพัวพันมากขึ้นสกุลหลินที่ยังมีการหมั้นหมายกับจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นกลุ่มแรกที่รับศึกหนัก โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างหลินเนี่ยนฉือและเวินซื่อ และจะกลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เวินเฉวียนเซิ่งดึงสกุลหลินให้ลงมาพัวพันด้วยดังนั้นก่อนจะยุติการหมั้นหมายระหว่างหลินเนี่ยนฉือและเวินจื่อเยวี่ย เวินซื่อยังไม่สามารถทำอะไรบุ่มบ่ามได้ทว่า ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถแตะต้องจวนเจิ้นกั๋วกงได้ แต่การมีเวินเยวี่ยเพียงคนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียหาย“หมั้น...หมั้นหมาย?”ในขณะนี้ เสียงที่สับสนของเวินเยวี่ยก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังของ เวินจื่อเยวี่ย“พี่สาม ท่านหมั้นกับใครตั้
“ท่าน…!”เวินเยวี่ยลมแทบจับเมื่อได้ยินที่เวินซื่อพูดนางข่มไฟโทสะเอาไว้ “ธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่คนของกองทัพธงดำเสียหน่อย ให้ท่านมาทำการค้นหา ไม่น่าจะเหมาะสมกระมัง?”เวินเยวี่ยฝืนยิ้ม “ท้ายที่สุดแล้วบุญคุณความแค้นระหว่างพี่หญิงห้ากับเยวี่ยเอ๋อร์นั้นเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งกันทั่วทุกคน ถ้าเกิด…”ประโยคสุดท้ายนี้ไม่ได้พูดออกมาทั้งหมด แต่ก็สามารถเข้าใจทุกอย่างที่ควรเข้าใจถ้าเกิดเวินซื่อเข้าไปวางกลอุบายบางอย่างเพื่อใส่ร้ายนางแล้วจะทำเช่นไร?เวินซื่อหันหน้าไปเผชิญหน้ากับเวินเยวี่ย รอยยิ้มเล็ก ๆ เผยออกมาบนใบหน้าอันบริสุทธิ์ผุดผ่องและงดงามของนาง “ข้าไม่ต่ำช้าไร้ยางอายเหมือนเจ้า”ใบหน้าของเวินเยวี่ยสลดลงเพราะดำด่าของนางทันทีแต่วินาทีต่อมาก็ได้ยินเวินซื่อพูดว่า “แต่ว่านี่มันก็เป็นปัญหาจริง ๆ ในเมื่อคุณหนูหกสกุลเวินเป็นกังวลเช่นนี้ เช่นนั้นข้าธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็ขอยืนค้นหาอยู่ที่ประตูแล้วกัน”ยืนค้นหาอยู่ที่ประตูหรือ?แล้วจะค้นหาอย่างไร?ขณะที่เวินเยวี่ยและคนอื่น ๆ กำลังงุนงง เวินซื่อก็พลิกฝ่ามือ ก่อนจะหยิบขวดหยกขวดหนึ่งออกมาจากกลางฝ่ามือของนางฉางเสี่ยวหานก้าวเข้าไปรับขวดหยกจากมือของเว
“เหลวไหลสิ้นดี!”แววอันตรายฉายผ่านดวงตาอันคมกริบของเวินเฉวียนเซิ่งในทันใดเขาจ้องไปที่รถม้าที่เวินซื่อนั่งอยู่ สายตามองทะลุช่องว่างของม่านหน้าต่าง พลางชี้ตรงไปที่เวินซื่อ “เวินซื่อ เจ้ารู้ไหมว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่? เจ้ากำลังใส่ร้ายขุนนางในราชสำนักซึ่งเป็นความผิดร้ายแรง!”“หากเจ้าไม่สามารถแสดงหลักฐานใด ๆ ได้ ต่อให้เจ้าจะเคยเป็นลูกสาวของข้า ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ เด็ดขาด!”“เจิ้นกั๋วกงไม่จำเป็นต้องใจร้อนขู่ขวัญเช่นนี้”ว่าแล้วเวินซื่อก็ยกมือขึ้นเปิดม่านรถแล้ว เดินออกมาจากด้านในอย่างช้า ๆเสี่ยวหานก้าวไปข้างหน้าอย่างมีไหวพริบ ทำตามสาวใช้เหล่านั้น เอื้อมมือออกไปช่วยประคองธิดาศักดิ์สิทธิ์ของนางลงจากรถม้าช้า ๆหลังจากลงสู่พื้นและยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว เวินซื่อก็เงยหน้าขึ้นมองเวินเฉวียนเซิ่งผ่านกองทัพธงดำ นางยิ้มเล็กน้อย “ถ้าธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่มีหลักฐาน วันนี้จะกล้านำกองกำลังไปปิดล้อมจวนเจิ้นกั๋วกงของท่านได้อย่างไร”การทำงานตามคำสั่งส่วนตัวของอ๋องผู้สำเร็จราชการเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การทำงานตามพระราชโองการของฝ่าบาทก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเวินซื่อยกมือขึ้น รับพระราชโองการจากมือของกองทัพ
ให้อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนมาหนุนหลังนางแล้วอย่างไรต่อ เขาไม่เชื่อว่า อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้สง่างามจะบังคับเขาให้ถอนหมั้นได้อย่างนั้นหรือ!เมื่อเวินเฉวียนเซิ่งได้ยินเวินจื่อเยวี่ยพูด ก็มองเขาแวบหนึ่งอย่างเย็นชา “เจ้าควรคิดหาวิธีช่วยพี่ใหญ่ของเจ้าก่อนดีกว่า ถ้าครั้งนี้พี่ใหญ่ของเจ้าตาย ก็อย่าได้คิดเรื่องหมั้นหมายเลย ข้าเวินเฉวียนเซิ่ง ไม่มีลูกชายที่ใจไม้ไส้ระกำอย่างเจ้า”ใบหน้าของเวินจื่อเยวี่ยขรึมลงทันทีเขารู้ว่าลูกชายคนโปรดของบิดาไม่ใช่เขา แต่เป็นพี่ใหญ่ที่บิดาเลี้ยงดูอย่างสุดชีวิตจิตใจแต่เขานึกไม่ถึงว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว บิดาจะยังโหดร้ายถึงเพียงนี้ เอาการหมั้นหมายของเขามาข่มขู่เขาเวินจื่อเยวี่ยไม่ได้พูดอะไรอีกแต่ในขณะนี้ พ่อบ้านนั้นพูดด้วยสีหน้าขมขื่น “ท่านกั๋วกง คุณชายสาม ครั้งนี้ผู้ที่นำกองทัพธงดำมาไม่ใช่ท่านอ๋องขอรับ”เมื่อได้ยินคำพูดนี้เวินเฉวียนเซิ่งก็หันกลับไปหาพ่อบ้าน “ไม่ใช่เป่ยเฉินหยวนหรอกหรือ? แล้วใครล่ะ?”นอกจากฮ่องเต้น้อยและเป่ยเฉินหยวนเองแล้ว ยังมีใครอีกที่สามารถระดมกองทัพธงดำ ถึงขั้นกล้าปิดล้อมจวนเจิ้นกั๋วกงของเขาได้?ขณะที่เวินเฉวียนเซิ่งกำลังครุ่นคิดในหัวว
“เสี่ยวหาน ให้ข้าดูหน้าเจ้าหน่อยสิ”หลังจากขับไล่เวินเฉวียนเซิ่งและเวินจื่อเยวี่ยออกไปแล้ว เวินซื่อก็ดึงฉางเสี่ยวหานเข้ามา“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ตบไม่โดนหน้า ข้าหลบได้นิดหน่อย แค่ตบโดนหัวเท่านั้น”ถึงกระนั้น การตบของเวินจื่อเยวี่ยก็หนักหน่วงมาก จนศีรษะของฉางเสี่ยวหานถึงกับสั่นคลอนในตอนนั้น ใช้เวลาสักพักกว่าจะตอบสนองได้“เจ้าไม่ต้องกังวล การตบครั้งนี้ข้าจะต้องเอาคืนเขาอย่างแรงแน่นอน”สีหน้าของเวินซื่อเคร่งขรึมลง น้ำเสียงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งฉางเสี่ยวหานลุกขึ้นกล่าวว่า “ไม่ ๆ ๆ ไม่ต้องหรอกธิดาศักดิ์สิทธิ์ เมื่อครู่ท่านช่วยตบคืนแทนเสี่ยวหานแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีกเจ้าค่ะ”ฉางเสี่ยวหานรู้จักคนในเมืองหลวงน้อยมาก แต่หลังจากติดตามเวินซื่อมาเป็นเวลานาน ก็ได้เรียนรู้เรื่องต่าง ๆ มากขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์พูดกับสองพ่อลูกคู่นั้นเมื่อครู่ ก็ย่อมสามารถคาดเดาตัวตนของพวกเขาได้อย่างง่ายดายคนหนึ่งคืออดีตบิดาของธิดาศักดิ์สิทธิ์ อีกคนคืออดีตพี่ชายของธิดาศักดิ์สิทธิ์ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั้นย่ำแย่มากพออยู่แล้ว หากธิดาศักดิ์สิทธิ์ต้องทะเลาะกับพี่ชายหนักขึ้นด้วยเรื่
เขาขบริมฝีปากล่างแน่น กัดปากของตัวเองแตกเหมือนไม่รู้สึกตัว ปล่อยให้เลือดไหลลงจากมุมปากช้า ๆ“หลินเนี่ยนฉือล่ะ?”เวินจื่อเยวี่ยเอ่ยปากถามขึ้นทันใด“ข้าอยากพบนาง”“นางไม่อยากพบท่าน”เวินซื่อเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ“ข้าบอกว่าข้าอยากพบนาง!”เวินจื่อเยวี่ยตวาดลั่นอย่างฉุนเฉียวขึ้นมาทันใด พลางปัดมือของจางเสี่ยวหานออกมือของจางเสี่ยวหานถูกตีเจ็บ ตกใจสะดุ้งโหยง เมื่อนางรู้ตัวก็เอื้อมมือออกไปอีกครั้ง คว้าเพียงหนังสือถอนหมั้นฉบับนั้นไว้ส่วนจี้หยกก็ร่วงลงสู่พื้นดัง “ตุ้บ” ตามมาด้วยเสียงแตกหักดังขึ้น จี้หยกแยกออกเป็นสองส่วนทันทีเวินจื่อเยวี่ยที่ยังอยู่ในอาการฉุนเฉียวเมื่อได้ยินเสียงนี้อย่างกะทันหัน ก็ก้มหน้าลงมอง เกิดความสับสนขึ้นโดยพลันเขารีบเก็บจี้หยกขึ้นมา เมื่อมองดูรอยแตกหักนั้น ก็ไม่อาจยับยั้งไฟโทสะที่อัดอั้นอยู่เต็มอกไว้ได้ เพียงชั่วครู่ก็ระเบิดอารมณ์ใส่ฉางเสี่ยวหาน...“ใครให้เจ้าทำของของข้าพัง! เจ้าอยากตายหรือไง?!”“อะไรนะ? ไม่ใช่ข้า เป็นท่านต่างหากที่ปัดมือของข้าเอง...”“สาวใช้ต่ำต้อยอย่างเจ้ายังกล้าเถียงอีก!”เวินจื่อเยวี่ยลุกพรวดขึ้น สีหน้ามีรอยพยายาท ยกมือขึ้นตบหน้าฉางเส
เวินจื่อเยวี่ยมองเวินเฉวียนเซิ่งอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ท่านพ่อ พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”เวินจื่อเยวี่ยเงียบไปครู่หนึ่ง “เจ้าน่าจะเข้าใจ เจ้าสาม”“ข้าไม่เข้าใจ!”เวินจื่อเยวี่ยตวาดออกมาทันใด พลางจ้องมองไปที่บิดาของเขาอย่างไม่ละสายตาเวินเฉวียนเซิ่งถอนหายใจอีกครั้ง “แค่การหมั้นหมายเท่านั้น พ่อรู้ว่าเจ้าไม่เต็มใจยอมรับ แต่พี่ใหญ่ของเจ้ามีเวลาเหลือไม่มากแล้ว ถ้ายังไม่เอายากลับไปอีก เขาจะต้องตายในไม่ช้า”“เจ้าสาม เจ้าจะทนเห็นพี่ใหญ่ของเจ้าตายไปได้จริงหรือ?”เวินจื่อเยวี่ยที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ของเขาได้ถามด้วยเสียงอันสั่นเครือเล็กน้อย “ก็เลยต้องเสียสละการหมั้นของข้าเพื่อช่วยพี่ใหญ่อย่างนั้นหรือ? ทั้ง ๆ ที่เรายังมีวิธีอื่นอีก แต่ท่านก็ยังยืนกรานที่จะขอร้องเวินซื่อ?!”“ยังมีวิธีอื่นอีกหรือ?”สีหน้าของเวินเฉวียนเซิ่งเย็นชาลง น้ำเสียงแย่มาก “ไม่ว่าจะเป็นบัวหิมะก็ดี เห็ดหลินจือสีม่วงอายุหนึ่งร้อยปีก็ดี หรือหญ้าฝรั่นที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยซ้ำก็ดี เจ้าคิดว่ามีสิ่งไหนหาง่ายบ้าง?!”“หากพี่ใหญ่ของเจ้ายังยืดเวลาได้อีกครึ่งค่อนเดือน พ่อก็จะไม่รีบร้อนเช่นนี้! แต่นี่พี่ใหญ่ของเจ้าอาจตายได้
นางมองเวินเฉวียนเซิ่งอย่างเย็นชา “ท่านไม่มีคุณสมบัตินี้ตั้งนานแล้ว”“เวินซื่อ! จงระวังท่าทีในการพูดจาของเจ้าด้วย แม้ว่าตอนนี้เจ้าจะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่ความสัมพันธ์พ่อลูกของเจ้ากับพ่อจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลง อย่าลืมว่ายังมีเลือดของสกุลเวินไหลเวียนอยู่ในตัวเจ้า”“ใครบอกว่าเปลี่ยนแปลงไม่ได้?”เวินซื่อยิ้มเยาะ “ความสัมพันธ์นี้จะเปลี่ยนไปในไม่ช้า แต่ตอนนี้ขอวกกลับเข้าประเด็นก่อน ท่านเจิ้นจั๋วกง ท่านยังไม่ได้บอกตัวเลือกของท่านเลย ท่านวางแผนที่จะเลือกใครกันแน่?”ล้มเหลวในการเล่นกับอารมณ์ ล้มเหลวในการข่มขู่กลับมาสู่เงื่อนไขข้อแรกสุดอีกครั้ง สายตาของเวินเฉวียนเซิ่งเย็นชาลงระดับหนึ่งในทันใดเวินซื่อดูเหมือนจะมองไม่เห็นเลย เร่งรัดเขาด้วยอารมณ์ที่ดีมาก“ข้ามีเวลาไม่มากนัก ท่านเจิ้นจั๋วกงรีบตัดสินใจโดยเร็วที่สุดเถอะ มิฉะนั้นก็จะไม่มีการเจรจาใด ๆ อีกแล้ว”นางหันไปมองเวินเฉวียนเซิ่งด้วยรอยยิ้มตาหยี “‘พี่ใหญ่แสนดี’ ของข้าก็น่าจะมีเวลาไม่เพียงพอใช่ไหม?”“ถุย!”เวินจื่อเยวี่ยถ่มน้ำลายใส่นางอย่างรุนแรง “พี่ใหญ่ไม่มีน้องสาวที่ชั่วร้ายอย่างเจ้า!”“ถูกต้อง ข้าชั่วร้าย แต่ก็เทียบไม่ได้กับเว