“สวรรค์! เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้?”“ข้าว่าแล้วทำไมถึงรู้สึกว่าวันเกิดของเวินซื่อปีนี้ดูไม่ชอบมาพากล ที่แท้วันนั้นไม่ใช่วันเกิดของนางจริง ๆ!”“แล้วเป็นวันเกิดของใครกัน?”“มีบุตรสาวแค่สองคน จะเป็นใครได้เล่า?”“ซี้ด! ดูเหมือนว่าจะพบความลับบางอย่างที่สะเทือนเลือนลั่นไปทั่วหล้า!”“หึๆ ที่แท้พี่สาวไม่ใช่พี่สาว น้องสาวไม่ใช่น้องสาว ละครเรื่องนี้ของจวนเจิ้นกั๋วกงสนุกครบรสจริง ๆ”“อะไรนะ อะไรนะ? หมายความว่าอย่างไรกันแน่? ทำไมข้าดูเหมือนจะฟังไม่เข้าใจ?”ยังมีคนไม่เข้าใจ จึงรีบสอบถามจากคนอื่นคนที่เข้าใจแล้วต่างก็แสร้งทำเป็นฉลาดลุ่มลึก ต่างไม่พูดจา แต่กลับมองไปทางเวินเฉวียนเซิ่งทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจในขณะนี้สีหน้าของเวินเฉวียนเซิ่งบึ้งตึงดำทะมึน เขาลุกพรวดขึ้น พลางก้าวสวบ ๆ เข้าไปหา แล้วคว้าเวินจื่อเยวี่ยไว้เวินจื่อเยวี่ยถูกดึงจนสะดุดล้มลงชั่วขณะ เมื่อหันกลับมาเวินเฉวียนเซิ่งย่อมไม่พลาดท่าทางเหม่อจากสายตาของเขาอยู่แล้ว“ดี ดี เวินซื่อ เจ้าเก่งมากจริง ๆ”จนป่านนี้หากยังมองไม่ออกว่าลูกชายคนที่สามของตัวเองตกหลุมพรางเหมือนกับลูกชายคนที่สี่แล้วล่ะก็ เวินเฉวียนเซิ่งคงใช้ชีวิตมาถึงหลายสิบป
แต่ถึงกระนั้น เวินเฉวียนเซิ่งก็มั่นคงดุจขุนเขาไท่ซาน“ร้อนใจอะไรกัน นั่งลงก่อน”ภายใต้แรงกดดันจากสายตาของเวินเฉวียนเซิ่ง เวินเยวี่ยทำได้เพียงข่มความกังวลไว้ แล้วรีบนั่งลงต่อมาเวินเฉวียนเซิ่งก็ได้ส่งเวินจื่อเยวี่ยให้กับลูกชายคนโต “วันนี้เจ้าสามไม่ค่อยสบาย เจ้าใหญ่ เจ้าช่วยพาเขากลับไปก่อนแล้วคอยดูไว้ให้ดี อย่าปล่อยให้เขาเพ่นพ่าน”แม้ว่าเวินฉางอวิ้นจะมีข้อสงสัยอยู่บ้าง แต่ก็ยังรับปากแต่โดยดี “ขอรับ ท่านพ่อ”หลังจากที่เวินฉางอวิ้นพาเวินจื่อเยวี่ยไปแล้ว เวินเฉวียนเซิ่งถึงพูดกับเวินเยวี่ยอย่างเฉยชา “หากยังไม่มีหลักฐานอย่างแท้จริง ทุกอย่างก็เป็นเพียงการเดาที่ไม่มีมูล ตั้งสติให้ดี จะได้ไม่ถูกรบกวน”เมื่อเข้าใจแล้วเวินเยวี่ยก็กระจ่างในทันทีถูกต้อง ต่อให้เวินซื่อจะเปิดเผยวันเกิดของนางออกมาแล้วจะเป็นไรไป ตราบใดที่ไม่มีหลักฐานที่แน่นอน นางก็ยังคงเป็นบุตรสาวบุญธรรมของจวนเจิ้นกั๋วกงอยู่!พูดแบบนี้ก็จริง แต่เวินเยวี่ยมีหรือจะยอมเป็นเพียงบุตรสาวบุญธรรมเท่านั้น?นางกัดฟัน แล้วแอบจ้องเขม็งใส่เวินซื่อทั้งหมดนี้ต้องโทษนางสารเลวนั่น ขัดหูขัดตามากขึ้นทุกวันจริง ๆเวินอวี้จือและเวินจื่อเยวี่ยก็
“อะไรคือเกิดไมตรีจิต?! ชุยเส้าเจ๋อ เจ้าอย่าเอาแต่อ้าปากก็ดูถูกความบริสุทธิ์ของผู้อื่น! ตัวเองไม่ได้เป็นคนขาวสะอาด ยังจะมีหน้าไปว่าคนอื่นอีก!”เวินซื่อยังไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ฉีเซิ่งก็พ่นไฟโทสะใส่ชุยเส้าเจ๋อยกใหญ่แทบจะถ่มน้ำลายรดหน้าเขาอยู่แล้ว“เจ้าพูดอะไรน่ะ?! เจ้าเก่งจริงก็พูดอีกครั้งสิ ใครไม่ได้เป็นคนขาวสะอาด!”“พูดถึงเจ้านั่นแหละ!”เวลานี้ฉีเซิ่งเห็นชุยเส้าเจ๋อแล้วรู้สึกขัดหูขัดตาไปหมด“ทำไมเล่า? ต้องการให้ข้าเปิดเผยอดีตอันน่ารังเกียจของเจ้า ให้ทุกคนฟังว่าก่อนหน้านี้เจ้าแอบลักเล็กขโมยน้อย แล้วยังยัดของกลางใส่ร้ายคนอื่นอย่างนั้นหรือ?”“เจ้าหุบปากซะ!”ชุยเส้าเจ๋อแค่ได้ยินคำพูดนี้ก็รู้แล้วว่าฉีเซิ่งกำลังพูดถึงเรื่องอะไรเขาโกรธจนหน้าแดงขึ้นมาทันใดนึกด่าทออยู่ในใจ ไอ้สารเลวคนไหนกล้าเอาเรื่องของข้าไปพูดข้างนอก!ถ้าให้เขารู้ล่ะก็ เขาจะฉีกคนผู้นั้นให้เป็นชิ้น ๆ แน่!จงหย่งโหวเห็นท่าเด็กสองคนนี้เหมือนกำลังต่อยตีกัน จึงลุกขึ้นเพื่อจะห้ามทัพแต่ปรากฏว่าเพิ่งจะขยับตัวก็ถูกเสนาบดีฉีดึงแขนไว้ “เฮ้อเหล่าชุย แค่เด็ก ๆ วิวาทกันโต้เถียงกันเท่านั้น ผู้ใหญ่อย่างเราจะเข้าไปยุ่งทำไม? ปล่อย
ทันทีที่ฉีเซิ่งได้ยินชื่อ ‘ชุยเส้าเจ๋อ’ ในเวลานี้ ก็โต้กลับด้วยความโมโหทันที “ท่านพ่อ วันหลังอย่าพูดถึงเจ้านั่นต่อหน้าข้าอีก แม้ว่าฉีเซิ่งผู้นี้จะเป็นลูกผู้ดีมีเงินที่เอาแต่เสวยสุขเหมือนกัน แต่ข้าจะไม่ทุเรศชั่วช้าเหมือนเขาเด็ดขาด”แอบลักเล็กขโมยน้อยยังไม่เท่าไหร่ แต่ตัวเองยังใส่ร้ายอดีตคู่หมั้น ช่างไร้ยางอายสิ้นดี!ฉีเซิ่งไม่มีสหายที่ไร้ยางอายเช่นนี้!ต้องรู้ว่าการขโมยของเป็นเพียงเรื่องของคุณธรรม แต่การใส่ร้ายผู้อื่นเป็นเรื่องของนิสัยใจคอวันนี้เขาไม่ได้ชี้หน้าชุยเส้าเจ๋อต่อหน้าธารกำนัลในงานเลี้ยง ด่าทอเขาว่าชั่วช้าขี้ขลาดก็นับว่าดีแค่ไหนแล้ว!“ได้ ๆ ๆ ไม่พูดก็ไม่พูด”เสนาบดีฉีลูบเครา หัวเราะเหอะ ๆ พูดว่า “แต่ว่า เจ้าก็อย่าทำอะไรมากจนเกินไป อย่างน้อยเขาก็เป็นบุตรชายคนเดียวของจงหย่งโหว ลุงก็เป็นถึงเจิ้นกั๋วกง ในเมื่อเรื่องนี้ท่านอ๋องได้ลงมือสั่งสอนไปแล้ว เจ้าก็อย่าไปเกลือกกลั้วอยู่ในบ่อโคลนนั้นอีกเลย”“เฮ้อ ท่านพ่อวางใจเถอะ ตอนนี้ข้าก็ขี้เกียจจะสนใจเขา ต่อไปลูกยังมีเรื่องอื่นต้องทำอีก”ฉีเซิ่งกล่าวอย่างอารมณ์ดี “ข้ารับปากแล้วว่าจะมอบของขวัญวันเกิดให้กับธิดาศักดิ์สิทธิ์ ก็ต้องจัด
ประโยคนี้ของเวินจื่อเยวี่ยทำให้เวินฉางอวิ้นตกอยู่ในความเงียบงันใช่แล้ว เขาเคยสงสัยจริง ๆก่อนวันเกิดของน้องห้า พวกเขาไม่เคยตระหนักเลยว่าลำดับของวันเกิดระหว่างน้องสาวทั้งสองจะมีปัญหาอะไรจนกระทั่งอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้นั้นได้เปิดโปงต่อหน้า พวกเขาถึงพบว่า เห็นได้ชัดว่าอายุเท่ากัน แต่วันเกิดของเวินเยวี่ยกลับอยู่ก่อนเวินซื่อ เดิมทีควรจะเป็นพี่สาวถึงจะถูก แต่กลับกลายเป็นน้องสาว เวินซื่อที่ควรจะเป็นน้องสาว กลับกลายเป็นพี่สาวและรายละเอียดเช่นนี้พวกเขาไม่เคยใส่ใจมาก่อนเวินฉางอวิ้นที่รู้สึกผิดอยู่ในใจก็เข้าใจสาเหตุได้อย่างรวดเร็วเพราะแม้แต่วันเกิดของน้องห้าพวกเขายังลืมไปแล้วเสียด้วยซ้ำไป แล้วจะสังเกตเห็นได้อย่างไร?แม้ว่าต่อมาบิดาจะอธิบายให้พวกเขาฟังว่า น้องหกเปลี่ยนวันถึงแก่กรรมของมารดามาเป็นวันเกิดแต่เรื่องแบบนี้เมื่อก่อนทำไมไม่เคยบอกพวกเขาเลย?รู้สึกไม่มีอะไรจึงไม่พูดหรือ?หรือว่า...ในนี้มันมีความลับบางอย่างที่ไม่สามารถเปิดเผยให้คนอื่นรู้ได้?หลังจากกลับไปในวันนั้นเวินฉางอวิ้นก็นอนไม่หลับทั้งคืน พลิกตัวไปมาแต่สุดท้ายเขาก็ยังใช้เวลาทั้งคืนเกลี้ยกล่อมตัวเองได้สำเร็จเขาคิ
เวินจื่อเยวี่ยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ทำไมพูดกับพี่สามต้องตะกุกตะกักด้วย ข้างหลังซ่อนอะไรไว้หรือ?”เวินจื่อเยวี่ยหยิบของสิ่งนั้นออกมาอย่างระมัดระวังทันทีที่เวินจื่อเยวี่ยได้เห็น สองตาก็เป็นประกาย “นี่มันเป็ดทอดกรอบจากภัตตาคารเฟิ่งเซียนมิใช่หรือ? น้องหกตั้งใจไปซื้อมาให้พี่สามอย่างนั้นหรือ?”เวินเยวี่ยฉีกยิ้มออกมา “ใช่แล้วเจ้าค่ะ พี่สามกลับมาถึงเร็ว เยวี่ยเอ๋อร์คิดว่าท่านต้องกินไม่อิ่มแน่ ก็เลยอ้อมไปที่ภัตตาคารเฟิ่งเซียน เพื่อเอาเป็ดทอดกรอบที่พี่สามชอบที่สุดมาให้เจ้าค่ะ”เวินจื่อเยวี่ยที่ตั้งใจจะไปหาเวินฉางอวิ้นก็ไม่รีบร้อนออกจากเรือนแล้ว“ดี ๆ น้องหกช่างเอาใจใส่ จำได้ด้วยว่าพี่สามชอบกินอะไร”เวินจื่อเยวี่ยยิ้มอย่างมีความสุข “รีบเข้ามานั่งสิ พี่สามก็กำลังหิวอยู่พอดี เรามากินด้วยกันเถอะเจ้าค่ะ”หลังจากที่ทั้งสองนั่งลงแล้ว เวินจื่อเยวี่ยก็แกะกระดาษเคลือบน้ำมันที่ห่อเป็ดทอดกรอบเอาไว้อย่างอดใจไม่ไหวเวินเยวี่ยรีบโบกมือ “ไม่ล่ะ ไม่ล่ะ ข้ากินในงานเลี้ยงอิ่มแล้ว ตอนนี้กินไม่ลงจริง ๆ พี่สามกินเถอะ”เวินจื่อเยวี่ยย่อมไม่มีการระวังตัวกับน้องสาวที่ตัวเองรักมากที่สุดอยู่แล้วดังนั้นเมื่อเวิ
แต่น่าเสียดายคนที่ออกมาพบเขาไม่ใช่เวินซื่อเวินเฉวียนเซิ่งเงยหน้าขึ้นมองคนที่เข้ามาหา แล้วถามด้วยเสียงเย็นชา “แล้วเวินซื่อล่ะ? ให้นางออกมาพบข้า”ม่อโฉวซือไท่กำลังหมุนลูกประคำในมือทีละเม็ด นางยืนอยู่บนขั้นบันไดที่ประตู มองลงมาที่เวินเฉวียนเซิ่ง“ผ่านไปหลายปีแล้ว เจ้ายังคงอวดดีจองหองเช่นเคย”ที่เอ่ยออกมาจากปากของม่อโฉวซือไท่ยิ่งเต็มไปด้วยคำพูดเหน็บแนมชัดเจนว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านางจะเป็นเจิ้นกั๋วกงผู้ทรงอำนาจในราชสำนักและประชาชน แต่นางกลับดูไม่เกรงกลัวเลยสักนิดแม้กระทั่งสายตาก็เต็มไปด้วยความเหยียดหยามที่มีต่ออีกฝ่าย“วันนี้ข้าไม่อยากพูดคุยเรื่องในอดีตกับเจ้า ตอนนี้พานางออกมาเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นเจ้าน่าจะรู้จักวิธีการของข้า”“วิธีการของเจ้า?”ม่อโฉวซือไท่กล่าวอย่างดูถูก “ที่เจ้าพูดถึงก็คือวิธีการที่ไร้ยางอายและต่ำช้าจนเหลือทนของเจ้าในตอนนั้นน่ะหรือ?”สีหน้าของเวินเฉวียนเซิ่งมืดมนลงภายในชั่วแวบเดียวเขากำแส้ม้าในมือแน่น “ม่อโฉว อย่าลืมสิว่า เจ้าสามและเจ้าสี่ก็เป็นลูกของนางด้วย หรือว่าเจ้าจะปกป้องแค่คนคนเดียว แต่ไม่สนใจความเป็นความตายของอีกสองคนกระนั้นหรือ?!”“ก็มีพ่ออย่างเจ้า
“บัดนี้อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนมาถึงพอดี เจิ้นจั๋วกงมีกิจอันใดก็ไปปรึกษากับท่านอ๋องดีกว่า หากถามข้า ข้าก็มีเพียงประโยคนั้น”หากต้องการเข้ามาในอารามสุ่ยเยว่ ก็ต้องปฏิบัติตามกฎหากไม่มีพระบัญชาของฝ่าบาท สกุลเวินของพวกเขาก็อย่าได้คิดจะก้าวเข้ามาในอารามสุ่ยเยว่แม้เพียงครึ่งก้าวเวินเฉวียนเซิ่งกำแส้ม้าแน่นด้วยความโกรธทันทีอยากจะฟาดเป่ยเฉินหยวนที่ขัดหูขัดตาอยู่ข้าง ๆ ให้กระเด็นเหลือเกิน“ไม่จำเป็นแล้ว ในเมื่อเจ้ายืนกรานว่าต้องปฏิบัติตามกฎ เช่นนั้นข้าก็จะไปทูลขอฝ่าบาทเดี๋ยวนี้”เวินเฉวียนเซิ่งเอ่ยอย่างเย็นชา “ข้าอยากดูสิว่า คนเลือดเย็นที่กล้าวางยาพิษพี่ชายแท้ ๆ ทั้งสองของตัวเอง มีอะไรคู่ควรกับตำแหน่งธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่ฝ่าบาททรงพระราชทานยศให้ด้วยพระองค์เอง!”ว่าแล้วเวินเฉวียนเซิ่งก็กำลังจะหันหลังจากไปในขณะนี้ กองทัพธงดำหลายนายเพียง “แวบ” เดียวก็เข้ามาขวางอยู่หน้ารถม้าของจวนเจิ้นกั๋วจงแล้ว“เป่ยเฉินหยวน นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร?!”เวินเฉวียนเซิ่งหันหน้าไปจ้องมองอย่างโกรธเกรี้ยว“ไม่มีความหมายอะไร”ชายรูปงามบุ้ยปาก พลางโบกมือกล่าวว่า “ข้าแค่คิดว่าเจิ้นกั๋วกงอายุอานามขนาดนี้แล้ว การเ
ขวานในมือของเวินจื่อเฉินชะงักงันในทันใดไม่ใช่เพราะประโยคสุดท้ายของเวินอวี้จือแต่เป็นเพราะเขานึกขึ้นได้อย่างฉับพลัน หากเวินเยวี่ยได้ขึ้นเป็นสนมจริง ด้วยอุปนิสัยของนาง คงไม่มีวันปล่อยน้องสาวของเขาไปเด็ดขาดแม้ว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนจะยินดีให้ท้ายน้องสาวของเขา แต่การสนับสนุนเช่นนี้จะอยู่ต่อไปได้นานแค่ไหน?หากต่อไปฝ่าบาทก็ยืนอยู่ข้างเวินเยวี่ย อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่เป็นฝ่ายปกป้องราชสำนักอยู่แล้ว จะปกป้องน้องสาวของเขาต่อไปหรือไม่?เวินจื่อเฉินนึกถึงความเป็นไปได้นั้น ต่อให้มีความเป็นไปได้น้อยมาก ก็ต้องปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่าหากถึงเวลานั้นจริง ๆ เขาที่กลายเป็นสามัญชนแล้วจะปกป้องน้องสาวได้อย่างไรอีก?เวินจื่อเฉินก็รู้สึกหนาวสั่นทั้งตัวในทันใดเขาวางขวานลง แล้วหมุนตัวมองไปทางเวินอวี้จือ “ที่พวกเจ้าบอกว่าฝ่าบาทต้องการรับเวินเยวี่ยเข้าวังเป็นสนมนั้นเป็นเรื่องจริงหรือ?”“เป็นความจริงแน่นอน!”เวินจื่อเยวี่ยยืนขึ้นพร้อมกับกล่าวว่า “เรื่องนี้ฝ่าบาทตรัสเองในงานเลี้ยงใหญ่ในวันเหมายันด้วยพระองค์เอง ถึงกับให้นางอยู่ในวังเพื่อเรียนรู้กฎระเบียบ รอให้นางเรียนรู้กฎระเบียบเสร็จสิ้นแล้วจะแต่งตั้
“เสียใจอะไร?”เวินจื่อเฉินขมวดคิ้ว มองดูทั้งสองด้วยความไม่เข้าใจ “ตอนนี้ข้ามีชีวิตที่ดีมาก”แม้ว่าจะตัดขาดจากความรุ่งโรจน์และมั่งคั่งของจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ใช้ชีวิตเหน็ดเหนื่อยขึ้นเล็กน้อย ยุ่งขึ้นเล็กน้อยแต่ชีวิตแบบนี้กลับทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายทางจิตใจอย่างที่ไม่เคยได้เจอมานานโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากถูกงูพิษกัดในครั้งนั้น เขาสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า ท่าทีของน้องสาวที่มีต่อเขาผ่อนคลายลงบ้างแล้วแม้ว่าเขาจะยังไปพบน้องสาวไม่ได้ แต่สิ่งของที่เขาส่งไปที่อารามสุ่ยเยว่ก็ไม่เคยถูกส่งคืนมาเวินจื่อเฉินรู้สึกว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ สักวันหนึ่งน้องสาวจะให้อภัยเขาดังนั้นเขาจึงไม่เสียใจ“พวกเจ้ามาหาข้าด้วยธุระอันใด? รีบบอกมาเร็ว อย่าทำให้ข้าเสียเวลาทำงานอีกเลย”ค่าจ้างของเขาในวันนี้จะคิดเป็นชั่วยามหากทำงานน้อยลง ค่าจ้างก็จะถูกคนอื่นหักไปเวินจื่อเฉินยังต้องการหาเงินให้มากขึ้นเพื่อซื้อขนมอบให้น้องสาว ไม่อยากให้ค่าจ้างของตัวเองถูกหักไปเวินจื่อเยวี่ยมองดูเวินจื่อเฉินในสภาพเช่นนี้ ก่อนจะพูดด้วยความรู้สึกรังเกียจ “ข้าว่านะพี่รอง ท่านดูสิว่าตอนนี้ท่านอยู่ในสภาพไหน? ผมคลุกฝุ่น
สายตาของเวินเฉวียนเซิ่งถอนกลับจากภายนอกอย่างช้า ๆ เขาเหลือบมองขาของเวินจื่อเยวี่ยอย่างเฉยชา“ยังไม่รู้ว่าเป็นนางจริง ๆ หรือเปล่า แต่คาดเดาว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับนางอย่างตัดไม่ขาด”“ข้ารู้อยู่แล้ว!”เวินจื่อเยวี่ยพูดอย่างโกรธเคือง “เวินซื่อจะไม่ปล่อยน้องหกไปแน่! คราวก่อนก็ใส่ร้ายน้องหกว่าขโมยกระดูกของท่านแม่ไป ตอนนี้แทนที่จะยอมรับผิดกลับเล่นงานฝ่ายตรงข้าม ซ้ำยังกล้าโกหกและร้องเรียนต่อฝ่าบาท ทำให้น้องหกถูกขังไว้ในวัง!”เมื่อได้ยินคำพูดครึ่งแรกของเวินจื่อเยวี่ย เวินเฉวียนเซิ่งก็นิ่งไปเล็กน้อยแต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดอะไรสักอย่าง“ในเมื่อมีความเกี่ยวข้องกับเวินซื่อ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไม่ต้องไปหานางอีกหรือ?”เวินอวี้จือขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ค่อยอยากจะไปพบเวินซื่อสักเท่าใด“ถ้าพวกเจ้าไม่อยากไป ก็สามารถไปหาพี่รองของพวกเจ้าได้”เวินเฉวียนเซิ่งเสนอความคิดให้พวกเขาอย่างเฉยชาเมื่อเวินอวี้จือได้ยินดังนั้น ก็ลูบคางเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรขึ้นมาเวินจื่อเยวี่ยลังเลเล็กน้อย “พี่รองเขาจะตอบตกลงไหม?”ครั้งที่แล้วตอนที่เวินจื่อเฉินออกจากจวนเจิ้นกั๋วกง ก็เอะอะโวยวายกว่าพี่ใหญ่เสียอีกสีหน้ามีแว
“ท่านพ่ออีกคน ท่านก็เหมือนกัน ลูกรู้ว่าท่านลำเอียงเข้าข้างน้องหก แต่หัวใจของท่านก็อย่าเอนเอียงจนเกินไป!”เวินฉางอวิ้นจ้องเขม็งใส่บิดาท่านนี้ที่เขาเคยเคารพศรัทธามาโดยตลอดทั้ง ๆ ที่เคยเป็นแบบอย่างที่เขาอยากเดินตาม แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าอะไร ๆ ล้วนไม่จริง!ตัวตนของน้องหกก็ไม่จริงความรู้สึกของพ่อที่มีต่อแม่ก็ไม่จริงยังมีภาพลักษณ์พี่ชายที่ดีที่สุดในเมืองหลวงของเขา ก็ไม่จริงเช่นกัน!เขาไม่สมควรที่จะเรียกตัวเองแบบนั้น!เมื่อนึกขึ้นมาในตอนนี้ เขารู้สึกเสียใจมากจริง ๆทั้ง ๆ ที่เขาเป็นพี่ชายคนโตของครอบครัวนี้ แต่กลับไม่ห้ามน้องสาวออกบวช และไม่ได้เกลี้ยกล่อมน้องชายที่ออกจากบ้านให้กลับมาบัดนี้เมื่อเขาได้สติในที่สุด ก็ได้สูญเสียน้องห้าและน้องรองไปแล้วเวินฉางอวิ้นมองดูน้องชายสองคนที่เหลืออยู่ในบ้าน มองดูพวกเขาเหมือนกับตัวเองเมื่อก่อนทุกประการ ท่าทางไม่มีสติเลยแม้แต่นิดเดียวเขาอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “น้องสาม น้องสี่ ดูแลครอบครัวนี้ให้ดี หากพวกเจ้ายังไม่ได้สติอีกล่ะก็ ครอบครัวนี้ก็จะแตกแยกจริง ๆ แล้ว!น่าเสียดายที่เวินจื่อเยวี่ยไม่เข้าใจเวินอวี้จือก็ไม่เข้าใจเช่นกันพวกเขามองพี่ใหญ่ท
การระเบิดคำถามอย่างกะทันหันของเวินฉางอวิ้น ทำให้ทั้งเวินจื่อเยวี่ยและเวินอวี้จือที่ตั้งใจจะคุยกับเวินจื่อเยวี่ยตกตะลึงไปเวินเฉวียนเซิ่งไม่ได้เอ่ยปาก เพียงแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางเหลือบมองเวินฉางอวิ้นเวินจื่อเยวี่ยเปิดปาก อยากจะพูดบางอย่างเพื่อโต้แย้ง แต่สุดท้ายก็แค่บ่นด้วยความอึดอัดใจ “นั่นจะโทษตัวนางก็ไม่ได้ และไม่ใช่พวกเราที่บีบบังคับให้นางออกจากจวนเจิ้นกั๋วกงให้ได้นี่”เวินฉางอวิ้นยิ้มเยาะ โยนมาให้เขาแล้ว พลางเอ่ยอย่างราบเรียบ “น้องสาม ดวงตาของเจ้าบอดแล้ว ข้าก็เช่นกัน พวกเราทุกคนก็เช่นเดียวกัน”“มีเพียงน้องรองเท่านั้นที่ได้สติแล้ว เขาเข้าใจทุกอย่าง ดังนั้นจึงไปจากบ้านหลังนี้โดยไม่ยอมหวนกลับเหมือนน้องห้า”“ได้สติอะไร แค่ออกไปเป็นคนโง่เท่านั้นเอง”เวินจื่อเยวี่ยกล่าวอย่างไม่แยแส“พี่ใหญ่ ท่านไม่ได้แอบไปดูหรือ? เขาออกจากจวนเจิ้นกั๋วกงของเรา แม้แต่ที่อยู่อาศัยของตัวเองยังหาไม่ได้ด้วยซ้ำ ทำได้เพียงออกไปสร้างกระท่อมฟางโทรม ๆ เหมือนขอทาน นี่น่ะหรือได้สติอย่างที่พี่ใหญ่ว่า? ข้าว่าเขาเป็นแค่เรื่องขำขันมากกว่า”แต่เวินฉางอวิ้นกลับเหลือบมองเขาด้วยสีหน้าเวทนา“เจ้าบอกว่าน้องรองเสียสติ
จวนเจิ้นกั๋วกงห้องหนังสือ“ท่านพ่อ พี่ใหญ่ ข้าไม่นึกเลยว่าพวกท่านจะปฏิบัติกับน้องหกแบบนี้!”“พวกท่านรู้ดีว่าวังหลังนั่นคือสถานที่อะไร รู้ดีว่าพระองค์เกรงกลัวจวนเจิ้นกั๋วกงของเราแค่ไหน พวกท่านยังกล้าวางใจทิ้งน้องหกไว้ที่นั่นอีก!”“ถ้าน้องหกอยู่ในวังถูกข่มเหงรังแกจะทำอย่างไร? หากพวกเราไม่ได้อยู่ใกล้ตัวนาง ใครจะสามารถปกป้องนางได้?!”“ได้ ได้! ในเมื่อพวกท่านไม่ไปหานาง ถ้าอย่างนั้นข้าจะไป!”“หากรู้ตั้งแต่แรกว่าวันนั้นหลังจากน้องหกตามพวกท่านเข้าวังไปแล้ว จะถูกพวกท่านทิ้งไว้ที่นั่นล่ะก็ ต่อให้ขาข้างนี้ของข้าต้องพิการก็จะตามพวกท่านเข้าวังไปด้วย!”สกุลเวินในเวลานี้เกิดการโต้เถียงใหญ่โตมาสองวันแล้ว เพราะเรื่องที่เวินเยวี่ยเข้าวังพูดให้ถูกก็คือ ส่วนใหญ่เป็นการโวยวายเพียงฝ่ายเดียวของเวินจื่อเยวี่ยเป็นหลักแม้ว่าเวินอวี้จือจะไม่เอะอะโวยวายเหมือนกับเวินจื่อเยวี่ย แต่ทุกครั้งเมื่อเวินจื่อเยวี่ยเสียงดัง โดยพื้นฐานเขาก็ยืนอยู่ข้างเวินจื่อเยวี่ยเสมอส่วนพ่อลูกคู่นี้เวินเฉวียนเซิ่งและเวินฉางอวิ้น ทั้งสองนั้นมีนิสัยใจคอเหมือนกัน ในตอนแรก ๆ ยังสามารถอดทนไว้ได้ อธิบายให้พวกเข้าฟังอย่างใจเย็น ไม่
เหลียงหมอมอคือคนเก่าคนแก่ที่อยู่ข้างกายองค์ไทเฮา และไทเฮาก็เจาะจงสั่งให้มาอบรมกฎเกณฑ์แก่เวินเยวี่ยดังนั้นนางจึงตอบปฏิเสธคำร้องขอของเวินเยวี่ยอย่างไม่ลังเล “ขออภัยด้วยคุณหนูหกสกุลเวิน เนื้อตัวของท่านมีกลิ่นอายชนบทมากเกินไป เพื่อให้ท่านได้เรียนรู้กฎเกณฑ์และกลายเป็นผู้สูงศักดิ์ในวังได้โดยเร็ว บ่าวจึงต้องเข้มงวดกับท่านเล็กน้อย”เมื่อได้ยินคำว่า “กลิ่นอายชนบทมากเกินไป” สีหน้าของเวินเยวี่ยก็บึ้งตึงขึ้นมาอย่างทนไม่ไหวทันทีนังแก่นี่กล้าดูหมิ่นนางได้อย่างไร?เวินเยวี่ยกัดฟันด้วยความโกรธ พลางข่มไฟโทสะไว้ “แต่ว่าพระองค์ตกหลุมรักข้าตั้งแต่แรกเห็น หากข้าไม่ทันระวังได้รับบาดเจ็บที่ใบหน้าในขณะที่เรียนรู้กฎเกณฑ์จากท่าน เกรงว่าหมอมอจะลำบากกระมัง?”ลูกไม้ตื้น ๆ แบบเวินเยวี่ยนี้ เหลียงหมอมอเคยเห็นมามากแล้วนางยิ้มเล็กน้อย “คุณหนูหกสกุลเวิน คำพูดของท่านนั้นไม่ถูกต้อง”เวินเยวี่ยไม่แยแส “ตรงไหนที่ไม่ถูกต้อง?”“ไม่มีตรงไหนถูกต้องเลย พระองค์ทรงตกหลุมรักท่านตั้งแต่แรกเห็น ต้องการรับท่านเข้าวังในฐานะพระสนม ดังนั้นถึงให้ท่านเข้ามาเรียนรู้กฎเกณฑ์ในตำหนักของไทเฮา แต่ตอนนี้ท่านไม่เพียงแต่ไม่ตั้งใจเรียนรู
เวินฉางอวิ้นทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ“ไม่ใช่ขนมอบถั่วเขียวหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็เป็นขนมกุ้ยฮวา?”รอยยิ้มบนใบหน้าของเวินซื่อสดใสขึ้น แต่ก็เย็นชาลงเช่นกัน “ขนมกุ้ยฮวา พี่ใหญ่แน่ใจหรือ? คิดว่าเป็นขนมกุ้ยฮวาจริงหรือ? ไม่อย่างนั้นพี่ใหญ่ลองเดาดูอีกครั้ง เพราะถึงอย่างไรทุกครั้งท่านก็เดาแม่นเช่นนี้เสมอ ทำไมไม่ลองดูหน่อยว่า น้องสาวที่น่ารำคาญอย่างข้าผู้นี้ มีของที่ไม่ชอบกินที่สุดมากน้อยแค่ไหนกันแน่?”ใบหน้าของเวินฉางอวิ้นซีดเผือดอีกครั้งในชั่วประเดี๋ยวเดียว“ช่างมันเถอะ ข้าชอบกินอะไรมันเกี่ยวอะไรกับพี่ใหญ่ด้วยเล่า เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ พี่ใหญ่จำไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติ”น้ำเสียงของเวินซื่อเต็มไปด้วยการเย้ยหยัน “เพราะถึงอย่างไรต่อให้ข้าไม่กิน แต่ก็ยังมีคนหนึ่งที่ชอบกินอย่างไรเล่า พี่ใหญ่รีบห่อกลับไปให้น้องสาวสุดที่รักผู้นั้นที่ท่านรักสุดหัวใจเถิด”“ไม่ใช่นะ...น้องห้าเจ้าฟังพี่ใหญ่อธิบายก่อน พี่ใหญ่ไม่ได้ตั้งใจซื้อขนมอบถั่วเขียวที่เจ้าเกลียดมาให้ เพียงแต่ตอนนั้นซื้อไปโดย...จิตใต้สำนึก”เวินฉางอวิ้นร้อนใจจนพูดจาไม่คล่อง พูดถึงตอนท้ายเขาเองยังรู้สึกอับอายยิ่งกว่าเดิมเมื่อคิดดูอย่างรอบคอบ ขนมอบถั
“หากข้ากล้าทำเช่นนั้น ข้าก็ไม่ใช่คน ขอให้ฟ้าผ่าลงทัณฑ์ข้า!”เวินฉางอวิ้นยืนรับรองอยู่ข้างนอกอารามสุ่ยเยว่เป็นเวลาครึ่งชั่วยามแล้ว ลำคอแทบแห้งผาก ซือไท่เหล่านั้นถึงผ่อนคลายลง รับปากว่าจะช่วยเข้าไปพูดให้เขาแต่น่าเสียดายเหล่าซือไท่รับปากว่าจะบอกให้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเวินซื่อจะตกลงออกไป“ไม่ไป”แค่สองคำที่มีกลับมาถึงเบื้องหน้าเวินฉางอวิ้นเวินฉางอวิ้นมีหรือจะยอมแพ้ง่าย ๆ เช่นนี้“เหล่าซือไท่ได้โปรดช่วยเกลี้ยกล่อมน้องสาวของข้าอีกครั้ง ข้าแค่อยากเห็นหน้านางเท่านั้น”“ไม่ได้ ธิดาศักดิ์สิทธิ์บอกไปแล้วว่าจะไม่พบท่านก็คือไม่พบท่าน ท่านอย่ามาเสียเวลาที่นี่เลยดีกว่า รีบกลับไปเสียเถอะ”เหล่าซือไท่ที่ไม่ถูกชะตากับจวนเจิ้นกั๋วกงอยู่แล้ว หลังจากส่งต่อคำพูดจบแล้วก็รีบขับไล่เขาทันที ไม่อยากให้เวินฉางอวิ้นอยู่หน้าอารามสุ่ยเยว่ของพวกนางนานไปกว่านี้แม้แต่นิดเดียวแต่พวกนางนึกไม่ถึงว่าวันนี้ขับไล่ไป แต่หลังจากนี้เวินฉางอวิ้นก็มาอีกทุกวันทันทีที่เสร็จงานในช่วงบ่าย ไม่ได้กลับไปที่จวนเจิ้นกั๋วกงด้วยซ้ำก็ตรงมาที่อารามสุ่ยเยว่เลยมาเคาะประตูทุกวัน รบกวนจนเหล่าซือไท่หาความสงบสุขไม่ได้สุดท้ายก็ต้อ