Share

บทที่ 4

มุมมองของซิดนีย์

ทันทีที่ฉันกลับมายังสนามบิน ฉันก็เห็นเกรซโบกมือให้อย่างกระตือรือร้นจากอีกฝั่งหนึ่ง รอยยิ้มกว้างผุดขึ้นบนริมฝีปากเมื่อฉันเดินเข้าไปใกล้เธอมากขึ้น ทริปแสนสั้นของฉันได้สิ้นสุดลงแล้ว และอาจพูดได้เลยว่าสามเดือนที่ผ่านมานั้น เป็นสามเดือนที่มีความสุขมากที่สุดในชีวิตในรอบหลายปี

ฉันลากกระเป๋าตามหลังให้เร็วขึ้นแล้วรีบวิ่งไป พร้อมทั้งโบกมือกลับไปให้เกรซและรีบวิ่งไปหาตรงที่เธอยืนอยู่ ตอนแรกฉันก็ไม่ได้สังเกตเห็นหรอกนะ แต่มีคนคุ้นเคยเดินผ่านฉันไปอย่างรวดเร็ว ฉันอดที่หันไปมองไม่ได้ ฉันสาบานได้เลยว่าฉันรู้จักแผ่นหลังนั้น ไม่มีใครจะบอกเป็นอย่างอื่นได้ ต้องเป็นมาร์คไม่ผิดแน่ เป็นเขาแน่ ๆ

ฉันดูไม่ผิด ฉันยืนยันกับตนเองตอนที่หยุดหันไปมองคนคนนั้น เขาคือมาร์ค ฉันไม่มีทางพลาดได้หรอก เขาเดินแบบก้าวเท้าเร็ว ๆ เหมือนเคย เขามองไม่เห็นฉัน? หรือว่าเขาอาจจำฉันไม่ได้อีกแล้วมั้ง? ฉันหายไปแค่สามเดือนเอง แต่ถ้านั่นเป็นเวลาที่เพียงพอจะทำให้เขาไม่รู้ว่าฉันเป็นใครอีกครั้งจากแค่มองเพียงแวบเดียว ก็นับว่าประสบความสำเร็จที่สามารถลบผู้หญิงที่เขาเคยรู้จักออกไปจากชีวิตได้ แน่นอนว่าด้วยรูปลักษณ์ของฉันตอนนี้ ฉันคงดูไม่เหมือนอดีตภรรยาของเขาแล้ว

เสื้อผ้าแตกต่างจากที่เคยใส่ (ซึ่งเป็นสไตล์ที่เขาคุ้นเคย) ทรงผมที่เปลี่ยนไป ไม่ได้เกล้าเป็นมวยน่าเกลียด ๆ และรวบผมขึ้นไปอีกต่อไป

ฉันปล่อยผมสยายลงมาเป็นลอนสวย ใบหน้าดูกระจ่างใสงดงามทั้งด้วยการดูแลผิวที่ดี และแต่งหน้ามาด้วยนิดหน่อย ชุดรัดรูปสีแดงที่โค้งเข้ารูปในบริเวณที่เหมาะสม โดยรวมแล้ว ฉันดูดีและสวยกว่า "คุณนายตระกูลตอร์เรส" คนเดิมที่ฉันโยนทิ้งไปแล้ว ฉันหัวเราะคิกคักแล้วเลื่อนแว่นกันแดดลงผ่านเส้นผม ผ่านใบหน้าอย่างภาคภูมิใจ ก่อนจะสะบัดหน้ากลับไปในทิศทางที่ฉันกำลังมุ่งหน้าไป แล้วลากกระเป๋าเดินทางตามไปอีกครั้งหนึ่ง ตอนนี้เกรซได้เดินเข้ามาหาฉันแล้ว ฉันจึงต้องปล่อยมือจากกระเป๋าเดินทาง แล้วโอบกอดเธออย่างมีความสุข

"ตายแล้วเพื่อนสาว คิดถึงจะบ้า!" เธอส่งเสียแหลมในขณะที่กอดรัดฉัน

"เหมือนกัน!" ฉันส่งเสียงครางพร้อมกับถอนหายใจ เราผละตัวออกจากกัน แล้วฉันก็ปัดเส้นผมบางส่วนออกจากใบหน้า "ฉันเกือบจะไม่อยากกลับมาที่นี่แล้ว" ฉันพูดต่อ

"ตลกและ" เกรซขมวดคิ้วแบบติดตลก "หมายถึงจะไม่กลับมาวันนี้เหรอ?"

"ก็ทำนองนั้นแหละ" ฉันยักไหล่แล้วหัวเราะคิกคัก

"ถ้าอย่างนั้น ฉันคงต้องไปลากเธอกลับมาที่นี่ด้วยตัวเองแล้วล่ะ" เกรซบอกพร้อมกับยิ้ม เธอก้มลงดึงกระเป๋าเดินทางให้ฉัน "เอ้า ไปกันเถอะ"

เราเดินไปรถของเกรซที่จอดอยู่ ซึ่งเป็นคนละคันกับที่เคยขับมาส่งฉันในครั้งก่อน ครั้งนี้เป็นรถจี๊ปสีดำ

"เธอมีรถอีกคันเหรอ?" ฉันถามขึ้นในขณะเดินไปที่รถ

"ใช่แล้วค่ะ" เธอตอบแบบดีอกดีใจราวกับกำลังรอให้ฉันถามคำถามนี้ "สวยเปล่า?" เธอพูดต่อ

"สวยอย่าบอกใครเลย" ฉันแสดงความคิดเห็น "ฉันจะมีปัญญาซื้อรถใหม่บ้างไหมนะ" ฉันพูดต่อ

"บ้าสิ มีปัญญา? เธอน่ะมีปัญญาซื้อใหม่ได้ค่ะ"

ฉันเหลือบมองเธอแล้วหัวเราะอย่างไม่เชื่อ "เล่นใหญ่อะไรก่อน"

"เราไปกันพรุ่งนี้เลยนะ เพราะยังไง ๆ ก็ใกล้จะถึงช่วงสุดสัปดาห์แล้ว"

ฉันแค่พยักหน้ารับคำเธอ แล้วรอให้เธอกดรีโมตรถก่อนจะเข้าไปนั่งในรถ จากนั้นเธอก็เข้ามาหลังจากเอากระเป๋าเดินทางไปเก็บทางด้านหลัง

เราขับรถมาไกลพอสมควรจากทางเข้าสนามบิน ตอนที่ฉันบอกเรื่องที่เจอเมื่อครู่กับเกรซในที่สุด ถึงแม้จะเป็นการบอกกล่าวแบบราบเรียบที่สุดแล้วก็ตาม "ฉันเห็นคนคนนั้นมาที่นี่ด้วยล่ะ"

เธอชายตามองฉันจากที่นั่งหลังพวงมาลัย "ฮะ? ใครเหรอ?"

"มาร์ค"

"จริงดิ ตอนไหน?" เสียงพูดของเธอฟังดูไม่ประหลาดในนัก อาจเป็นเพราะเธอกำลังพยายามจะเลี้ยวเข้าไปในทางหลวงก็ได้

"เราเดินผ่านกันตอนที่ฉันมัวแต่โบกมือให้เธออยู่น่ะ"

ในที่สุดล้อ รถก็แล่นเข้าไปถนนนั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ตอนนี้เคลื่อนตัวไปด้านหน้า ฉันมองเห็นแววความตลกขบขันออกมาจากใบหน้าเพื่อนสาว

"งั้นเขาก็คงจำเธอไม่ได้ล่ะสิ?" เธอหัวเราะคิกคัก "โอ๊ย ทำไมฉันถึงดีใจจังที่ได้ยินอะไรแบบนั้น?" เธอพูดเสียงดังขึ้นมาอีกครั้งจนกระทั่งเริ่มหัวเราะอย่างสุดเสียง ทำให้ฉันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหัวเราะตาม

"เธอต้องดูด้วยว่าฉันบวมแค่ไหนตอนที่สังเกตเห็นน่ะ ฉันคงดูดีเกินจริงไปมากเลย"

หลังจากพูดคุยอย่างออกรสในขณะขับรถมาอย่างเนิ่นนาน ในที่สุด เราก็ขับรถไปบนถนนคดเคี้ยวที่ทอดขึ้นไปยังวิลล่าที่เราอยู่ร่วมด้วยกัน เกรซจอดรถตรงทางเข้าแล้วหันมามองฉัน

"ฉันแค่มาส่งเธอนะ ที่รัก" เธอพูด

"ไปที่อื่นต่อเหรอ?" ฉันถามเธอแล้วเธอก็พยักหน้า

"จ้ะ จำได้ไหมว่าฉันได้รับเชิญให้ไปงานปาร์ตี้นี้ ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรนักหรอก แต่อย่างน้อยฉันก็ควรไปร่วมงานนี้สักสองสามนาทีนะ"

"อ้อ" ฉันพยักหน้าพร้อมกับปลดเข็มขัดนิรภัย

"แล้วจะรีบกลับมาฟังเธอเล่าเรื่องเที่ยวทุกวินาทีเลย!" เธอพูดเสียงเล็กแหลมตอนที่ฉันก้าวลงจากรถ

"ได้เลย!" ฉันยิ้มในขณะปิดประตูรถ แล้วลากกระเป๋าเดินทางออกมา ก่อนจะมองดูเธอกลับรถไปในทิศทางที่เราเพิ่งเข้ามา

ฉันถอนหายใจในขณะมองขึ้นไปยังบ้านหลังใหญ่แสนโอ่อ่าของเรา เป็นบ้านอันงดงามตั้งอยู่กลางภูเขาที่มองลงมาเห็นวิวทะเล นี่คือสนามเด็กเล่นของคนรวยในเมืองนี้ ดีจังที่ได้กลับบ้าน ฉันคิดถึงอะไรต่อมิอะไรมากเหลือเกิน แม้แต่กลิ่นหอมสดชื่นแปลก ๆ ในอากาศ ก็ยังช่วยเติมความประทับใจให้กับทุกสิ่งทุกอย่างได้เป็นอย่างดี

ฉันเดินขึ้นบันไดไปที่บ้าน ลมเย็น ๆ ยามค่ำพัดผ่านผิวในขณะที่ฉันเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตู จากนั้น ผลักประตูหน้าให้เปิดออกเบา ๆ ก่อนจะก้าวเข้าไปข้างใน

แต่ก่อนที่ฉันจะได้ดื่มด่ำกับความคุ้นเคยของสิ่งต่าง ๆ ที่ฉันได้กลับมาชื่นชม ความกลัวก็แล่นเข้ามาในเส้นเลือดอย่างรุนแรง ฉันรู้สึกได้ก่อนจะทันได้มองเห็นด้วยซ้ำไป มีวัตถุเย็น ๆ แข็ง ๆ มากดอยู่ที่เอวจากทางด้านหลัง

ฉันตัวแข็งทื่อด้วยความกลัว รู้สึกได้ถึงการเต้นของหัวใจที่เต้นแรงไปทั่วร่าง ฉันรู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่อยู่ข้าง ๆ ฉันคืออะไร แม้จะมองไม่เห็นก็ตาม มันเป็นความรู้สึกตามสัญชาตญาณมากกว่า

"อย่าส่งเสียง" เขากระซิบขู่เบา ๆ ชายที่ถือปืนอยู่ข้างหลังฉัน

ทุกอณูในร่างกายต่างกรีดร้องบอกให้ฉันวิ่งหนี กรีดร้องขอความช่วยเหลือ แต่ฉันรู้ว่านั่นเป็นการเคลื่อนไหวที่โง่เขลานัก เขายืนหายใจรดต้นคอฉันจนรู้สึกร้อนผ่าวอยู่ทางด้านหลัง

จากนั้น กลิ่นเลือดสด ๆ ก็โชยเข้าจมูกฉัน เมื่อผสมกับความกลัวที่คุกคามจิตใจอยู่นั้น ฉันก็ตระหนักได้ว่าชายที่อยู่ข้างกายฉันได้รับบาดเจ็บ กลิ่นเลือดผสมดินปืนลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ

ฉันยกมือขึ้นโดยสัญชาตญาณเพื่อแสดงท่าทียอมแพ้ ซึ่งเป็นการร้องขอความเมตตาอย่างเงียบ ๆ ฉันรู้ว่าการเคลื่อนไหวแบบปุบปับอาจเป็นการยั่วโมโหเขาได้ ฉันจึงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นพร้อมกับหลับตา โดยพยายามหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ

ฉันไม่กล้ามองหน้าเขา เมื่อเผลอไปเห็นใบหน้าของอาชญากรเข้า บ่อยครั้งมักลงเอยด้วยต้องเงียบปาก ตลอดกาล ฉันเคยได้ยินเรื่องราวมาพอจะรู้ได้ถึงขนาดนั้น

ฉันรู้สึกถึงเงาดำเข้ามาปกคลุมตัวฉัน ความมืดมิดของเขาทำให้ฉันเสียวสันหลังวาบมากขึ้น

"ลืมเร็ว" เขาร้องคำราม

ฉันรู้สึกกลัวเกินกว่าจะเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร ฉันจึงหลับตาต่อไป

"ผมบอกให้ลืมตาไง" เขาตะคอกด้วยความรำคาญจนฉันตกใจ ตอนนี้ฉันลืมตาขึ้นแล้วมองเห็นร่างของเขาอยู่ตรงหน้าฉันจากแสงสลัว ๆ ที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา

สิ่งแรกที่ฉันเห็นคือหน้าอกของเขาและรอยเลือดที่ติดอยู่ตรงเสื้อ จากนั้นฉันก็เลื่อนสายตาขึ้นไปมองใบหน้าของเขาเป็นครั้งแรก

ที่น่าแปลกใจคือผู้ชายคนนี้เป็นคนหล่อเหลาที่มีใบหน้าคมคายและดวงตาคมกริบสีเข้ม เขามีท่าทีที่แสดงถึงความมีอำนาจ ความมั่นใจที่บ่งบอกถึงความเคยชินในการควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง เขาดูเหมือนคนที่จะเข้าไปอยู่ในแก๊งมาเฟียได้โดยง่าย

เขายัดผ้าก้อนหนึ่งใส่มือฉัน และเมื่อคลี่มันออกก็พบว่ามันคือผ้าพันแผล ฉันไม่ต้องรอให้เขาสั่งว่าฉันต้องทำอะไรต่อไป ฉันรวบรวมสติด้วยมืออันสั่นเทา เขาถอดเสื้อแจ็กเกตออกแล้วตามด้วยเสื้อเชิ้ต ตอนนี้ฉันมองเห็นบาดแผลบนตัวเขาแล้ว มันเป็นบาดแผลจากกระสุนปืน ผิวหนังโดยรอบเป็นแผลสดและอักเสบ

ดูเหมือนว่าเขาจะเอาลูกกระสุนออกเองแล้ว แต่เลือดยังไหลไม่หยุด

"น-นั่งลงค่ะ" ฉันพูดตะกุกตะกัก

เขาทำตามแล้วทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ที่วางอยู่ใกล้ ๆ อย่างแรง

ฉันสูดหายใจเข้าลึก ๆ "ฉัน..ฉันไปเอาชุดปฐมพยาบาลมาดีไหม?" ฉันถาม

"ไปเอามาสิ" เขาส่งเสียงครวญครางเพราะตรงบริเวณผ้าพันแผลนั้น

ฉันนั่งลงข้าง ๆ เขาและเริ่มทำแผลให้ ถ้ามีใครอยู่ด้วย เขาจะต้องเห็นว่ามือของฉันสั่นระริกเพียงใดในขณะทำแผลอยู่ เขาร้องครวญครางเพราะความเจ็บปวดและทำหน้าบูดบึ้งในขณะที่ฉันขยับ แต่เขาไม่ได้คัดค้านอะไรจนกระทั่งฉันมัดผ้าพันแผลให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้

มีเสียงกริ่งประตูดังขึ้นมาทำลายความเงียบ ฉันเหลือบมองใบหน้าของชายคนนั้น เขาไม่ได้ทำอะไรมากนักเพียงแต่รีบหลบไปหาที่ซ่อน ฉันถือว่านี่เป็นการส่งสัญญาณให้ฉันไปเปิดประตู ถึงแม้ว่าฉันจะแน่ใจว่าเขายังอาจอยู่ใกล้ ๆ และพร้อมจะระเบิดหัวแน่ถ้าฉันทำอะไรโง่ ๆ ขึ้นมา

ฉันเปิดประตูอย่างระมัดระวัง มาร์คยืนอยู่ตรงนั้น เขาคงจำฉันได้ที่สนามบินจึงตามฉันมาถึงที่นี่

มาร์คคว้ามือฉันไว้

"กลับบ้านไปกับผมเดี๋ยวนี้!" เขาเร่งเร้า

ฉันสะบัดมือเขาออก

"ไม่ได้ใบหย่าหรือไง?" ฉันถามเขาอย่างตรงไปตรงมา

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status