มุมมองของซิดนีย์ฉันหยุดหัวเราะไม่ได้เลย เมื่อได้รับออเดอร์พิเศษครั้งที่สี่ของวันนั้นโดยปกติแล้ว อเทลิเย่จะได้รับออเดอร์เป็นจำนวนมากในแต่ละวัน และพนักงานของเราก็จะดูแลออเดอร์พวกนี้ แต่ถ้ามีออเดอร์เครื่องประดับแบบสั่งทำพิเศษ ออเดอร์พวกนั้นก็จะส่งตรงมาถึงฉันบนหน้าจอมีออเดอร์สั่งทำเครื่องประดับสองชิ้นจากผู้ช่วยของมาร์ค ซึ่งมีระบุในช่องสอบถามความชื่นชอบว่าให้ดู 'โดดเด่น' จากเครื่องประดับชิ้นไหน ๆ ของเรา จากนั้นเขาก็ลงท้ายด้วยคำว่า 'บอกราคามาเท่านั้น'นับเป็นเรื่องปกติ มีแค่มาร์คเท่านั้นที่ทะนงตัวถึงขนาดทำให้คำขอฟังดูเป็นการดูถูกเหยียดหยามได้ ผู้ช่วยของมาร์คเป็นคนสั่งออเดอร์นี้ แต่ฉันแน่ใจว่าออเดอร์นี้ทำขึ้นในนามของมาร์ค ผู้ช่วยของเขาไม่มีปัญญาซื้อเครื่องประดับแบบสั่งทำพิเศษของอเทลิเย่ให้กับตัวเองได้หรอกฉันนั่งหมุนตัวอยู่บนเก้าอี้พร้อมกับผิวปาก "ได้เวลากอบโกยเงินอีกหลาย ๆ ล้านแล้วสิเนี่ย"ฉันหันกลับไปที่หน้าจอโน้ตบุ๊ก อ่านประโยคสุดท้ายนั่นอีกครั้ง แล้วฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิม "โอ๊ย จะตั้งใจตั้งราคาเลยค่ะ"ทีแรก ฉันก็สงสัยนะว่าเขาจะซื้อของขวัญให้ใคร แต่แล้วก็มีเพียงเบลล่าเท่านั้นที่แวบ
มุมมองของมาร์คมีคนมาเคาะประตูที่ห้องผม“เข้ามา" ผมตะโกนบอกไปโดยไม่ละสายตาจากแฟ้มเอกสารที่อยู่ตรงหน้าผมได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดในขณะเปิดประตู แล้วมีเสียงของผู้ช่วยของผมลอยเข้ามา "ลักซ์ โว้ค ตอบกลับมาแล้วครับท่าน"“อืมมม" ผมพึมพำและพยักหน้า "สร้อยคอจะเสร็จเมื่อไหร่?”“ไม่ใช่เรื่องสร้อยคอครับท่าน แต่เป็นเรื่องข้อเสนอการเข้าซื้อกิจการที่เราส่งไปให้พวกเขาครับ"ผมเงยหน้าขึ้นแล้วดันเก้าอี้ไปข้างหลัง "โอ้ จริงด้วย เราจะพบปะพูดคุยกันเพื่อสรุปการส่งมอบเว็บไซต์ได้เมื่อไหร่?” ผมถามช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ ที่อเทลิเย่ก็เป็นหุ้นส่วนกับเว็บไซต์ที่ผมจับตามองมาหลายเดือนแล้ว พวกเขาไม่ได้โต้ตอบอะไรมาหลายเดือน แต่ผมก็ไม่ยอมแพ้ ผมสั่งให้ผู้ช่วยของผมส่งอีเมลถึงพวกเขาอยู่เรื่อย ๆหลังจากเบลล่ากลับไปแล้ว ผมก็สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับอเทลิเย่ด้วยตัวเอง เบลล่าพูดถูกทุกอย่าง! พวกเขาทำเครื่องประดับออกมาสวยงามมาก คุณภาพอัญมณีเยี่ยมยอด ซึ่งทำให้ผมรู้สึกภาคภูมิใจ และทำให้ผมรู้สึกมั่นใจว่าการซื้อเว็บไซต์นี้เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง การที่มีหนึ่งในบริษัทที่เราดูแลอยู่เข้าไปร่วมงานกับสตูดิโอย่างอเทลิเย่ ก็จะช่วย
ไฟที่ส่องแสงวูบวาบจากสีหนึ่งไปเป็นอีกสีหนึ่ง เรือนร่างที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อและเบียดกันแน่นอยู่บนพื้นที่เต้นนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผมตั้งตารอในคืนนี้ ผมแค่ต้องการความสงบและค่ำคืนดี ๆ ที่ได้อยู่กับเพื่อน ๆ เท่านั้นในระหว่างที่ผมขับรถมาที่นี่ โจเอลได้โทรหาผม ผมแทบจะไม่ได้ยินเสียงเขาเลยเนื่องจากเสียงดนตรีที่ดังลั่นภายในบาร์ "วิลล์ก็อยู่ที่นี่ด้วยนะ"ผมถามเขาว่า "อะไรนะ?” ประมาณสามครั้งก่อนที่จะได้ยินในที่สุดผมพบเจอพวกเขาในโซนนั่งส่วนตัว ซึ่งเป็นพื้นที่จองสำหรับพวกเราสามคนโดยเฉพาะนี่เป็นที่เดียวที่เราสามารถพูดคุยกัน และในขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันคึกคักภายในบาร์แห่งนี้ผมสั่งให้ผู้ช่วยส่งไฟล์ที่มีข้อมูลของเกรซมาให้ ตอนนี้ผมหันรูปนั้นไปทางโจเอล "นายรู้จักเธอใช่ไหม? พวกนายเคยคบกันนี่"วิลล์พูดสวนขึ้นมาพร้อมกับผิวปาก "ฉันจำเธอได้ เธอคือผู้หญิงที่นอนกับนายในตอนนั้น" เขาหันมาทางผม "นายรู้ไหมว่าฉันเคยขอแชร์ผู้หญิงคนนั้นกับเขาด้วย"“ไอ้นี่" โจเอลหัวเราะและพยักหน้าให้ผม "รู้ รู้จัก แต่เราไม่ได้คบกัน เราแค่ ก็อย่างที่นายรู้นั่นแหละ" เขายักคิ้วแล้วทำหน้าภาคภูมิใจ "เป็นแค่เพื่อนร่วมเตียง เ
ฉันพยายามดิ้นรน ดึงมือตนเอง และด่าทอ ในขณะที่มาร์คลากฉันเข้าไปในโถงทางเดินข้าง ๆ ห้องน้ำชาย ฉันเดินตามเขาอย่างทุลักทุเล ไม่สามารถก้าวเท้าได้ทันเขาเพราะใส่ส้นสูงที่ใส่อยู่แม้แต่ในฝันที่แสนเพ้อเจ้อ ฉันก็ไม่คิดว่าจะเจอเขาที่นี่ได้ ฉันหมายถึงตลอดสามปีแห่งการแต่งงานอันอับเฉา ฉันสามารถนับนิ้วด้วยมือข้างเดียวได้เลยว่าเคยเจอเขาที่อื่นที่ไม่ใช่บ้านกี่ครั้ง ฉันนึกว่าเขาจะอยู่ในที่ทำงานตลอดเวลาเสียอีกนะ แต่ในช่วงนี้ฉันสรุปได้ว่าถ้าเขาไม่อยู่ในที่ทำงาน ก็คงสำเริงสำราญอยู่กับน้องสาวของฉันในโรงแรมหรู ๆ นั่นแหละ“มาร์ค เป็นบ้าอะไรของคุณเนี่ย?” ฉันใช้มือข้างที่ว่างตีนิ้วที่จับข้อมือของฉันอยู่ "ปล่อยมือฉันนะ"เขาไม่ได้พูดอะไร แค่เดินพุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับแผ่นหลังที่ดูแข็งอย่างกับหินตั้งแต่ฉันขอหย่ากับเขา เขาก็ดูเหมือนผีที่ตามหลอกหลอนฉันอยู่ตลอดเวลา ฉันไปที่ไหนก็จะต้องเจอเขาที่นั่นฉันครางออกมาเบา ๆ ในขณะที่เขากระแทกหลังฉันและตรึงเข้ากับกำแพง ดวงตาสีฟ้าเข้มของเขาดูลึกล้ำจนยากจะหยั่งถึง และดวงตาคู่นั้นก็เปลี่ยนเป็นสีเข้มชนิดที่คุณคิดว่าสีตาธรรมชาติของเขาเป็นสีดำสนิท“เสียสติไปแล้วหรือไง?” เขาร้อ
ฉันรู้สึกได้ว่ามือที่เกาะกุมของเขาเริ่มคลายออก จนฉันสามารถดึงมือหลุดออกมาได้ ฉันเดินลากส้นสูงไปข้างหน้าเพื่อพยายามจะหนี แต่ก็ไม่ทันความเร็วของเขา นิ้วของเขาเข้ามาเกาะกุมข้อมือของฉันอีกครั้งและดึงฉันกลับไป เขาตรึงฉันกับกำแพงอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาไม่ได้ตรึงฉันไว้ด้วยดวงตาที่แข็งกร้าว แต่เป็นริมฝีปากของเขาแทนฉันเกือบลืมหายใจเมื่อริมฝีปากของเขาประกบลงบนริมฝีปากของฉัน ให้ความรู้สึกอบอุ่นและนุ่มนวล ฉันหลับตาลงอย่างไม่รู้สึกตัว ปล่อยให้ริมฝีปากของเขาโลมไล้ไปตามริมฝีปากของฉัน จริง ๆ แล้วฉันรู้สึกเพลิดเพลินกับการที่ริมฝีปากของเขาประกบอยู่บนริมฝีปากของฉัน ฉันแทบไม่รู้สึกตัวราวกับต้องมนต์สะกดจากรสจูบนี้ แขนของชายหนุ่มโอบรัดอยู่ตรงรอบเอวฉัน จากนั้นดึงตัวฉันเข้าไปแนบตัวเขามากขึ้น ความร้อนผ่าวบนตัวเขาทำให้เรือนร่างของฉันรู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาเลยลิ้นของเขาชอนไชเพื่อแทรกเข้ามา ฉันเผยอปากแล้วลิ้นนั้นก็เลื้อยเข้ามาภายใน ให้ความรู้สึกเปียกแฉะและ-ดวงตาของฉันเบิกโพลง ร่างกายแข็งทื่อ แล้วฟันของฉันก็กัดลงบนลิ้นของเขาโดยสัญชาตญาณ เกิดอะไรขึ้นกับฉันเนี่ย?“คุณเป็นบ้าอะไรซิดนีย์?!” เขาดึงตัวออกแล้วปล่อยฉัน
หากตรงหน้าเป็นชายอื่น ฉันคงชื่นชอบริมฝีปากที่รุกคืบเข้ามาอย่างดุดัน และฉันควรตอบสนองมันอย่างเร่าร้อนไปเสียแล้ว แต่นี่ไม่ใช่คนแปลกหน้าหรือชู้รัก แต่เป็นมาร์คฉันรับรู้ได้เลยว่ามันลำบากยิ่งนักทั้งดันร่างกายเขาออกไปและดึงเขาเอามาใกล้ ฉันอยากจะกัดลิ้นหรือริมฝีปากของเขาเหมือนที่ทำตอนแรก แต่ฉันก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ความรู้สึกนี้เป็นสิ่งที่ชวนสับสนจริง ๆ ฉันอยากให้เขาหยุดและถอยห่างจากฉันไป แต่ฉันก็กลัวเหลือเกินว่าเขาจะหยุดไปจริง ๆ บ้อบอเสียไม่มีแต่ฉันก็ยังคงดิ้นรนอยู่เช่นนั้น ฉันหลับตาปี๋ พยายามจะพูดบางสิ่งออกไปถึงแม้ว่าปากของเขาจะประกบอยู่บนปากของฉันก็ตาม ลิ้นสอดใส่เข้ามาด้านในอยู่เช่นนั้น เรือนร่างของเขากดทับอยู่บนตัวฉัน ฉันรู้สึกได้ถึงความนูนตรงเป้ากางเกงที่แนบอยู่ตรงหน้าขาฉันขัดขืนมากขึ้นเป็นทวีคูณ และกรีดร้องดังขึ้นอยู่ในอกเสียงกรีดร้องเหือดหายอยู่ในลำคอ แล้วทันใดนั้นมือของเขาก็คล้ายออกจากร่างกาย ฉันไม่รู้สึกถึงความร้อนผ่าวบนตัวเขาอีกต่อไปฉันปัดเป่าความรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยนั้นออกไป เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นร่างทะมึนยืนอยู่ตรงหน้าฉัน หน้าอกของฉันกระเพื่อมขึ้นลงเพื่อพยายามจะหา
คนที่มีไหวพริบคงล่าหลบให้พ้นทาง แล้วปล่อยคู่รักเจ้าปัญหานี้ไว้เพียงลำพัง แต่ชายผู้นี้...สายตาของฉันจับจ้องไปที่เจ้าของร้านคนนี้ เขาเดินไปข้างหน้าด้วยท่าทีที่ดูคุกคามไม่แพ้กัน ร่างกายของเขาดูตึงแน่น...ตื่นตัว"ผมรู้ว่าคุณเป็นใครนะ มาร์ค ตอร์เรส ประธานบริษัทจีที กรุป และผมรู้อยู่แล้วว่าคุณทำให้ผมหมดตัวได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หยุดความตั้งใจที่จะปกป้องผู้หญิงไร้ทางสู้คนนี้ได้ คุณคงจะเดินวางมาดเข้ามาแล้วทำร้ายแขกของผมได้ ไม่ว่าเธอจะเป็นภรรยาของคุณหรือไม่ก็ตาม" คำพูดของเขามีน้ำเสียงอย่างหนึ่งแฝงอยู่ นั่นคือการคุกคามที่ไม่จำเป็นต้องออกมาเป็นคำพูดบรรยากาศเปลี่ยนแปลงไป และดูเหมือนมาร์คจะตกตะลึงกับคำตอบของชายคนนั้น จากนั้น เขาก็หันหลังกลับอย่างกะทันหันพร้อมหัวเราะร่า“ตลกเป็นบ้าเลย เจ้าหมอนี่" ดูท่าเขาจะสร่างเมาแล้ว "รู้เรื่องทั้งหมดอยู่แล้ว แต่ยังกล้าเสนอหน้าเข้ามาอีกนะ? คงเบื่อที่จะทำงานร้านนี้แล้วใช่เปล่า?”ตายแล้ว ฉันปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าเจ้าของร้านไม่ยอมถอยไปแน่ และเมื่อโดนข่มขู่เช่นนี้ มาร์คก็ถอยไปไม่ได้เช่นกัน ฉันไม่สามารถให้คนแปลกหน้าต้องมาหมดเนื้อหมดตัวเพียงเพราะปัญ
อากาศหนาวเย็นในยามค่ำพัดมากระทบใบหน้าของฉัน ในขณะที่เราทั้งคู่รีบเดินออกจากประตู และขนบริเวณแขนก็ลุกซู่ ฉันยังคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องที่เจ้าของร้านคนนั้น เป็นคนเดียวกับที่เจอที่บ้านของฉันนั่นเองฉันมีสิทธิ์จะโทรเรียกตำรวจมาจับเขาทันที และบางทีอาจเรียกตำรวจมาตรวจค้นสถานที่แห่งนี้ด้วย ฉันหมายถึงเขามีปืนในวันนั้นแต่ฉันไม่มีหลักฐาน ฉันตัวสั่นเทา ตัวสั่นจากความรู้สึกที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย เมื่อนึกถึงความรู้สึกของโลหะที่จ่ออยู่ข้างหลังฉันในขณะที่ฉันยังจมอยู่กับความคิดของตัวเองอยู่นั้น มาร์คก็ผลักฉันเข้าไปในรถ เขารัดเข็มขัดนิรภัยรอบตัวฉันอย่างลวก ๆ และรีบร้อน ราวกับว่าฉันยังเป็นเด็กเล็ก ๆ ที่เขาต้องพากลับบ้านเป็นการด่วน“คุณจะพาฉันไปไหน?!” ฉันดึงเข็มขัดนิรภัยอย่างเก้ ๆ กัง ๆ พร้อมกับร้องถามในขณะที่เขายังเคลื่อนไหวอยู่ เขาเดินอ้อมรถไป รถสั่นเล็กน้อยในขณะที่เขาก้าวเข้ามาด้านในและปิดประตูอย่างแรงใบหน้าตั้งตรง จ้องมองไปข้างหน้าโดยไม่แยแสกับคำถามที่ฉันถามเขาเลย“มาร์ค คุณจะพาฉันไปไหน?!” ฉันถามเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก“กลับบ้านไง! เราจะกลับบ้านกัน!” เขาตะโกนบอกทันใดนั้น โทรศัพท์ของเขาก
เขาจับมือฉันแกว่งไปมาในขณะเดินชมสวนอย่างเงียบ ๆ โดยเราก็ต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองในขณะดื่มด่ำกับความเงียบสงบของค่ำคืนมีแสงสว่างสาดส่องอยู่ข้างหน้า และดูเหมือนจะมีผู้คนอยู่มากมาย ฉันหรี่ตามอง "นั่นรถขายของสักอย่างใช่ไหม?” ฉันพึมพำในขณะเหลือบมองลูคัสแวบนึง ซึ่งกำลังมองไปข้างหน้าเช่นกัน“ผมก็คิดว่าอย่างนั้นนะ" ลูคัสตอบพร้อมกับยักไหล่ขึ้นเล็กน้อยเมื่อเราเดินเข้าไปใกล้มากขึ้นภาพก็ชัดเจนขึ้น แล้วฉันก็หยุดยั้งตัวเองเอาไว้ไม่ได้เลย เมื่อตระโกนออกไปว่า "ไอศกรีม!” ฉันชี้ไปที่รถไอศกรีมแล้วหันไปหาลูคัสซึ่งกำลังยืนยิ้มอยู่“ไปกันเถอะ" ฉันดึงมือออกจากเขา "ไปกินไอศกรีมกัน"ฉันรีบวิ่งไปยังรถไอศกรีมที่เปิดเพลงอยู่โดยไม่ได้รอคำตอบจากเขา ตอนที่ฉันร้องตะโกนออกไปนั้น มีเด็ก ๆ บางคนหันมามอง ดังนั้นเมื่อฉันรีบวิ่งไปที่นั่น พวกเขาก็ยังคงจ้องมองอยู่ฉันไม่สนใจสายตาที่จ้องมองมาที่ฉันเลยสักนิดเดียว ตอนนี้ฉันมีความรู้สึกเหมือนอยู่ในวัยเดียวกับพวกเขาเลย ฉันนึกถึงตอนที่ฉันกับลูคัสเคยเดินเล่นด้วยกันตอนเด็ก ๆ แล้วแวะไปที่ร้านไอศกรีม หรือรถไอศกรีมเหมือนรถคันนี้ แล้วซื้อไอศกรีมกินกันคนละสองถ้วย“คุณอยาก
ฉันลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นซึ่งทำให้ฉันรู้สึกแหลกเหลวไปทั้งตัว ฉันหันไปยังเจ้าของเสียงนั้น "ไม่ต้องกลัวนะ ซิดนีย์" ลูคัสพูดขึ้น และถึงแม้เขาจะไม่ได้หัวเราะแล้ว แต่ในแววตายังหัวเราะอยู่ "ลุยจิอาจจะขับรถรุนแรงไปหน่อย แต่เชื่อผมเถอะว่าเขาเป็นคนขับรถที่เก่งมาก มีประสบการณ์ และพรสวรรค์ ไม่ต้องกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหรอก เราจะเอากระเป๋าของคุณกลับคืนมาอย่างปลอดภัย"ฉันกลืนน้ำลายแล้วส่ายหัว แต่ยังคงจับขอบเบาะที่นั่งเอาไว้แน่นเขาขับรถอย่างรุนแรงไปตามถนนที่มืดสลัวและตรอกซอยที่มืดมิด จนในที่สุดเราก็สามารถไล่ต้อนไอ้หัวขโมยเข้าไปจนมุมอยู่ในตรอกแคบ ๆ มืด ๆ ได้ ถ้าไม่ได้ไฟหน้ารถส่องเอาไว้ฉันคงมองไอ้หัวขโมยคนนั้นไม่เห็นหรอก ฉันรู้สึกประหลาดใจที่เขาไล่ต้อนให้มาจนมุมอย่างนั้นได้ แต่แน่นอนว่าฉันดีใจและประทับใจมากที่จะได้ข้าวของของฉันกลับคืนมาไอ้หัวขโมยคนนั้นไม่สามารถหยุดได้ทันในขณะที่วิ่งอย่างรวดเร็ว จึงวิ่งตรงมาที่รถด้วยความสับสนหัวใจเต้นแรงจนเหมือนจะหลุดออกมาจากอก ฉันเกาะขอบเบาะที่นั่งเอาไว้แน่น แล้วหลับตาลงและเตรียมรับมือกับการชนที่กำลังจะเกิดขึ้น ฉันรู้สึกไม่ดีกับไอ้หัวขโมยคนนั้
ล้อรถสีไปกับพื้นถนนเสียงดังเอี๊ยด เมื่อจู่ ๆ รถก็พุ่งตัวออกไปในค่ำคืนที่มีแสงจันทร์ส่องสว่าง ลุยจิขับรถด้วยความเร็วสูงแบบไม่บันยะบันยังบนถนนที่ขรุขระ พลอยทำให้พวกเราทั้งสามคนที่อยู่ในรถกระเด้งกระดอนอยู่บนเบาะนั่งถ้าลูคัสไม่ได้รัดเข็มขัดนิรภัยให้ฉันล่ะก็ พนันได้เลยว่าฉันต้องกระเด็นออกไปทางหน้าต่างที่เปิดอยู่แน่ ๆ“โอ้พระเจ้า ลุยจิ ช่ายขับช้า ๆ หน่อยได้ไหม!” ฉันตะโกนบอกในขณะจับขอบเบาะที่นั่งเอาไว้แน่นลุยจินั่งหัวเราะจนไหล่โยกอยู่ตรงเบาะหน้า "ไม่ได้ครับ" เขาเหลียวมองมาข้างหลังแวบหนึ่ง "ผมเคยเป็นนักแข่งรถเอฟโฟร์มาก่อน ถ้าผมขับช้า ๆ เหมือนคุณยายล่ะก็ เพื่อน ๆ ผมคงหัวเราะเยาะ แล้วผมก็คงแพ้การแข่งขันแน่ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ จับเอาไว้แน่น ๆ ถ้าผมรักษาความเร็วที่ระดับนี้ไว้ได้ ผมก็แน่ใจว่าจะจับไอ้หัวขโมยคนนั้นได้แน่!”จากนั้น เขาก็เลี้ยวโค้งอย่างกระทันหัน และถึงแม้จะคาดเข็มขัดนิรภัยเอาไว้แล้ว พวกเราก็เอียงไปทางด้านข้างกันหมด แล้วฉันก็ล้มเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของลูคัสอย่างควบคุมไม่อยู่ ซึ่งทำให้ฉันหน้าแดงยิ่งกว่าเดิมเมื่อยังอยู่ในอ้อมแขนของลูคัส เพราะดูเหมือนลุยจิจะยังคงเลี้ยวโค้งอย่างบ้าคลั่งอย
ฉันลืมตาขึ้นมาพร้อมกับยิ้ม ความคิดถึงลูคัสได้จางหายไป แรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์ของฉันได้กลับมาแล้ว ฉันหยิบกระดาษร่างและปากกาออกมา คิ้วขมวดมุ่นอย่างมีสมาธิในขณะร่างความคิดที่อยู่ในหัวออกมา ในระหว่างนั้นก็หยิบขวดน้ำออกมาจิบเพิ่มความสดชื่น จากนั้นเหยียดแขนไปข้างหน้าพร้อมกับถือแบบร่างงานออกแบบไว้ตรงหน้าพร้อมกับหรี่ตามองเป็นงานออกแบบที่ดูตั้งใจตามเคย ไม่ใช่แค่ขีดเขียนงานออกแบบราคาถูกบนกระดาษอย่างรวดเร็วเท่านั้นพอฉันหลุดออกจากโลกแห่งความคิดสร้างสรรค์แล้วมองไปรอบ ๆ ตัว ก็พบว่าเป็นเวลามืดค่ำแล้ว และมีคนเดินไปเดินมาอยู่ไม่กี่คน ฉันก็เลยเก็บข้าวของโดยจัดเรียงกระดาษที่ร่างแบบเอาไว้ในกระเป๋าเป้อย่างระมัดระวัง แล้ววางไว้ข้าง ๆ ตัว จากนั้นก็หยิบขวดน้ำขึ้นมาจิบอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะวางไว้ข้างตัวอีกด้านหนึ่งฉันถอดรองเท้าแล้วขยับนิ้วไปมาเพื่อไล่ความตึงเครียดที่ถูกบีบอยู่ในรองเท้าเป็นเวลานาน จากนั้นก็สวมกลับเข้าไปใหม่แล้วผูกเชือกรองเท้า เสร็จแล้วก็ลุกขึ้นพร้อมกับบิดขี้เกียจและถอนหายใจอย่างมีความสุขฉันหันกลับไปเพื่อหยิบกระเป๋าเป้แล้วเดินกลับบ้าน แต่ต้องผงะเมื่อเห็นที่นั่งว่างเปล่าเหลือเพียงแต
"ซิดนีย์ เธอดูเหมือนสาวแรกรุ่นที่มีความรักจริง ๆ นะ" เกรซแซวในขณะเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นพร้อมกับถือชามใส่สตรอว์เบอร์รี่เต็มชาม ส่วนปากก็เคี้ยวสตรอว์เบอร์รี่ตุ้ย ๆ“ฉันไม่รู้สิ เกรซ" ฉันใช้ปลายนิ้วหมุนโทรศัพท์เล่นในขณะทำหน้ามุ่ยด้วยความกังวล "ฉันควรโทรหาเขาไหม? หรือไม่ควรโทรไปดี?”หลังเกิดเรื่องวุ่นวายกับมาร์คและลูคัสในงานปาร์ตี้นั้น เวลาของฉันในการกลับมาเจอะเจอลูคัสอีกครั้งก็หดสั้นลง เขาอาสาไปส่งฉันที่บ้านแต่เขาดูรีบร้อน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ลืมที่จะแลกเบอร์โทรศัพท์กับฉันก่อนจะขับรถออกไปอย่างเร่งรีบ แล้วตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาฉันก็ไม่สามารถสลัดเขาออกจากหัวได้เลย ฉันไม่สามารถจดจ่ออยู่กับงานได้เพราะในหัวมีแต่เขาเท่านั้นเกรซกลอกตามองเพดานพลางหย่อนตัวนั่งลงบนโซฟาบีนแบ็คที่เอามาตั้งไว้กลางห้องแทนโต๊ะนั้น เธอยื่นชามสตรอว์เบอร์รี่มาให้ฉัน "กินหน่อยไหม?” เธอหลับตาลงเล็กน้อยแล้วถอนหายใจอย่างเกิดจริง "หวานฉ่ำมากเธอเอ๊ย"ฉันส่ายหัวแล้วเธอก็ทำเสียงไม่พอใจ "เธอปฏิเสธอาหารดี ๆ เพียงเพราะเธอคิดไม่ตกว่าควรจะโทรไปหาพ่อยอดยาหยีที่ห่างหายจากกันไปนานน่ะเหรอ ก็โทรไปหาเขาสิที่รัก ถ้าไม่โทรแล้วจะแลกเบอร์โ
มุมมองของมาร์คผมอ้าปากค้างแล้วรู้สึกว่ามือที่วางอยู่ข้างตัวสั่นเทาก่อนจะกำแน่น เมื่อเห็นผู้ชายคนนั้นโอบกอดซิดนีย์เอาไว้แน่นผมเดินออกไปข้างหน้าด้วยความรู้สึกหึงหวงอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง แล้วดึงซิดนีย์ออกจากผู้ชายคนนั้น เมื่อจับซิดนีย์แยกออกมาได้แล้ว ผมก็ชกเข้าที่หน้าของผู้ชายคนนั้นเจ้าหมอนั่นเซไปข้างหลังพร้อมกับเอามือกุมใบหน้าเอาไว้“คุณบ้าไปแล้วเหรอ มาร์ค?” ผมได้ยินซิดนีย์ตะโกนถามมาจากด้านหลัง แต่ก็ไม่ได้ช่วยหยุดยั้งอะไรผมได้ ผมเดินเข้าประชิดตัวแล้วต่อยที่หน้าของเขาอีกหนึ่งหมัด คราวนี้เขาเซไปข้างหลังแล้วล้มลงไปกองกับพื้น“มาร์ค! หยุดเดี๋ยวนี้นะ" คุณยายส่งเสียงห้ามแต่ก็หยุดยั้งผมเอาไว้ไม่ได้ผมกระโดดคร่อมบนตัวเขาแล้วชกเข้าที่หน้าเขาอีกครั้ง เขาคิดว่าเขาเป็นใครกันที่เดินออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ แล้วกอดซิดนีย์ไว้แบบนั้น?ในขณะที่ผมดึงแขนกลับมาเพื่อจะต่อยเขาอีกครั้ง เขาก็ใช้ฝ่ามือรองรับหมัดของผมเอาไว้ เขาเปิดปากที่มีเลือดไหลออกมา แล้วพูดอะไรที่ผมคิดว่าช่างฟังน่าโมโหที่สุดในคืนนั้น“ผมสั่งให้หยุดเดี๋ยวนี้"ช่างกล้ามาก! ในขณะที่ผมกำลังจะชกเขาอีกครั้ง ก็ต้องล้มไปกองกับพื้นอยู่ข้าง
เขาถามฉันถึงเรื่องนี้และนั่นคือตอนที่ฉันค้นพบว่าตัวเองชอบการออกแบบเครื่องประดับจริง ๆ จากนั้นเขาหาหนังสือพวกนี้มาให้อ่านอีกหลายเล่มเมื่อวันเวลาผ่านไปจนเรามีอายุเพิ่มมากขึ้น ลูคัสก็เติบโตเป็นชายหนุ่มฉลาดเฉลียว และฉันก็พบว่าตัวเองไม่ได้มองเขาเป็นแค่เพื่อน แล้วเริ่มให้ความสำคัญกับรูปโฉมของตัวเองโดยไม่รู้ตัว ฉันตั้งตารอที่จะได้พบเขาและได้ใช้เวลากับเขาในทุก ๆ วันพอฉันมีอายุได้สิบหกปีฉันก็ค่อนข้างแน่ใจว่าตกหลุมรักเขาเสียแล้ว แล้วเขาก็ชอบฉันด้วย จริง ๆแล้ว ฉันแค่ไม่แน่ใจว่าเขาชอบฉันมากแค่ไหนเท่านั้น พออายุได้สิบเจ็ดปีฉันก็ได้จูบกับลูคัสเป็นครั้งแรกใต้ชั้นวางหนังสือ ที่เต็มไปด้วยหนังสือเกี่ยวกับการออกแบบเครื่องประดับที่เขาหามาให้ฉันตลอดหลายปีที่ผ่านมาเราเป็นคู่รักวัยใสที่มีความสุขมากระยะหนึ่ง จนกระทั่งสุขภาพของลูคัสเริ่มทรุดโทรมลง เขามักจะหมดสติอยู่เสมอ และฉันก็ได้พบเขาน้อยลงเรื่อย ๆ ในแต่ละวันที่ผ่านพ้นไปทุกครั้งที่เขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน ฉันก็จะไปเยี่ยมเขา ทันทีที่เขารู้สึกตัวและจ้องมองมาที่ฉัน เขาก็จะยิ้มและคำแรกที่เขาพูดก็คือ "ไม่เป็นไร"ฉันพยักหน้าตอบทุกครั้งแต่ฉันรู
ฉันใช้เวลาไม่นานนักก็เริ่มกินอาหารจนอิ่มแปร้ อาหารมีรสชาติอร่อยเหมือนถูกส่งลงมาจากสวรรค์ เมื่อเทียบกับอาหารขยะที่เรากินที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แล้วท้องที่โลภมากก็ร้องโครกครากมากขึ้นมีอาหารที่ตระเตรียมไว้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ ผัก นม ไวน์ สเต็ก… เรียกได้ว่าในครัวแห่งนั้นมีทุกสิ่งทุกอย่างจริง ๆ“เธอเป็นใคร?”ฉันตกตะลึงจนทำให้แอปเปิ้ลที่ฉันกินไปครึ่งลูกหลุดร่วงจากมือ ฉันค่อย ๆ หันไปเผชิญหน้ากับเด็กชายผมหยิกที่อยู่บนรถเข็น ถ้าไม่ได้อายุน้อยกว่าฉัน เขาก็คงแก่กว่าฉันหนึ่งหรือสองปีถึงแม้ฉันจะมีของกินอยู่เต็มปาก แต่ก็ยังยกมือขึ้นทักทายอย่างเคอะเขิน "สวัสดี" ฉันพึมพำออกไปเด็กชายคนนั้นจ้องมองฉันแล้วเลื่อนสายตาไปที่ลูกแอปเปิ้ลที่อยู่ในมือฉัน จนฉันต้องเอาไปซ่อนไว้ข้างหลังด้วยความอับอาย ฉันกวาดสายตาไปตามล้อรถเข็นของเขา“ฉันสัญญาและสาบานว่าจะไม่…” ฉันพูดออกไปแต่ก็หยุดชะงักเมื่อรถเข็นขยับ ตอนแรกฉันก็รู้สึกใจสั่นด้วยความกลัว จนกระทั่งเขานั่งรถเข็นผ่านฉันไป"เขากำลังทำอะไรน่ะ?” ฉันสงสัย เมื่อหันไปหาเขาก็เห็นเขากำลังเปิดตู้เย็น เขาหยิบกล่องนมออกมา แล้วเข็นรถตัวเองไปที่เคาน์เตอร์ที่อยู่
หลังจากมีคนรับฉันไปเลี้ยงเป็นครั้งแรกนั้น ฉันก็เริ่มจำหน้าผู้ปกครองและบ้านอุปถัมน์ไม่ได้เลย แต่ละครอบครัวที่ฉันเข้าไปอยู่ด้วยนั้นมักจะปฏิบัติต่อฉันไม่ดี แต่ก็ยังโชคดีและฉลาดพอที่จะหนีออกมาได้เสมอ มันเหมือนโดนพายุโหมกระหน่ำเมื่อเจ้าหน้าที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าดุด่าและลงโทษฉัน เพียงเพราะฉันประพฤติตัวไม่ดีกับพ่อแม่บุญธรรมหรือวิ่งหนีออกจากบ้านอุปถัมน์ และก่อนที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันก็ถูกรับไปเลี้ยงอีกครั้ง และถูกโยนไปอยู่กับครอบครัวอันแสนขมขื่นอีกครอบครัวหนึ่ง ฉันโชคไม่ดีที่ไม่เคยได้อยู่กับครอบครัวที่น่ารักและอบอุ่นเลยในที่สุด เจ้าหน้าที่ก็เกิดความเบื่อหน่ายที่ปล่อยฉันออกไป เพราะฉันมักจะกลับหรือถูกส่งตัวกลับมาเสมอ ดังนั้น พวกเขาจึงทิ้งฉันไว้ที่นั่น ถึงแม้ว่าจะมีใครบอกว่าต้องการรับฉันไปเลี้ยง แต่พวกเขาก็จะส่ายหัวแล้วพูดว่า "ขอโทษครับ เด็กคนนั้นไม่เหมาะจะไปอยู่ในความดูแลของคุณ"โดยส่วนตัวแล้ว ฉันชอบชีวิตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามากกว่า นอกจากอาหารแย่ ๆ ซึ่งบ้าเอ้ย อาหารที่แย่จริง ๆ และสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายแล้ว การอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก็ไม่ได้แย่อะไรนักหรอก สำหรับฉันแล้ว อย่างน้อยก็ยัง