คนที่มีไหวพริบคงล่าหลบให้พ้นทาง แล้วปล่อยคู่รักเจ้าปัญหานี้ไว้เพียงลำพัง แต่ชายผู้นี้...สายตาของฉันจับจ้องไปที่เจ้าของร้านคนนี้ เขาเดินไปข้างหน้าด้วยท่าทีที่ดูคุกคามไม่แพ้กัน ร่างกายของเขาดูตึงแน่น...ตื่นตัว"ผมรู้ว่าคุณเป็นใครนะ มาร์ค ตอร์เรส ประธานบริษัทจีที กรุป และผมรู้อยู่แล้วว่าคุณทำให้ผมหมดตัวได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หยุดความตั้งใจที่จะปกป้องผู้หญิงไร้ทางสู้คนนี้ได้ คุณคงจะเดินวางมาดเข้ามาแล้วทำร้ายแขกของผมได้ ไม่ว่าเธอจะเป็นภรรยาของคุณหรือไม่ก็ตาม" คำพูดของเขามีน้ำเสียงอย่างหนึ่งแฝงอยู่ นั่นคือการคุกคามที่ไม่จำเป็นต้องออกมาเป็นคำพูดบรรยากาศเปลี่ยนแปลงไป และดูเหมือนมาร์คจะตกตะลึงกับคำตอบของชายคนนั้น จากนั้น เขาก็หันหลังกลับอย่างกะทันหันพร้อมหัวเราะร่า“ตลกเป็นบ้าเลย เจ้าหมอนี่" ดูท่าเขาจะสร่างเมาแล้ว "รู้เรื่องทั้งหมดอยู่แล้ว แต่ยังกล้าเสนอหน้าเข้ามาอีกนะ? คงเบื่อที่จะทำงานร้านนี้แล้วใช่เปล่า?”ตายแล้ว ฉันปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าเจ้าของร้านไม่ยอมถอยไปแน่ และเมื่อโดนข่มขู่เช่นนี้ มาร์คก็ถอยไปไม่ได้เช่นกัน ฉันไม่สามารถให้คนแปลกหน้าต้องมาหมดเนื้อหมดตัวเพียงเพราะปัญ
อากาศหนาวเย็นในยามค่ำพัดมากระทบใบหน้าของฉัน ในขณะที่เราทั้งคู่รีบเดินออกจากประตู และขนบริเวณแขนก็ลุกซู่ ฉันยังคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องที่เจ้าของร้านคนนั้น เป็นคนเดียวกับที่เจอที่บ้านของฉันนั่นเองฉันมีสิทธิ์จะโทรเรียกตำรวจมาจับเขาทันที และบางทีอาจเรียกตำรวจมาตรวจค้นสถานที่แห่งนี้ด้วย ฉันหมายถึงเขามีปืนในวันนั้นแต่ฉันไม่มีหลักฐาน ฉันตัวสั่นเทา ตัวสั่นจากความรู้สึกที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย เมื่อนึกถึงความรู้สึกของโลหะที่จ่ออยู่ข้างหลังฉันในขณะที่ฉันยังจมอยู่กับความคิดของตัวเองอยู่นั้น มาร์คก็ผลักฉันเข้าไปในรถ เขารัดเข็มขัดนิรภัยรอบตัวฉันอย่างลวก ๆ และรีบร้อน ราวกับว่าฉันยังเป็นเด็กเล็ก ๆ ที่เขาต้องพากลับบ้านเป็นการด่วน“คุณจะพาฉันไปไหน?!” ฉันดึงเข็มขัดนิรภัยอย่างเก้ ๆ กัง ๆ พร้อมกับร้องถามในขณะที่เขายังเคลื่อนไหวอยู่ เขาเดินอ้อมรถไป รถสั่นเล็กน้อยในขณะที่เขาก้าวเข้ามาด้านในและปิดประตูอย่างแรงใบหน้าตั้งตรง จ้องมองไปข้างหน้าโดยไม่แยแสกับคำถามที่ฉันถามเขาเลย“มาร์ค คุณจะพาฉันไปไหน?!” ฉันถามเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก“กลับบ้านไง! เราจะกลับบ้านกัน!” เขาตะโกนบอกทันใดนั้น โทรศัพท์ของเขาก
โทรศัพท์สว่างขึ้น และเบลล่าโทรมาอีกครั้ง เขาปล่อยมือที่จับไหล่ฉันไว้แล้วรับสายโทรศัพท์นั้น และนั่นคือสัญญาณที่ฉันต้องออกไปแล้วฉันก้าวลงจากรถ มองผ่านกระจกมองข้างที่ปรับลงมา เห็นเขาเอาโทรศัพท์แนบไว้ระหว่างหูกับไหล่ ในขณะเสียบกุญแจเพื่อติดเครื่องยนต์ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็วางโทรศัพท์ลงและหันหน้ามาทางฉัน มือของเขากำพวงมาลัยไว้แน่นพร้อมตรงดิ่งไปหาคนรักของเขา“วันอาทิตย์นี้เป็นวันเกิดพ่อคุณ ไปรอผมอยู่ที่บ้าน แล้วเราค่อยไปด้วยกัน!” พอพูดจบเขาก็พับกระจกมองข้าง แล้วขับรถออกไปฉันเฝ้ามองด้วยความรำคาญใจ หงุดหงิด และสะอิดสะเอียน ในขณะที่รถของเขาแล่นหายไปในความมืดมิดของรัตติกาลอย่างรวดเร็ว“ไปให้พ้นเลย ไอ้ผู้ชายเฮงซวย!” ฉันสะดุ้งเมื่อจู่ ๆ ได้ยินเสียงตะโกนของเกรซดังขึ้นท่ามกลางคืนมืด ฉันอดยิ้มไม่ได้เมื่อเธอก้าวออกมาข้างหน้า และยังก่นด่าเขาต่อไป“อุบาทว์! ไปเลย ไปขึ้นเตียงกับเมียน้อยของแกเลย!” เกรซร้องตะโกนในยามค่ำคืน ป่านนี้รถของมาร์คคงไปส่องแสงให้ความหวังอยู่ที่ปลายอุโมงค์อีกข้างหนึ่งแล้ว“เบาได้เบา สาว" ฉันหัวเราะคิกคักแล้วส่ายหัว "เขาไม่ได้ยินเสียงของเธอหรอก"“ต้องได้ยินสิ" เธอบ่นพึมพำ
เมื่อรถจอดหน้าคฤหาสน์ของพ่อ ฉันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อเตรียมตัวเตรียมใจสำหรับการเผชิญหน้าที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉันรู้ว่าพ่อคงไม่พอใจที่เห็นฉันไม่ได้มาพร้อมกับมาร์ค พ่อต้องการให้ฉันวิ่งไล่ตามมาร์คเหมือนลูกหมาหลงทางอยู่ตลอดเวลา ต้องยอมรับว่าฉันได้วิ่งไล่ตามเขามาสักพักหนึ่งแล้ว ฉันถึงขั้นเปลี่ยนชีวิตตนเองเพื่อเอาใจพวกเขา ฉันสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วก้าวเท้าออกจากรถฉันเดินไปที่ลานบ้านของคฤหาสน์หลังนั้น ซึ่งอยู่ติดกับสวนที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ฉันรู้สึกชื่นชมสวนนี้ตอนที่มาครั้งแรก ฉันชอบใช้เวลาอยู่ที่นั่นทุกครั้งที่พวกเขาเอาอกเอาใจเบลล่าอยู่ สวนนี้สวยงามมากกว่าเดิมอย่างที่เราอยากจะให้เป็น ฉันแน่ใจว่าแม่จะต้องประสาทเสียกับการสั่งให้คนสวนตัดโน่นแต่งนี่ให้ได้ดังใจในบริเวณนั้นมีกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย คนรับใช้เดินไปเดินมาเพื่อดูแลแขกทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ซึ่งนั่งล้อมโต๊ะอยู่ โดยแต่ละคนต่างสวมเสื้อผ้าและเครื่องประดับอันหรูหรา มีเด็กสาวกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ข้างพุ่มไม้หลากสีสัน พร้อมทั้งมีแก้วไวน์อยู่ในมือ พวกเธอเด็ดดอกไม้เล่นในขณะพูดคุยกัน และเอามือปิดปากเบา ๆ ในขณะหัวเราะฉันเห็นพ่อกำลังพูดคุยอยู่กับแ
“ซิดนีย์!” พ่อกัดฟันแน่นพร้อมสายตาจ้องมองมา จากนั้น แม่ก็เอามือแตะไหล่เขา“หนูถามพ่ออยู่เนี่ยว่าเหลวไหลตรงไหน?” ฉันพูดต่อไป ไม่มีวี่แววจะหยุด "ที่มาร์คลูกเขยคนดีของพ่อถูกคนรักและคู่หมั้นทิ้งไป ในวันที่พวกเขากำลังจะกลายเป็นสามีภรรยากันนี่เหลวไหลเหรอ?”แม่เบิกตาโพลงและหันไปมองข้างหลัง "ซิดนีย์ หยุดซะที!”ฉันก้าวออกไปข้างหน้าพร้อมกับเอียงคอและขมวดคิ้ว "หรือเหลวไหลตรงที่เจ้าหญิงเบลล่าตัวน้อยของแม่นั้นมั่วไปทั่วแถมยังมายั่วพี่เขยตัวเอง?” ฉันออกเสียงคำว่า "มั่ว" อย่างชัดเจน และไม่ลืมที่จะเน้นให้ฝังแน่นอยู่ในโสตประสาทด้วยสีหน้าของพ่อกับแม่ทำให้ฉันรู้สึกกังวลเล็กน้อย หากตอนนั้นเราอยู่กันตามลำพัง ฝ่ามือของพวกเขาคงได้ฟาดหน้าของฉันแล้ว แต่ไม่ใช่ที่นี่เพราะมีแขกเหรื่อมากเกินไป ผู้คนในวงสังคมชั้นสูงทั้งนั้น และพวกเขาก็เป็นห่วงภาพลักษณ์ของตัวเองเกินกว่าจะทำอะไรได้ในวันที่ฉันเตรียมตัวจะกลับมาอยู่กับพ่อแม่นั้น เป็นวันที่ฉันมีความสุขมากที่สุดในชีวิตวันหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะเป็นตอนที่ฉันโตแล้วก็ตาม ฉันมีความรู้สึกว่าพ่อกับแม่ทอดทิ้งฉัน แต่ฉันก็ยังโหยหาที่จะได้พบพวกเขาในสักวันหนึ่ง ฉันรู้สึกผิดหวัง ฉัน
ความรู้สึกที่แล่นขึ้นมาในตัวฉันช่างเป็นความรู้สึกปีติยินดีอย่างที่สุด และนับตั้งแต่ฉันบอกมาร์คว่าไม่ต้องการครองคู่กับเขานั้น นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกได้ถึงอิสรเสรีหลังจากที่ฉันประกาศออกไป ทั่วทั้งบ้านต่างตกอยู่ในความเงียบงัน ฝูงชนต่างสลับตามองระหว่างฉันกับมาร์ค และหลังจากนั้นก็ระหว่างพ่อกับแม่ฉันเห็นหญิงสาวบางคนตระหนักถึงโอกาสแสนงามนี้ ชุดคอลึกที่พวกเธอใส่อยู่ยิ่งดูลึกยิ่งกว่าเดิม เธอเผยให้เห็นหน้าอกหน้าใจล้นออกมาจากคอเสื้อครึ่งหนึ่ง ในขณะส่งสายตาเย้ายวนให้กับมาร์ค จริง ๆ แล้วมาร์คเป็นดังเพชรแท้ท่ามกลางผู้ชายมากมายในเมืองนี้ มีใครจะไม่ตื่นเต้นที่จะคว้าผู้ชายแบบนั้นเอาไว้ เมื่อมีเสียงกระซิบบอกว่าเขากำลังจะกลับมาวางขายอยู่ในตลาดอีกครั้ง?เบลล่าดูไม่พอใจอย่างมาก เธอยังคงจับแขนมาร์คเอาไว้แน่นฉันต้องการถ่ายภาพสีหน้าของพ่อกับแม่ตอนนี้เอาไว้แล้วใส่กรอบเอาไว้ดูจังเลย ดวงตาของพวกเขาถลนหันมาทางฉัน ฉันไม่รู้ว่าเป็นเพราะตกใจหรือโกรธฉันกันแน่ตลอดหลายปีที่ฉันอยู่กับครอบครัวมา ฉันได้เรียนรู้ว่าธุรกิจของตระกูลไมเคิลกำลังตกต่ำลง และรับรู้ได้ในช่วงตลอดสามปีที่ครองคู่อีกว่าทำไมพ่อและแม่ถึงได้
"ช้า ๆ หน่อยได้ไหม?” ฉันครวญคราง "ฉันเจ็บนะคุณ ไหล่คุณมันทิ่มพุงฉันอยู่"“จะเจ็บตรงไหนก็เรื่องของคุณ" เขาหยุดเพียงช่วงครู่ แล้วพูดต่อว่า "ผมไม่ได้สนใจตั้งแต่คุณประกาศบ้าบอแบบนั้นออกมาแล้ว"“ทำอย่างกับเคยสนใจอย่างนั้นแหละ" ฉันกลอกตาเขาใช้เท้าเตะประตูให้เปิดออก ก้าวเข้าไปข้างในแล้วโยนฉันลง ไม่สิ เขาเหวี่ยงฉันลงบนเตียงขนาดใหญ่มากกว่าฉันเด้งอยู่บนเตียงเป็นเวลาสองสามวินาทีก่อนจะนิ่งอยู่กับที่“บ้าเอ๊ย! ถ้ากระเด้งตกพื้นหัวกระแทกตายขึ้นมา คุณจะว่าไง"“เป็นแบบนั้นได้ก็ดี" เสียงของเขาทำให้ขนลุก และพยายามเก็บท่าทีเสียอาการเอาไว้เมื่อสายตาเช่นนั้นปรากฏ ดวงตาที่เต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยามเส้นเลือดบนหลังมือปูดโปน และสันกรามสบกันพร้อมก่นด่าออกมา "ผมสั่งให้คุณไปรอผมที่บ้าน"ฉันนั่งในท่าสบายอยู่บนเตียง และค่อยเอ่ยตอบเขาเพื่อที่ฉันจะได้พูดอะไรไม่ติดขัด "ก็ไม่อยากทำ คุณจะมาสั่งให้ฉันทำโน่นทำนี่ไม่ได้หรอกนะ อีกอย่าง ถ้าฉันมาที่นี่ ฉันก็ต้องนั่งรถไปพร้อมคุณกับเบลล่าน่ะสิ นั่งอยู่ตรงเบาะหลังเหมือนเป็นส่วนเกินใช่ไหม?เขาทำเสียงเยาะเย้ย "เกลียดเด็กน่าสงสารคนนั้นมากเลยเหรอ? แต่นั่นมันน้องสาวคุณนะ
ฉันจ้องมองมาร์คด้วยความไม่เชื่อ ดวงตาเบิกกว้าง และเสียงของเขาดังก้องไปทั่วห้อง เสียงสะท้อนกับผนังอย่างแรง ดวงตาที่มุ่งมั่นของเขาจับจ้องมาที่ฉัน ริมฝีปากดูเป็นเส้นตรง พร้อมเอามือกอดอกที่บ่งบอกถึงความจริงจัง“กำลังจะบอกว่าฉันต้องจ่ายเงินสามสิบล้านเป็นค่าหย่าร้างเหรอ?!” ฉันถามออกไป เสียงนั้นสะท้อนไปทั่วห้อง "นี่มันอะไรกันเนี่ย! สามสิบล้านเนี่ยนะ?” ข้อเรียกร้องของเขาช่างเหลวไหลสิ้นดี“ใช่ คุณต้องจ่ายมาสามสิบล้านบาท ผมถึงจะเซ็นเอกสารพวกนั้นให้" เขาตอบอย่างใจเย็นราวกับว่ากำลังแบมือขอเงินสามร้อยบาทเพียงเท่านั้น ท่าทีที่เขาตอบโต้กลับมายิ่งทำให้ฉันรู้สึกไม่เชื่อ มากกว่าจะยอมรับข้อเรียกร้องของเขา“เอาจริงดิ" ฉันร้องบอกออกไป คำพูดนั้นพรั่งพรูออกมาจากปากด้วยความไม่เชื่อผสมกับความหงุดหงิดใจ ในขณะที่ฉันนั่งคุกเข่าอยู่บนเตียงด้วยความรู้สึกกลุ้มใจ "รวยล้นฟ้า แต่ยังมีหน้ามาขอค่าหย่าร้างกับฉันอีกเหรอ?”“ถูกต้อง" เขาตอบ น้ำเสียงหนักแน่น และสายตาก็ดูไม่ไหวติงขณะจ้องมองความไม่เชื่อที่เต้นระริกอยู่ในดวงตาของฉัน“สติหน่อย มาร์ค!” ฉันร้องบอก ฉันพูดด้วยเสียงสูงจากความหงุดหงิดและความไม่เชื่อที่เพิ่มมากขึ้น
เขาจับมือฉันแกว่งไปมาในขณะเดินชมสวนอย่างเงียบ ๆ โดยเราก็ต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองในขณะดื่มด่ำกับความเงียบสงบของค่ำคืนมีแสงสว่างสาดส่องอยู่ข้างหน้า และดูเหมือนจะมีผู้คนอยู่มากมาย ฉันหรี่ตามอง "นั่นรถขายของสักอย่างใช่ไหม?” ฉันพึมพำในขณะเหลือบมองลูคัสแวบนึง ซึ่งกำลังมองไปข้างหน้าเช่นกัน“ผมก็คิดว่าอย่างนั้นนะ" ลูคัสตอบพร้อมกับยักไหล่ขึ้นเล็กน้อยเมื่อเราเดินเข้าไปใกล้มากขึ้นภาพก็ชัดเจนขึ้น แล้วฉันก็หยุดยั้งตัวเองเอาไว้ไม่ได้เลย เมื่อตระโกนออกไปว่า "ไอศกรีม!” ฉันชี้ไปที่รถไอศกรีมแล้วหันไปหาลูคัสซึ่งกำลังยืนยิ้มอยู่“ไปกันเถอะ" ฉันดึงมือออกจากเขา "ไปกินไอศกรีมกัน"ฉันรีบวิ่งไปยังรถไอศกรีมที่เปิดเพลงอยู่โดยไม่ได้รอคำตอบจากเขา ตอนที่ฉันร้องตะโกนออกไปนั้น มีเด็ก ๆ บางคนหันมามอง ดังนั้นเมื่อฉันรีบวิ่งไปที่นั่น พวกเขาก็ยังคงจ้องมองอยู่ฉันไม่สนใจสายตาที่จ้องมองมาที่ฉันเลยสักนิดเดียว ตอนนี้ฉันมีความรู้สึกเหมือนอยู่ในวัยเดียวกับพวกเขาเลย ฉันนึกถึงตอนที่ฉันกับลูคัสเคยเดินเล่นด้วยกันตอนเด็ก ๆ แล้วแวะไปที่ร้านไอศกรีม หรือรถไอศกรีมเหมือนรถคันนี้ แล้วซื้อไอศกรีมกินกันคนละสองถ้วย“คุณอยาก
ฉันลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นซึ่งทำให้ฉันรู้สึกแหลกเหลวไปทั้งตัว ฉันหันไปยังเจ้าของเสียงนั้น "ไม่ต้องกลัวนะ ซิดนีย์" ลูคัสพูดขึ้น และถึงแม้เขาจะไม่ได้หัวเราะแล้ว แต่ในแววตายังหัวเราะอยู่ "ลุยจิอาจจะขับรถรุนแรงไปหน่อย แต่เชื่อผมเถอะว่าเขาเป็นคนขับรถที่เก่งมาก มีประสบการณ์ และพรสวรรค์ ไม่ต้องกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหรอก เราจะเอากระเป๋าของคุณกลับคืนมาอย่างปลอดภัย"ฉันกลืนน้ำลายแล้วส่ายหัว แต่ยังคงจับขอบเบาะที่นั่งเอาไว้แน่นเขาขับรถอย่างรุนแรงไปตามถนนที่มืดสลัวและตรอกซอยที่มืดมิด จนในที่สุดเราก็สามารถไล่ต้อนไอ้หัวขโมยเข้าไปจนมุมอยู่ในตรอกแคบ ๆ มืด ๆ ได้ ถ้าไม่ได้ไฟหน้ารถส่องเอาไว้ฉันคงมองไอ้หัวขโมยคนนั้นไม่เห็นหรอก ฉันรู้สึกประหลาดใจที่เขาไล่ต้อนให้มาจนมุมอย่างนั้นได้ แต่แน่นอนว่าฉันดีใจและประทับใจมากที่จะได้ข้าวของของฉันกลับคืนมาไอ้หัวขโมยคนนั้นไม่สามารถหยุดได้ทันในขณะที่วิ่งอย่างรวดเร็ว จึงวิ่งตรงมาที่รถด้วยความสับสนหัวใจเต้นแรงจนเหมือนจะหลุดออกมาจากอก ฉันเกาะขอบเบาะที่นั่งเอาไว้แน่น แล้วหลับตาลงและเตรียมรับมือกับการชนที่กำลังจะเกิดขึ้น ฉันรู้สึกไม่ดีกับไอ้หัวขโมยคนนั้
ล้อรถสีไปกับพื้นถนนเสียงดังเอี๊ยด เมื่อจู่ ๆ รถก็พุ่งตัวออกไปในค่ำคืนที่มีแสงจันทร์ส่องสว่าง ลุยจิขับรถด้วยความเร็วสูงแบบไม่บันยะบันยังบนถนนที่ขรุขระ พลอยทำให้พวกเราทั้งสามคนที่อยู่ในรถกระเด้งกระดอนอยู่บนเบาะนั่งถ้าลูคัสไม่ได้รัดเข็มขัดนิรภัยให้ฉันล่ะก็ พนันได้เลยว่าฉันต้องกระเด็นออกไปทางหน้าต่างที่เปิดอยู่แน่ ๆ“โอ้พระเจ้า ลุยจิ ช่ายขับช้า ๆ หน่อยได้ไหม!” ฉันตะโกนบอกในขณะจับขอบเบาะที่นั่งเอาไว้แน่นลุยจินั่งหัวเราะจนไหล่โยกอยู่ตรงเบาะหน้า "ไม่ได้ครับ" เขาเหลียวมองมาข้างหลังแวบหนึ่ง "ผมเคยเป็นนักแข่งรถเอฟโฟร์มาก่อน ถ้าผมขับช้า ๆ เหมือนคุณยายล่ะก็ เพื่อน ๆ ผมคงหัวเราะเยาะ แล้วผมก็คงแพ้การแข่งขันแน่ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ จับเอาไว้แน่น ๆ ถ้าผมรักษาความเร็วที่ระดับนี้ไว้ได้ ผมก็แน่ใจว่าจะจับไอ้หัวขโมยคนนั้นได้แน่!”จากนั้น เขาก็เลี้ยวโค้งอย่างกระทันหัน และถึงแม้จะคาดเข็มขัดนิรภัยเอาไว้แล้ว พวกเราก็เอียงไปทางด้านข้างกันหมด แล้วฉันก็ล้มเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของลูคัสอย่างควบคุมไม่อยู่ ซึ่งทำให้ฉันหน้าแดงยิ่งกว่าเดิมเมื่อยังอยู่ในอ้อมแขนของลูคัส เพราะดูเหมือนลุยจิจะยังคงเลี้ยวโค้งอย่างบ้าคลั่งอย
ฉันลืมตาขึ้นมาพร้อมกับยิ้ม ความคิดถึงลูคัสได้จางหายไป แรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์ของฉันได้กลับมาแล้ว ฉันหยิบกระดาษร่างและปากกาออกมา คิ้วขมวดมุ่นอย่างมีสมาธิในขณะร่างความคิดที่อยู่ในหัวออกมา ในระหว่างนั้นก็หยิบขวดน้ำออกมาจิบเพิ่มความสดชื่น จากนั้นเหยียดแขนไปข้างหน้าพร้อมกับถือแบบร่างงานออกแบบไว้ตรงหน้าพร้อมกับหรี่ตามองเป็นงานออกแบบที่ดูตั้งใจตามเคย ไม่ใช่แค่ขีดเขียนงานออกแบบราคาถูกบนกระดาษอย่างรวดเร็วเท่านั้นพอฉันหลุดออกจากโลกแห่งความคิดสร้างสรรค์แล้วมองไปรอบ ๆ ตัว ก็พบว่าเป็นเวลามืดค่ำแล้ว และมีคนเดินไปเดินมาอยู่ไม่กี่คน ฉันก็เลยเก็บข้าวของโดยจัดเรียงกระดาษที่ร่างแบบเอาไว้ในกระเป๋าเป้อย่างระมัดระวัง แล้ววางไว้ข้าง ๆ ตัว จากนั้นก็หยิบขวดน้ำขึ้นมาจิบอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะวางไว้ข้างตัวอีกด้านหนึ่งฉันถอดรองเท้าแล้วขยับนิ้วไปมาเพื่อไล่ความตึงเครียดที่ถูกบีบอยู่ในรองเท้าเป็นเวลานาน จากนั้นก็สวมกลับเข้าไปใหม่แล้วผูกเชือกรองเท้า เสร็จแล้วก็ลุกขึ้นพร้อมกับบิดขี้เกียจและถอนหายใจอย่างมีความสุขฉันหันกลับไปเพื่อหยิบกระเป๋าเป้แล้วเดินกลับบ้าน แต่ต้องผงะเมื่อเห็นที่นั่งว่างเปล่าเหลือเพียงแต
"ซิดนีย์ เธอดูเหมือนสาวแรกรุ่นที่มีความรักจริง ๆ นะ" เกรซแซวในขณะเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นพร้อมกับถือชามใส่สตรอว์เบอร์รี่เต็มชาม ส่วนปากก็เคี้ยวสตรอว์เบอร์รี่ตุ้ย ๆ“ฉันไม่รู้สิ เกรซ" ฉันใช้ปลายนิ้วหมุนโทรศัพท์เล่นในขณะทำหน้ามุ่ยด้วยความกังวล "ฉันควรโทรหาเขาไหม? หรือไม่ควรโทรไปดี?”หลังเกิดเรื่องวุ่นวายกับมาร์คและลูคัสในงานปาร์ตี้นั้น เวลาของฉันในการกลับมาเจอะเจอลูคัสอีกครั้งก็หดสั้นลง เขาอาสาไปส่งฉันที่บ้านแต่เขาดูรีบร้อน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ลืมที่จะแลกเบอร์โทรศัพท์กับฉันก่อนจะขับรถออกไปอย่างเร่งรีบ แล้วตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาฉันก็ไม่สามารถสลัดเขาออกจากหัวได้เลย ฉันไม่สามารถจดจ่ออยู่กับงานได้เพราะในหัวมีแต่เขาเท่านั้นเกรซกลอกตามองเพดานพลางหย่อนตัวนั่งลงบนโซฟาบีนแบ็คที่เอามาตั้งไว้กลางห้องแทนโต๊ะนั้น เธอยื่นชามสตรอว์เบอร์รี่มาให้ฉัน "กินหน่อยไหม?” เธอหลับตาลงเล็กน้อยแล้วถอนหายใจอย่างเกิดจริง "หวานฉ่ำมากเธอเอ๊ย"ฉันส่ายหัวแล้วเธอก็ทำเสียงไม่พอใจ "เธอปฏิเสธอาหารดี ๆ เพียงเพราะเธอคิดไม่ตกว่าควรจะโทรไปหาพ่อยอดยาหยีที่ห่างหายจากกันไปนานน่ะเหรอ ก็โทรไปหาเขาสิที่รัก ถ้าไม่โทรแล้วจะแลกเบอร์โ
มุมมองของมาร์คผมอ้าปากค้างแล้วรู้สึกว่ามือที่วางอยู่ข้างตัวสั่นเทาก่อนจะกำแน่น เมื่อเห็นผู้ชายคนนั้นโอบกอดซิดนีย์เอาไว้แน่นผมเดินออกไปข้างหน้าด้วยความรู้สึกหึงหวงอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง แล้วดึงซิดนีย์ออกจากผู้ชายคนนั้น เมื่อจับซิดนีย์แยกออกมาได้แล้ว ผมก็ชกเข้าที่หน้าของผู้ชายคนนั้นเจ้าหมอนั่นเซไปข้างหลังพร้อมกับเอามือกุมใบหน้าเอาไว้“คุณบ้าไปแล้วเหรอ มาร์ค?” ผมได้ยินซิดนีย์ตะโกนถามมาจากด้านหลัง แต่ก็ไม่ได้ช่วยหยุดยั้งอะไรผมได้ ผมเดินเข้าประชิดตัวแล้วต่อยที่หน้าของเขาอีกหนึ่งหมัด คราวนี้เขาเซไปข้างหลังแล้วล้มลงไปกองกับพื้น“มาร์ค! หยุดเดี๋ยวนี้นะ" คุณยายส่งเสียงห้ามแต่ก็หยุดยั้งผมเอาไว้ไม่ได้ผมกระโดดคร่อมบนตัวเขาแล้วชกเข้าที่หน้าเขาอีกครั้ง เขาคิดว่าเขาเป็นใครกันที่เดินออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ แล้วกอดซิดนีย์ไว้แบบนั้น?ในขณะที่ผมดึงแขนกลับมาเพื่อจะต่อยเขาอีกครั้ง เขาก็ใช้ฝ่ามือรองรับหมัดของผมเอาไว้ เขาเปิดปากที่มีเลือดไหลออกมา แล้วพูดอะไรที่ผมคิดว่าช่างฟังน่าโมโหที่สุดในคืนนั้น“ผมสั่งให้หยุดเดี๋ยวนี้"ช่างกล้ามาก! ในขณะที่ผมกำลังจะชกเขาอีกครั้ง ก็ต้องล้มไปกองกับพื้นอยู่ข้าง
เขาถามฉันถึงเรื่องนี้และนั่นคือตอนที่ฉันค้นพบว่าตัวเองชอบการออกแบบเครื่องประดับจริง ๆ จากนั้นเขาหาหนังสือพวกนี้มาให้อ่านอีกหลายเล่มเมื่อวันเวลาผ่านไปจนเรามีอายุเพิ่มมากขึ้น ลูคัสก็เติบโตเป็นชายหนุ่มฉลาดเฉลียว และฉันก็พบว่าตัวเองไม่ได้มองเขาเป็นแค่เพื่อน แล้วเริ่มให้ความสำคัญกับรูปโฉมของตัวเองโดยไม่รู้ตัว ฉันตั้งตารอที่จะได้พบเขาและได้ใช้เวลากับเขาในทุก ๆ วันพอฉันมีอายุได้สิบหกปีฉันก็ค่อนข้างแน่ใจว่าตกหลุมรักเขาเสียแล้ว แล้วเขาก็ชอบฉันด้วย จริง ๆแล้ว ฉันแค่ไม่แน่ใจว่าเขาชอบฉันมากแค่ไหนเท่านั้น พออายุได้สิบเจ็ดปีฉันก็ได้จูบกับลูคัสเป็นครั้งแรกใต้ชั้นวางหนังสือ ที่เต็มไปด้วยหนังสือเกี่ยวกับการออกแบบเครื่องประดับที่เขาหามาให้ฉันตลอดหลายปีที่ผ่านมาเราเป็นคู่รักวัยใสที่มีความสุขมากระยะหนึ่ง จนกระทั่งสุขภาพของลูคัสเริ่มทรุดโทรมลง เขามักจะหมดสติอยู่เสมอ และฉันก็ได้พบเขาน้อยลงเรื่อย ๆ ในแต่ละวันที่ผ่านพ้นไปทุกครั้งที่เขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน ฉันก็จะไปเยี่ยมเขา ทันทีที่เขารู้สึกตัวและจ้องมองมาที่ฉัน เขาก็จะยิ้มและคำแรกที่เขาพูดก็คือ "ไม่เป็นไร"ฉันพยักหน้าตอบทุกครั้งแต่ฉันรู
ฉันใช้เวลาไม่นานนักก็เริ่มกินอาหารจนอิ่มแปร้ อาหารมีรสชาติอร่อยเหมือนถูกส่งลงมาจากสวรรค์ เมื่อเทียบกับอาหารขยะที่เรากินที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แล้วท้องที่โลภมากก็ร้องโครกครากมากขึ้นมีอาหารที่ตระเตรียมไว้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ ผัก นม ไวน์ สเต็ก… เรียกได้ว่าในครัวแห่งนั้นมีทุกสิ่งทุกอย่างจริง ๆ“เธอเป็นใคร?”ฉันตกตะลึงจนทำให้แอปเปิ้ลที่ฉันกินไปครึ่งลูกหลุดร่วงจากมือ ฉันค่อย ๆ หันไปเผชิญหน้ากับเด็กชายผมหยิกที่อยู่บนรถเข็น ถ้าไม่ได้อายุน้อยกว่าฉัน เขาก็คงแก่กว่าฉันหนึ่งหรือสองปีถึงแม้ฉันจะมีของกินอยู่เต็มปาก แต่ก็ยังยกมือขึ้นทักทายอย่างเคอะเขิน "สวัสดี" ฉันพึมพำออกไปเด็กชายคนนั้นจ้องมองฉันแล้วเลื่อนสายตาไปที่ลูกแอปเปิ้ลที่อยู่ในมือฉัน จนฉันต้องเอาไปซ่อนไว้ข้างหลังด้วยความอับอาย ฉันกวาดสายตาไปตามล้อรถเข็นของเขา“ฉันสัญญาและสาบานว่าจะไม่…” ฉันพูดออกไปแต่ก็หยุดชะงักเมื่อรถเข็นขยับ ตอนแรกฉันก็รู้สึกใจสั่นด้วยความกลัว จนกระทั่งเขานั่งรถเข็นผ่านฉันไป"เขากำลังทำอะไรน่ะ?” ฉันสงสัย เมื่อหันไปหาเขาก็เห็นเขากำลังเปิดตู้เย็น เขาหยิบกล่องนมออกมา แล้วเข็นรถตัวเองไปที่เคาน์เตอร์ที่อยู่
หลังจากมีคนรับฉันไปเลี้ยงเป็นครั้งแรกนั้น ฉันก็เริ่มจำหน้าผู้ปกครองและบ้านอุปถัมน์ไม่ได้เลย แต่ละครอบครัวที่ฉันเข้าไปอยู่ด้วยนั้นมักจะปฏิบัติต่อฉันไม่ดี แต่ก็ยังโชคดีและฉลาดพอที่จะหนีออกมาได้เสมอ มันเหมือนโดนพายุโหมกระหน่ำเมื่อเจ้าหน้าที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าดุด่าและลงโทษฉัน เพียงเพราะฉันประพฤติตัวไม่ดีกับพ่อแม่บุญธรรมหรือวิ่งหนีออกจากบ้านอุปถัมน์ และก่อนที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันก็ถูกรับไปเลี้ยงอีกครั้ง และถูกโยนไปอยู่กับครอบครัวอันแสนขมขื่นอีกครอบครัวหนึ่ง ฉันโชคไม่ดีที่ไม่เคยได้อยู่กับครอบครัวที่น่ารักและอบอุ่นเลยในที่สุด เจ้าหน้าที่ก็เกิดความเบื่อหน่ายที่ปล่อยฉันออกไป เพราะฉันมักจะกลับหรือถูกส่งตัวกลับมาเสมอ ดังนั้น พวกเขาจึงทิ้งฉันไว้ที่นั่น ถึงแม้ว่าจะมีใครบอกว่าต้องการรับฉันไปเลี้ยง แต่พวกเขาก็จะส่ายหัวแล้วพูดว่า "ขอโทษครับ เด็กคนนั้นไม่เหมาะจะไปอยู่ในความดูแลของคุณ"โดยส่วนตัวแล้ว ฉันชอบชีวิตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามากกว่า นอกจากอาหารแย่ ๆ ซึ่งบ้าเอ้ย อาหารที่แย่จริง ๆ และสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายแล้ว การอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก็ไม่ได้แย่อะไรนักหรอก สำหรับฉันแล้ว อย่างน้อยก็ยัง