โทรศัพท์สว่างขึ้น และเบลล่าโทรมาอีกครั้ง เขาปล่อยมือที่จับไหล่ฉันไว้แล้วรับสายโทรศัพท์นั้น และนั่นคือสัญญาณที่ฉันต้องออกไปแล้วฉันก้าวลงจากรถ มองผ่านกระจกมองข้างที่ปรับลงมา เห็นเขาเอาโทรศัพท์แนบไว้ระหว่างหูกับไหล่ ในขณะเสียบกุญแจเพื่อติดเครื่องยนต์ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็วางโทรศัพท์ลงและหันหน้ามาทางฉัน มือของเขากำพวงมาลัยไว้แน่นพร้อมตรงดิ่งไปหาคนรักของเขา“วันอาทิตย์นี้เป็นวันเกิดพ่อคุณ ไปรอผมอยู่ที่บ้าน แล้วเราค่อยไปด้วยกัน!” พอพูดจบเขาก็พับกระจกมองข้าง แล้วขับรถออกไปฉันเฝ้ามองด้วยความรำคาญใจ หงุดหงิด และสะอิดสะเอียน ในขณะที่รถของเขาแล่นหายไปในความมืดมิดของรัตติกาลอย่างรวดเร็ว“ไปให้พ้นเลย ไอ้ผู้ชายเฮงซวย!” ฉันสะดุ้งเมื่อจู่ ๆ ได้ยินเสียงตะโกนของเกรซดังขึ้นท่ามกลางคืนมืด ฉันอดยิ้มไม่ได้เมื่อเธอก้าวออกมาข้างหน้า และยังก่นด่าเขาต่อไป“อุบาทว์! ไปเลย ไปขึ้นเตียงกับเมียน้อยของแกเลย!” เกรซร้องตะโกนในยามค่ำคืน ป่านนี้รถของมาร์คคงไปส่องแสงให้ความหวังอยู่ที่ปลายอุโมงค์อีกข้างหนึ่งแล้ว“เบาได้เบา สาว" ฉันหัวเราะคิกคักแล้วส่ายหัว "เขาไม่ได้ยินเสียงของเธอหรอก"“ต้องได้ยินสิ" เธอบ่นพึมพำ
เมื่อรถจอดหน้าคฤหาสน์ของพ่อ ฉันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อเตรียมตัวเตรียมใจสำหรับการเผชิญหน้าที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉันรู้ว่าพ่อคงไม่พอใจที่เห็นฉันไม่ได้มาพร้อมกับมาร์ค พ่อต้องการให้ฉันวิ่งไล่ตามมาร์คเหมือนลูกหมาหลงทางอยู่ตลอดเวลา ต้องยอมรับว่าฉันได้วิ่งไล่ตามเขามาสักพักหนึ่งแล้ว ฉันถึงขั้นเปลี่ยนชีวิตตนเองเพื่อเอาใจพวกเขา ฉันสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วก้าวเท้าออกจากรถฉันเดินไปที่ลานบ้านของคฤหาสน์หลังนั้น ซึ่งอยู่ติดกับสวนที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ฉันรู้สึกชื่นชมสวนนี้ตอนที่มาครั้งแรก ฉันชอบใช้เวลาอยู่ที่นั่นทุกครั้งที่พวกเขาเอาอกเอาใจเบลล่าอยู่ สวนนี้สวยงามมากกว่าเดิมอย่างที่เราอยากจะให้เป็น ฉันแน่ใจว่าแม่จะต้องประสาทเสียกับการสั่งให้คนสวนตัดโน่นแต่งนี่ให้ได้ดังใจในบริเวณนั้นมีกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย คนรับใช้เดินไปเดินมาเพื่อดูแลแขกทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ซึ่งนั่งล้อมโต๊ะอยู่ โดยแต่ละคนต่างสวมเสื้อผ้าและเครื่องประดับอันหรูหรา มีเด็กสาวกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ข้างพุ่มไม้หลากสีสัน พร้อมทั้งมีแก้วไวน์อยู่ในมือ พวกเธอเด็ดดอกไม้เล่นในขณะพูดคุยกัน และเอามือปิดปากเบา ๆ ในขณะหัวเราะฉันเห็นพ่อกำลังพูดคุยอยู่กับแ
“ซิดนีย์!” พ่อกัดฟันแน่นพร้อมสายตาจ้องมองมา จากนั้น แม่ก็เอามือแตะไหล่เขา“หนูถามพ่ออยู่เนี่ยว่าเหลวไหลตรงไหน?” ฉันพูดต่อไป ไม่มีวี่แววจะหยุด "ที่มาร์คลูกเขยคนดีของพ่อถูกคนรักและคู่หมั้นทิ้งไป ในวันที่พวกเขากำลังจะกลายเป็นสามีภรรยากันนี่เหลวไหลเหรอ?”แม่เบิกตาโพลงและหันไปมองข้างหลัง "ซิดนีย์ หยุดซะที!”ฉันก้าวออกไปข้างหน้าพร้อมกับเอียงคอและขมวดคิ้ว "หรือเหลวไหลตรงที่เจ้าหญิงเบลล่าตัวน้อยของแม่นั้นมั่วไปทั่วแถมยังมายั่วพี่เขยตัวเอง?” ฉันออกเสียงคำว่า "มั่ว" อย่างชัดเจน และไม่ลืมที่จะเน้นให้ฝังแน่นอยู่ในโสตประสาทด้วยสีหน้าของพ่อกับแม่ทำให้ฉันรู้สึกกังวลเล็กน้อย หากตอนนั้นเราอยู่กันตามลำพัง ฝ่ามือของพวกเขาคงได้ฟาดหน้าของฉันแล้ว แต่ไม่ใช่ที่นี่เพราะมีแขกเหรื่อมากเกินไป ผู้คนในวงสังคมชั้นสูงทั้งนั้น และพวกเขาก็เป็นห่วงภาพลักษณ์ของตัวเองเกินกว่าจะทำอะไรได้ในวันที่ฉันเตรียมตัวจะกลับมาอยู่กับพ่อแม่นั้น เป็นวันที่ฉันมีความสุขมากที่สุดในชีวิตวันหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะเป็นตอนที่ฉันโตแล้วก็ตาม ฉันมีความรู้สึกว่าพ่อกับแม่ทอดทิ้งฉัน แต่ฉันก็ยังโหยหาที่จะได้พบพวกเขาในสักวันหนึ่ง ฉันรู้สึกผิดหวัง ฉัน
ความรู้สึกที่แล่นขึ้นมาในตัวฉันช่างเป็นความรู้สึกปีติยินดีอย่างที่สุด และนับตั้งแต่ฉันบอกมาร์คว่าไม่ต้องการครองคู่กับเขานั้น นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกได้ถึงอิสรเสรีหลังจากที่ฉันประกาศออกไป ทั่วทั้งบ้านต่างตกอยู่ในความเงียบงัน ฝูงชนต่างสลับตามองระหว่างฉันกับมาร์ค และหลังจากนั้นก็ระหว่างพ่อกับแม่ฉันเห็นหญิงสาวบางคนตระหนักถึงโอกาสแสนงามนี้ ชุดคอลึกที่พวกเธอใส่อยู่ยิ่งดูลึกยิ่งกว่าเดิม เธอเผยให้เห็นหน้าอกหน้าใจล้นออกมาจากคอเสื้อครึ่งหนึ่ง ในขณะส่งสายตาเย้ายวนให้กับมาร์ค จริง ๆ แล้วมาร์คเป็นดังเพชรแท้ท่ามกลางผู้ชายมากมายในเมืองนี้ มีใครจะไม่ตื่นเต้นที่จะคว้าผู้ชายแบบนั้นเอาไว้ เมื่อมีเสียงกระซิบบอกว่าเขากำลังจะกลับมาวางขายอยู่ในตลาดอีกครั้ง?เบลล่าดูไม่พอใจอย่างมาก เธอยังคงจับแขนมาร์คเอาไว้แน่นฉันต้องการถ่ายภาพสีหน้าของพ่อกับแม่ตอนนี้เอาไว้แล้วใส่กรอบเอาไว้ดูจังเลย ดวงตาของพวกเขาถลนหันมาทางฉัน ฉันไม่รู้ว่าเป็นเพราะตกใจหรือโกรธฉันกันแน่ตลอดหลายปีที่ฉันอยู่กับครอบครัวมา ฉันได้เรียนรู้ว่าธุรกิจของตระกูลไมเคิลกำลังตกต่ำลง และรับรู้ได้ในช่วงตลอดสามปีที่ครองคู่อีกว่าทำไมพ่อและแม่ถึงได้
"ช้า ๆ หน่อยได้ไหม?” ฉันครวญคราง "ฉันเจ็บนะคุณ ไหล่คุณมันทิ่มพุงฉันอยู่"“จะเจ็บตรงไหนก็เรื่องของคุณ" เขาหยุดเพียงช่วงครู่ แล้วพูดต่อว่า "ผมไม่ได้สนใจตั้งแต่คุณประกาศบ้าบอแบบนั้นออกมาแล้ว"“ทำอย่างกับเคยสนใจอย่างนั้นแหละ" ฉันกลอกตาเขาใช้เท้าเตะประตูให้เปิดออก ก้าวเข้าไปข้างในแล้วโยนฉันลง ไม่สิ เขาเหวี่ยงฉันลงบนเตียงขนาดใหญ่มากกว่าฉันเด้งอยู่บนเตียงเป็นเวลาสองสามวินาทีก่อนจะนิ่งอยู่กับที่“บ้าเอ๊ย! ถ้ากระเด้งตกพื้นหัวกระแทกตายขึ้นมา คุณจะว่าไง"“เป็นแบบนั้นได้ก็ดี" เสียงของเขาทำให้ขนลุก และพยายามเก็บท่าทีเสียอาการเอาไว้เมื่อสายตาเช่นนั้นปรากฏ ดวงตาที่เต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยามเส้นเลือดบนหลังมือปูดโปน และสันกรามสบกันพร้อมก่นด่าออกมา "ผมสั่งให้คุณไปรอผมที่บ้าน"ฉันนั่งในท่าสบายอยู่บนเตียง และค่อยเอ่ยตอบเขาเพื่อที่ฉันจะได้พูดอะไรไม่ติดขัด "ก็ไม่อยากทำ คุณจะมาสั่งให้ฉันทำโน่นทำนี่ไม่ได้หรอกนะ อีกอย่าง ถ้าฉันมาที่นี่ ฉันก็ต้องนั่งรถไปพร้อมคุณกับเบลล่าน่ะสิ นั่งอยู่ตรงเบาะหลังเหมือนเป็นส่วนเกินใช่ไหม?เขาทำเสียงเยาะเย้ย "เกลียดเด็กน่าสงสารคนนั้นมากเลยเหรอ? แต่นั่นมันน้องสาวคุณนะ
ฉันจ้องมองมาร์คด้วยความไม่เชื่อ ดวงตาเบิกกว้าง และเสียงของเขาดังก้องไปทั่วห้อง เสียงสะท้อนกับผนังอย่างแรง ดวงตาที่มุ่งมั่นของเขาจับจ้องมาที่ฉัน ริมฝีปากดูเป็นเส้นตรง พร้อมเอามือกอดอกที่บ่งบอกถึงความจริงจัง“กำลังจะบอกว่าฉันต้องจ่ายเงินสามสิบล้านเป็นค่าหย่าร้างเหรอ?!” ฉันถามออกไป เสียงนั้นสะท้อนไปทั่วห้อง "นี่มันอะไรกันเนี่ย! สามสิบล้านเนี่ยนะ?” ข้อเรียกร้องของเขาช่างเหลวไหลสิ้นดี“ใช่ คุณต้องจ่ายมาสามสิบล้านบาท ผมถึงจะเซ็นเอกสารพวกนั้นให้" เขาตอบอย่างใจเย็นราวกับว่ากำลังแบมือขอเงินสามร้อยบาทเพียงเท่านั้น ท่าทีที่เขาตอบโต้กลับมายิ่งทำให้ฉันรู้สึกไม่เชื่อ มากกว่าจะยอมรับข้อเรียกร้องของเขา“เอาจริงดิ" ฉันร้องบอกออกไป คำพูดนั้นพรั่งพรูออกมาจากปากด้วยความไม่เชื่อผสมกับความหงุดหงิดใจ ในขณะที่ฉันนั่งคุกเข่าอยู่บนเตียงด้วยความรู้สึกกลุ้มใจ "รวยล้นฟ้า แต่ยังมีหน้ามาขอค่าหย่าร้างกับฉันอีกเหรอ?”“ถูกต้อง" เขาตอบ น้ำเสียงหนักแน่น และสายตาก็ดูไม่ไหวติงขณะจ้องมองความไม่เชื่อที่เต้นระริกอยู่ในดวงตาของฉัน“สติหน่อย มาร์ค!” ฉันร้องบอก ฉันพูดด้วยเสียงสูงจากความหงุดหงิดและความไม่เชื่อที่เพิ่มมากขึ้น
"เราจะขึ้นศาลกันเมื่อไหร่ล่ะ?” เขาปลุกให้ฉันตื่นขึ้นมาจากห้วงความคิด น้ำเสียงฟังดูเร่งเร้าและเย้าแหย่มาก "พรุ่งนี้? ตอนนี้? ผมพร้อมทุกเมื่อ"“ได้!” ฉันหลับตาลงด้วยความหงุดหงิดและยกฝ่ามือขึ้น "ก็ได้ โอเคไหม?” ฉันจ้องตาเขา แรงกดดันทำให้ความตั้งใจของฉันเกิดการสั่นคลอน "ฉันตกลง" ฉันเออออด้วยความที่รู้ว่ายิ่งรีรอต่อไปก็ยิ่งทำให้เกิดการผูกมัดที่เกินความจำเป็นกับเขาได้หลังจากนี้ ฉันคงต้องควานหาลูกค้าที่ร่ำรวยมาก ๆ มาชดเชยกับการที่ต้องสูญเสียเงินจำนวนนี้ไป ฉันปลอบใจตัวเอง นอกจากนี้ฉันยังสามารถเจรจาต่อรอง เพื่อเอาเงินคืนมาได้เป็นสองเท่า เนื่องจากเขาเต็มใจที่จะจ่ายค่าเครื่องประดับสั่งทำสองชิ้นจากเราโดยไม่เกี่ยงราคา“แต่จำไว้ด้วยล่ะ" ฉันพูดต่อในขณะจ้องตาเขา "เมื่อฉันหาเงินได้แล้ว คุณจะผิดคำพูดไม่ได้นะ" ฉันพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น โดยแฝงคำเตือนเอาไว้ในคำพูดนั้นด้วยเขามีทีท่าลังเล ดวงตาจ้องเขม็ง ทำให้ฉันรู้สึกเสียวซ่านเหมือนมีอะไรมาทิ่มแทงลงบนผิว จากนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้น "แน่นอน แต่จนกว่าคุณจะหาเงินได้นั้น คุณก็ต้องกลับมาอยู่ที่บ้านเราก่อน เราต้องรักษาภาพลักษณ์ของการเป็นสามีภรรยาให้โลกภายนอกเห
ฉันพูดอะไรไม่ออกเมื่อเสียงสั่นเครือของเบลล่าดังก้องไปทั่วห้อง "มาร์ค!" น้ำเสียงสั่นเครือด้วยอารมณ์รุนแรง และดวงตาส่องประกายด้วยน้ำตาที่เอ่อล้นกำลังจ้องมองเขาอยู่ "อย่าเพิ่งไป" เธอเอ่ยอย่างแผ่วเบา เพื่อน ๆ ของฉันรอคุณอยู่ ถ้าคุณเดินออกไป พวกเขาจะเยาะเย้ยฉันอย่างไม่มีวันจบสิ้นแน่"ฉันอดที่จะกลอกตาไม่ได้เมื่อเห็นว่าเธอเล่นใหญ่ขนาดไหนที่เพื่อนชอบล้อเลียนเช่นนั้น ก็เป็นความผิดของตัวเธอเองทั้งนั้น ตั้งแต่เธอกลับมาจากการหนีตามผู้ชายไป เธอก็ทำให้ฉันดูเหมือนเป็นนางร้ายต่อหน้าเพื่อน ๆ และใครก็ตามที่สนใจฟัง เธอจะบอกพวกเขาเสมอว่าเธอกับมาร์คเป็นคู่รักตัวจริง ส่วนฉันที่มักจะอิจฉาริษยาเธอมาโดยตลอด ได้ใช้โอกาสนี้บีบบังคับมาร์คตอนที่เธอไปรักษาตัวยังต่างประเทศ ความขมขื่นจากการโดนเธอกล่าวหานั้นยังติดตัวฉันมาจนถึงทุกวันนี้ ฉันรู้สึกโดนทรยศหักหลังเมื่อได้ยินเรื่องนี้ เมื่อฉันคิดว่าฉันกำลังรักษาชื่อเสียงให้เธอ แต่เธอกลับใส่ร้ายป้ายสีฉันเป็นการตอบแทนฉันกลอกตาอีกครั้งเมื่อเห็นว่าสีหน้าของมาร์คดูอ่อนลง ถึงแม้ฉันจะเกาะกุมเขาอยู่ แต่ฉันก็ยังรู้สึกว่าเขาได้เอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไร ฉ
ไอเดน"ไม่เป็นไรแล้วค่ะ" ชารอนพูดขณะที่เธอโอบแขนรอบไหล่ "คุณต้องหยุดโทษตัวเองเรื่องนี้ได้แล้ว ที่รัก มันไม่ใช่ความผิดของคุณ และการทุ่มเทตัวเองให้กับการสอบสวนทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไรด้วยเลย""ผมต้องหาตัวคนผิดมาให้ได้ ชารอน ผมต้องหาว่าใครทำเรื่องนี้ นี่เป็นสิ่งเดียวที่ผมทำเพื่อลูกสาวผมได้ ซึ่งจะทำให้ความรู้สึกผิดนี้ทุเลาลง" "ถ้ามันเป็นวิธีเดียว คุณก็ควรทำอยู่แล้ว" เธอให้กำลังใจ "ฉันจะคอยดูแลให้พ่อช่วยในคดีนี้ด้วย ฉันสัญญา"พ่อของเธอโทรหาผมครั้งหนึ่งเพื่อแสดงความเสียใจกับการจากไปของลูกสาวผม ซึ่งไม่ได้เป็นอะไรกับลูกสาวเขาเลย และเขาฟังดูไม่พอใจนัก ผมประหลาดใจด้วยซ้ำที่เธอจะบอกเรื่องนั้นกับพ่อของเธอ ผมสงสัยว่าเขาอยากจะช่วยเปิดโปงฆาตกรของเด็กที่ไม่ใช่ลูกของเขาในทางใดทางหนึ่งหรือไม่ แต่ผมเก็บเรื่องนั้นไว้กับตัวเอง"ขอบคุณครับ" ผมบอกเธอแทนเธอโอบกอดผมครึ่งหนึ่ง และคราวนี้ไม่ได้ผละออกทันที ในวันแบบนี้เองที่เธอไม่ได้กระโดดหนีจากผมเหมือนผมติดเชื้อเมื่อใดก็ตามที่ผมพยายามสัมผัสเธอ"แล้วคุณจะยิ้มให้ฉันไหม?" เธอยิ้มขณะที่ดึงผิวแก้มของผมเพื่อพยายามทำให้ผมยิ้มเมื่อผมเอามือของเธอออก เธอก็แสร้
เดนนิสหลังจากผ่านไปสองสามสัปดาห์ เมื่อผมไม่ได้ยินเสียงอะไรออกมาจากห้องของเอมี่อีกเลย ผมรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติผมไม่ลังเลที่จะงัดประตูเข้าไปและพบว่าเธอหมดสติ รอบๆ ตัวเธอมีขวดน้ำและอาหารขยะมากมายจนผมสงสัยว่าเธอต้องแอบออกไปซื้อพวกมันตอนที่ผมนอนหลับแน่ๆ นอกจากนี้ยังมีเศษขนมปังปิ้งและกล่องพิซซ่าที่ผมสอดเข้าไปในห้องจากใต้ประตู ผมเดาว่าพวกมันคงไม่พอผมรีบอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขน รัดจัสตินไว้ในเบาะรถสำหรับเด็ก และรีบพาเธอไปโรงพยาบาลหลังจากที่เธอถูกพาเข้าไปประมาณหนึ่งชั่วโมง แพทย์ก็ออกมา "เธอโชคดีมากที่คุณพาเธอมาทันเวลา"ผมเอามือลูบหน้าด้วยความโล่งใจ ดีใจที่นี่ไม่ใช่การประกาศการตายอีกครั้ง"ตอนนี้ คนไข้มีอาการขาดน้ำอย่างรุนแรง น้ำตาลในเลือดต่ำ และอวัยวะทำงานหนักเกินไป หากคุณไม่พบเธอทันเวลา เราคงกำลังพูดถึงอาการอ่อนเพลียอย่างรุนแรง อวัยวะล้มเหลว และอาจเกิดบาดแผลทางจิตใจในตอนนี้"ผมควรจะพังประตูเข้าไปเร็วกว่านี้ คำพูดเหล่านั้นผุดขึ้นมาในความคิดของผม ผมควรจะบังคับเธอออกมาและบังคับให้เธอกิน ผมแค่คิดว่าเธอต้องการเวลาในการโศกเศร้าตามลำพัง"ดังนั้นเธอจะต้องอยู่ที่นี่สองสามวันขณะที่เราจัดการกับอา
มุมมองของนักเขียนขณะที่การสอบสวนเข้มข้นขึ้น มีการสอบปากคำมากขึ้น คนขับแท็กซี่และพนักงานร้านค้าที่อยู่ใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุถูกสอบปากคำ กล้องวงจรปิดบริเวณนั้นทั้งหมดก็ถูกตรวจสอบเช่นกันไอเดนตั้งใจจริงที่จะไม่ละเลยสิ่งใด ๆ แม้แต่น้อยและเมื่อสิ่งต่างๆ ถูกเปิดเผย หลักฐานที่น่าตกใจมากขึ้นก็ถูกค้นพบ เช่น รองเท้าของเอมี่ข้างหนึ่งที่พบอยู่ข้างรถโดยสารที่ถูกทิ้งร้าง ซึ่งอยู่ห่างจากร้านค้าที่เธออยู่กับแม่ไปไม่กี่ร้านในที่สุด ผู้กระทำผิดก็ถูกพบหัวใจของนักสืบเต็มไปด้วยความสุขขณะที่เขาลงจากรถตู้และนำทีมเข้าไปในอาคาร มั่นใจว่าเขามาถูกทางแล้วในครั้งนี้ที่ทางเข้า พวกเขากระจายตัวออกไป ทีมแต่ละทีมไปยังตำแหน่งที่กำหนด เนื่องจากอาคารถูกเฝ้าติดตามมาหลายวันสิ่งที่พวกเขาต้องการคือลายนิ้วมือบนรถโดยสารที่ถูกทิ้งร้าง และคดีที่เหลือก็คลี่คลายไปเองอย่างน่าอัศจรรย์ อย่างน้อย นักสืบก็อยากจะเชื่อเช่นนั้นทันทีที่นักสืบพร้อมทีมของเขาเดินผ่านห้องโถงขนาดใหญ่ที่ว่างเปล่า และผ่านทางเดิน เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ สถานที่นั้นเงียบสงัดอย่างน่าขนลุกเขาเปิดประตูทีละบานในทางเดิน แต่ละห้องสว่างไสว จนกระทั
มุมมองของนักเขียนยังไงมันก็ต้องเกิดขึ้นนั่นคือคำพูดที่ชารอนบอกตัวเองซ้ำๆ เพื่อลดความรู้สึกผิดที่เพิ่มขึ้นบ่อยครั้งที่เธอคิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้าเธอแค่พูดความจริงเกี่ยวกับเรื่องตั้งครรภ์ของเธอ และใช้ชีวิตกับสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น การอยู่กับไอเดนไม่คุ้มค่ากับความรู้สึกผิด หลุมดำที่ไม่มีวันสิ้นสุดที่เธอกำลังจมลงไปตอนนี้เธอเข้าใกล้กำหนดคลอดปลอมมากขึ้น ไอเดนก็แสดงความรักต่อเธอมากขึ้น พวกเขาใกล้ชิดกันมากขึ้นกว่าที่เคยเป็น บางครั้งเธอสงสัยว่าการตายของเด็กผู้หญิงที่น่าสงสารคนนั้นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร มันก็ไม่คุ้มค่า เพราะเธอไม่มีความสุข เธอมีทุกสิ่งที่เธอต้องการ การเอาใจใส่ของไอเดนอย่างเต็มที่ เต็มที่เท่าที่เขาจะทำได้กับการสอบสวนที่เขาทุ่มเทให้เมื่อใดก็ตามที่เขาไม่ได้อยู่กับชารอน ช่วยเธอทำอาหาร หรือส่งอาหารที่เขาสั่งให้เธอ หรือทำความสะอาดบ้านเพราะเธอไม่ต้องการให้แม่บ้านมาอีกต่อไป เขาก็จะอยู่ที่สถานี ไขคดีของเอมี่ มองหาคำตอบที่อยู่ใต้หลังคาบ้านของตนเองตอนนี้ ชารอนไม่ได้ต่อสู้กับความรู้สึกผิดเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมในการตายของเอมี่เท่านั้น แต่เธอยังไม่มี
ไอเดนผมควรจะฟังอาน่า ผมควรจะซ่อนตัวเฉยๆ ตอนที่ผมตามเธอไป ผมไม่ควรต่อสู้กับคนพวกนั้น ผมควรจะควบคุมความโกรธของตัวเอง... ที่สำคัญที่สุด ช่วงเวลาหยุดชะงักสั้นๆ ช่วงเวลาไม่กี่วินาทีที่ผมหยุดและบอกเธอว่าผมเป็นพ่อของเธอ ผมไม่ควรทำแบบนั้น ผมควรจะพาเธอออกจากที่นั่นไปที่ปลอดภัยทันที ถ้าผมไม่ได้ใช้เวลาเหล่านั้นอย่างผิดๆ บางทีเอมี่ก็คงยังอยู่ที่นี่ แต่ผมเห็นแก่ตัวมาก ทั้งๆ ที่ผมอ้างว่ารักและห่วงใยเธอเดนนิสพูดถูก เขาห่วงใยเธอมากกว่าผมนัก เขาเติบโตมากับเธอ เขาเลี้ยงดูเธอและเฝ้าดูเธอเติบโตมาตั้งแต่แรกเกิด ผมไม่มีทางรักเธอได้มากกว่าเขามีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมสามารถและควรจะทำแตกต่างออกไป ทำได้ดีกว่านี้ แต่มันสายเกินไปแล้วเธอจากไปแล้วขณะที่ผมจ้องมองภาพถ่ายเพียงภาพเดียวที่เราถ่ายด้วยกันตอนที่เธอยังอยู่ในโรงพยาบาล มันยังคงยากที่จะเชื่อมันเพิ่งจะเกือบปีเท่านั้นตั้งแต่ผมรู้ว่าเธอเป็นลูกของผม ตั้งแต่ผมสามารถอุ้มเธอและดูเธอหัวเราะและยิ้มและกวนผมเรื่องการพบตัวเอง และตอนนี้เธอจากไปแล้วเหรอ?ผมหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น ตลกเป็นบ้าความตายโหดร้ายแบบนี้เหรอ? พันมือเย็นเยียบที่กัดกร่อนรอบตัวคนที่พวกเขาไม
มุมมองของนักเขียนณ วินาทีนั้น โลกของอาน่าก็พังทลายลงต่อหน้าต่อตาเธอ"คุณหมอหมายความว่ายังไงที่เธอไปแล้ว?" ดวงตาเอ่อล้นขณะที่เธอกำเสื้อคุลมของแพทย์ "บอกกับฉันสิคุณหมอ บอกฉันว่าเอมี่จะไม่เป็นอะไร""ผมเสียใจด้วยครับ คุณอนาสตาเซีย" แพทย์พูด รู้สึกสงสารเด็กผู้หญิงที่น่าสงสารคนนี้ เธอไม่สมควรได้รับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากสิ่งที่เธอต้องเผชิญ"อาน่า" เดนนิสกลืนน้ำลายขณะดึงเธอออกมาเมื่อเธอไม่ยอมปล่อยเสื้อของแพทย์"ปล่อยฉัน" เธอตะโกนและผลักเดนนิสออกไปจากเธอ "ไปให้พ้น"เดนนิสกำลังจะเดินกลับไปหาเธอเมื่อแพทย์ยกมือขึ้นเพื่อหยุดเดนนิส เขาฉีกยิ้มเล็กน้อยให้เขา แสดงว่าไม่เป็นไรอาน่าค่อยๆ ทรุดตัวลงบนพื้น แขนโอบรอบตัวเองขณะที่เธอคร่ำครวญ "ไม่"จากนั้นเธอก็ส่ายหัว "ไม่ เอมี่จะทิ้งแม่ไปไม่ได้นะลูก” เธอร้องไห้ขณะวิ่งไปตามทางเดินก่อนที่ใครจะหยุดเธอได้ เธอก็เปิดประตูห้องของเอมี่ เธอวิ่งไปข้างๆ เอมี่และดึงผ้าปูที่นอนออกจากร่างของเธอ"เอมี่" เธอตบแก้มของเธอเบาๆ "เอมี่ ตื่นสิ แม่มาแล้ว เอมี่ลูก" เธอเรียกซ้ำ ๆ ร่างกายสั่นเทาไปกับการร้องไห้ น้ำตาหยดลงบนใบหน้าของเอมี่และชุดคนไข้ที่เธอยั
มุมมองนักเขียนขณะที่ไอเดนรู้สึกถึงของเหลวอุ่นๆ ไหลลงมาตามแขนด้านข้างของเธอ หัวใจก็หล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขาทรุดตัวลงคุกเข่า และวางร่างไร้เรี่ยวแรงของเอมี่ลงบนพื้น"เอมี่ ไม่นะ พ่ออยู่นี่แล้ว" เขาพึมพำอย่างกระวนกระวายขณะที่กดมือลงบนด้านข้างเพื่อห้ามเลือดดวงตาของเอมี่เปิดอยู่ แต่ดูเหมือนไร้ชีวิตชีวา เอมี่พยายามพูดอะไรบางอย่าง เธอพยายามถามเขาว่าเขาเป็นพ่อของเธอจริงๆ หรือไม่ เธอมีพ่อสองคนจริงๆ หรือไม่ แต่เธอขยับริมฝีปากไม่ได้ และสายตาของเธอก็พร่ามัวอย่างรวดเร็ว"เอมี่ เอมี่ หนูจะไม่เป็นอะไร อดทนไว้" ไอเดนพูดอย่างรวดเร็วขณะดึงเสื้อของเขาออกและผูกไว้รอบเอวของเธอ หวังอย่างแรงกล้าว่าเลือดจะหยุดไหล แต่กลับแย่ลงมีเสียงเอะอะเล็กน้อย มีเสียงฝีเท้าหลายคู่ขณะที่เดนนิสรีบเข้ามาในอาคารพร้อมกับตำรวจเมื่อเห็นตำรวจ ชายสองคนก็รีบลุกขึ้นและเดินออกจากอาคาร ตำรวจสองคนรีบตามพวกเขาไปทันทีไอเดนไม่ได้ละสายตาจากเอมี่เลยแม้แต่วินาทีเดียว "ได้โปรด เอมี่ ได้โปรด" เขาพึมพำอย่างสิ้นหวัง "อย่าจากพ่อไป" เขาเฝ้าดู หัวใจแตกสลายขณะที่ดวงตาของเอมี่ค่อยๆ หลับลง"เกิดอะไรขึ้นวะ?!" เดนนิสระเบิดเสียงออกมาขณะรีบเข้ามา
มุมมองนักเขียน“ไม่!”ไอเดนและเดนนิสพูดออกมาพร้อมกันอนาสตาเซียมองสลับไปมาระหว่างทั้งสองคน ยิ่งโกรธมากขึ้น "หมายความว่าไงว่าไม่?""อาน่า คุณ…"“ฉันไม่…”แต่ละคนเริ่มพูดอีกครั้ง และมันก็แทรกกัน"ฉันไม่อยากได้ยินอะไรทั้งนั้น!" เธอหยุดพวกเขาด้วยการยกมือทั้งสองข้างขึ้น "ฉันจะไปเอง แค่นี้!" เธอพูดจบแล้วคว้ากระเป๋าผ่านมากว่าหนึ่งชั่วโมงแล้วหลังจากที่พวกเขาได้รับวิดีโอ พวกเขาหาเงินมาได้สำเร็จ แต่พวกเขาก็ยังไม่มีใครที่จะเอาเงินไปส่งที่สถานที่ที่กำหนด เพราะไอเดนและเดนนิสไม่เห็นด้วยกันชายสองคนพยายามพูดให้เธอเปลี่ยนใจไอเดนเข้าใจมุมมองของเดนนิส ไม่ใช่ว่าเขามีเงินเหลือเฟือที่จะเอาไปให้คนลักพาตัว เขาแค่อยากได้ลูกสาวคืน เมื่อเธอปลอดภัยในอ้อมแขนของพวกเขาแล้ว พวกเขาค่อยให้ทางการและหน่วยรักษาความปลอดภัยทุกประเภทเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ไม่ใช่เพื่อแลกกับความปลอดภัยของเอมี่ "มาเถอะ อาน่า เราทำได้ คุณอยู่กับจัสตินที่นี่เถอะนะ" เขาพูดขณะที่สายตาของเขาจ้องไปที่จัสตินที่กำลังดิ้นอยู่ในเปลของเขา ขณะที่เขามองดูพวกเขาอย่างสงสัย"ไม่!" อาน่าไม่ยอม "พวกคุณเสียเวลามากพอแล้ว"อนาสตาเซียพยายามอดทน แต่พวกเขา
อนาสตาเซียในเวลาเพียงวันเดียว ฉันต้องนั่งฟังการสอบปากคำมากกว่าที่ฉันเคยฟังมาทั้งชีวิตพนักงานทุกคนในร้านและแม้แต่ผู้คนที่เดินผ่านไปมาก็ถูกสอบถามอย่างสุภาพ พวกเขาถูกถามว่าบังเอิญเจอผู้หญิงกับเด็กหรือไม่ พวกเขาถามพร้อมกับบอกลักษณะของผู้หญิงและเอมี่ แต่ไม่มีใครเลย แม้แต่คนเดียวที่เห็นพวกเขา มันเหมือนกับว่าพวกเขาหายตัวไปในอากาศธาตุฉันหยุดน้ำตาที่ไหลลงมาไม่ได้เอมี่ที่น่าสงสาร เธอเพิ่งจะออกจากเตียงโรงพยาบาลที่ต้องนอนอยู่เป็นเดือนๆ เท่านั้น กลับถูกลักพาตัวโดยคนโชคร้ายบางคน มันไม่ยุติธรรมกับเธอเลยพวกเขาจะได้อะไรจากเรื่องนี้?ฉันสงสัยว่าตอนนี้ลูกเป็นอย่างไร คนพวกนั้นพาลูกไปไว้ที่ไหน? ลูกจได้กินอะไรไหม? หิวน้ำไหม? ลูกต้องหนาวแน่ๆฉันเหลือบมองยาของเธอที่ยังคงวางอยู่บนเคาน์เตอร์โดยไม่มีใครแตะต้อง รอให้เอมี่มาใช้ ฉันใช้เวลาทั้งคืนมองแต่ของพวกนั้น และในบางจุด แม้แต่จัสตินก็เริ่มร้องไห้ เขาคงสังเกตเห็นว่าพี่สาวของเขาไม่อยู่แล้วไอเดนและเดนนิสยังคงออกไปตามหาเธอ ทั้งคู่พิมพ์โปสเตอร์ที่มีรูปของเอมี่พร้อมเงินรางวัลสำหรับผู้ที่พบเธอในเวลาไม่กี่ชั่วโมง พวกเขาติดโปสเตอร์ตามสถานที่ต่างๆพวกเขาทำ