แชร์

บทที่ 3

ผู้เขียน: เบลล่า
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-10-22 13:33:17
มุมมองของมาร์ค

ผมขับรถเข้าไปในทางเข้าบ้านด้วยความเหนื่อยล้า เป็นวันยาวนานอีกวันหนึ่งทั้งจากการทำงานและเรื่องสนุก ๆ ที่ทำให้ผมหมดแรง และสิ่งเดียวที่ผมต้องการก็คือการผ่อนคลายและพักผ่อน ผมก้าวออกจากรถแล้วคลายเนกไทออก อยากเดินเข้าไปด้านในเต็มทนและได้พักผ่อนในที่สุด เมื่อก้าวเข้าไปในบ้าน ผมมองเห็นซิดนีย์นั่งอยู่ตรงนั้น จ้องมองผมด้วยสายตาอันว่างเปล่าเหมือนเคย ผมแทบจะไม่ชายตามองเธอเลยในขณะที่มุ่งตรงไปที่ห้องทำงาน

“ฉันต้องการหย่า" ซิดนีย์พูดออกมาก่อนที่จะผมจะเดินไปถึงห้องทำงานด้วยซ้ำไป

หย่าหรือ? คำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวผมก็คือคำว่าไร้สาระ และช่างเป็นอะไรที่ไร้สาระจริง ๆ ธุรกิจครอบครัวของพ่อแม่ซิดนีย์ได้ให้บริษัทจีที กรุป ซึ่งเป็นบริษัทของผมยืมไปใช้ นี่เป็นสัญญาที่ให้ประโยชน์กับทั้งสองฝ่ายในทุกแง่มุม ซิดนี่ย์เป็นเพียงผู้หญิงที่ผมแต่งงานด้วย ที่ต้องพึ่งพาผมและพ่อแม่ของเธอเพื่อความอยู่รอด

หย่าหรือ? เห็นได้ชัดว่านี่เป็นวิธีใหม่ในการเรียกร้องความสนใจของเธอ อย่างที่เธอชอบทำนั่นแหละ เดิมทีเธอมีท่าทีน่าสงสาร ซึ่งเพียงพอจะทำให้คนนอกเชื่อว่าเธอได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ถึงแม้ว่าจะไม่เคยเกิดเรื่องอย่างนั้นเลยก็ตาม เรารักษาภาพลักษณ์ของคู่สามีภรรยาเอาไว้ตลอดสามปีที่ผ่านมา

ตอนนี้เธอกำลังเรียกร้องความสนใจด้วยวิธีใหม่ ผมไม่มีทางหลงกลหรอก

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมเข้าไปในห้องอาหารเพื่อรับประทานอาหารเช้าก่อนออกไป แต่สิ่งที่ผมเห็นมีเพียงโต๊ะอันว่างเปล่า ผมขมวดคิ้วในขณะถามหนึ่งในคนงานที่พอจะหาได้ ซึ่งกำลังเดินวนเวียนอยู่แถวนั้น

“เธอไปไหน? แล้วอาหารของฉันอยู่ที่ไหน?”

“เช้านี้ ยังไม่เห็นเธอเลยค่ะ ท่าน" คนงานคนนั้นตอบ ซึ่งต่อมาผมได้รับรายงานจากคนที่เห็นเธอออกจากห้องไปพร้อมกับกระเป๋าเดินทางเมื่อคืนนี้ ข้าวของส่วนใหญ่ก็หายไปจากห้องด้วย

อ๋อ บางทีเรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับเรื่องการหย่าที่เธอเอ่ยถึงก็ได้ เธอคาดหวังจะให้ผมหลงเชื่อหรือพูดคุยกับเธอในเรื่องนี้หรือ?

ผมยักไหล่ให้กับความคิดนั้น พร้อมหยิบกระเป๋าเอกสารและเสื้อแจ็กเกตขึ้นมา จากนั้นเดินตรงออกไป เธอน่าจะแค่ออกไปที่บ้านพ่อแม่นั่นแหละ เธอจะไปไหนได้อีกล่ะ? พวกเขาคงกำลังอบรมสั่งสอนให้เธอเป็นภรรยาที่ดีอยู่ แล้วคงส่งตัวเธอกลับมาเองแหละ

ผมละสายตาจากแฟ้มเอกสารที่อยู่ตรงหน้า เมื่อผู้ช่วยเดินเข้ามาในห้องทำงาน เขาวางแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะตรงหน้าผมโดยไม่พูดอะไร พร้อมกับโค้งคำนับแบบลวก ๆ

“ผมคิดว่าคุณต้องดูสิ่งนี้นะครับ" เขาพูดก่อนจะก้าวถอยหลังไป

ผมถอดแว่นตาออกแล้วดึงแฟ้มเอกสารเข้ามาใกล้ ๆ โดยพลิกเปิดออกเพื่อดูคำที่เขียนไว้ตัวหนา ๆ ว่า "ขั้นตอนดำเนินการหย่าร้าง" ผมขมวดคิ้วในขณะตรวจดูเอกสารต่อไป เธอเซ็นชื่อไว้ในเอกสารพวกนั้นเรียบร้อยแล้ว

“ขอบใจ ออกไปได้แล้ว" ผมบอกกับผู้ช่วยซึ่งโค้งคำนับให้ผมอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องไป

ซิดนี่ย์ได้ดำเนินการขั้นแรกในสิ่งที่ดูเหมือนเป็นเกมที่ดูชาญฉลาดสำหรับเธอ แต่สำหรับผมแล้วนี่เป็นอะไรที่ไร้สาระ เธอคิดหรือว่าผมจะมีเวลาสำหรับเรื่องทั้งหมดนี้?

จีที กรุปไม่เพียงแต่เป็นความภาคภูมิใจของผมเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงการทำงานหนักและความทุ่มเทตลอดหลายปีอีกด้วย นี่เป็นบริษัทหุ้นนอกตลาดขนาดใหญ่มีฐานอยู่ในยุโรป ซึ่งมีมุ่งเน้นในการลงทุนในหลากหลายภาคส่วน อย่างเช่น สินค้าอุปโภคบริโภค การบริการ แฟชั่น การแพทย์ และเทคโนโลยี ด้วยโครงการลงทุนที่มีมากกว่า 250 โครงการภายใต้การดูแลของเรา เราเป็นกำลังสำคัญที่โลกธุรกิจต้องให้การยอมรับนับถือ

นี่เป็นการระดมทุนรอบที่สาม เราจำเป็นต้องได้รับเงินจำนวนมหาศาลถึงห้าพันล้านบาทจากนักลงทุนทั่วโลก นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับบริษัท และเดือนถัดไปจะเป็นเดือนที่วุ่นวายมาก เนื่องจากผมต้องเดินทางไปทั่วโลก เพื่อพบปะกับนักลงทุนที่มีศักยภาพตั้งแต่นิวยอร์กจนถึงโตเกียว และจากลอนดอนไปจนถึงฮ่องกง หกเดือนต่อจากนี้ชีวิตผมจะเต็มไปด้วยการประชุม การนำเสนองาน และการเจรจาต่อรอง

แล้วมีคนนำเอกสารไร้สาระมาวางไว้บนโต๊ะทำงาน

ผมคว้าเอกสารพวกนั้นอย่างโกรธเกรี้ยว แล้วเดินไปที่เครื่องทำลายเอกสารที่อยู่ในมุมห้องทำงาน ยัดเอกสารพวกนั้นเข้าไปในเครื่องทำลายเอกสาร แล้วมองดูเครื่องจักรทำลายไปทีละฉบับ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ประจำตำแหน่ง เพื่อกลับไปทำในสิ่งที่มีความสำคัญกว่าร้อยเท่า

นี่เป็นสามเดือนที่ยาวนานและวุ่นวายกับการระดมทุนเพื่อจีที กรุป ในที่สุด ผมก็ได้กลับบ้านเพื่อพบว่าซิดนีย์ยังไม่ได้กลับมา จมูกของผมเริ่มหายใจติดขัดเมื่อผลักประตูห้องนอนของเธอเปิดออก และทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่ฝุ่นปกคลุมเต็มไปหมด ผมจึงรู้ได้ทันทีว่าห้องนั้นถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลานานแล้ว

เธอยังไม่กลับมาอีกหรือ?

ผมเดินออกไปอย่างโกรธเกรี้ยว หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วกดหมายเลขโทรศัพท์ของเธอเพื่อโทรออก

“ขออภัยค่ะ หมายเลขที่ท่านเรียกปิดให้บริการแล้ว" เสียงตอบรับอัตโนมัติดังขึ้นผ่านลำโพงออกมา

ผมกดหมายเลขโทรศัพท์นั้นอีกครั้ง

“ขออภัยค่ะ หมายเลขที่ท่านเรียกปิด-” ผมตัดสายทิ้งพร้อมกับกัดฟันกรอด

“ไปตามตัวเธอมาเดี๋ยวนี้" ผมหันไปบอกผู้ช่วย “ติดต่อพ่อแม่ของเธอ ทำทุกอย่างที่จำเป็นต้องทำ"

ชายคนนั้นโค้งคำนับอย่างรีบร้อนแล้วรีบออกไป ในขณะที่ผมถอยกลับเข้ามาในห้องทำงานด้วยความรู้สึกทั้งเหนื่อยและอ่อนล้า เธอได้เติมเชื้อเพลิงให้กับความรู้สึกที่แย่อยู่แล้วให้ลุกโชนขึ้นมามากขึ้น ผมเข้าไปในห้องอาบน้ำ เปิดก๊อกน้ำ ปล่อยให้สายน้ำเย็น ๆ ไหลรดลงมาบนหัว โดยหวังว่าความเย็นยะเยือกทั้งหมดนั้นจะช่วยขจัดความอ่อนล้าและความหงุดหงิดออกไปได้

ในที่สุด ผู้ช่วยก็กลับมาพร้อมบอกว่าพ่อแม่ของซิดนีย์ก็ไม่รู้ว่าเธออยู่ไหนเหมือนกัน และไม่ได้ข่าวจากเธอมานานมากแล้วด้วย อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังรู้สึกว่าการหายตัวไปของซิดนีย์เป็นส่วนหนึ่งของแผนการอันซับซ้อนเพื่อจัดการกับผม ซึ่งดูเหมือนว่าจะใช้ได้ผล เพราะมันทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก

ผมสามารถจัดการกับเรื่องนี้ได้จริง ๆ จัง ๆ ก็หลังจาก 3 เดือนต่อจากนี้ เมื่อผมกลับจากการเดินทางครั้งที่สอง ซึ่งก่อนจะขึ้นเครื่องนั้น ผมได้กำชับกับผู้ช่วยว่า "ตามหาเธอให้พบก่อนที่ฉันจะกลับมา ถ้าทำไม่ได้ก็เตรียมตัวตกงานได้เลย"

ผู้ช่วยพยักหน้ารับคำแล้วรีบกุลีกุจอไปช่วยยกกระเป๋าเดินทาง ผมหยุดชะงักเพื่อหันกลับไปมอง เนื่องจากมีบางสิ่งบางอย่างวางอยู่บนโต๊ะตรงมุมห้องที่ดูสะดุดตา เมื่อผมเข้าไปดูใกล้ ๆ ก็พบว่าเป็นแหวนแต่งงาน แหวนวงนั้นเดิมทีตั้งใจจะมอบให้เบลล่า แต่ลงเอยมาอยู่บนนิ้วของซิดนีย์

แหวนวงนั้นไม่มีความหมายสำหรับผมอีกต่อไปนับตั้งแต่วันนั้นเมื่อสามปีก่อน ซึ่งควรจะเป็นวันที่ผมมีความสุขมากที่สุดในชีวิต เจ้าสาวของผมไม่ใช่เบลล่าที่เป็นหญิงรัก แต่เป็นซิดนีย์พี่สาวของเธอ ผมรู้สึกโง่มากในตอนนั้น ผมยืนอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายที่มาร่วมพิธีราวกับไม่มีอะไรผิดปกติ ผมแค่ต้องทำให้งานในวันนั้นดำเนินต่อไป และผมก็บอกให้ซิดนีย์รู้อย่างชัดเจนแล้วว่าผมจะไม่ยอมรับเธอเป็นภรรยา ส่วนอยากเป็นภรรยาของผมต่อหรือไม่ก็สุดแล้วแต่เธอ

ทันทีที่ผมก้าวลงจากแท่นพิธี และส่งยิ้มปลอม ๆ ให้กับแขกเหรื่อและช่างภาพที่ยืนอยู่ทั่วทุกมุมแล้ว ผมก็กระโจนขึ้นรถ แล้วถอดแหวนบ้า ๆ วงนั้นออกจากนิ้ว จริง ๆ แล้วผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าผมเอาไปวางไปตรงไหนหลังจากวันนั้น ผมอาจจะโยนมันทิ้งไปเพราะความรำคาญก็ได้

แต่ซิดนีย์ตัดสินใจที่จะสวมแหวนแต่งงานเอาไว้ ตอนนี้ ผมเห็นแหวนวงนั้นวางฝุ่นเกาะอยู่ ผมอดคิดไม่ได้ว่าบางทีซิดนีย์อาจเอาจริงกับการหย่าร้างก็ได้

ผมกัดฟันกรอดอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากโต๊ะตัวนั้น ปล่อยแหวนไร้ประโยชน์ไว้ตรงนั้นแล้วเดินออกประตูไป ผมยังมีงานอีกมากมายต้องทำมากกว่ามาจดจ่อกับเรื่องน้ำเน่านี้

ผมมาถึงสนามบิน หยิบแว่นกันแดดออกมาสวมทันทีก่อนจะก้าวออกจากรถ ผมค่อนข้างเป็นที่รู้จักของผู้คน และก็มักจะมีผู้คนเข้ามาหาหรือมาจ้องมองผมบ่อย ๆ เพราะพวกเขาจำผมได้จากที่เคยเห็นทางทีวีหรือช่องทางอื่น ๆ

“ขอโทษที คุณใช่คนนั้นใช่ไหมคะ?” หรืออะไรทำนองนั้น แว่นกันแดดเป็นเพียงการอำพรางเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ก็ยังทำหน้าที่ได้ดีในระดับหนึ่ง โดยผมต้องเพิ่มเครื่องแต่งกายที่ปกปิดตัวตนอีกหน่อย ถึงแม้ว่าบางครั้งผมจะพยักหน้าพร้อมกับยิ้ม และพยายามพูดคุยอะไรสั้น ๆ แต่วันนี้ผมไม่ค่อยมีอารมณ์ที่จะทำอย่างนั้นเลย

ผมเดินตรงไปที่ประตูขื้นเครื่องท่ามกลางฝูงชนแสนพลุกพล่านในสนามบิน พร้อมกับดูนาฬิกาข้อมือไปด้วย มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินผ่านผมไป กลิ่นน้ำหอมของเธอฟุ้งกระจายไปทั่วใบหน้า แล้วโชยเข้าจมูกอย่างช้า ๆ กลิ่นส้มหวานและดอกไม้ช่างเป็นกลิ่นคุ้นเคยเหลือเกิน กลิ่นนั้นทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวในอดีตอย่างแปลกประหลาด

ผมค่อย ๆ หยุดเดิน พร้อมพยายามกลั้นความรู้สึกอยากหันหน้าไปมองเอาไว้ แต่ก็อดไม่ได้ ร่างของเธอค่อย ๆ เดินห่างออกไปทางด้านหลัง และก็บอกไม่ได้ว่าเธอเป็นคนที่ผมรู้จักหรือเปล่า

ผมจำไม่ได้ว่าเคยเห็นใบหน้านั้นมาก่อนไหม

บทที่เกี่ยวข้อง

  • หย่า…มารักฉันเลย   บทที่ 4

    มุมมองของซิดนีย์ทันทีที่ฉันกลับมายังสนามบิน ฉันก็เห็นเกรซโบกมือให้อย่างกระตือรือร้นจากอีกฝั่งหนึ่ง รอยยิ้มกว้างผุดขึ้นบนริมฝีปากเมื่อฉันเดินเข้าไปใกล้เธอมากขึ้น ทริปแสนสั้นของฉันได้สิ้นสุดลงแล้ว และอาจพูดได้เลยว่าสามเดือนที่ผ่านมานั้น เป็นสามเดือนที่มีความสุขมากที่สุดในชีวิตในรอบหลายปีฉันลากกระเป๋าตามหลังให้เร็วขึ้นแล้วรีบวิ่งไป พร้อมทั้งโบกมือกลับไปให้เกรซและรีบวิ่งไปหาตรงที่เธอยืนอยู่ ตอนแรกฉันก็ไม่ได้สังเกตเห็นหรอกนะ แต่มีคนคุ้นเคยเดินผ่านฉันไปอย่างรวดเร็ว ฉันอดที่หันไปมองไม่ได้ ฉันสาบานได้เลยว่าฉันรู้จักแผ่นหลังนั้น ไม่มีใครจะบอกเป็นอย่างอื่นได้ ต้องเป็นมาร์คไม่ผิดแน่ เป็นเขาแน่ ๆฉันดูไม่ผิด ฉันยืนยันกับตนเองตอนที่หยุดหันไปมองคนคนนั้น เขาคือมาร์ค ฉันไม่มีทางพลาดได้หรอก เขาเดินแบบก้าวเท้าเร็ว ๆ เหมือนเคย เขามองไม่เห็นฉัน? หรือว่าเขาอาจจำฉันไม่ได้อีกแล้วมั้ง? ฉันหายไปแค่สามเดือนเอง แต่ถ้านั่นเป็นเวลาที่เพียงพอจะทำให้เขาไม่รู้ว่าฉันเป็นใครอีกครั้งจากแค่มองเพียงแวบเดียว ก็นับว่าประสบความสำเร็จที่สามารถลบผู้หญิงที่เขาเคยรู้จักออกไปจากชีวิตได้ แน่นอนว่าด้วยรูปลักษณ์ของฉันตอนนี้ ฉัน

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-10-22
  • หย่า…มารักฉันเลย   บทที่ 5

    มุมมองของซิดนีย์"ผมโยนไอ้กระดาษบ้าบอพวกนั้นเข้าไปในเครื่องทำลายเอกสารแล้ว" เขาขึ้นเสียง "ผมได้ยกเลิกการประชุมสำคัญไปเพราะคุณเลย จะให้เสียเวลามากกว่านี้ไม่ได้แล้ว"เขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย เขายังเป็นผู้ชายขี้โมโหและใจร้อนซึ่งฉันไม่ได้ใส่ใจอีกแล้ว เขาคิดว่าโลกหมุนอยู่รอบตัวเขามากกว่าจะเป็น "โลกของฉัน" ถ้าเขาไม่อยากให้เวลาสูญเปล่าล่ะก็ มาตามฉันกลับไปมาทำไมกันเล่า?ไม่ว่าเขาจะโยนเอกสารพวกนั้นเข้าไปในเครื่องทำลายเอกสาร หรือเผาให้เป็นเถ้าถ่านด้วยไฟแช็กจากห้องทำงานของเขา หรือเก็บเอาไว้ที่ไหนสักแห่ง นั่นก็ไม่ใช่เรื่องของฉันฉันก้าวถอยห่างออกจากประตู แล้วจ้องมองใบหน้าของเขาอย่างโกรธเกรี้ยว“ฉันตั้งใจจะหย่ากับคุณอย่างเป็นจริงเป็นจังนะ ถ้าคุณไม่ยอมรับการหย่านี้ล่ะก็ ฉันก็จะต้องยื่นฟ้องหย่าคุณแล้วล่ะ แน่นอน มันจะยิ่งทำให้คุณเสียเวลา "อันมีค่า" เข้าไปกันใหญ่นะ คุณผู้ชาย!” ฉันประกาศออกไปอย่างชัดเจนณ ตอนนี้ จิตใจของฉันก็หวนนึกไปถึงผู้ชายที่อาจยังซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งในบ้าน ฉันยังอยู่หน้าประตูเพื่อคอยบังไม่ให้มาร์คแอบมองเข้ามาเห็นอะไรที่ไม่ควรจะเห็นข้างใน เรื่องนี้อาจจะยิ่งลุกลาม

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-10-22
  • หย่า…มารักฉันเลย   บทที่ 6

    มุมมองของมาร์คผมร้องครวญครางออกมาในขณะพลิกตัวอยู่บนเตียง หัวปวดตุบ ๆ จนต้องจับหัวเอาไว้ในขณะที่ค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเตียง ผมมองไปรอบ ๆ แล้วสงสัยว่าทำไมถึงมาอยู่ที่บ้าน ผมน่าจะอยู่ในที่ทำงานมากกว่านะผมคว่ำหน้าลงบนฝ่ามือแล้วพยายามเรียบเรียงเรื่องราว แล้วใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวินาทีความทรงจำก็กลับคืนมาผู้ช่วยสามารถระบุได้ว่าซิดนีย์อยู่ที่ไหน และผมได้ทิ้งงานที่ทำอยู่ทั้งหมด เพื่อไปพูดคุยให้เธอเข้าใจ ผมจำได้ว่าผมได้สั่งให้เธอเดินตามผมไป แล้วจากนั้น...ผมขมวดคิ้ว ทุกสิ่งทุกอย่างดูมืดมิดไปหมด“นังบ้านั่น! กล้าดียังไงมาตีหัวผมเนี่ย?” ผมกัดฟันแน่นในขณะลุกขึ้นจากเตียง ผมเหลือบเห็นยาในลิ้นชักในขณะเดินโซซัดโซเซออกจากห้องเธอเป็นอะไรของเธอ? ทำไมถึงได้ทำอะไรเกินเลยไปถึงขนาดนี้? ผมคิดมีเสียงไม้กระทบผนังดังก้องไปทั่วบ้าน ในขณะที่ผมผลักประตูทุกบานให้เปิดออก“อยู่ที่ไหนเนี่ย?!”คนงานในบ้านยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น บางคนถึงกับสะดุ้งทุกครั้งที่มีการกระแทกประตูผมถามว่าเธออยู่ไหนเป็นสิบ ๆ ครั้ง แล้วพวกเขาก็ตอบผมกลับมาเป็นสิบ ๆ ครั้งว่าพวกเขาไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน พวกเขาพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงเรื่องที่บอกกับผมเ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-10-22
  • หย่า…มารักฉันเลย   บทที่ 7

    มุมมองของซิดนีย์ฉันหยุดหัวเราะไม่ได้เลย เมื่อได้รับออเดอร์พิเศษครั้งที่สี่ของวันนั้นโดยปกติแล้ว อเทลิเย่จะได้รับออเดอร์เป็นจำนวนมากในแต่ละวัน และพนักงานของเราก็จะดูแลออเดอร์พวกนี้ แต่ถ้ามีออเดอร์เครื่องประดับแบบสั่งทำพิเศษ ออเดอร์พวกนั้นก็จะส่งตรงมาถึงฉันบนหน้าจอมีออเดอร์สั่งทำเครื่องประดับสองชิ้นจากผู้ช่วยของมาร์ค ซึ่งมีระบุในช่องสอบถามความชื่นชอบว่าให้ดู 'โดดเด่น' จากเครื่องประดับชิ้นไหน ๆ ของเรา จากนั้นเขาก็ลงท้ายด้วยคำว่า 'บอกราคามาเท่านั้น'นับเป็นเรื่องปกติ มีแค่มาร์คเท่านั้นที่ทะนงตัวถึงขนาดทำให้คำขอฟังดูเป็นการดูถูกเหยียดหยามได้ ผู้ช่วยของมาร์คเป็นคนสั่งออเดอร์นี้ แต่ฉันแน่ใจว่าออเดอร์นี้ทำขึ้นในนามของมาร์ค ผู้ช่วยของเขาไม่มีปัญญาซื้อเครื่องประดับแบบสั่งทำพิเศษของอเทลิเย่ให้กับตัวเองได้หรอกฉันนั่งหมุนตัวอยู่บนเก้าอี้พร้อมกับผิวปาก "ได้เวลากอบโกยเงินอีกหลาย ๆ ล้านแล้วสิเนี่ย"ฉันหันกลับไปที่หน้าจอโน้ตบุ๊ก อ่านประโยคสุดท้ายนั่นอีกครั้ง แล้วฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิม "โอ๊ย จะตั้งใจตั้งราคาเลยค่ะ"ทีแรก ฉันก็สงสัยนะว่าเขาจะซื้อของขวัญให้ใคร แต่แล้วก็มีเพียงเบลล่าเท่านั้นที่แวบ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-10-22
  • หย่า…มารักฉันเลย   บทที่ 8

    มุมมองของมาร์คมีคนมาเคาะประตูที่ห้องผม“เข้ามา" ผมตะโกนบอกไปโดยไม่ละสายตาจากแฟ้มเอกสารที่อยู่ตรงหน้าผมได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดในขณะเปิดประตู แล้วมีเสียงของผู้ช่วยของผมลอยเข้ามา "ลักซ์ โว้ค ตอบกลับมาแล้วครับท่าน"“อืมมม" ผมพึมพำและพยักหน้า "สร้อยคอจะเสร็จเมื่อไหร่?”“ไม่ใช่เรื่องสร้อยคอครับท่าน แต่เป็นเรื่องข้อเสนอการเข้าซื้อกิจการที่เราส่งไปให้พวกเขาครับ"ผมเงยหน้าขึ้นแล้วดันเก้าอี้ไปข้างหลัง "โอ้ จริงด้วย เราจะพบปะพูดคุยกันเพื่อสรุปการส่งมอบเว็บไซต์ได้เมื่อไหร่?” ผมถามช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ ที่อเทลิเย่ก็เป็นหุ้นส่วนกับเว็บไซต์ที่ผมจับตามองมาหลายเดือนแล้ว พวกเขาไม่ได้โต้ตอบอะไรมาหลายเดือน แต่ผมก็ไม่ยอมแพ้ ผมสั่งให้ผู้ช่วยของผมส่งอีเมลถึงพวกเขาอยู่เรื่อย ๆหลังจากเบลล่ากลับไปแล้ว ผมก็สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับอเทลิเย่ด้วยตัวเอง เบลล่าพูดถูกทุกอย่าง! พวกเขาทำเครื่องประดับออกมาสวยงามมาก คุณภาพอัญมณีเยี่ยมยอด ซึ่งทำให้ผมรู้สึกภาคภูมิใจ และทำให้ผมรู้สึกมั่นใจว่าการซื้อเว็บไซต์นี้เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง การที่มีหนึ่งในบริษัทที่เราดูแลอยู่เข้าไปร่วมงานกับสตูดิโอย่างอเทลิเย่ ก็จะช่วย

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-10-22
  • หย่า…มารักฉันเลย   บทที่ 9

    ไฟที่ส่องแสงวูบวาบจากสีหนึ่งไปเป็นอีกสีหนึ่ง เรือนร่างที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อและเบียดกันแน่นอยู่บนพื้นที่เต้นนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผมตั้งตารอในคืนนี้ ผมแค่ต้องการความสงบและค่ำคืนดี ๆ ที่ได้อยู่กับเพื่อน ๆ เท่านั้นในระหว่างที่ผมขับรถมาที่นี่ โจเอลได้โทรหาผม ผมแทบจะไม่ได้ยินเสียงเขาเลยเนื่องจากเสียงดนตรีที่ดังลั่นภายในบาร์ "วิลล์ก็อยู่ที่นี่ด้วยนะ"ผมถามเขาว่า "อะไรนะ?” ประมาณสามครั้งก่อนที่จะได้ยินในที่สุดผมพบเจอพวกเขาในโซนนั่งส่วนตัว ซึ่งเป็นพื้นที่จองสำหรับพวกเราสามคนโดยเฉพาะนี่เป็นที่เดียวที่เราสามารถพูดคุยกัน และในขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันคึกคักภายในบาร์แห่งนี้ผมสั่งให้ผู้ช่วยส่งไฟล์ที่มีข้อมูลของเกรซมาให้ ตอนนี้ผมหันรูปนั้นไปทางโจเอล "นายรู้จักเธอใช่ไหม? พวกนายเคยคบกันนี่"วิลล์พูดสวนขึ้นมาพร้อมกับผิวปาก "ฉันจำเธอได้ เธอคือผู้หญิงที่นอนกับนายในตอนนั้น" เขาหันมาทางผม "นายรู้ไหมว่าฉันเคยขอแชร์ผู้หญิงคนนั้นกับเขาด้วย"“ไอ้นี่" โจเอลหัวเราะและพยักหน้าให้ผม "รู้ รู้จัก แต่เราไม่ได้คบกัน เราแค่ ก็อย่างที่นายรู้นั่นแหละ" เขายักคิ้วแล้วทำหน้าภาคภูมิใจ "เป็นแค่เพื่อนร่วมเตียง เ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-10-22
  • หย่า…มารักฉันเลย   บทที่ 10

    ฉันพยายามดิ้นรน ดึงมือตนเอง และด่าทอ ในขณะที่มาร์คลากฉันเข้าไปในโถงทางเดินข้าง ๆ ห้องน้ำชาย ฉันเดินตามเขาอย่างทุลักทุเล ไม่สามารถก้าวเท้าได้ทันเขาเพราะใส่ส้นสูงที่ใส่อยู่แม้แต่ในฝันที่แสนเพ้อเจ้อ ฉันก็ไม่คิดว่าจะเจอเขาที่นี่ได้ ฉันหมายถึงตลอดสามปีแห่งการแต่งงานอันอับเฉา ฉันสามารถนับนิ้วด้วยมือข้างเดียวได้เลยว่าเคยเจอเขาที่อื่นที่ไม่ใช่บ้านกี่ครั้ง ฉันนึกว่าเขาจะอยู่ในที่ทำงานตลอดเวลาเสียอีกนะ แต่ในช่วงนี้ฉันสรุปได้ว่าถ้าเขาไม่อยู่ในที่ทำงาน ก็คงสำเริงสำราญอยู่กับน้องสาวของฉันในโรงแรมหรู ๆ นั่นแหละ“มาร์ค เป็นบ้าอะไรของคุณเนี่ย?” ฉันใช้มือข้างที่ว่างตีนิ้วที่จับข้อมือของฉันอยู่ "ปล่อยมือฉันนะ"เขาไม่ได้พูดอะไร แค่เดินพุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับแผ่นหลังที่ดูแข็งอย่างกับหินตั้งแต่ฉันขอหย่ากับเขา เขาก็ดูเหมือนผีที่ตามหลอกหลอนฉันอยู่ตลอดเวลา ฉันไปที่ไหนก็จะต้องเจอเขาที่นั่นฉันครางออกมาเบา ๆ ในขณะที่เขากระแทกหลังฉันและตรึงเข้ากับกำแพง ดวงตาสีฟ้าเข้มของเขาดูลึกล้ำจนยากจะหยั่งถึง และดวงตาคู่นั้นก็เปลี่ยนเป็นสีเข้มชนิดที่คุณคิดว่าสีตาธรรมชาติของเขาเป็นสีดำสนิท“เสียสติไปแล้วหรือไง?” เขาร้อ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-10-22
  • หย่า…มารักฉันเลย   บทที่ 11

    ฉันรู้สึกได้ว่ามือที่เกาะกุมของเขาเริ่มคลายออก จนฉันสามารถดึงมือหลุดออกมาได้ ฉันเดินลากส้นสูงไปข้างหน้าเพื่อพยายามจะหนี แต่ก็ไม่ทันความเร็วของเขา นิ้วของเขาเข้ามาเกาะกุมข้อมือของฉันอีกครั้งและดึงฉันกลับไป เขาตรึงฉันกับกำแพงอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาไม่ได้ตรึงฉันไว้ด้วยดวงตาที่แข็งกร้าว แต่เป็นริมฝีปากของเขาแทนฉันเกือบลืมหายใจเมื่อริมฝีปากของเขาประกบลงบนริมฝีปากของฉัน ให้ความรู้สึกอบอุ่นและนุ่มนวล ฉันหลับตาลงอย่างไม่รู้สึกตัว ปล่อยให้ริมฝีปากของเขาโลมไล้ไปตามริมฝีปากของฉัน จริง ๆ แล้วฉันรู้สึกเพลิดเพลินกับการที่ริมฝีปากของเขาประกบอยู่บนริมฝีปากของฉัน ฉันแทบไม่รู้สึกตัวราวกับต้องมนต์สะกดจากรสจูบนี้ แขนของชายหนุ่มโอบรัดอยู่ตรงรอบเอวฉัน จากนั้นดึงตัวฉันเข้าไปแนบตัวเขามากขึ้น ความร้อนผ่าวบนตัวเขาทำให้เรือนร่างของฉันรู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาเลยลิ้นของเขาชอนไชเพื่อแทรกเข้ามา ฉันเผยอปากแล้วลิ้นนั้นก็เลื้อยเข้ามาภายใน ให้ความรู้สึกเปียกแฉะและ-ดวงตาของฉันเบิกโพลง ร่างกายแข็งทื่อ แล้วฟันของฉันก็กัดลงบนลิ้นของเขาโดยสัญชาตญาณ เกิดอะไรขึ้นกับฉันเนี่ย?“คุณเป็นบ้าอะไรซิดนีย์?!” เขาดึงตัวออกแล้วปล่อยฉัน

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-10-22

บทล่าสุด

  • หย่า…มารักฉันเลย   บทที่ 100

    เขาจับมือฉันแกว่งไปมาในขณะเดินชมสวนอย่างเงียบ ๆ โดยเราก็ต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองในขณะดื่มด่ำกับความเงียบสงบของค่ำคืนมีแสงสว่างสาดส่องอยู่ข้างหน้า และดูเหมือนจะมีผู้คนอยู่มากมาย ฉันหรี่ตามอง "นั่นรถขายของสักอย่างใช่ไหม?” ฉันพึมพำในขณะเหลือบมองลูคัสแวบนึง ซึ่งกำลังมองไปข้างหน้าเช่นกัน“ผมก็คิดว่าอย่างนั้นนะ" ลูคัสตอบพร้อมกับยักไหล่ขึ้นเล็กน้อยเมื่อเราเดินเข้าไปใกล้มากขึ้นภาพก็ชัดเจนขึ้น แล้วฉันก็หยุดยั้งตัวเองเอาไว้ไม่ได้เลย เมื่อตระโกนออกไปว่า "ไอศกรีม!” ฉันชี้ไปที่รถไอศกรีมแล้วหันไปหาลูคัสซึ่งกำลังยืนยิ้มอยู่“ไปกันเถอะ" ฉันดึงมือออกจากเขา "ไปกินไอศกรีมกัน"ฉันรีบวิ่งไปยังรถไอศกรีมที่เปิดเพลงอยู่โดยไม่ได้รอคำตอบจากเขา ตอนที่ฉันร้องตะโกนออกไปนั้น มีเด็ก ๆ บางคนหันมามอง ดังนั้นเมื่อฉันรีบวิ่งไปที่นั่น พวกเขาก็ยังคงจ้องมองอยู่ฉันไม่สนใจสายตาที่จ้องมองมาที่ฉันเลยสักนิดเดียว ตอนนี้ฉันมีความรู้สึกเหมือนอยู่ในวัยเดียวกับพวกเขาเลย ฉันนึกถึงตอนที่ฉันกับลูคัสเคยเดินเล่นด้วยกันตอนเด็ก ๆ แล้วแวะไปที่ร้านไอศกรีม หรือรถไอศกรีมเหมือนรถคันนี้ แล้วซื้อไอศกรีมกินกันคนละสองถ้วย“คุณอยาก

  • หย่า…มารักฉันเลย   บทที่ 99

    ฉันลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นซึ่งทำให้ฉันรู้สึกแหลกเหลวไปทั้งตัว ฉันหันไปยังเจ้าของเสียงนั้น "ไม่ต้องกลัวนะ ซิดนีย์" ลูคัสพูดขึ้น และถึงแม้เขาจะไม่ได้หัวเราะแล้ว แต่ในแววตายังหัวเราะอยู่ "ลุยจิอาจจะขับรถรุนแรงไปหน่อย แต่เชื่อผมเถอะว่าเขาเป็นคนขับรถที่เก่งมาก มีประสบการณ์ และพรสวรรค์ ไม่ต้องกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหรอก เราจะเอากระเป๋าของคุณกลับคืนมาอย่างปลอดภัย"ฉันกลืนน้ำลายแล้วส่ายหัว แต่ยังคงจับขอบเบาะที่นั่งเอาไว้แน่นเขาขับรถอย่างรุนแรงไปตามถนนที่มืดสลัวและตรอกซอยที่มืดมิด จนในที่สุดเราก็สามารถไล่ต้อนไอ้หัวขโมยเข้าไปจนมุมอยู่ในตรอกแคบ ๆ มืด ๆ ได้ ถ้าไม่ได้ไฟหน้ารถส่องเอาไว้ฉันคงมองไอ้หัวขโมยคนนั้นไม่เห็นหรอก ฉันรู้สึกประหลาดใจที่เขาไล่ต้อนให้มาจนมุมอย่างนั้นได้ แต่แน่นอนว่าฉันดีใจและประทับใจมากที่จะได้ข้าวของของฉันกลับคืนมาไอ้หัวขโมยคนนั้นไม่สามารถหยุดได้ทันในขณะที่วิ่งอย่างรวดเร็ว จึงวิ่งตรงมาที่รถด้วยความสับสนหัวใจเต้นแรงจนเหมือนจะหลุดออกมาจากอก ฉันเกาะขอบเบาะที่นั่งเอาไว้แน่น แล้วหลับตาลงและเตรียมรับมือกับการชนที่กำลังจะเกิดขึ้น ฉันรู้สึกไม่ดีกับไอ้หัวขโมยคนนั้

  • หย่า…มารักฉันเลย   บทที่ 98

    ล้อรถสีไปกับพื้นถนนเสียงดังเอี๊ยด เมื่อจู่ ๆ รถก็พุ่งตัวออกไปในค่ำคืนที่มีแสงจันทร์ส่องสว่าง ลุยจิขับรถด้วยความเร็วสูงแบบไม่บันยะบันยังบนถนนที่ขรุขระ พลอยทำให้พวกเราทั้งสามคนที่อยู่ในรถกระเด้งกระดอนอยู่บนเบาะนั่งถ้าลูคัสไม่ได้รัดเข็มขัดนิรภัยให้ฉันล่ะก็ พนันได้เลยว่าฉันต้องกระเด็นออกไปทางหน้าต่างที่เปิดอยู่แน่ ๆ“โอ้พระเจ้า ลุยจิ ช่ายขับช้า ๆ หน่อยได้ไหม!” ฉันตะโกนบอกในขณะจับขอบเบาะที่นั่งเอาไว้แน่นลุยจินั่งหัวเราะจนไหล่โยกอยู่ตรงเบาะหน้า "ไม่ได้ครับ" เขาเหลียวมองมาข้างหลังแวบหนึ่ง "ผมเคยเป็นนักแข่งรถเอฟโฟร์มาก่อน ถ้าผมขับช้า ๆ เหมือนคุณยายล่ะก็ เพื่อน ๆ ผมคงหัวเราะเยาะ แล้วผมก็คงแพ้การแข่งขันแน่ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ จับเอาไว้แน่น ๆ ถ้าผมรักษาความเร็วที่ระดับนี้ไว้ได้ ผมก็แน่ใจว่าจะจับไอ้หัวขโมยคนนั้นได้แน่!”จากนั้น เขาก็เลี้ยวโค้งอย่างกระทันหัน และถึงแม้จะคาดเข็มขัดนิรภัยเอาไว้แล้ว พวกเราก็เอียงไปทางด้านข้างกันหมด แล้วฉันก็ล้มเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของลูคัสอย่างควบคุมไม่อยู่ ซึ่งทำให้ฉันหน้าแดงยิ่งกว่าเดิมเมื่อยังอยู่ในอ้อมแขนของลูคัส เพราะดูเหมือนลุยจิจะยังคงเลี้ยวโค้งอย่างบ้าคลั่งอย

  • หย่า…มารักฉันเลย   บทที่ 97

    ฉันลืมตาขึ้นมาพร้อมกับยิ้ม ความคิดถึงลูคัสได้จางหายไป แรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์ของฉันได้กลับมาแล้ว ฉันหยิบกระดาษร่างและปากกาออกมา คิ้วขมวดมุ่นอย่างมีสมาธิในขณะร่างความคิดที่อยู่ในหัวออกมา ในระหว่างนั้นก็หยิบขวดน้ำออกมาจิบเพิ่มความสดชื่น จากนั้นเหยียดแขนไปข้างหน้าพร้อมกับถือแบบร่างงานออกแบบไว้ตรงหน้าพร้อมกับหรี่ตามองเป็นงานออกแบบที่ดูตั้งใจตามเคย ไม่ใช่แค่ขีดเขียนงานออกแบบราคาถูกบนกระดาษอย่างรวดเร็วเท่านั้นพอฉันหลุดออกจากโลกแห่งความคิดสร้างสรรค์แล้วมองไปรอบ ๆ ตัว ก็พบว่าเป็นเวลามืดค่ำแล้ว และมีคนเดินไปเดินมาอยู่ไม่กี่คน ฉันก็เลยเก็บข้าวของโดยจัดเรียงกระดาษที่ร่างแบบเอาไว้ในกระเป๋าเป้อย่างระมัดระวัง แล้ววางไว้ข้าง ๆ ตัว จากนั้นก็หยิบขวดน้ำขึ้นมาจิบอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะวางไว้ข้างตัวอีกด้านหนึ่งฉันถอดรองเท้าแล้วขยับนิ้วไปมาเพื่อไล่ความตึงเครียดที่ถูกบีบอยู่ในรองเท้าเป็นเวลานาน จากนั้นก็สวมกลับเข้าไปใหม่แล้วผูกเชือกรองเท้า เสร็จแล้วก็ลุกขึ้นพร้อมกับบิดขี้เกียจและถอนหายใจอย่างมีความสุขฉันหันกลับไปเพื่อหยิบกระเป๋าเป้แล้วเดินกลับบ้าน แต่ต้องผงะเมื่อเห็นที่นั่งว่างเปล่าเหลือเพียงแต

  • หย่า…มารักฉันเลย   บทที่ 96

    "ซิดนีย์ เธอดูเหมือนสาวแรกรุ่นที่มีความรักจริง ๆ นะ" เกรซแซวในขณะเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นพร้อมกับถือชามใส่สตรอว์เบอร์รี่เต็มชาม ส่วนปากก็เคี้ยวสตรอว์เบอร์รี่ตุ้ย ๆ“ฉันไม่รู้สิ เกรซ" ฉันใช้ปลายนิ้วหมุนโทรศัพท์เล่นในขณะทำหน้ามุ่ยด้วยความกังวล "ฉันควรโทรหาเขาไหม? หรือไม่ควรโทรไปดี?”หลังเกิดเรื่องวุ่นวายกับมาร์คและลูคัสในงานปาร์ตี้นั้น เวลาของฉันในการกลับมาเจอะเจอลูคัสอีกครั้งก็หดสั้นลง เขาอาสาไปส่งฉันที่บ้านแต่เขาดูรีบร้อน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ลืมที่จะแลกเบอร์โทรศัพท์กับฉันก่อนจะขับรถออกไปอย่างเร่งรีบ แล้วตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาฉันก็ไม่สามารถสลัดเขาออกจากหัวได้เลย ฉันไม่สามารถจดจ่ออยู่กับงานได้เพราะในหัวมีแต่เขาเท่านั้นเกรซกลอกตามองเพดานพลางหย่อนตัวนั่งลงบนโซฟาบีนแบ็คที่เอามาตั้งไว้กลางห้องแทนโต๊ะนั้น เธอยื่นชามสตรอว์เบอร์รี่มาให้ฉัน "กินหน่อยไหม?” เธอหลับตาลงเล็กน้อยแล้วถอนหายใจอย่างเกิดจริง "หวานฉ่ำมากเธอเอ๊ย"ฉันส่ายหัวแล้วเธอก็ทำเสียงไม่พอใจ "เธอปฏิเสธอาหารดี ๆ เพียงเพราะเธอคิดไม่ตกว่าควรจะโทรไปหาพ่อยอดยาหยีที่ห่างหายจากกันไปนานน่ะเหรอ ก็โทรไปหาเขาสิที่รัก ถ้าไม่โทรแล้วจะแลกเบอร์โ

  • หย่า…มารักฉันเลย   บทที่ 95

    มุมมองของมาร์คผมอ้าปากค้างแล้วรู้สึกว่ามือที่วางอยู่ข้างตัวสั่นเทาก่อนจะกำแน่น เมื่อเห็นผู้ชายคนนั้นโอบกอดซิดนีย์เอาไว้แน่นผมเดินออกไปข้างหน้าด้วยความรู้สึกหึงหวงอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง แล้วดึงซิดนีย์ออกจากผู้ชายคนนั้น เมื่อจับซิดนีย์แยกออกมาได้แล้ว ผมก็ชกเข้าที่หน้าของผู้ชายคนนั้นเจ้าหมอนั่นเซไปข้างหลังพร้อมกับเอามือกุมใบหน้าเอาไว้“คุณบ้าไปแล้วเหรอ มาร์ค?” ผมได้ยินซิดนีย์ตะโกนถามมาจากด้านหลัง แต่ก็ไม่ได้ช่วยหยุดยั้งอะไรผมได้ ผมเดินเข้าประชิดตัวแล้วต่อยที่หน้าของเขาอีกหนึ่งหมัด คราวนี้เขาเซไปข้างหลังแล้วล้มลงไปกองกับพื้น“มาร์ค! หยุดเดี๋ยวนี้นะ" คุณยายส่งเสียงห้ามแต่ก็หยุดยั้งผมเอาไว้ไม่ได้ผมกระโดดคร่อมบนตัวเขาแล้วชกเข้าที่หน้าเขาอีกครั้ง เขาคิดว่าเขาเป็นใครกันที่เดินออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ แล้วกอดซิดนีย์ไว้แบบนั้น?ในขณะที่ผมดึงแขนกลับมาเพื่อจะต่อยเขาอีกครั้ง เขาก็ใช้ฝ่ามือรองรับหมัดของผมเอาไว้ เขาเปิดปากที่มีเลือดไหลออกมา แล้วพูดอะไรที่ผมคิดว่าช่างฟังน่าโมโหที่สุดในคืนนั้น“ผมสั่งให้หยุดเดี๋ยวนี้"ช่างกล้ามาก! ในขณะที่ผมกำลังจะชกเขาอีกครั้ง ก็ต้องล้มไปกองกับพื้นอยู่ข้าง

  • หย่า…มารักฉันเลย   บทที่ 94

    เขาถามฉันถึงเรื่องนี้และนั่นคือตอนที่ฉันค้นพบว่าตัวเองชอบการออกแบบเครื่องประดับจริง ๆ จากนั้นเขาหาหนังสือพวกนี้มาให้อ่านอีกหลายเล่มเมื่อวันเวลาผ่านไปจนเรามีอายุเพิ่มมากขึ้น ลูคัสก็เติบโตเป็นชายหนุ่มฉลาดเฉลียว และฉันก็พบว่าตัวเองไม่ได้มองเขาเป็นแค่เพื่อน แล้วเริ่มให้ความสำคัญกับรูปโฉมของตัวเองโดยไม่รู้ตัว ฉันตั้งตารอที่จะได้พบเขาและได้ใช้เวลากับเขาในทุก ๆ วันพอฉันมีอายุได้สิบหกปีฉันก็ค่อนข้างแน่ใจว่าตกหลุมรักเขาเสียแล้ว แล้วเขาก็ชอบฉันด้วย จริง ๆแล้ว ฉันแค่ไม่แน่ใจว่าเขาชอบฉันมากแค่ไหนเท่านั้น พออายุได้สิบเจ็ดปีฉันก็ได้จูบกับลูคัสเป็นครั้งแรกใต้ชั้นวางหนังสือ ที่เต็มไปด้วยหนังสือเกี่ยวกับการออกแบบเครื่องประดับที่เขาหามาให้ฉันตลอดหลายปีที่ผ่านมาเราเป็นคู่รักวัยใสที่มีความสุขมากระยะหนึ่ง จนกระทั่งสุขภาพของลูคัสเริ่มทรุดโทรมลง เขามักจะหมดสติอยู่เสมอ และฉันก็ได้พบเขาน้อยลงเรื่อย ๆ ในแต่ละวันที่ผ่านพ้นไปทุกครั้งที่เขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน ฉันก็จะไปเยี่ยมเขา ทันทีที่เขารู้สึกตัวและจ้องมองมาที่ฉัน เขาก็จะยิ้มและคำแรกที่เขาพูดก็คือ "ไม่เป็นไร"ฉันพยักหน้าตอบทุกครั้งแต่ฉันรู

  • หย่า…มารักฉันเลย   บทที่ 93

    ฉันใช้เวลาไม่นานนักก็เริ่มกินอาหารจนอิ่มแปร้ อาหารมีรสชาติอร่อยเหมือนถูกส่งลงมาจากสวรรค์ เมื่อเทียบกับอาหารขยะที่เรากินที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แล้วท้องที่โลภมากก็ร้องโครกครากมากขึ้นมีอาหารที่ตระเตรียมไว้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ ผัก นม ไวน์ สเต็ก… เรียกได้ว่าในครัวแห่งนั้นมีทุกสิ่งทุกอย่างจริง ๆ“เธอเป็นใคร?”ฉันตกตะลึงจนทำให้แอปเปิ้ลที่ฉันกินไปครึ่งลูกหลุดร่วงจากมือ ฉันค่อย ๆ หันไปเผชิญหน้ากับเด็กชายผมหยิกที่อยู่บนรถเข็น ถ้าไม่ได้อายุน้อยกว่าฉัน เขาก็คงแก่กว่าฉันหนึ่งหรือสองปีถึงแม้ฉันจะมีของกินอยู่เต็มปาก แต่ก็ยังยกมือขึ้นทักทายอย่างเคอะเขิน "สวัสดี" ฉันพึมพำออกไปเด็กชายคนนั้นจ้องมองฉันแล้วเลื่อนสายตาไปที่ลูกแอปเปิ้ลที่อยู่ในมือฉัน จนฉันต้องเอาไปซ่อนไว้ข้างหลังด้วยความอับอาย ฉันกวาดสายตาไปตามล้อรถเข็นของเขา“ฉันสัญญาและสาบานว่าจะไม่…” ฉันพูดออกไปแต่ก็หยุดชะงักเมื่อรถเข็นขยับ ตอนแรกฉันก็รู้สึกใจสั่นด้วยความกลัว จนกระทั่งเขานั่งรถเข็นผ่านฉันไป"เขากำลังทำอะไรน่ะ?” ฉันสงสัย เมื่อหันไปหาเขาก็เห็นเขากำลังเปิดตู้เย็น เขาหยิบกล่องนมออกมา แล้วเข็นรถตัวเองไปที่เคาน์เตอร์ที่อยู่

  • หย่า…มารักฉันเลย   บทที่ 92

    หลังจากมีคนรับฉันไปเลี้ยงเป็นครั้งแรกนั้น ฉันก็เริ่มจำหน้าผู้ปกครองและบ้านอุปถัมน์ไม่ได้เลย แต่ละครอบครัวที่ฉันเข้าไปอยู่ด้วยนั้นมักจะปฏิบัติต่อฉันไม่ดี แต่ก็ยังโชคดีและฉลาดพอที่จะหนีออกมาได้เสมอ มันเหมือนโดนพายุโหมกระหน่ำเมื่อเจ้าหน้าที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าดุด่าและลงโทษฉัน เพียงเพราะฉันประพฤติตัวไม่ดีกับพ่อแม่บุญธรรมหรือวิ่งหนีออกจากบ้านอุปถัมน์ และก่อนที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันก็ถูกรับไปเลี้ยงอีกครั้ง และถูกโยนไปอยู่กับครอบครัวอันแสนขมขื่นอีกครอบครัวหนึ่ง ฉันโชคไม่ดีที่ไม่เคยได้อยู่กับครอบครัวที่น่ารักและอบอุ่นเลยในที่สุด เจ้าหน้าที่ก็เกิดความเบื่อหน่ายที่ปล่อยฉันออกไป เพราะฉันมักจะกลับหรือถูกส่งตัวกลับมาเสมอ ดังนั้น พวกเขาจึงทิ้งฉันไว้ที่นั่น ถึงแม้ว่าจะมีใครบอกว่าต้องการรับฉันไปเลี้ยง แต่พวกเขาก็จะส่ายหัวแล้วพูดว่า "ขอโทษครับ เด็กคนนั้นไม่เหมาะจะไปอยู่ในความดูแลของคุณ"โดยส่วนตัวแล้ว ฉันชอบชีวิตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามากกว่า นอกจากอาหารแย่ ๆ ซึ่งบ้าเอ้ย อาหารที่แย่จริง ๆ และสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายแล้ว การอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก็ไม่ได้แย่อะไรนักหรอก สำหรับฉันแล้ว อย่างน้อยก็ยัง

DMCA.com Protection Status