ณ ท่าอากาศยานร้อยเอ็ด…. สายลมเย็น ๆ พัดโชยมาปะทะใบหน้าหวานหลังจากเธอก้าวขาลงจากเครื่อง ท้องฟ้าวันนี้ช่างปลอดโปร่งไร้เมฆฝนบ่งบอกถึงวันที่สดใสท่ามกลางบรรยากาศคึกคักของสนามบิน ก่อนร่างบางระหงจะก้าวขาเรียวสวยตรงมาที่อาคารผู้โดยสารขาเข้า ดวงตากลมโตสอดส่ายสายตามองหาบุคคลที่มารอรับเธอที่สนามบินประกอบกับหัวใจที่เต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ พลางคิดและจินตนาการไปต่าง ๆ นานาร้อยแปดพันอย่างถึงหน้าตาของคู่หมั้นที่พ่อแม่ตั้งใจจะจับเธอคลุมถุงชน (หนุ่มภูธรแบบนี้คงเป็นไปไม่ได้ที่จะหน้าตาดี ผมเผ้าก็คงจะรกรุงรังหรือไม่ก็หยิกเหมือนฝอยขัดหม้อ ผิวพรรณก็คงจะดำปี๋เหมือนคนเผาถ่าน เผลอ ๆ คนบ้านนอกคอกนาแบบนี้นมรัฐบาลก็คงจะเข้าไม่ถึงแน่ ๆ ตอนเด็ก ๆ ได้ดื่มนมบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ คงจะเป็นได้แค่ไอ้เตี้ยหมาตื่น แถมบ้านนอกแดดก็แรงอย่างกับเดินอยู่ในนรกขนาดนี้ กลิ่นตงกลิ่นตัวคงไม่ต้องพูดถึง รักแร้คงเหม็นเปรี้ยวน่าดู อี๋…แค่นึกก็ขมคอขึ้นมาแล้ว แหวะ !!) โรสรินทร์เดินไปพลางจินตนาการไปถึงรูปลักษณ์ของคู่หมั้นหนุ่มภูธร ก่อนจะสอดส่ายสายตามองหาบุคคลที่เธอนึกถึง วายุภัคยืนรอคอยใครบางคนที่เขาคิดถึงตลอดเวลาสิบกว่าปีมากว่าครึ่งชั่วโมงแ
ฉันกำลังยืนอยู่หน้ารถอีแต๋น รถอีแต๋นเป็นรถดัดแปลงจากรถไถนาประกอบด้วยที่นั่งไม้เรียบ ๆ สองแถว ด้านหน้ามีหลังคาผ้าใบกันแดด ส่วนกระบะด้านหลังน่าจะใช้สำหรับบรรทุกพืชผล อุปกรณ์การเกษตร หรือสินค้าทั่วไป เสียงเครื่องยนต์ดีเซลเก่าดังสนั่นขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเขาเหยียบคันเร่งขึ้นมาเหมือนจะเร่งเร้าให้เธอนั้นรีบขึ้นมากราย ๆ บรึ้นนนน บรื้นนนน!!! “ระ รอด้วย โรสนั่งรถอีแต๋นบ้า ๆ นี่ไปกับพี่ไวน์ด้วยก็ได้!!” พูดเพียงแค่นั้นโรสรินทร์ก็รีบปีนขึ้นไปนั่งบนเบาะไม้แถวหน้าข้างคนขับ บ่งบอกได้เลยว่าชีวิตสาวชาวกรุงของเธอต่อจากนี้คือการเริ่มต้นการผจญภัยบนรถอีแต๋น ยานพาหนะพื้นบ้านที่ใครหลาย ๆ คนคงมองว่าเรียบง่ายแต่เปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ แต่สำหรับเธอ….นี่มันรถหรือเกวียนลากกันแน่ ทั้งช้า ทั้งแข็ง ไม่นุ่มนวลกับผู้หญิงบอบบางแถมสวยเริศอย่างเธอเอาเสียเลย กว่าจะถึงทุ่งกุลาร้องไห้เธอจะไม่มดลูกพิการไปก่อนหรือไง “รถอีแต๋นอะไรของพี่เนี่ย ทำไมมันช้าอย่างกับเต่าคลานแบบนี้คะ กว่าจะไปถึงโน่นไม่ชาติหน้าเลยหรือไง” เสียงแหลมแสบแก้วหูดังก้องกังวานประสานกับเสียงเครื่องยนต์ขึ้นมา เมื่อเธอรู้สึกได้ว่านอกจากมันจะช้าแล้ว
พรึ่บบบ!! “อุ๊ย พี่ไวน์!!” แขนแข็งแกร่งคว้าหมับเข้าที่ตัวเธอไว้ได้ วายุภัคโอบกอดคนตัวเล็กเอาไว้แน่น ดวงตาคมกริบของเขาจับจ้องมองเธออย่างลึกซึ้ง พลางเผลอมองริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูที่เผยอขึ้นลงอย่างยั่วยวนโดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนเขาจะโน้มใบหน้าคมคายลงมาอย่างช้า ๆ โรสรินทร์หลับตาพริ้มลงทันทีก่อนจะ….. “อ้าว คุณไวน์คุณโรสมาฮอดแล้วบ้อครับ” (อ้าว คุณไวน์คุณโรสมาถึงแล้วเหรอครับ) มืดเด็กรับใช้ที่บ้านเอ่ยขึ้นขัดจังหวะทั้งสองคน ก่อนวายุภัคและโรสรินทร์จะรีบผละตัวออกจากกันอย่างอัตโนมัติทันที “อืม” เขาตอบด้วยน้ำเสียงห้วนสั้น “ละ แล่วคือเปียกปานลูกหมาตกน้ำจั่งสี้ครับคุณไวน์” (แล้วทำไมถึงเปียกเหมือนลูกหมาตกน้ำแบบนี้ล่ะครับคุณไวน์) มืดถามขึ้นอีกครั้ง พลางมองคนทั้งสองสลับกันไปมา “ล้างโคลนตมน่ะ มีอะไรทำก็ไปทำเถอะ เดี๋ยวฉันจะพาคุณโรสไปพบคุณแม่แล้ว” “ครับคุณไวน์ มืดขอโตไปก่อนเด้อครับคุณโรสคนสวย สวัสดีครับ” (ครับคุณไวน์ มืดขอตัวก่อนนะครับคุณโรสคนสวย สวัสดีครับ) ‘จะไปไหนก็รีบไปให้ไวเลยเถอะไอ้มืดมอดมิด แกเข้ามาดับฝันฉันทำไมก่อน นี่มันคือจูบแรกของฉันเลยนะ กำลังจะฟินแล้วเชียว’ โรสรินทร์ไ
แอ๊ดดดด…!! โรสรินทร์เปิดประตูห้องเข้าไปอย่างช้า ๆ พลางสอดส่ายสายตามองหาคนตัวโต ก่อนหัวใจดวงน้อย ๆ ของเธอจะเต้นรัวแรงขึ้นมาประกอบกับใบหน้าแดงก่ำ ร่างกายของเธอร้อนผ่าวราวกับไฟกำลังลุกโชนอยู่ภายใน ดวงตาของเธอเบิกกว้างจับจ้องไปที่ร่างกายแกร่งกำยำของชายหนุ่มตรงหน้า เธอเผลอมองอย่างลุ่มหลง และไม่สามารถที่จะละสายตาออกจากภาพเคลื่อนไหวตรงหน้านี้ได้ วายุภัคอาบน้ำเสร็จเขาใช้ผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่พันรอบเอวเอาไว้ หยดน้ำจากเส้นผมสีดำขลับไหลรินจากปลายผมไหลผ่านใบหน้าคมเข้มลงสู่ลำคอที่ขาวเนียนก่อนจะหยดลงสู่แผ่นอกกว้าง วายุภัคใช้ผ้าขนหนูสีขาวผืนเล็กเช็ดผมและใบหน้าอย่างคล่องแคล่ว กล้ามเนื้อแขนและหน้าอกของเขาตึงแน่น แผ่นหลังกว้างมีรอยสักรูปนกอินทรี รอยสักนั้นมันช่างดูดุดัน เข้มแข็ง แต่แฝงไปด้วยเสน่ห์ เขายังคงใช้ผ้าขนหนูเช็ดตัวอย่างเรื่อย ๆ กล้ามเนื้อทุกส่วนของเขาขยับไปมาอย่างมีเสน่ห์ชวนมอง เธอเผลอกัดริมฝีปากกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกมนต์สะกดให้มองภาพตรงหน้าแต่ทันใดนั้นเขาก็หันไปมองตัวเองผ่านหน้ากระจกใบโต ก่อนจะเบิกตาโพลงขึ้นมาทันทีเมื่อปรากฏเห็นภาพอีกคนสะท้อนอยู่ในกระจกใบนั้น วาย
เช้าวันใหม่…. เสียงไก่ขันปลุกให้ตื่นตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า โรสรินทร์ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้ามืดเพราะเมื่อคืนเธอหลับสนิทตั้งแต่หัววัน เช้าวันนี้เธอจึงรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเพราะได้นอนหลับเต็มอิ่ม ร่างบางรีบลุกจากที่นอนเพื่อไปอาบน้ำชำระร่างกายให้ตัวเองสดชื่น และแต่งตัวผลัดเปลี่ยนสื้อผ้าก่อนจะเดินออกมาด้านนอก เธอตั้งใจว่าเช้านี้จะเดินเที่ยวเล่นชมนกชมไม้บริเวณภายในรอบ ๆ โคกหนองนาแห่งนี้ โรสรินทร์สูดหายใจเอาอากาศที่บริสุทธิ์เข้าปอดลึก ๆ ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ อย่างรู้สึกโล่ง นี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่เธอได้สูดเอาอากาศที่บริสุทธิ์แบบนี้เข้าเต็มปอดเลยก็ว่าได้ ยามเช้าตรู่อากาศที่นี่เย็นสบายและปราศจากมลพิษ หมอกบาง ๆ ลอยอยู่เหนือพื้นดินประกอบกับท้องฟ้าสีครามสดใส เช้า ๆ แบบนี้บรรยากาศโดยรอบเงียบสงบได้ยินเพียงแค่เสียงนกร้องและเสียงไก่ขัน ดวงตากลมโตจ้องมองท้องฟ้าสีครามซึ่งสะท้อนลงบนผิวน้ำในหนองที่นิ่งสงบบนโคกดินที่สูงขึ้นจากพื้นราบ โดยรอบมีไม้ยืนต้นเรียงรายสลับกับพืชพรรณนานาพันธุ์ เสียงนกร้องเพลงขับกล่อม บรรยากาศต่างร่มรื่น อากาศเย็นสบาย โรสรินทร์จับจ้องไปที่แปลงผักสวนครัวที่เ
“ผมว่าคุณโรสไปล้างเท้าตรงโน้นก่อนดีกว่านะครับ” หมอณภัทรเอ่ยขึ้นพลางชี้นิ้วเรียวยาวไปตรงตุ่มใส่น้ำที่อยู่ใต้ต้นมะม่วง ก่อนโรสรินทร์จะรีบก้มลงไปมองที่เท้าของตัวเองซึ่งตอนนี้ขี้ควายติดเต็มเท้าของเธอไปหมด “อี๋ ขี้ควายเลอะเต็มเท้าเลยค่ะคุณหมอ” “ไปครับ เดี๋ยวผมช่วยล้าง” “ค่ะ” หมั่บ!! “อุ๊ย พี่ไวน์!!” เธอร้องขึ้นมาเสียงดังเมื่อจู่ ๆ วายุภัคก็เดินเข้ามากระชากแขนเธอแรง ๆ จนร่างบางเซถลาเข้าไปกระแทกกับอกแกร่งอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว “เดี๋ยวพี่พาไปล้างเอง หากให้ไอ้หมอพาไปมีหวังเดี๋ยวคนซุ่มซ่ามอย่างเธอได้หาเรื่องให้ไอ้หมอมันซวยไปด้วยอีก” พูดจบมือหนาก็จับข้อมือบางดึงกระชากแรง ๆ ให้เธอเดินตามไป “เบา ๆ สิวะไอ้ไวน์ เดี๋ยวคุณโรสได้ล้มหน้าทิ่มลงไปอีกหรอก” สัตวแพทย์หนุ่มเอ่ยขึ้นตามหลังในขณะที่ทั้งสองคนได้เดินออกไปแล้ว พลางส่ายหัวเบา ๆ อย่างระอาให้กับพฤติกรรมที่ส่อแววไปในทางหึงหวงของเพื่อน “เบิ่งท่าแล้ว…คุณไวน์คงสิหึงคุณโรสล่ะครับคุณหมอ” (ดูท่าแล้ว…คุณไวน์คงจะหึงคุณโรสล่ะครับคุณหมอ) นายมืดเอ่ยขึ้นพลางมองตามหลังของบุคคลทั้งสองที่เดินห่างออกไปแล้ว “นั่นน่ะสิ หึงขนาดนี้มันยังฟอร์มเย
ในเวลาเดียวกัน ขณะที่วายุภัคและโรสรินทร์นั่งรถออกไปในตัวเมือง… “เด็ก ๆ พวกนั้นออกไปกันแล้ว หวึ่งศรีเพิ่งโทรมารายงานฉันเมื่อกี้ และตอนนี้ฉันก็ให้คนของคุณสุพจน์ตามเด็ก ๆ พวกนั้นไปแล้ว” คุณนายสีดาแม่ของวายุภัคพูดกรอกผ่านปลายสายเมื่อโทรคุยกันกับคุณหญิงพิศมัยแม่ของโรสรินทร์ซึ่งเป็นเพื่อนสนิท “แล้วแผนที่พวกเราวางไว้มันจะสำเร็จเหรอสีดา” คุณหญิงพิศมัยเอ่ยขึ้น “ยังหรอก…เพราะความสำเร็จจริง ๆ คือการที่ลูกของเราต้องแต่งงานกันต่างหากล่ะ นี่มันเป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น ฉันแค่อยากทำให้พวกเขาทั้งสองรักและเป็นห่วงเป็นใยกัน” “นั่นสิเนอะ แต่เธอแน่ใจจริง ๆ เหรอสีดา ว่าแผนแบบนี้จะทำให้ลูก ๆ ของเราสนิทสนมกันมากขึ้น” พิศมัยเอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง “แน่ใจสิ !!” สีดาตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “งั้นก็จัดการตามที่เธอเห็นสมควรเลยแล้วกัน เธอจะทำยังไงก็ได้ให้ลูกทั้งสองของเรารักกันเร็ว ๆ จะได้แต่งงานมีหลานให้พวกเราอุ้มสักที” คุณหญิงพิศมัยพูดขึ้นอีกครั้งด้วยแววตาเป็นประกาย เพราะทั้งสองต่างฝันอยากจะเป็นคุณยายคุณย่าเต็มทีแล้ว แต่ลูกสาวและลูกชายทั้งสองคนก็ยังไม่มีวี่แววที่จะช่วยสานฝันให้คนแก่แบบพวกเธอไ
‘กรี๊ดดดดดดดด พ่อแก้วแม่แก้วมันเดินมาทางนี้แล้ว คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย บรรพบุรุษทั้งหลายของลูกช้างลูกม้าลูกกาลูกไก่ โปรดจงดลบันดาลให้ลูกรอดพ้นออกไปจากที่นี่ให้ได้ด้วยเถิด สาธุ’ “ไงจ๊ะ น้องสาว เก่งคักติมึงอีคนสวย!!” (ไงจ๊ะ น้องสาว เก่งนักเหรอมึงอีคนสวย) ชายแปลกหน้าคนหนึ่งพูดขึ้น พลางเดินเข้ามาหาเธออย่างเอาเรื่อง “ถอยไป!! พวกมึงสิไสหัวไปไสกะไปคั่นบ่อยากเจ็บโต!” (ถอยไป!! พวกมึงจะไสหัวไปไหนก็ไป ถ้าไม่อยากเจ็บตัว!) วายุภัคเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ประกอบกับนัยน์ตาที่ลุกโชนด้วยไฟโทสะ “นี่บรรพบุรุษของโรสเข้าไปสิงพี่แล้วหรือไง พี่ไปพูดแบบนั้นกับพวกมันทำไมกัน เดี๋ยวก็พากันเจ็บตัวหมดหรอก” เธอสบถออกมาอีกครั้ง “ถ้าจะเจ็บตัว ก็คงจะเจ็บตั้งแต่เธอไปปาเก้าอี้ใส่พวกมันแล้วไหม เธอนี่แหละตัวดีเลยยัยติ๊งต๊อง!!” วายุภัคอดที่จะพูดจาต่อว่าเธอไม่ได้ ก็ถ้าไม่ใช่เพราะเธอไปวุ่นวายปาเก้าอี้ใส่พวกมันก่อน เขาก็คงจะไม่ต้องมาเสียเวลาออกโรงแบบนี้หรอก “กะ ก็โรสตกใจหนิ” เธอบ่นอุบอิบขึ้นมาอีกครั้ง พลางก้มหน้างุดลงมองพื้นเมื่อรู้ว่าตัวเองนั้นเป็นคนผิด “ฮ่า ๆ คิดว่าพวกกูสิย่านสั้นติ บักหน้
โรสรินทร์กับวายุภัคมองสบตากันลึกซึ้งด้วยความรัก ก่อนใบหน้าคมคายจะค่อย ๆ โน้มลงมาประทับลงบนเรียวปากอวบอิ่มของเธอเบา ๆ ริมฝีปากร้อนฉ่าบดเบียดความนุ่มนิ่มของกลีบปากงามอย่างเนิบนาบ นุ่มนวล ส่งผ่านความรักด้วยการกดย้ำขบเม้มริมฝีปากเธออย่างหนักหน่วงด้วยความเร่าร้อนโหยหา “โรสเสียใจไหม ที่ต้องมาอยู่บ้านนอกคอกนากับพี่แบบนี้” เขาเอ่ยถามสีหน้าจริงจัง ดวงตาคมมีเครื่องหมายคำถามอยู่ในดวงตาที่กำลังสะท้อนทุกความรู้สึกออกมาโดยไม่ต้องเอ่ยปากพูด ก่อนคนที่ได้ยินคำถามนั้นจะยิ้มบาง ๆ และเอื้อมมือเรียวสวยไปจับมือใหญ่มากุมไว้ “โรสยินดีและเต็มใจที่จะอยู่ที่นี่กับพี่ไวน์ค่ะ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน หากที่นั่นมีพี่ไวน์อยู่ด้วยโรสก็อยู่ได้ค่ะ” คำตอบของเธอเรียกรอยยิ้มกว้างจากเขาได้เป็นอย่างดี “พี่รักโรสนะครับ รักมากด้วย” วายุภัคเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังและหนักแน่น ก่อนจะค่อย ๆ โน้มตัวลงมาจูบริมฝีปากอวบอิ่มตรงหน้า ดวงตาคู่นั้นของเธอมองมาที่ริมฝีปากของเขาที่เลื่อนเข้ามาใกล้ ๆ รู้ตัวอีกทีเธอก็หลับตาลงอัตโนมัติก่อนจะสัมผัสถึงรสจูบ มันเป็นจูบที่แผ่วเบา นุ่มนวล อ่อนโยน ก่อนจะค่อย ๆ ทวีความลุ่มลึกร้อนแรงมากขึ้นเรื
สองเดือนผ่านไป… วันแต่งงาน (งานกินดอง) “อร๊ายยยยย วันนี้คุณไวน์หล่อม๊ากกกค้า หล่อจนพอลล่านี่อยากจะดื่มไวน์แดงเลยค่ะ คริคริ” เมื่อขบวนขันหมากของเจ้าบ่าวใกล้เข้ามาแล้ว พอลล่าตะโกนขึ้นมาเสียงดังด้วยความตื่นเต้น พลางหัวเราะคิกคักชอบใจหลงใหลในความหล่อเหลาบาดใจของเจ้าบ่าวป้ายแดง ที่แค่มองจากไกล ๆ รัศมีความหล่อก็แผ่กระจายไปทั่วทั้งทุ่งกุลาร้องไห้ “น้อย ๆ หน่อย นั่นมันผัวเพื่อนไม่ใช่ผัวแกนังพอลล่า” กชกรเอ่ยขึ้นอย่างนึกหมั่นไส้ที่เพื่อนชายใจเป็นหญิงรู้สึกจะดี๊ด๊าชื่นชมเจ้าบ่าวผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นผัวเพื่อนอย่างออกหน้าออกตา “ผัวเพื่อนก็เหมือนผัวเรานั่นแหละย่ะ คริ คริ” “แล้วนี่ฉันไม่สวยเลยหรือไงยะ หัดชมเพื่อนแกบ้างก็ได้นะ นี่ขนาดวันนี้ฉันแต่งตัวสวยสุด ๆ แล้วยังไม่เห็นแกคิดจะชมเลยสักคำ ชิส์!” โรสรินทร์พูดแซะขึ้นมาบ้างอย่างหมั่นไส้ “แกก็สวยทุกวันอยู่แล้วค้านังโรส ต่อให้ไม่แต่งแกก็สวยย่ะ แต่…วันนี้พี่ไวน์ผัวแกหล่อมากจริง ๆ นะ หล่อเวอร์วังถูกใจพอลล่ามาก อ๊ายยยย พอลล่าอยากกินไวน์แดงแท่งใหญ่ ๆ!!” “พอ ๆ ๆ เลย ไวน์แดงมันไม่ได้มีเป็นแท่งเหมือนไอติมหรอกนะยะ เลิกสนใจผัวเพื่อนได้แล้ว อย่าง
ช่วงสายวันต่อมา…. “ตื่นได้แล้วนะครับ” “อื้อ…ตื่นไม่ได้ โรสง่วง..!” “แต่นี่มันเที่ยงแล้วนะครับ” มือหนาสะกิดปลุกคนขี้เซาที่ยังคนนอนหลับตาพริ้มอย่างสบายอยู่ในอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นราวกับเป็นลูกแมวขี้เซา ยิ่งเวลาเธอหลับแบบนี้เธอก็ยิ่งดูน่ารัก ทำเอาดวงตาคมกริบจ้องมองจนแทบไม่อยากจะละสายตาออกจากใบหน้าหวาน “อื้อ…” เจ้าของร่างบางขยับตัวออกจากอ้อมกอดของเขาเล็กน้อย ก่อนที่จะเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้า ๆ และกระพริบตาถี่ ๆ เพื่อไล่แสง “พี่ไวน์!! ออกไปเลยนะคะ ไม่ต้องมาใกล้โรส!!” เธอรีบแหวใส่เขาขึ้นมาทันทีเมื่อเริ่มจะจับต้นชนปลายทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ ก่อนจะพยายามเบี่ยงตัวหลบออกจากอ้อมแขนแกร่งที่โอบกอดเธอเอาไว้ “จะให้ออกไปไหนล่ะ ก็นี่มันบ้านของพี่” ดวงตากลมโตหันไปมองภายในรอบ ๆ ห้องซ้ายทีขวาที และ…ที่นี่มันก็ไม่ใช่ห้องของเธอจริง ๆ “งั้นก็ปล่อยค่ะ โรสจะออกไปจากที่นี่เอง!!” เธอเอ่ยขึ้นพลางแกะมือหนาที่ยังคงโอบกอดเธอไว้แน่นราวกับคีบเหล็ก แต่มันก็หาเป็นผลไม่ “ปล่อยให้โง่สิครับ ไม่ปล่อย!” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างหน้าด้าน ๆ ยัยแม่มดตัวแสบพอหมดฤทธิ์ของแอลกอฮอล์แล้วตื่นขึ้นมาก็เลยแผลงฤทธิ์เดช
สองมือหนาจับขาทั้งสองข้างของเธอแยกออกจากกัน ก่อนจะจ่อแท่งร้อนเข้าไปในร่องรักอันคับแน่นของคนใต้ร่าง วายุภัคมองใบหน้าหวานของโรสรินทร์ที่น้ำตาเอ่อคลอ ก่อนจะค่อย ๆ ดันปลายหัวเห็ดแดงก่ำเข้าไปในร่องคับแคบนั้นอย่างช้า ๆ “อ่าส์…แน่นมาก” “อึก ระ โรสเจ็บ” โรสรินทร์ร้องออกมาเมื่อเธอรู้สึกเจ็บ อีกทั้งความคับแน่นนี้มันยังคงแน่นเหมือนเดิมเหมือนครั้งแรก วายุภัคเองถึงกับต้องซี๊ดปากเบา ๆ เมื่อช่องทางรักของเธอบีบรัดท่อนเนื้อของเขาจนรู้สึกเจ็บเช่นเดียวกัน เขาพยายามดันท่อนเอ็นขนาดใหญ่เข้าไปให้สุด ก่อนเขาจะเริ่มขยับสะโพกสอบเข้าออกเมื่อภายในของเธอเริ่มปรับสภาพกับความใหญ่โตของเขาได้ ท่อนเอ็นที่กำลังผลุบเข้าผลุบออกในร่องสวาทนั้นทำให้คนใต้ร่างเริ่มรู้สึกเสียว “อะ อื้อออ โรสจุก!!” หน้าอกอวบใหญ่เริ่มกระเพื่อมขึ้นลงตามแรงกระแทกกระทั้น มือเรียวขยำผ้าปูที่นอนเอาไว้แน่นเมื่ออีกคนกระแทกเข้าใส่อย่างหนักหน่วง ปั่ก ปั่ก ปั่ก!! เสียงเนื้อกระทบกันเป็นจังหวะเมื่อเขาเริ่มขยับสะโพกแรงขึ้น หนักหน่วงขึ้น โรสรินทร์เม้มปากเอาไว้แน่นเพื่อพยายามข่มเสียงครางอันน่าเกลียดของตัวเองไม่ให้มันดังเล็ดลอดออกมา “อ๊าส์…พูดมาสิ
“ถึงคุณไวน์จะเป็นผัวยัยโรสเพื่อนของพวกเราก็เถอะ ยังไงเกรชกับพอลล่าก็ไม่มีทางปล่อยให้ยัยโรสไปกับผู้ชายโลเลแถมยังกระล่อนปลิ้นปล้อนอย่างคุณไวน์ได้หรอกค่ะ ในเมื่อยัยโรสเพื่อนของพวกเราบอกว่าเลิกกับคุณไปแล้ว พวกเราไม่ปล่อยให้ยัยโรสกลับไปกับคุณได้แน่ ๆ” กชกรเอ่ยขึ้นเสียงแข็ง “ใช่ค่ะ คุณมันเป็นผู้ชายแบบไหนกันคะคุณไวน์ คุณมีคนรักอยู่แล้วยังมาหลอกฟันยัยโรสเพื่อนพวกเราอีก!!” คิ้วหนาของวายุภัคเลิกขึ้นพร้อมขมวดเข้าหากันเป็นปม “ผมไม่เคยทำอะไรแบบนั้นนะครับ ผมไม่เคยคิดแม้แต่จะหลอกอะไรโรสรินทร์” น้ำเสียงเรียบนิ่งของเขาเอ่ยขึ้น “ยัยโรสเป็นคนบอกกับพวกเราเอง ว่าคุณมีคนรักอยู่แล้ว แต่ก็ยังมาหลอกเอามันอีกตั้งหลายน้ำ แถมวันก่อนยังพาแฟนไปซื้อแหวน สวมแหวนให้ผู้หญิงคนนั้นต่อหน้าต่อตายัยโรส!!” “ใช่ เพราะฉะนั้นคุณจะมาพายัยโรสกลับไปไม่ได้ เด็ดขาด พวกเราเป็นเพื่อนรักที่รักที่สุดของยัยโรส ยัยโรสต้องจะกลับไปกับพวกเราเท่านั้น!!” พอลล่าพูดขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ อีกทั้งยังยืนยันนอนยันตีลังกายันเสียงแข็งหนักแน่น ก่อนจะพยายามเดินเข้าไปคว้าเอาตัวโรสรินทร์เพื่อนสาวที่สลบไปเพราะเมาหนักให้ออกจากอ้อมแขนแกร่งของวาย
“เอาน่า…อย่าร้องไปเลย สวย ๆ รวย ๆ และแถมซาดิสม์อย่างแกหาใหม่ได้สบายอยู่แล้วเพื่อนเลิฟ เดี๋ยวฉันจะจัดน้อง ๆ ทีเด็ดมาเลียแผลใจที่เหวอะหวะของแกให้เอง หรือถ้าแกเผลอถูกใจจะควงไปเลียอย่างอื่นกันต่อก็ได้นะยัยโรส!!” กชกรเอ่ยขึ้นพลางกอดปลอบประโลมเพื่อน “อร๊ายยยย แกเนี่ยพูดถูกใจฉันจริง ๆ นังเกรช! สวยระดับนี้มีเหรอใครจะไม่อยาก เพื่อนฉันน่ะสวยแซ่บสะท้านทรวงนะบอกเลย!” พอลล่าเข้ามาปลอบใจเธอเช่นกัน ก่อนที่กชกรจะหันไปเป็นเชิงส่งซิกอะไรบางอย่างให้กับพนักงานในร้านเรียกบรรดาหนุ่มโฮสต์หล่อ ๆ ล่ำ ๆ ให้เข้ามาดูแลเทคแคร์เพื่อนสาว “ทางนี้จ้าเด็ก ๆ มาเร้ววววว!!” แค่เพียงไม่นานบรรดาเหล่าหนุ่มโฮสต์หล่อ ๆ ล่ำ ๆ มัดกล้ามแน่น ๆ ซิกแพคเป็นลอน ๆ แถมยังนุ่งน้อยห่มน้อยก็ได้เดินเข้ามายืนเรียงรายในห้อง VVIP ที่สามคนนั้นอยู่ แต่ละคนต่างหน้าตาหล่อล่ำ กล้ามแน่น เรียกให้น้ำลายพอลล่าและกชกรแทบจะไหลยืดออกมาราวกับเป็นโรคพิษสุนัขบ้าอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่กับโรสรินทร์เพราะเธอมองผู้ชายหุ่นล่ำกล้ามโตพวกนี้ด้วยใบหน้าเรียบเฉยเหมือนคนไม่มีความรู้สึก เพราะเรื่องหล่อล่ำกล้ามแน่นบรรดาผู้ชายพวกนี้สู้พี่วายวอดไม่ได้สักคนเลยด้วยซ้ำ
“เอ่อ…ที่ผมมาวันนี้ก็เพราะเรื่องของน้องโรส คุณอาทั้งสองคงพอจะทราบเรื่องแล้ว” วายุภัครีบพูดถึงประเด็นของเรื่องราวที่เกิดขึ้น “อืม อาเองก็พอจะทราบเรื่องแล้ว ยังไงหลานชายเองก็อย่าไปถือสาน้องเลยนะ ยัยตัวแสบลูกสาวอาก็เป็นแบบนี้แหละ ยัยโรสเป็นคนค่อนข้างใจร้อนและเอาแต่ใจไปหน่อย นี่อาก็อุตส่าห์บังคับให้ยัยโรสไปปรับทัศนคติที่โคกหนองนาแล้วนะ ไอ้เราก็คิดว่าจะดีขึ้นและเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แต่ที่ไหนได้กลับไม่ได้เรื่อง เฮ้อ!” ท่านสุรพลถอนหายใจออกมาเบา ๆ พลางส่ายหัวให้กับลูกสาวตนเองอย่างเอือมระอา “ยังไงผมก็ต้องกราบขอโทษคุณอาทั้งสองจริง ๆ นะครับ ที่เป็นต้นเหตุทำให้น้องต้องหนีกลับมากรุงเทพปุบปับแบบนี้” วายุภัคลงไปนั่งกับพื้นแล้วก้มลงกราบแทบเท้าของท่านสุรพลและคุณหญิงพิศมัยอย่างรู้สึกผิด ก่อนท่านสุรพลจะใช้มือหนาแตะไปที่บ่าแกร่งบึกบึนของเขาเป็นการยอมรับการกราบขอโทษและสำนึกผิดจริง ๆ “เมื่อทุกอย่างลงตัวแล้วหลังจากนี้ผมอยากจะขออนุญาตคุณอาทั้งสอง พาคุณพ่อคุณแม่มาทาบทามสู่ขอน้องตามธรรมเนียมอย่างสมเกียรติอีกที…ได้หรือไม่ครับ” น้ำเสียงหนักแน่นที่เอ่ยขอออกไปอย่างตรงไปตรงมาประกอบกับสีหน้าและแววตาที่จริงจ
ณ สนามบินดอนเมือง… “ยัยโรส ทางนี้!!” กชกรร้องตะโกนขึ้นมาเสียงดัง พลางโบกไม้โบกมือไปมาเมื่อเห็นเพื่อนสาวคนสนิทเดินออกมาจากประตูฝั่งผู้โดยสารขาเข้า “ยัยเกรช! ฮือ…ฉันคิดถึงแกมากเลย” โรสรินทร์รีบโผเข้าหาอ้อมกอดของเพื่อนสนิททันทีที่เดินมาถึง “ไม่ต้องมาปากหวานเลย ไปอยู่บ้านนอกตั้งเดือนกว่า ๆ ฉันนึกว่าแกจะลืมเพื่อนอย่างพวกฉันไปแล้วซะอีก หลังจากวันนั้นแกก็ไม่คิดจะโทรกลับมาหาฉันกับพอลล่าบ้างเลยนะยะ!” กชกรเอ่ยขึ้นอย่างกระเง้ากระงอด “นี่ฉันไปอยู่ร้อยเอ็ดแค่แป้บเดียวเอง แกนี่กลายเป็นคนแก่ไปแล้วเหรอเนี่ย” “อะไร ใครแก่ยะ” กชกรรีบพูดแหวขึ้นมาทันควัน “ก็ขี้น้อยใจเป็นคนแก่ไปได้ไง ถึงฉันไม่ได้โทรหา แต่ฉันก็ส่งข้อความไลน์หาพวกแกทุกวันไหม!!” “เออ นั่นสินะ คิกคิก” กชกรหัวเราะคิกคักขึ้นมา ก่อนเสียงหัวเราะร่านั่นจะเงียบลงเมื่อสังเกตเห็นใบหน้าสวยหวานของเพื่อนสนิทดูแปลกไป ดวงตาคู่สวยนั้นบวมช้ำเหมือนคนที่เพิ่งจะผ่านการร้องไห้มาหมาด ๆ “ยัยโรส แกเป็นอะไรรึเปล่าเนี่ย ทำไมตาแกถึงได้ดูบวม ๆ แดง ๆ เหมือนคนเพิ่งร้องไห้มาเลยล่ะ” กชกรถามขึ้นอย่างห่วงใย พลางจ้องเพื่อนสนิทเพื่อรอฟังคำตอบ “ไว้เดี๋ยวจ
“โรสรินทร์!!” น้ำเสียงเข้มเอ่ยชื่อเธอขึ้น “ไหนพี่ไวน์บอกจะเข้าไปเคลียร์งานที่ร้านแทนลุงพจน์ไงคะ แล้วนี่ทำงานคงจะเหนื่อยมากเลยสินะคะ เลยพาผู้หญิงออกมาซื้อแหวนเล่นแก้เหนื่อยแก้เบื่อ” สองขาเรียวของเธอเดินย่างกรายเข้าไปหาเขาอย่างใจเย็น เพียงแค่เธอเดินผ่านประตูร้านเครื่องประดับสุดหรู ภาพของชายหนุ่มกับหญิงสาวสวยร่างสูงหุ่นดีราวกับนางแบบ ที่กำลังค่อย ๆ บรรจงสวมแหวนให้กันราวกับคู่รักได้เรียกความสนใจให้เธอหยุดยืนจ้องมองภาพของพวกเขาทั้งสองได้เป็นอย่างดี เธอยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นราวกับคนเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ และตอนนี้เธอก็รู้สึกว่าทำไมพวกเขาสองคนถึงได้ดูเหมาะสมกันขนาดนี้นะ แต่แล้วจู่ ๆ เธอเองกลับรู้สึกน้อยใจเขาขึ้นมาเอาเสียดื้อ ๆ ทั้ง ๆ ที่เธอเองยังไม่เคยรู้ถึงความรู้สึกของเขาที่มีต่อเธอเลย แม้แต่บอกรักบอกชอบเธอเขาก็ไม่เคยพูดมันออกมาเลยสักครั้ง มีแค่เพียงเธอเท่านั้นที่รู้สึกว่าหลงรักเขาอยู่ฝ่ายเดียว “มะ มันไม่ใช่อย่างที่คิดเลยนะครับ” เขารีบพูดปฏิเสธขึ้นมาอย่างร้อนรน “คงพาแฟนมาซื้อแหวนสินะคะ?” เธอก็แค่พูดมันออกไปอย่างที่ใจนึกคิด เพียงแค่นั้นหัวใจดวงน้อย ๆ ของเธอก็เริ่มหวั่น เมื่อคิดว่า