ไม่รู้ว่าเวลาผันผ่านไปนานเท่าไร หลินจื่อเยว่รู้สึกขึ้นอีกครั้งพร้อมกับอาการปวดที่แล่นริ้วไปทั่วสรรพางค์กาย ความเจ็บปวดที่ได้รับไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ถูก แขนขาก็ขยับไม่ได้ หญิงสาวจึงคิดไปว่า มันน่าจะเป็นผลมาจากแรงอัดของระเบิดที่เกิดขึ้น นางค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ ทว่ากลับพบเข้ากับสีเขียวของใบไม้มากมายที่อยู่เบื้องหน้า ซึ่งมันไม่น่าจะเป็นแบบนั้นได้
ก่อนที่สติสุดท้ายจะดับวูบไป หลินจื่อเยว่จำได้ว่าแรงระเบิดที่ห้องทดลองนั้นรุนแรงพอสมควร เธอเห็นร่างนักวิจัยรุ่นน้องกระเด็นไปอีกทาง เช่นนั้นเมื่อตื่นมาสิ่งที่นางต้องเจอถ้าไม่ใช้ฝ้าเพดานสีขาวของโรงพยาบาล ก็น่าจะต้องเป็นเศษซากของห้องทดลอง ทว่าสิ่งที่เห็นอยู่ตอนนี้มันห่างไกลจากสิ่งที่คิดเอาไว้ไปมาก หลินจื่อเยว่หลับตาลงอีกครั้ง เพราะตอนนี้ความเจ็บปวดทำให้นางรู้สึกทรมานอย่างที่ไม่อาจทนได้ไหว อาศัยความเป็นหมอที่มีความสามารถทั้งในเรื่องการแพทย์แผนโบราณและแผนปัจจุบันประเมินอาการตัวเอง ซึ่งทำให้พอรู้ว่าแขนขาที่ขยับไม่ได้น่าจะเพราะหัก ทว่ารุนแรงแค่ไหนนางก็ไม่รู้ได้ และสิ่งที่นางควรทำในตอนนี้คือหาคนช่วย นางพยายามกดข่มความเจ็บปวดเอาไว้แล้วพยายามเปล่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ หวังใจว่าคงมีใครผ่านมาได้ยินบ้าง “ชะ...ช่วย...ช่วยด้วย ช่วย...ช่วยฉันด้วย” น้ำเสียงแหบแห้งช่างเบาหวิว และทันทีที่นางเปล่งเสียง ราวกับมันไปกระตุ้นความเจ็บปวดให้ลุกโหมขึ้นมาอีก เรียวปากอิ่มที่ยามนี้ซีดขาวราวกระดาษเม้มเข้าหากันแน่น กระนั้นก็ยังพยายามร้องให้คนช่วยอยู่ หลินจื่อเยว่ร้องขอให้คนช่วยเรื่อย ๆ แม้ความเจ็บปวดจะทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ ก็ตาม สวบ~ สวบ~ ขณะที่กำลังจะร้องให้คนช่วยอีกครั้ง พลันก็ได้ยินเสียงคล้ายคนเดินอยู่ไม่ไกลมากนัก หลินจื่อเยว่จึงรวบรวมแรงฮึดสุดท้ายแล้วเปล่งเสียงร้องให้ดังขึ้นกว่าเดิม อีกด้านหนึ่งกลุ่มชาวบ้านหญิงชายสี่ห้าคน ซึ่งหนึ่งในนั้นมีสองป้าหลานแซ่อวิ๋นรวมอยู่ด้วยเดินออกมาจากในป่าเพื่อกลับเข้าหมู่บ้าน “ท่านป้า ได้ยินเสียงหรือไม่ขอรับ” อวิ๋นโม่กระตุกชายเสื้อผู้เป็นป้าเมื่อได้ยินเสียงคล้ายกับคนร้อง “ได้ยินสิ เสียงใบไม้ที่เจ้าเหยียบนี่ไง” อวิ๋นหลานเอ่ยตอบหลานชายวัยสิบสองหนาวด้วยท่าทีขบขัน “ไม่ใช่ขอรับ เสียงคนขอรับ” สิ้นเสียงของอวิ๋นโม่ อว็นหลานรวมถึงเพื่อนบ้านอีกสามคนต่างหยุดชะงักแล้วหันมองหน้ากัน ก่อนจะหันมองไปทางอวิ๋นโม่อีกครั้ง ซึ่งอวิ๋นโม่ก็พยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงยืนยันคำพูดของตัวเอง “ชะ...ช่วย...ช่วยด้วย” เสียงร้องขอความช่วยเหลือแว่วมาตามลมเบา ๆ ทำให้ทั้งห้าคนหันมองไปรอบ ๆ “เอ๋ นั่นเสียงคนใช่ไหม พวกเจ้าฟังสิ” หญิงคนหนึ่งในกลุ่มเอ่ยขึ้น เพราะนางมั่นใจว่านางมิได้หูแว่วหูฝาดเป็นแน่ “ข้าก็ได้ยิน แต่เสียงมาจากทางใดกันเล่า” หลังบุรุษหนุ่มวัยสี่สิบหนาวพูดจบ ทุกคนก็เงียบลงอีกครั้งเพื่อที่จะได้รู้ทิศทางที่มาของเสียงนั้น “ชะ...ช่วย...ช่วยด้วย” “ทางนั้นขอรับท่านลุง ท่านป้า ทางนั้น” อวิ๋นโม่ชี้ไม้ชี้มือไปทางทิศหนึ่ง ทั้งห้าคนเดินไปตามทิศทางที่อวิ๋นโม่บอก ก่อนจะพบกับร่างอรชรในอาภรณ์สีขาวราวกับพวกบัณฑิต เสื้อผ้าขาดวิ่นคาดว่าคงเพราะโดนกิ่งไม้เกี่ยว ใบหน้ามีบาดแผลเล็กน้อย พร้อมกับแขนขาที่มีบางส่วนผิดรูปไป “เจ้าดูซิอาโม่ว่า นางยังหายใจอยู่หรือเปล่า” อวิ๋นโม่พยักหน้ารับก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ ๆ แล้วยกมือขึ้นใช้ก้านนิ้วอังไปตรงจมูก ก่อนจะชักกลับด้วยความตกใจ เมื่อจู่ ๆ ร่างตรงหน้าก็เอ่ยพูดออกมา “ชะ...ช่วย...ช่วยด้วย ช่วย...ช่วยฉันด้วย” น้ำเสียงแหบแห้งและเบาราวกับกระซิบ กระนั้นอวิ๋นโม่ที่อยู่ใกล้มาก ๆ ก็ยังได้ยินมันอย่างชัดเจน “ท่าน...ท่านป้า นางยังมิตายขอรับ” เมื่อได้ยินเช่นนั้นทุกคนจึงเดินเข้ามาดูใกล้ ๆ ก่อนจะตัดสินใจพานางกลับไปยังหมู่บ้านเสียก่อน อย่างน้อย ๆ ก็รอให้นางฟื้นคืนสติดี จะได้ถามไถ่ที่มาที่ไป และเหตุใดจึงมานอนเจ็บอยู่ที่ตรงนั้นหมู่บ้านเหลิ่งซาน
ภายในหมู่บ้านที่เงียบสงบ บัดนี้ชาวบ้านต่างพากันยืนออล้อมวงมุงอยู่บริเวณหน้าบ้านป้าหลานแซ่อวิ๋น เพราะเหตุการณ์เช่นที่มีการพาคนแปลกหน้าเข้ามาในหมู่บ้านแห่งนี้มีไม่บ่อยนัก เนื่องจากเป็นหมู่บ้านปิด ยิ่งรู้ว่าคนแปลกหน้าเป็นสตรีด้วยแล้ว ทุกคนจึงให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เช่นเดียวกันกับผู้นำหมู่บ้านเดินทางมาที่บ้านสองป้าหลานแซ่อวิ๋น หลังจากรับรู้ว่าลูกบ้านซึ่งเข้าไปหาของป่าพบเจอสตรีแปลกหน้าบาดเจ็บ และพากลับเข้ามาในหมู่บ้านเหลิ่งซาน ซึ่งมีเหตุการณ์เช่นนี้ไม่บ่อยนัก โดยที่พวกเขาให้สตรีผู้นั้นพักอาศัยที่บ้านของป้าหลานแซ่อวิ๋น “ป้าอวิ๋น เรื่องเป็นมาเช่นไรเล่า” ผู้นำหมู่บ้านเอ่ยถามขึ้นพลางมองไปยังร่างบางที่นอนไม่ได้สติอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ “พวกข้าไปพบนางที่ตีนเขาเจ้าค่ะ เห็นนางเจ็บหนักก็นึกสงสาร ตั้งใจว่าพอนางฟื้นค่อยให้นางออกไปเจ้าค่ะท่านผู้นำ” “อืม ดูแล้วน่าสงสารจริง และคงเจ็บหนักไม่น้อย แต่อย่างไรป้าอวิ๋นก็ระวังตัวด้วย แม้นางจะเป็นสตรี หากแต่ก็แปลกหน้าแปลกตา อย่าได้ไว้ใจ พวกเจ้าก็ช่วยเป็นหูเป็นตาด้วยเล่า” ปลายประโยคผู้นำหมู่บ้านหันไปบอกลูกบ้านที่ต่างมามุงดูอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล การปรากฏตัวของหลินจื่อเยว่ทำให้ชาวบ้านที่สงสัยใคร่รู้ต่างพากันมาดู บ้างก็นำสมุนไพรมาให้สองป้าหลานแซ่อวิ๋นใช้รักษาคนเจ็บ“หน้าตาผิวพรรณพี่สาวดูดี ไม่เหมือนชาวบ้านเช่นเรานะขอรับท่านป้า” อวิ๋นโม่หันไปคุยกับผู้เป็นป้า
“ข้าก็คิดเช่นนั้น เสื้อผ้าที่นางสวมเป็นผ้าแพรมีราคา คงเป็นคุณหนูจากที่ไหนสักที่” “คุณหนูสูงศักดิ์จะเข้าป่ามาทำไมกันเล่าท่านป้า ท่านช่างเลอะเลือนโดยแท้” “หน็อย อาโม่ เดี๋ยวนี้เจ้าไม่เห็นแก่หัวหงอกหัวดำแล้วสินะ” สองป้าหลานนั่งทานอาหารไปด้วยกัน โดยระหว่างที่หญิงสาวปริศนายังไม่ฟื้น อวิ๋นหลานและอวิ๋นโม่ก็คอยดูแลนางเป็นอย่างดีผ่านไปร่วมสามวันที่หลินจื่อเยว่หมดสติไป นางค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาช้า ๆ ก่อนจะพบใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ดูก็รู้ว่าคงอายุยังมิถึงสิบห้า“พี่สาวตื่นแล้วหรือขอรับ พี่สาวหลับไปนานจนข้ากับท่านป้าเป็นกังวลเลยนะขอรับ”“นะ...น้ำ ขอน้ำ” เพราะรู้สึกว่าภายในลำคอแห้งผากคล้ายมีทรายละเอียดอยู่ในนั้น หลินจื่อเยว่ที่เพิ่งได้สติก็ร้องหาน้ำเปล่าทันทีอวิ๋นโม่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็กระวีกระวาดไปตักน้ำมาให้ พลางค่อย ๆ ประคองป้อนเหมือนที่เห็นผู้เป็นป้าทำก่อนหน้านี้ เพราะแม้ว่าหญิงสาวตรงหน้าจะไม่ฟื้น ทว่าอวิ๋นหลานก็คอยป้อนน้ำให้อยู่ตลอด แค่ก แค่กหลินจื่อเยว่พยายามประคองตัวเองนั่ง พลางกวาดตามองไปรอบ ๆ เรือนไม้ด้วยความงุนงง ช่วงที่หลับไป นางได้ฝันเห็นสตรีผู้หนึ่งซึ่งมีใบหน้าละม้ายคล้ายตน แต่รูปร่างเล็กกว่า ทั้งเส้นผมของสตรีผู้นั้นก็ยาวกว่านาง ซึ่งสตรีในความฝันทำเพียงยืนส่งยิ้มให้กับนาง ก่อนจะค่อย ๆ จางหายไป ก่อนที่นางจะเห็นเรื่องราวต่าง ๆ ของสตรีผู้นั้นชัดเจนหลินจื่อเยว่หันมองไปทางเด็กหนุ่มอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดออกมา พลันนั้นก็ได้กลิ่นสมุนไพรบรรเทาปวดที่โชยพัดเข้ามาเตะปลายจมูก ทำให้นางรู้ว่าความรู้ติด
ห่างออกไปไกลเป็นพันลี้ ที่ตั้งเมืองหลวงแคว้นเว่ย ผู้คนเดินทางเข้าออกเมืองหลวงคึกคักรวมไปถึงคาราวานพ่อค้าที่นำสินค้ามาขาย เพราะแคว้นเว่ยขึ้นชื่อเรื่องความอุดมสมบูรณ์ และเป็นแหล่งค้าขายที่ได้ผลกำไรดีอีกด้วย แน่นอนว่าที่ประชากรชาวแคว้นเว่ยอยู่ดีมีสุขเช่นนี้เพราะหลักการปกครองที่เที่ยงธรรมของฮ่องเต้หลี่เซียน นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าลือกันไปทั่วทั้งยุทธภพนี้ว่า แคว้นเว่ยยังมีเซี่ยงซื่อ หนุ่มนามว่า ‘เซี่ยวจวิน’ บุรุษที่มิมีผู้ใดล่วงรู้ที่มาที่ไป หรือแม้แต่อายุจริงของเขาก็ยากจะคาดเดาได้เช่นกัน เล่าลือกันว่าเซี่ยงซื่อผู้นี้มากมีความสามารถทั้งในด้านการทำนาย ตลอดจนปราบปรามวิญญาณอาฆาตร้ายที่เข้ามากล้ำกลาย จนฮ่องเต้หลี่เซียนถึงกับเชื้อเชิญให้เข้าร่วมราชสำนัก เป็นหนึ่งในขุนนางคนสำคัญข้างกายพระองค์ และมิว่าเซี่ยงซื่อผู้นี้เอ่ยสิ่งใด ดูเหมือนว่าฮ่องเต้หลี่เซียน ผู้ที่ได้รับสมญานามว่าเป็นโอรสสวรรค์เชื่อหมดทุกคำพูด ท้องพระโรงภายในท้องพระโรงกว้างใหญ่ เหล่าขุนนางของราชสำนักต่างพากันเข้ามายืนเรียงแถวเพื่อประชุมหารือกับผู้เป็นประมุขแห่งแผ่นดิน โดยเบื้องหน้าสุดมีบุรุษวัยกลางคนในอาภรณ์สีทองอร่ามนั่งฟังการ
เมื่อได้ฟังคำถามนั้น เซี่ยวจวินก็ยกยิ้มขึ้นอ่อนจางพร้อมกับเดินกลับเข้ามาด้านใน แล้วนั่งลงที่โต๊ะ ซึ่งด้านบนมีกระดานที่บอกเล่าถึงชะตาความเป็นไปของบ้านเมืองและคนรอบข้างอยู่ มิได้พูดสิ่งใดต่อ พลางยกมือขึ้นโบกไล่ผู้ช่วยคนสนิทให้ออกไปจากห้อง ก่อนจะมองไปบนกระดานอีกแผ่นแล้วยกยิ้มออกมาอย่างที่น้อยคนนักจะได้เห็น เพราะโหรเซี่ยวในสายตาของคนรอบข้างนั้นมิต่างจากมนุษย์หินที่เย็นชา ไร้ความรู้สึก ด้วยเพราะไม่ว่าเจอกันยามใดใบหน้าหล่อเหลาคมคายก็มักจะนิ่งเรียบและสุขุมตลอดเวลาเซี่ยวจวินเข้ามาเป็นโหราจารย์คนสนิทประจำราชวงศ์หลี่ คอยทำหน้าที่ทำนายดวงชะตาบ้านเมือง ทำนายดวงชะตาของเหล่าสตรีในวังหลัง องค์ชาย และองค์หญิง รวมถึงเชื้อพระวงศ์ทั้งสายหลักและสายรอง อีกทั้งเป็นที่ปรึกษาส่วนพระองค์ของฮ่องเต้หลี่เซียนอีกด้วย กระนั้นเพราะมิมีผู้ใดล่วงรู้ว่า แท้จริงแล้วเซี่ยงซื่อผู้นี้อายุเท่าไรแล้ว จึงทำให้เป็นที่เลื่องลือไปทั่วยุทธภพถึงเรื่องราวของเซี่ยงซื่อหนุ่มที่สามารถทำนายเรื่องราวบ้านเมืองได้แม่นยำ อีกทั้งยังมีความรู้ความสามารถหลายหลากแขนงกระนั้นเซี่ยวจวินผู้นี้มีที่มาเช่นไรนั้น หาผู้ไขความกระจ่างแทบจะไม่มี เพราะ
หมู่บ้านเหลิ่งซาน วันเวลาผ่านไปร่วมเดือน หลินจื่อเยว่ยังคงพักรักษาตัวอยู่กับสองป้าหลานแซ่อวิ๋น โดยที่ระหว่างนั้นนางก็มิได้เอาแต่นั่ง ๆ นอน ๆ งานการใดที่นางพอจะทำได้ก็ช่วยเหลือทั้งสองอย่างเต็มที่ ท่อนขาที่หักเริ่มดีขึ้น กระดูกต่อสมานกันจนสามารถเดินในระยะใกล้ ๆ ได้โดยไม่ต้องใช้ไม้ค้ำพยุงตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่นางฟื้น กระนั้นหากยืนหรือเดินนานเกินไปก็ยังคงรู้สึกเจ็บจี๊ด ๆ อยู่บ้าง จนกระทั่งครบเดือน อาการปวดขาก็หายเป็นปกติ คนที่เป็นหมอมาทั้งสองภพสองชาติรู้อาการตัวเองดี และรู้ด้วยว่าอาการที่ดีขึ้นอย่างรวดเร็วนี้จะทำให้ชาวบ้านแปลกใจ แต่หากจะให้อธิบายคงหนีไม่พ้นถูกมองเป็นตัวประหลาดหรือไม่ก็ภูตผีวิญญาณร้ายเสียเป็นแน่ “แม่นางหลิน ขาเจ้าหายดีแล้วหรือจึงออกมาเดินข้างนอกเช่นนี้” เพื่อนบ้านที่อยู่ถัดไปสามหลังเอ่ยถามเมื่อเดินผ่านมาเห็น “ยังมิหายดีเจ้าค่ะท่านน้า เพียงแต่ระยะใกล้ ๆ ข้าพอจะเดินได้บ้างเจ้าค่ะ” หลินจื่อเยว่จำต้องปดออกไปคำโต เพื่อมิให้เป็นที่สงสัยมากไปนัก “อย่างนั้นหรือ แต่จะว่าไปเจ้าก็หายเร็วกว่าพ่อค้าเนื้อแซ่ผานที่ขาหักคราวก่อนอีกนะ หรือเจ้ามียาดีอันใดกัน” “จะว่ายาดีคงไม่ผิดนัก สมุน
หลินจื่อเยว่หยิบห่อขนแกะที่มีติดถุงผ้าออกมา ในนั้นมีเข็มเงินขนาดเล็กใหญ่มากมาย พร้อมกับโลหะสีเงินที่คล้ายมีด ทว่าขนาดเล็กกว่ามาก เมื่อนางหยิบมีดขึ้นมาพร้อมกับเปิดหน้าท้องของหญิงครรภ์แก่ออก ชาวบ้านต่างส่งเสียงเซ็งแซ่เพราะไม่เข้าใจวิธีการของนาง“แม่นางหลิน เจ้าจะทำอันใด จะผ่าท้องแม่นางคนนี้หรือ” สตรีนางหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าหวาดกลัว“หากมิผ่าท้องจะให้เอาเด็กออกมาอย่างไร ในเมื่อเด็กขวางท้องมารดา หัวอยู่ทิศเท้าอยู่ทาง มิได้อยู่ในตำแหน่งปกติเช่นนี้”ซึ่งเมื่อมองดูรูปท้องของหญิงครรภ์แก่ก็เห็นจริงดังหลินจื่อเยว่ว่า นางมิได้สนใจเสียงซุบซิบนินทา ด้วยเวลานี้สิ่งสำคัญคือการช่วยคน มือเรียวจัดแจงอุปกรณ์ทุกอย่างพร้อมสรรพ ก่อนจะใช้ยาระงับปวดคู่กันกับหวนโถวซ่าย ซึ่งเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ชาเฉพาะจุด ซึ่งหลังจากป้อนยาทั้งสองชนิดให้ หลินจื่อเยว่รอเพียงหนึ่งก้านธูปก็ใช้ปลายมีดกรีดลงบนหน้าท้อง มือของนางนิ่งและเบา ใช้เวลาไม่นานนักหลินจื่อเยว่ก็เอาตัวเด็กออกมา แล้วทำการเย็บแผลให้จนเรียบร้อย“แม่นาง ได้ยินข้าหรือไม่ แม่นางได้ลูกชาย น่าเกลียดน่าชังเชียวละ” หลินจื่อเยว่เอ่ยบอกหญิงสาวที่ยังมีใบหน้าซีดเผือดแต่มีร
เช้าวันต่อมาเรื่องราวที่หลินจื่อเยว่ทำการผ่าท้องหญิงครรภ์แก่ผู้นั้นก็รู้กันไปทั่วทั้งหมู่บ้าน ทำให้ยามเดินผ่านใคร ทุกคนก็ต่างมองมาที่นางด้วยแววตาเคลือบแคลงสงสัย กระนั้นหลินจื่อเยว่ก็มิได้ติดใจอันใด เลือกที่จะเดินขึ้นเขาไปหาสมุนไพรมาเตรียมปรุงยาต่อไป หลินจื่อเยว่เดินขึ้นเขามาเรื่อย ๆ หาเก็บสมุนไพรตามตำรับยาที่เขียนเอาไว้ ถึงแม้สมุนไพรบางตัวที่นำมาเป็นสายยาจะหน้าตาเหมือนในยุคที่นางจากมา ทว่าก็มีอีกหลายตัวที่นางไม่คุ้นเคย เช่นนั้นการมีสมุดบันทึกนี้ก็ช่วยนางได้ไม่น้อย ใช้เวลาไปครึ่งค่อนวันหลินจื่อเยว่ก็กลับมาที่บ้าน นำสมุนไพรที่หามาทำความสะอาด แล้วนำไปตากแดดเอาไว้นอกชานเรือน หากมิเข้าไปหาซื้อของในตลาด หลินจื่อเยว่แทบไม่สุงสิงกับผู้ใด หากแต่ถ้ามีคนเข้ามาพูดคุย นางก็ไม่คิดตัดไม่ตรี “แม่นางหลิน แม่นางหลินอยู่หรือไม่” เสียงร้องตะโกนเรียกดังมาจากหน้าบ้าน ทำให้หลินจื่อเยว่ที่นำสมุนไพรไปตากหลังบ้านเร่งรุดเดินออกมา “อยู่เจ้าค่ะ เอ๋ ท่านคือสามีของหญิงครรภ์แก่ผู้นั้นใช่หรือไม่ เกิดอันใดขึ้น” เมื่อเห็นสามีของหญิงที่นางทำคลอดให้เมื่อวาน หลินจื่อเยว่ก็เอ่ยถามธุระออกไป “ภรรยาข้าคลอดบุตรชายออกมาอย่
หลินจื่อเยว่แต่งกายให้รัดกุมคล้ายบุรุษ ก่อนจะเดินออกไปจากโรงเตี๊ยมเพื่อสำรวจร้านรวงและผู้คนของเมืองท่าแห่งนี้ หญิงสาวไม่ลืมหยิบหมวกม่านหมีลี่มาสวมคลุมเอาไว้ ก่อนจะเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ไปเรื่อย นางเดินเลยตรอกร้านค้ามาไม่กี่ฉื่อก็ได้ยินเสียงวิวาท จึงเดินเข้าไปแอบดู ทำให้ได้เห็นกลุ่มชายหนุ่มวัยราวสิบห้าถึงสิบหกหนาว กำลังล้อมหน้าล้อมหลังเด็กน้อยเพื่อรีดไถ่เงิน หลินจื่อเยว่แม้อยากจะสอดมือเข้าไปช่วย กระนั้นก็หักห้ามใจได้ทัน นางจึงทำเพียงเดินเลยผ่านไปจนกระทั่งไปเจอร้านบะหมี่ ด้วยความทรงจำเดิมจดจำได้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดตนเอง นางจึงเลือกสั่งบะหมี่อายุยืนจากเถ้าแก่เนี้ยมากินทันที ไม่รู้ว่าด้วยโชคชะตาหรือไม่ที่นางกับร่างนี้เกิดวันเดียวกันแต่คนละปีเท่านั้น “เถ้าแก่เนี้ย ที่ร้านนี้มีฉางโซ่วเมี่ยน หรือไม่เจ้าคะ” “วันเกิดเจ้าหรือแม่นางน้อย” “เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ ได้ยินว่าบะหมี่ร้านนี้อร่อย ข้าเลยลองถามดู หากไม่มีก็มิเป็นไรเจ้าค่ะ เอาบะหมี่หมูแดงก็ได้เจ้าค่ะ” หลินจื่อเยว่ตอบกลับน้ำเสียงสดใส หากว่ากันตามอายุจริงในชาติก่อนที่นางจากมา ตอนนี้นางคงมีอายุมากถึงสามสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างนี้กลับมีอ
“ฝ่าบาทกล่าวหนักไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิเคยคิดเช่นนั้น”และแล้วการเดินหมากที่ดูเหมือนจะธรรมดาก็เริ่มดำเนินไปช้า ๆ โดยที่มิได้มีสิ่งใดผิดสังเกต นอกจากบุรุษสองคนใช้เวลาว่างเดินหมากด้วยกัน พลางหัวร่อต่อกระซิกราวกับพูดจาพาทีกันถูกคออย่างไรอย่างนั้น กระนั้นตัวหมากบนกระดานต่างหากที่กำลังพูดคุยกัน เพราะมิอาจให้ผู้ใดล่วงรู้ความลับ การเดินหมากแทนการพูดจานั้นเป็นอีกหนึ่งวิธีที่นิยมใช้กันในหมู่ขุนนางและเชื้อพระวงศ์ เพราะวังหลวงนั้นจะไว้ใจผู้ใดมากไปกว่าตนเองมิได้“ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่งนัก ล้มกระหม่อมได้ทั้งสามกระดานเช่นนี้”“ฮ่า ๆ ๆ เพราะท่านออมมือให้กันต่างหาก ได้เดินหมากจิบชาเช่นนี้ก็สุขใจแล้วละ ขอบใจท่านมากนะท่านโหราเซี่ยว”ฮ่องเต้หนุ่มใหญ่หันมามองขุนนางคนสนิท พลางยกยิ้มบางอย่างพอใจ เขาอาจจะขลาดเขลาเบาปัญญาที่เลือกจะเชื่อคนผู้ซึ่งหาที่มาที่ไปเช่นนี้ไม่ได้ หากแต่มีบางอย่างบอกเขาว่า ในวังหลวงแห่งนี้เขาสามารถไว้ใจคนผู้นี้ได้มากที่สุด“ฝ่าบาท ยามนี้เข้าหน้าวสันตฤดูแล้วก็จริง กระนั้นก็เป็นเพียงช่วงต้นฤดู อากา
เรื่องราวจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างเซี่ยวจวินและหลินจื่อเยว่ ถูกบอกเล่าให้กับเหล่าศิษย์พี่ทุกคนได้ฟังในค่ำคืนที่พวกเขาจัดงานฉลองต้อนรับหลานคนแรกของสำนักเจินเฉียงลุกมานั่งข้างเซี่ยวจวินพลางยกมือขึ้นตบไหล่เขาปุ ๆ อย่างเห็นใจ “น้องเขย ศิษย์น้องข้าผู้นี้นิสัยห่างไกลความเป็นสตรีปกติ ข้าเล่าเห็นใจเจ้าเสียจริง”“ใช่ ๆ พวกข้าเองก็เห็นใจเจ้า”“ศิษย์พี่ทั้งหลายรักข้าเสียจริง พากันเห็นใจบุรุษด้วยกัน ไยมิเห็นใจข้าบ้างเล่าที่มีสามีโดยที่ตอนนั้นมิรู้ว่าเขาชื่อเสียงเรียงนามอันใด”บุรุษทั้งเก้าคนพากันส่ายหน้าให้ เพราะไม่ได้รู้สึกเห็นใจสตรีเช่นศิษย์น้องเล็กอย่างที่นางเรียกร้องเลยแม้แต่น้อย“พวกท่านมิต้องเห็นใจข้าก็ได้ เพราะข้ายินยอมนางเอง มิได้ขัดขืนยามนางลุกขึ้นมาปลุกปล้ำข้า...”เพียะฝ่ามือเรียวฟาดลงบนต้นแขนแกร่งของสามีมิคิดถนอมแรง ใจจริงอยากจะแทรกกำลังภายในเข้าไปด้วยเสียด้วยซ้ำ ที่นำเรื่องน่าอายเช่นนี้ออกมาบอกเล่า ก่อนที่หลินจื่อเยว่จะหนีอุ้มเอาหลินเสวี่ยอี้เข้าไปนอนเสีย ปล่อยให้บรรดาบุรุษได้นั่ง
เทศกาลหยวนเซียวครึกครื้นไปด้วยผู้คนที่พากันออกมาชมโคมไฟกันยังจัตุรัสกลางเมืองหลวง โคมไฟกระดาษที่ถูกบรรจงเขียนภาพหรือคำกลอนขึ้นลอยไปบนฟ้ายามค่ำคืน จนทั่วนภาสว่างโร่มิต่างจากกลางวันมากมายนักเซี่ยวจวินพาหลินจื่อเยว่และหลินเสวี่ยอี้มาหยุดยืนกลางสะพาน ในมือมีโคมไฟที่เป็นรูปครอบครัวนกพิราบเผือกสีขาวนวลสามตัวเกาะอยู่บนกิ่งไม้“นกพิราบเป็นตัวแทนสันติภาพ” หลินจื่อเยว่เอ่ยขึ้นขณะทอดมองสายตาไปยังโคมไฟของพวกเขาที่ค่อย ๆ ลอยสูงขึ้น“ไม่ผิด หากแต่นกพิราบสามตัวนี้กำลังเกาะอยู่บนกิ่งไม้ ตัวผู้และตัวเมียกระพือปีกป้องลูกน้อย ข้ามองมันแทนตัวพวกเรา มีข้า มีเจ้า มีเสวี่ยอี้โผบินไปบนท้องนภาอย่างอิสระนับจากนี้”“โหราจารย์เอกแห่งวังหลวงมีคารมคมคายเช่นนี้เลยหรือ มิน่าทำให้องค์หญิงหลงใหลได้ถึงเพียงนั้น”หลินจื่อเยว่เอ่ยแซว กว่าเรื่องราวขององค์หญิงหลี่หรงเอ๋อร์จะจบลง นางแทบจะกลายร่างเป็นนางมารวันละสิบครั้ง ทว่าได้ฮ่องเต้หลี่เซียนและองค์รัชทายาทช่วยปรามจนนางถอดใจไป ก่อนจะถูกส่งตัวไปอภิเษกกับองค์ชายต่างแคว้นเพื่อเชื่อมสัมพันธ์สตรีด้วยกันม
เซี่ยวจวินอุ้มพาภรรยามาวางบนเตียงก่อนจะตามขึ้นไปคร่อมร่างเล็กเอาไว้ สายตาคู่คมไล่มองสำรวจเรือนร่างงดงามขาวผ่องไปทุกส่วนก่อนจะจับปลายเท้าเรียวขึ้นมาแล้วจรดจุมพิตไปบนหลังเท้าขาวสะอาดแผ่วเบา ยิ่งทำให้หัวใจของหลินจื่อเยว่เต้นรัวแรงหนักกว่าเดิม แม้นจะอยากดึงเท้ากลับ ทว่าก็มิอาจทำได้ เนื่องจากเซี่ยวจวินมิยอมปล่อยริมฝีปากหยักไล่พรมจูบขึ้นมาตั้งแต่ปลายเท้า ท่อนขา จนมาถึงต้นขาด้านใน เซี่ยวจวินขบเม้มมันเบา ๆ จนเกิดรอยสีกุหลาบ เซี่ยวจวินผละใบหน้าออกมาแล้วสบมองดวงตาคู่สวยครู่หนึ่ง จังหวะเดียวกันก็สอดก้านนิ้วแกร่งยาวเรียวชำแรกแทรกเข้าไปในกลีบผงางาม เรียกเสียงครางหวานจากคนตัวเล็กได้เป็นอย่างดีเซี่ยวจวินมิได้หยุดเพียงเท่านั้น ยังคงโน้มลงไปตวัดดูดดึงยอดปทุมสีหวานราวกับมันเป็นของหวานเลิศรสจากสวรรค์ก็ไม่ปาน“ภรรยาข้างดงามและหอมหวานเสียจริง”“อึก ท่านพี่”ความร้อนในกายแล่นปลาบไปทั่วเรือนร่าง ยิ่งยามที่ลิ้นของสามีดูดึงยอดปทุม คล้ายกับความร้อนยิ่งเพิ่มสูงขึ้นจนกายบางบิดเร่าไปมา ยิ่งก้านนิ้วที่สอดแทรกเข้าไปภายในกายขยับเข้าออกในจังหวะท
วันต่อมาเซี่ยวจวินเดินทางเข้าวังตั้งแต่ช่วงเช้าพร้อมด้วยหลินจื่อเยว่ หากแต่วันนี้บุตรชายมิได้มาด้วย เพราะเจ้าตัวอยากไปเที่ยวตลาดกับท่านป้าอาเยียนหลังจากได้เผยความรู้สึกของกันและกันให้ได้รับรู้ และทำการแยกห้องนอนกับหลินเสวี่ยอี้ ทั้งสองก็ช่วยกันทำงาน ให้คำปรึกษากันและกันในทุกเรื่อง แม้ว่าเซี่ยวจวินจะยกอำนาจการตัดสินใจเรื่องภายในจวนให้กับหลินจื่อเยว่ ทว่านางก็ยังถามไถ่จากพ่อบ้าน ด้วยว่าที่ผ่านเขาเป็นคนดูแลจวนนี้มาตลอดเมื่อเข้ามาถึงวังหลวงทั้งเซี่ยวจวินและหลินจื่อเยว่ก็ตรงไปยังตำหนักหลงเสวียนทันที เหิงกงกงยังคงต้อนรับทั้งสองด้วยใบหน้าแย้มยิ้มปรีดา เพราะนับจากวันที่หลินจื่อเยว่แนะนำให้หลี่เซียนแช่น้ำสมุนไพรเพื่อขับพิษ ดูเหมือนหลี่เซียนก็ค่อย ๆ แข็งแรงขึ้น“เซี่ยวจวินหรือ มา ๆ เข้ามา” เสียงของหลี่เซียนดูสดใสขึ้น“เซี่ยวจวินถวายพระพรฝ่าบาท”“จื่อเยว่ถวายพระพรฝ่าบาท”ทั้งสองเอ่ยขึ้นพลางยอบกาบย่อตัวลงคารวะตามพิธีการ“นั่งเถอะ”“พระอาการเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท&rdqu
เซี่ยวจวินตั้งใจมอบหมายงานให้กับคนอื่นดูแลต่อจากนี้ แน่นอนว่านอกจากเขาและจางหมิ่นแล้วยังมีโหราจารย์อีกท่านที่เชี่ยวชาญการทำนายดวงชะตา และพยากรณ์ความเป็นไปของบ้านเมืองได้ขณะที่เซี่ยวจวินเข้าไปจัดการงานที่เหลือเพื่อมอบหมายให้คนอื่นหลังจากนี้ หลินจื่อเยว่และหลินเสวี่ยอี้ก็พากันเดินชมสวนใกล้ ๆ กลิ่นหอมของดอกไม้นานาพรรณเรียกรอยยิ้มจากใบหน้างามได้เป็นอย่างดี นางยืนมองบุตรชายวิ่งไล่จับผีเสื้อที่เข้ามาดูดน้ำหวานจากเกสรทว่าขณะเดียวกันนั้นกลับก็ปรากฏสตรีในอาภรณ์งามสง่าบ่งบอกว่านางเป็นสตรีสูงศักดิ์เดินเข้ามา หลินจื่อเยว่จึงทำเพียงดึงบุตรชายให้หลบทาง แล้วก้มหน้าก้มตาลง“วังหลวงหาใช่สถานที่ที่ใครจะเข้าออกได้ มิทราบว่าแม่นางคือผู้ใดกัน เปิ่นกงมิเคยเห็นหน้ามาก่อน”หลี่หรงเอ๋อร์ทราบจากนางกำนัลว่าเจอเซี่ยวจวินเข้ามาในวังหลวง จึงเร่งแต่งกายแล้วรีบมาหา กระทั่งมาเจอหนึ่งเด็กหนึ่งสตรีแปลกหน้า“องค์หญิง”เสียงทุ้มของเซี่ยวจวินดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้หลี่หรงเอ๋อร์ซึ่งกำลังไม่พอใจที่นางถามหลินจื่อเยว่แต่กลับไม่ได้คำตอบ
เวลาผ่านไปค่อนคืนจนดึกสงัดแล้ว ทว่าร่างสูงที่นอนอยู่บนตั่งเตียงยังคงพลิกกายไปมาสลับซ้ายขวา จนสุดท้ายต้องผุดลุกขึ้นนั่ง แล้วถอนหายใจออกมาแรง ๆ เฮือกหนึ่ง เซี่ยวจวินผุดลุกขึ้นแล้วเปิดประตูเพื่อออกไปข้างนอก ภายในจวนยามนี้เงียบสงัดได้ยินเพียงเสียงลมยามราตรีที่พัดโบกต้นไม้ใบหน้าให้เสียดสีกันไปมา เท้าแกร่งเดินไปหยุดอยู่หน้าเรือนหมิงเยว่ แล้วถอนหายใจออกมาอีกรอบ ขณะที่ตั้งท่าจะหันหลังกลับ ประตูเรือนหมิงเยว่ก็ถูกเปิดออกมา“เซี่ยวจวิน เป็นท่านหรือ” หลินจื่อเยว่ซึ่งตื่นมาดูบุตรชายก็หลับไม่ลงอีก จึงตั้งใจว่าจะออกมาเดินเล่น แต่ไม่คิดว่าจะเจอใครอีกคนยืนอยู่“เป็นข้าเอง เจ้าออกมาทำไมกัน”“ข้าสิต้องถามท่าน ท่านมายืนตรงนี้ทำไม” หลินจื่อเยว่เดินเข้ามาหยุดยืนใกล้ ๆ“ข้า... เอ่อ... ข้าเพียงแค่... เฮ้อ ข้านอนไม่หลับ ก่อนหน้านี้บนรถม้ามีเจ้ากับเสวี่ยอี้นอนด้วยตลอด พอต้องกลับมานอนคนเดียวข้าเลยไม่ชิน”“...”“ข้าขอนอนด้วยได้หรือไม่”เซี่ยวจวินเอ่ยถามออกไปตรง ๆ และกว่าหลิ
“ฮู...ฮูหยิน”อาเยียนที่ออกมาเดินเล่นได้ยินแบบนั้นก็หันไปมองบุรุษที่แต่งกายด้วยอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มด้วยความงุนงง อีกทั้งตอนที่เดินเข้ามาก็ไม่เคยเห็นบุรุษผู้นี้มาก่อนเลย“ท่านเรียกข้าหรือ”“เอ่อ ฮูหยินจะไปพบนายท่านหรือขอรับ”“เดี๋ยวนะ อย่างแรกข้ามิใช่ฮูหยิน” อาเยียนที่พอจะเข้าใจอะไรก็พยายามจะอธิบาย ทว่าดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่รับฟังเท่าไร“แม้จะยังไม่กราบไหว้ฟ้าดินกัน หากแต่ฮูหยินเข้ามาแล้ว อย่างไรก็หนีไม่พ้นตำแหน่งนี้แน่นอนขอรับ”“ข้ายังพูดไม่จบ เจ้าก็ทึกทักไปเองทั้งหมด ข้าเพียงอยากบอกเจ้าว่า ข้ามิใช่ฮูหยิน ข้ามีนามว่าอาเยียน เป็นผู้ติดตามของนายหญิงหลินจื่อเยว่ หรือก็คนที่จะมาเป็นฮูหยินตามที่ท่านเข้าใจ”จางหมิ่นได้ยินเช่นนั้นก็หน้าม้านทั้งยังอับอายที่ทักคนผิดไปเช่นนั้น และหากสตรีตรงหน้าเอาเรื่องนี้ไปฟ้องนายหญิงของนาง มีหวังเขาเองก็คงได้รับโทษจากเซี่ยวจวินเช่นกัน“ข้าขออภัยแม่นาง ข้าไม่ทราบว่าเป็นผู้ติดตามของฮูหยิน ข้าจางหมิ่น เป็นผู้ช่วยของเซี่ยว เอ่อ นายท่า
เมืองหลวงในช่วงเช้าตรู่ดูคึกคัก เสียงรถม้าวิ่งสวนกันไปมาเคล้าไปกับเสียงพ่อค้าแม่ขายที่ตะโกนเรียกลูกค้าให้เข้ามาจับจ่ายใช้สอยกันเซ็งแซ่ รถม้าคันหรูแล่นไปหยุดหน้าเหลาอาหารที่ใหญ่ที่สุด เซี่ยวจวินเดินลงไปพลางยื่นมือไปรับเอาหลินเสวี่ยอี้มาอุ้มเอาไว้ด้วยแขนข้างเดียว ก่อนจะยื่นมือไปให้หลินจื่อเยว่“ท่านพ่อ ที่นี่คือเมืองหลวงหรือขอรับ”“ใช่แล้ว แต่พ่อเกรงว่ากว่าจะไปจวนเจ้าจะหิวเสียก่อน เลยแวะทานข้าว และเราค่อยกลับไปพักดีหรือไม่”หลินเสวี่ยอี้ยิ้มแต้พลางยกมือขึ้นลูบหน้าท้องที่กำลังร้องโครกครากขออาหาร จากนั้นทั้งสามพร้อมด้วยอาเยียนก็เดินเข้าไปด้านใน ที่ผ่านมาหลินจื่อเยว่ให้อาเยียนนั่งร่วมโต๊ะด้วยตลอด ด้วยเพราะไม่เคยเห็นว่านางเป็นเพียงสาวใช้ แต่เห็นนางเป็นเสมือนพี่สาวคนหนึ่ง“เซี่ยวจวิน เอ่อ หากข้าให้อาเยียนร่วมโต๊ะด้วย ท่าน...”“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะนายหญิง” อาเยียนรีบเอ่ยขัดขึ้น เพราะเกรงใจเซี่ยวจวินไม่น้อย แม้นางจะไม่ใช่สตรีสูงศักดิ์ หรือมาจากครอบครัวผู้ดีอันใด ทว่านางก็รู้ดีว่ามิควรเอาตัวไปเทียบเสมอผู้เป็นนา
“หยุดรถม้าก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ”เซี่ยวจวินหันมามองด้วยความไม่เข้าใจ กระนั้นก็สั่งให้หยุดรถม้าตามคำร้องขอของสตรีข้างกาย และทันทีที่รถม้าหยุดลงหลินจื่อเยว่ก็รีบลงไปทันที เซี่ยวจวินอุ้มหลินเสวี่ยอี้ตามลงไปจึงได้เห็นนางตรงเข้าไปช่วยชายชราที่กำลังนอนนิ่งหญิงชราที่กำลังนั่งร้องห่มร้องไห้อยู่เมื่อได้เห็นคนตรงเข้ามาช่วยก็พานดีใจ กระนั้นให้มองเต็มตาเท่าไรก็มองมิกระจ่างว่าผู้ที่สวมหมวกม่านมี่หลี่ปิดบังใบหน้ามองเห็นเพียงดวงตานั้นเป็นบุรุษหรือสตรี“ท่านยาย ท่านตาเป็นเช่นนี้มานานแล้วหรือไม่”“สักราว ๆ สองเค่อ ได้แล้วละ”หลินจื่อเยว่วางมือทาบลงไปตรงกลางระหว่างอกก็รับรู้ได้ว่าลมหายใจติดขัด การรักษาเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ทว่าจังหวะที่นางกำลังทำการรักษาใกล้เสร็จ จู่ ๆ ก็วางมือลง แววตาเต็มไปด้วยความเย็นชาจากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วหันหลังเดินขึ้นรถม้าไปทันที ไม่สนใจเสียงร้องคร่ำครวญของหญิงชราแม้แต่น้อย อาเยียนเองเมื่อเห็นผู้เป็นนายหันหลังให้ นางก็เดินกลับไปขึ้นรถม้าด้านหลังเช่นกัน สร้างความงุนงงให้กับเ