ห่างออกไปไกลเป็นพันลี้ ที่ตั้งเมืองหลวงแคว้นเว่ย ผู้คนเดินทางเข้าออกเมืองหลวงคึกคักรวมไปถึงคาราวานพ่อค้าที่นำสินค้ามาขาย เพราะแคว้นเว่ยขึ้นชื่อเรื่องความอุดมสมบูรณ์ และเป็นแหล่งค้าขายที่ได้ผลกำไรดีอีกด้วย แน่นอนว่าที่ประชากรชาวแคว้นเว่ยอยู่ดีมีสุขเช่นนี้เพราะหลักการปกครองที่เที่ยงธรรมของฮ่องเต้หลี่เซียน
นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าลือกันไปทั่วทั้งยุทธภพนี้ว่า แคว้นเว่ยยังมีเซี่ยงซื่อ หนุ่มนามว่า ‘เซี่ยวจวิน’ บุรุษที่มิมีผู้ใดล่วงรู้ที่มาที่ไป หรือแม้แต่อายุจริงของเขาก็ยากจะคาดเดาได้เช่นกัน เล่าลือกันว่าเซี่ยงซื่อผู้นี้มากมีความสามารถทั้งในด้านการทำนาย ตลอดจนปราบปรามวิญญาณอาฆาตร้ายที่เข้ามากล้ำกลาย จนฮ่องเต้หลี่เซียนถึงกับเชื้อเชิญให้เข้าร่วมราชสำนัก เป็นหนึ่งในขุนนางคนสำคัญข้างกายพระองค์ และมิว่าเซี่ยงซื่อผู้นี้เอ่ยสิ่งใด ดูเหมือนว่าฮ่องเต้หลี่เซียน ผู้ที่ได้รับสมญานามว่าเป็นโอรสสวรรค์เชื่อหมดทุกคำพูดท้องพระโรง
ภายในท้องพระโรงกว้างใหญ่ เหล่าขุนนางของราชสำนักต่างพากันเข้ามายืนเรียงแถวเพื่อประชุมหารือกับผู้เป็นประมุขแห่งแผ่นดิน โดยเบื้องหน้าสุดมีบุรุษวัยกลางคนในอาภรณ์สีทองอร่ามนั่งฟังการรายงานจากหัวหน้าขุนนางถึงราชกิจต่าง ๆ ด้วยใบหน้าเรียบเฉย ด้านหน้าของเหล่าขุนนางยังมีบุรุษในอาภรณ์สีขาวเหลือบดำช่วงปลายยืนอยู่ด้วยท่าทีสุขุม นิ่งเงียบ มิได้หันไปสนทนากับผู้ใดอย่างที่ขุนนางคนอื่นกระทำ เหล่าขุนนางต่างทยอยกันนำปัญหาที่ชาวบ้านต่างยื่นฎีกามาที่กรมกองของตน รวมถึงงานที่ได้รับมอบหมายมารายงานแด่โอรสสวรรค์ที่นั่งบนบัลลังก์มังกรเบื้องหน้า การรายงานดำเนินมาถึงกรมคลัง “ท่านโหรเซี่ยว เรื่องขุดลอกบึงน้ำที่มหาเสนาบดีกรมโยธาเอ่ยมา ท่านมีความเห็นว่าอย่างไร” บุรุษเจ้าของนามยกมือขึ้นประสานกันตรงหน้าพลางก้มศีรษะลงต่ำ มิได้เงยหน้าสบตาผู้พูด ก่อนจะเอ่ยตอบสิ่งที่ผู้เป็นนายเหนือหัวเอ่ยถาม “ทูลฝ่าบาท การขุดลอกบึงน้ำเป็นสิ่งสมควรต้องทำอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ เพราะจะช่วยป้องกันเรื่องภัยน้ำท่วมในช่วงหน้าฝนได้” “แล้วควรลงมือยามใดดีเล่าท่านโหรเซี่ยว” “กระหม่อมเห็นสมควรว่าเป็นหลังจากนี้อีกสองเดือนพ่ะย่ะค่ะ ช่วงนั้นเป็นช่วงต้นวสันตฤดู อากาศมิร้อนมิหนาวจนเกินไป และฝนน้อย จักทำให้การขุดลอกบึงราบรื่นพ่ะย่ะค่ะ อีกทั้งหากเร่งรีบไปนอกจากการเตรียมการจะกะทันหันเกินไป อาจจะทำให้การทำงานติดขัดไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยวจวินเอ่ยรายงานไปตามที่ตนมองเห็นในนิมิต ด้วยเพราะช่วงนี้ยังเป็นช่วงเหมันตฤดู แม้จะเป็นช่วงปลายฤดูกาล กระนั้นอากาศก็ยังคงหนาวเย็น อีกทั้งเมืองชางที่อยู่ค่อนไปทางตอนเหนือของเมืองหลวงเล็กน้อย หิมะมักจะปกคลุมตลอดช่วงฤดูหนาว ทำให้แรงงานที่จะมาช่วยขุดลอกบึงน้ำประสบกับอันตรายจากการย่ำไปบนน้ำแข็ง ด้วยคิดว่าอาจจะเป็นพื้น และหากรอไปอีกสองเดือนซึ่งเป็นช่วงวสันตฤดู อากาศส่วนใหญ่ไม่ถึงกับหนาว อีกทั้งยังไม่ปรากฏหิมะมาเป็นอุปสรรคเช่นกัน “ดี เจ้ากรมโยธา เช่นนั้นก็เอาตามที่ท่านโหรเซี่ยวว่าเอาไว้เถิด อีกสองเดือนหลังจากนี้ท่านก็ดำเนินการตามแผนงานที่ว่าเอาไว้ได้เลย” การประชุมราชสำนักกินเวลาล่วงไปราว ๆ สองชั่วยาม ครั้นเมื่อการประชุมจบลงเซี่ยวจวินก็เดินกลับไปยังที่สำนักโหราจารย์ ซึ่งฮ่องเต้หลี่เซียนได้ยกตำหนักเล็กให้เป็นสถานที่พักและทำงานของเซี่ยวจวิน แม้จะรู้ว่าเซี่ยวจวินมีจวนอยู่นอกวังหลวงก็ตาม เมื่อเดินกลับมาถึงกายสูงกำยำก็เดินเข้าไปยังห้องด้านในสุด ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนตัวของตน ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงห่วงเหล็กกระทบกับบานประตูไม่ได้เรียกให้บุรุษในห้องหันไปมองแม้แต่น้อย ใบหน้าคมคายแหงนเงยมองท้องฟ้าอยู่ตรงระเบียงด้วยท่าทางนิ่งเฉย “เซี่ยงซื่อ องค์หญิงหลี่หรงเอ๋อร์เสด็จมาขอรับ” จางหมิ่น ผู้ช่วยคนสนิทของเซี่ยวจวินเอ่ยออกมา “บอกองค์หญิงไปว่า ข้ามีงานต้องทำ ไม่สะดวกออกไปพบ” “ขอรับ” เปลือกตาคมหลับลงนิ่ง ปล่อยให้สายลมโชยพัดปะทะใบหน้าอยู่อย่างนั้น สองสามวันนี้มีเรื่องรบกวนจิตใจ ทว่าก็บอกได้ไม่แน่ชัดว่าเป็นเรื่องอะไร จางหมิ่นเดินกลับเข้ามาในห้อง ก่อนจะก้มศีรษะให้ผู้เป็นนาย ราวกับรู้ว่าในใจของบุรุษเบื้องหน้านั้นมีสิ่งใดอยู่จึงเงียบเพื่อรอฟังเช่นทุกที “จางหมิ่น ท้องฟ้าวันนี้ครึ้มผิดปกติดีว่าหรือไม่” เสียงทุ้มรื่นหูเอ่ยออกมานิ่งเรียบ โดยที่ยังไม่หันกลับมามองคนสนิทแม้ปรายหางตา “เซี่ยงซื่อกำลังจะบอกสิ่งใดกับข้าน้อยขอรับ”เมื่อได้ฟังคำถามนั้น เซี่ยวจวินก็ยกยิ้มขึ้นอ่อนจางพร้อมกับเดินกลับเข้ามาด้านใน แล้วนั่งลงที่โต๊ะ ซึ่งด้านบนมีกระดานที่บอกเล่าถึงชะตาความเป็นไปของบ้านเมืองและคนรอบข้างอยู่ มิได้พูดสิ่งใดต่อ พลางยกมือขึ้นโบกไล่ผู้ช่วยคนสนิทให้ออกไปจากห้อง ก่อนจะมองไปบนกระดานอีกแผ่นแล้วยกยิ้มออกมาอย่างที่น้อยคนนักจะได้เห็น เพราะโหรเซี่ยวในสายตาของคนรอบข้างนั้นมิต่างจากมนุษย์หินที่เย็นชา ไร้ความรู้สึก ด้วยเพราะไม่ว่าเจอกันยามใดใบหน้าหล่อเหลาคมคายก็มักจะนิ่งเรียบและสุขุมตลอดเวลาเซี่ยวจวินเข้ามาเป็นโหราจารย์คนสนิทประจำราชวงศ์หลี่ คอยทำหน้าที่ทำนายดวงชะตาบ้านเมือง ทำนายดวงชะตาของเหล่าสตรีในวังหลัง องค์ชาย และองค์หญิง รวมถึงเชื้อพระวงศ์ทั้งสายหลักและสายรอง อีกทั้งเป็นที่ปรึกษาส่วนพระองค์ของฮ่องเต้หลี่เซียนอีกด้วย กระนั้นเพราะมิมีผู้ใดล่วงรู้ว่า แท้จริงแล้วเซี่ยงซื่อผู้นี้อายุเท่าไรแล้ว จึงทำให้เป็นที่เลื่องลือไปทั่วยุทธภพถึงเรื่องราวของเซี่ยงซื่อหนุ่มที่สามารถทำนายเรื่องราวบ้านเมืองได้แม่นยำ อีกทั้งยังมีความรู้ความสามารถหลายหลากแขนงกระนั้นเซี่ยวจวินผู้นี้มีที่มาเช่นไรนั้น หาผู้ไขความกระจ่างแทบจะไม่มี เพราะ
ภายในห้องทดลองขนาดใหญ่ ที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อให้ทำการทดลองและวิจัยยาตัวหนึ่ง การวิจัยและการทดลองกำลังเดินทางมาถึงขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งหมายถึงเป็นการจบหน้าที่ที่พวกเขากรำกันมาแรมปีแล้ว“เยว่เจี่ย ไปพักก่อนเถอะ พี่อยู่ตรงนี้มาตั้งแต่เช้าแล้วนะ เดี๋ยวฉันดูให้เอง” หญิงสาวหน้าตาน่ารักในชุดกาวน์สีขาวเดินเข้ามาบอกกับผู้ที่เป็นหัวหน้า และเป็นเสมือนพี่สาวเธออีกคนหลินจื่อเยว่ผละสายตาออกจากชาร์ตการทดลองหันไปมองเด็กสาวแล้วคลี่ยิ้มบางออกมาให้หนึ่งสาย“อาซิน แล้วเธอกินข้าวแล้วเหรอ ถึงจะมาสลับกับพี่”“กินแล้วสิ ฉันน่ะไม่ยอมหิ้วท้องรอหรอกนะ” ซินเหลียนถือวิสาสะแย่งแผ่นชาร์ตในมือมา พร้อมกับใช้สองมือดันหลังหลินจื่อเยว่ให้ออกจากห้องทดลองไปพักผ่อน ทว่ายังไม่ทันที่ร่างบางจะได้ขยับไปทางไหน พลันเสียงที่คล้ายกับกระแสไฟฟ้าชอร์ตก็ดังขึ้น เรียกสายตาของสองสาวให้หันไปมองทางเดียวกัน ทว่ายังไม่ทันได้ตั้งตัวเสียงระเบิดก็ดังขึ้นตู้ม!!!!แรงระเบิดรุนแรงจนพังครืนไปทั้งชั้น กลุ่มควันที่ขาวพวยพุ่งออกมาเป็นที่น่าตระหนกของประชาชนในเมืองเป็นอย่างมาก นัยน์ตาคู่สวยของหลินจื่อเยว่เบิกโพลงมองเห็นประกายไฟที่พวยพุ่งอ
กระทั่งกลุ่มชายฉกรรจ์ห้าคนเดินออกมาล้อมหน้าล้อมหลังนางเอาไว้ หลินจื่อเยว่พยายามหาทางหนีทีไล่เอาไว้ก่อนจะส่งยิ้มเจื่อนไปให้“พี่ชาย มีผู้ใดเจ็บป่วยหรือถึงได้มาดักเจอข้าเช่นนี้” หญิงสาวทำใจดีสู้เสือเอ่ยถามออกไป นางอาศัยขนาดตัวที่เล็กกว่า ใช้ปลายเท้าเตะเศษใบไม้ไปตรงหน้าแล้ววิ่งฝ่าพวกมันออกไปอย่างไม่คิดชีวิต ไม่สนทิศทางเช่นกัน โดยที่กลุ่มโจรป่าทั้งห้าคนวิ่งตามมาติด ๆ นางได้แต่คิดในใจว่า หากนางมิดื้อรั้น ทำตามที่ตกลงกับศิษย์พี่ใหญ่เอาไว้ตั้งแต่ทีแรก นางก็คงไม่ต้องมาเผชิญเรื่องราวเช่นนี้ หลินจื่อเยว่วิ่งหนีจนกระทั่งมาถึงทางตัน ด้วยเบื้องหน้าเป็นหุบเหวสูง นางยั้งฝีเท้าเอาไว้แล้วหันกลับไปเผชิญหน้ากับกลุ่มโจรป่าที่เมื่อพวกมันเห็นนางจนมุมก็ค่อย ๆ ย่างสามขุมเข้ามาช้า ๆ“แม่นาง จะวิ่งหนีให้เหนื่อยไปไย พวกข้าเพียงต้องการข้าวของมีราคาในตัวท่านเท่านั้น” หนึ่งในโจรป่าเอ่ยบอก“ข้าไม่มีสิ่งของใดมีราคาอย่างที่พวกเจ้าต้องการหรอก ยะ...อย่าเข้ามานะ”หากเป็นผู้อื่นคงยอมมอบทุกอย่างให้พวกโจรไปเพื่อรักษาชีวิตตน หากแต่หลินจื่อเยว่ได้เห็นแววตาของพวกมันแล้วย่อมรู้ว่า สิ่งที่พวกมันต้องการมิได้มีเพียงข้าวของมีราค
ไม่รู้ว่าเวลาผันผ่านไปนานเท่าไร หลินจื่อเยว่รู้สึกขึ้นอีกครั้งพร้อมกับอาการปวดที่แล่นริ้วไปทั่วสรรพางค์กาย ความเจ็บปวดที่ได้รับไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ถูก แขนขาก็ขยับไม่ได้ หญิงสาวจึงคิดไปว่า มันน่าจะเป็นผลมาจากแรงอัดของระเบิดที่เกิดขึ้น นางค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ ทว่ากลับพบเข้ากับสีเขียวของใบไม้มากมายที่อยู่เบื้องหน้า ซึ่งมันไม่น่าจะเป็นแบบนั้นได้ก่อนที่สติสุดท้ายจะดับวูบไป หลินจื่อเยว่จำได้ว่าแรงระเบิดที่ห้องทดลองนั้นรุนแรงพอสมควร เธอเห็นร่างนักวิจัยรุ่นน้องกระเด็นไปอีกทาง เช่นนั้นเมื่อตื่นมาสิ่งที่นางต้องเจอถ้าไม่ใช้ฝ้าเพดานสีขาวของโรงพยาบาล ก็น่าจะต้องเป็นเศษซากของห้องทดลอง ทว่าสิ่งที่เห็นอยู่ตอนนี้มันห่างไกลจากสิ่งที่คิดเอาไว้ไปมากหลินจื่อเยว่หลับตาลงอีกครั้ง เพราะตอนนี้ความเจ็บปวดทำให้นางรู้สึกทรมานอย่างที่ไม่อาจทนได้ไหว อาศัยความเป็นหมอที่มีความสามารถทั้งในเรื่องการแพทย์แผนโบราณและแผนปัจจุบันประเมินอาการตัวเอง ซึ่งทำให้พอรู้ว่าแขนขาที่ขยับไม่ได้น่าจะเพราะหัก ทว่ารุนแรงแค่ไหนนางก็ไม่รู้ได้ และสิ่งที่นางควรทำในตอนนี้คือหาคนช่วย นางพยายามกดข่มความเจ็บปวดเอาไว้แล้วพยายามเ
ผ่านไปร่วมสามวันที่หลินจื่อเยว่หมดสติไป นางค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาช้า ๆ ก่อนจะพบใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ดูก็รู้ว่าคงอายุยังมิถึงสิบห้า“พี่สาวตื่นแล้วหรือขอรับ พี่สาวหลับไปนานจนข้ากับท่านป้าเป็นกังวลเลยนะขอรับ”“นะ...น้ำ ขอน้ำ” เพราะรู้สึกว่าภายในลำคอแห้งผากคล้ายมีทรายละเอียดอยู่ในนั้น หลินจื่อเยว่ที่เพิ่งได้สติก็ร้องหาน้ำเปล่าทันทีอวิ๋นโม่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็กระวีกระวาดไปตักน้ำมาให้ พลางค่อย ๆ ประคองป้อนเหมือนที่เห็นผู้เป็นป้าทำก่อนหน้านี้ เพราะแม้ว่าหญิงสาวตรงหน้าจะไม่ฟื้น ทว่าอวิ๋นหลานก็คอยป้อนน้ำให้อยู่ตลอด แค่ก แค่กหลินจื่อเยว่พยายามประคองตัวเองนั่ง พลางกวาดตามองไปรอบ ๆ เรือนไม้ด้วยความงุนงง ช่วงที่หลับไป นางได้ฝันเห็นสตรีผู้หนึ่งซึ่งมีใบหน้าละม้ายคล้ายตน แต่รูปร่างเล็กกว่า ทั้งเส้นผมของสตรีผู้นั้นก็ยาวกว่านาง ซึ่งสตรีในความฝันทำเพียงยืนส่งยิ้มให้กับนาง ก่อนจะค่อย ๆ จางหายไป ก่อนที่นางจะเห็นเรื่องราวต่าง ๆ ของสตรีผู้นั้นชัดเจนหลินจื่อเยว่หันมองไปทางเด็กหนุ่มอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดออกมา พลันนั้นก็ได้กลิ่นสมุนไพรบรรเทาปวดที่โชยพัดเข้ามาเตะปลายจมูก ทำให้นางรู้ว่าความรู้ติด
เมื่อได้ฟังคำถามนั้น เซี่ยวจวินก็ยกยิ้มขึ้นอ่อนจางพร้อมกับเดินกลับเข้ามาด้านใน แล้วนั่งลงที่โต๊ะ ซึ่งด้านบนมีกระดานที่บอกเล่าถึงชะตาความเป็นไปของบ้านเมืองและคนรอบข้างอยู่ มิได้พูดสิ่งใดต่อ พลางยกมือขึ้นโบกไล่ผู้ช่วยคนสนิทให้ออกไปจากห้อง ก่อนจะมองไปบนกระดานอีกแผ่นแล้วยกยิ้มออกมาอย่างที่น้อยคนนักจะได้เห็น เพราะโหรเซี่ยวในสายตาของคนรอบข้างนั้นมิต่างจากมนุษย์หินที่เย็นชา ไร้ความรู้สึก ด้วยเพราะไม่ว่าเจอกันยามใดใบหน้าหล่อเหลาคมคายก็มักจะนิ่งเรียบและสุขุมตลอดเวลาเซี่ยวจวินเข้ามาเป็นโหราจารย์คนสนิทประจำราชวงศ์หลี่ คอยทำหน้าที่ทำนายดวงชะตาบ้านเมือง ทำนายดวงชะตาของเหล่าสตรีในวังหลัง องค์ชาย และองค์หญิง รวมถึงเชื้อพระวงศ์ทั้งสายหลักและสายรอง อีกทั้งเป็นที่ปรึกษาส่วนพระองค์ของฮ่องเต้หลี่เซียนอีกด้วย กระนั้นเพราะมิมีผู้ใดล่วงรู้ว่า แท้จริงแล้วเซี่ยงซื่อผู้นี้อายุเท่าไรแล้ว จึงทำให้เป็นที่เลื่องลือไปทั่วยุทธภพถึงเรื่องราวของเซี่ยงซื่อหนุ่มที่สามารถทำนายเรื่องราวบ้านเมืองได้แม่นยำ อีกทั้งยังมีความรู้ความสามารถหลายหลากแขนงกระนั้นเซี่ยวจวินผู้นี้มีที่มาเช่นไรนั้น หาผู้ไขความกระจ่างแทบจะไม่มี เพราะ
ห่างออกไปไกลเป็นพันลี้ ที่ตั้งเมืองหลวงแคว้นเว่ย ผู้คนเดินทางเข้าออกเมืองหลวงคึกคักรวมไปถึงคาราวานพ่อค้าที่นำสินค้ามาขาย เพราะแคว้นเว่ยขึ้นชื่อเรื่องความอุดมสมบูรณ์ และเป็นแหล่งค้าขายที่ได้ผลกำไรดีอีกด้วย แน่นอนว่าที่ประชากรชาวแคว้นเว่ยอยู่ดีมีสุขเช่นนี้เพราะหลักการปกครองที่เที่ยงธรรมของฮ่องเต้หลี่เซียน นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าลือกันไปทั่วทั้งยุทธภพนี้ว่า แคว้นเว่ยยังมีเซี่ยงซื่อ หนุ่มนามว่า ‘เซี่ยวจวิน’ บุรุษที่มิมีผู้ใดล่วงรู้ที่มาที่ไป หรือแม้แต่อายุจริงของเขาก็ยากจะคาดเดาได้เช่นกัน เล่าลือกันว่าเซี่ยงซื่อผู้นี้มากมีความสามารถทั้งในด้านการทำนาย ตลอดจนปราบปรามวิญญาณอาฆาตร้ายที่เข้ามากล้ำกลาย จนฮ่องเต้หลี่เซียนถึงกับเชื้อเชิญให้เข้าร่วมราชสำนัก เป็นหนึ่งในขุนนางคนสำคัญข้างกายพระองค์ และมิว่าเซี่ยงซื่อผู้นี้เอ่ยสิ่งใด ดูเหมือนว่าฮ่องเต้หลี่เซียน ผู้ที่ได้รับสมญานามว่าเป็นโอรสสวรรค์เชื่อหมดทุกคำพูด ท้องพระโรงภายในท้องพระโรงกว้างใหญ่ เหล่าขุนนางของราชสำนักต่างพากันเข้ามายืนเรียงแถวเพื่อประชุมหารือกับผู้เป็นประมุขแห่งแผ่นดิน โดยเบื้องหน้าสุดมีบุรุษวัยกลางคนในอาภรณ์สีทองอร่ามนั่งฟังการ
ผ่านไปร่วมสามวันที่หลินจื่อเยว่หมดสติไป นางค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาช้า ๆ ก่อนจะพบใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ดูก็รู้ว่าคงอายุยังมิถึงสิบห้า“พี่สาวตื่นแล้วหรือขอรับ พี่สาวหลับไปนานจนข้ากับท่านป้าเป็นกังวลเลยนะขอรับ”“นะ...น้ำ ขอน้ำ” เพราะรู้สึกว่าภายในลำคอแห้งผากคล้ายมีทรายละเอียดอยู่ในนั้น หลินจื่อเยว่ที่เพิ่งได้สติก็ร้องหาน้ำเปล่าทันทีอวิ๋นโม่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็กระวีกระวาดไปตักน้ำมาให้ พลางค่อย ๆ ประคองป้อนเหมือนที่เห็นผู้เป็นป้าทำก่อนหน้านี้ เพราะแม้ว่าหญิงสาวตรงหน้าจะไม่ฟื้น ทว่าอวิ๋นหลานก็คอยป้อนน้ำให้อยู่ตลอด แค่ก แค่กหลินจื่อเยว่พยายามประคองตัวเองนั่ง พลางกวาดตามองไปรอบ ๆ เรือนไม้ด้วยความงุนงง ช่วงที่หลับไป นางได้ฝันเห็นสตรีผู้หนึ่งซึ่งมีใบหน้าละม้ายคล้ายตน แต่รูปร่างเล็กกว่า ทั้งเส้นผมของสตรีผู้นั้นก็ยาวกว่านาง ซึ่งสตรีในความฝันทำเพียงยืนส่งยิ้มให้กับนาง ก่อนจะค่อย ๆ จางหายไป ก่อนที่นางจะเห็นเรื่องราวต่าง ๆ ของสตรีผู้นั้นชัดเจนหลินจื่อเยว่หันมองไปทางเด็กหนุ่มอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดออกมา พลันนั้นก็ได้กลิ่นสมุนไพรบรรเทาปวดที่โชยพัดเข้ามาเตะปลายจมูก ทำให้นางรู้ว่าความรู้ติด
ไม่รู้ว่าเวลาผันผ่านไปนานเท่าไร หลินจื่อเยว่รู้สึกขึ้นอีกครั้งพร้อมกับอาการปวดที่แล่นริ้วไปทั่วสรรพางค์กาย ความเจ็บปวดที่ได้รับไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ถูก แขนขาก็ขยับไม่ได้ หญิงสาวจึงคิดไปว่า มันน่าจะเป็นผลมาจากแรงอัดของระเบิดที่เกิดขึ้น นางค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ ทว่ากลับพบเข้ากับสีเขียวของใบไม้มากมายที่อยู่เบื้องหน้า ซึ่งมันไม่น่าจะเป็นแบบนั้นได้ก่อนที่สติสุดท้ายจะดับวูบไป หลินจื่อเยว่จำได้ว่าแรงระเบิดที่ห้องทดลองนั้นรุนแรงพอสมควร เธอเห็นร่างนักวิจัยรุ่นน้องกระเด็นไปอีกทาง เช่นนั้นเมื่อตื่นมาสิ่งที่นางต้องเจอถ้าไม่ใช้ฝ้าเพดานสีขาวของโรงพยาบาล ก็น่าจะต้องเป็นเศษซากของห้องทดลอง ทว่าสิ่งที่เห็นอยู่ตอนนี้มันห่างไกลจากสิ่งที่คิดเอาไว้ไปมากหลินจื่อเยว่หลับตาลงอีกครั้ง เพราะตอนนี้ความเจ็บปวดทำให้นางรู้สึกทรมานอย่างที่ไม่อาจทนได้ไหว อาศัยความเป็นหมอที่มีความสามารถทั้งในเรื่องการแพทย์แผนโบราณและแผนปัจจุบันประเมินอาการตัวเอง ซึ่งทำให้พอรู้ว่าแขนขาที่ขยับไม่ได้น่าจะเพราะหัก ทว่ารุนแรงแค่ไหนนางก็ไม่รู้ได้ และสิ่งที่นางควรทำในตอนนี้คือหาคนช่วย นางพยายามกดข่มความเจ็บปวดเอาไว้แล้วพยายามเ
กระทั่งกลุ่มชายฉกรรจ์ห้าคนเดินออกมาล้อมหน้าล้อมหลังนางเอาไว้ หลินจื่อเยว่พยายามหาทางหนีทีไล่เอาไว้ก่อนจะส่งยิ้มเจื่อนไปให้“พี่ชาย มีผู้ใดเจ็บป่วยหรือถึงได้มาดักเจอข้าเช่นนี้” หญิงสาวทำใจดีสู้เสือเอ่ยถามออกไป นางอาศัยขนาดตัวที่เล็กกว่า ใช้ปลายเท้าเตะเศษใบไม้ไปตรงหน้าแล้ววิ่งฝ่าพวกมันออกไปอย่างไม่คิดชีวิต ไม่สนทิศทางเช่นกัน โดยที่กลุ่มโจรป่าทั้งห้าคนวิ่งตามมาติด ๆ นางได้แต่คิดในใจว่า หากนางมิดื้อรั้น ทำตามที่ตกลงกับศิษย์พี่ใหญ่เอาไว้ตั้งแต่ทีแรก นางก็คงไม่ต้องมาเผชิญเรื่องราวเช่นนี้ หลินจื่อเยว่วิ่งหนีจนกระทั่งมาถึงทางตัน ด้วยเบื้องหน้าเป็นหุบเหวสูง นางยั้งฝีเท้าเอาไว้แล้วหันกลับไปเผชิญหน้ากับกลุ่มโจรป่าที่เมื่อพวกมันเห็นนางจนมุมก็ค่อย ๆ ย่างสามขุมเข้ามาช้า ๆ“แม่นาง จะวิ่งหนีให้เหนื่อยไปไย พวกข้าเพียงต้องการข้าวของมีราคาในตัวท่านเท่านั้น” หนึ่งในโจรป่าเอ่ยบอก“ข้าไม่มีสิ่งของใดมีราคาอย่างที่พวกเจ้าต้องการหรอก ยะ...อย่าเข้ามานะ”หากเป็นผู้อื่นคงยอมมอบทุกอย่างให้พวกโจรไปเพื่อรักษาชีวิตตน หากแต่หลินจื่อเยว่ได้เห็นแววตาของพวกมันแล้วย่อมรู้ว่า สิ่งที่พวกมันต้องการมิได้มีเพียงข้าวของมีราค
ภายในห้องทดลองขนาดใหญ่ ที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อให้ทำการทดลองและวิจัยยาตัวหนึ่ง การวิจัยและการทดลองกำลังเดินทางมาถึงขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งหมายถึงเป็นการจบหน้าที่ที่พวกเขากรำกันมาแรมปีแล้ว“เยว่เจี่ย ไปพักก่อนเถอะ พี่อยู่ตรงนี้มาตั้งแต่เช้าแล้วนะ เดี๋ยวฉันดูให้เอง” หญิงสาวหน้าตาน่ารักในชุดกาวน์สีขาวเดินเข้ามาบอกกับผู้ที่เป็นหัวหน้า และเป็นเสมือนพี่สาวเธออีกคนหลินจื่อเยว่ผละสายตาออกจากชาร์ตการทดลองหันไปมองเด็กสาวแล้วคลี่ยิ้มบางออกมาให้หนึ่งสาย“อาซิน แล้วเธอกินข้าวแล้วเหรอ ถึงจะมาสลับกับพี่”“กินแล้วสิ ฉันน่ะไม่ยอมหิ้วท้องรอหรอกนะ” ซินเหลียนถือวิสาสะแย่งแผ่นชาร์ตในมือมา พร้อมกับใช้สองมือดันหลังหลินจื่อเยว่ให้ออกจากห้องทดลองไปพักผ่อน ทว่ายังไม่ทันที่ร่างบางจะได้ขยับไปทางไหน พลันเสียงที่คล้ายกับกระแสไฟฟ้าชอร์ตก็ดังขึ้น เรียกสายตาของสองสาวให้หันไปมองทางเดียวกัน ทว่ายังไม่ทันได้ตั้งตัวเสียงระเบิดก็ดังขึ้นตู้ม!!!!แรงระเบิดรุนแรงจนพังครืนไปทั้งชั้น กลุ่มควันที่ขาวพวยพุ่งออกมาเป็นที่น่าตระหนกของประชาชนในเมืองเป็นอย่างมาก นัยน์ตาคู่สวยของหลินจื่อเยว่เบิกโพลงมองเห็นประกายไฟที่พวยพุ่งอ