เมืองชางแห่งนี้ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์มาก แม้ว่าช่วงน้ำหลากจะประสบกับเหตุการณ์น้ำท่วมบ่อยครั้งก็ตาม หลินจื่อเยว่ตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่ นางเดินออกมาสูดอากาศตรงหน้าต่าง ร้านรวงต่าง ๆ เริ่มเปิดไฟเปิดร้านตั้งขายอาหารกันอย่างคึกคัก รถม้าและเกวียนวิ่งไปตามท้องถนนสวนกันไปมา
ตอนเดินทางเข้าเมืองชาง หลินจื่อเยว่ก็สำรวจที่ทางมาบ้างแล้วบางส่วน เช้านี้นางจึงออกไปเดินเล่นในตลาด ส่วนหนึ่งเพราะอยากกินอาหารพื้นเมือง แต่ไม่อยากกินที่โรงเตี๊ยมด้วยว่ารู้สึกไม่สบอารมณ์กับเถ้าแก่ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมตั้งแต่เมื่อวานหญิงสาวเดินไปยังร้านอาหารเช้าร้านหนึ่งซึ่งมีเมนูโจ๊ก อากาศยามเช้าเย็นสบาย ได้กินโจ๊กร้อน ๆ ให้อุ่นท้องก็จะให้ความรู้สึกที่ดีขึ้นมากระทั่งมีบุรุษผู้หนึ่งแต่งกายมิดชิดล้มลงไปที่พื้น ทำเอาชาวบ้านต่างพากันมุงดูพลางส่งเสียงอื้ออึง กระทั่งมีคนผู้หนึ่งไปตามหมอมา “พาเจ้าหนุ่มนี่ไปที่โรงหมอข้าเถิด” หมอบุรุษเอ่ยออกมา ซึ่งก่อนจะให้ชาวบ้านช่วยพยุงคนป่วย ท่านหมอบุรุษผู้นั้นก็เอ่ยกำชับมิให้คนที่ทำหน้าที่พยุงสัมผัสผิวกายคนป่วย เนื่องจากเห็นผื่นสีแดงขึ้นมชายหนุ่มเดินออกจากโรงเตี๊ยมตรงไปยังจุดที่ทำการขุดลอกบึงน้ำ ซึ่งนอกจากทหารก็มีชาวบ้านที่เป็นบุรุษวัยฉกรรจ์มาร่วมด้วยช่วยกัน“โหราเซี่ยวเดินทางมาด้วยตัวเองเลยหรือขอรับ” เจ้ากรมโยธาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเซี่ยวจวินเดินเข้ามาใกล้“ฝ่าบาททรงเป็นกังวล เลยส่งข้ามาดูน่ะขอรับ แต่ข้าเพียงแค่มาดูเท่านั้น เจ้ากรมโยธามิต้องกังวลไป ทำตามแผนการของท่านได้เลย ข้ามิเข้าไปแทรกแซงขอรับ”การมาครั้งนี้มิได้ต้องการเข้ามาแทรกแซงการทำงานของผู้อื่นแต่อย่างใด ทว่าเขาเพียงออกมาเพื่อกิจส่วนตัวที่บังเอิญว่าเป็นสถานที่เดียวกันก็เท่านั้น ซึ่งพอฮ่องเต้หลี่เซียนรู้ว่าเขาต้องเดินทางมาเมืองชาง จึงไหว้วานให้เขาแวะมาดูเรื่องการขุดลอกบึงน้ำ เผื่อว่าขาดเหลือสิ่งใดจะได้ประสานงานไปทางวังหลวงให้จัดส่งมาให้บุรุษกายสูงล่ำกำยำในอาภรณ์สีเข้มเดินกลับไปยังโรงเตี๊ยม ซึ่งได้ห้องพักชั้นห้าที่เหลืออยู่อีกห้องหนึ่ง ยามที่มือหนาสัมผัสบานประตู ปลายหางตาก็หันไปมองบานประตูของอีกห้องหนึ่งที่อยู่ข้างกัน ไม่รู้ทำไมครั้งนี้กลับทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาพิกลหลังกลับมาที่โรงเตี๊ยมชวนชา เซี่ย
ทว่าหลินจื่อเยว่หลงลืมไปจนสิ้นว่าร่างกายนี้ของนางมิถูกชะตากับสุราเป็นที่สุด เพราะเพียงดื่มไปหยดเดียว กิริยาเดิมก็พลันเปลี่ยนไปเสียสิ้น แล้วนี่นางดื่มหมดไปทั้งขวด ทำเอาร่างอรชรก็โอนเอนไปมากระทั่งเซไปชนเข้ากับเซี่ยวจวินที่เดินกลับมาพอดีกายสาวพลันเกิดความร้อนรุ่ม ก่อนจะเงยหน้าช้อนมองใบหน้าหล่อเหลาคมคาย แล้วกัดปากยั่วยวน เพราะแอบตกใจที่บนแผ่นดินแคว้นเว่ยนี้ยังมีบุรุษที่หน้าตาตรงสเปกเธอไปจนสิ้นตั้งแต่เรือนผมจรดปลายคาง ไหนเลยรูปร่างก็กำยำสมส่วน“แม่นาง ปล่อยข้าก่อนดีหรือไม่ หากมิปล่อยเกรงว่าจะมิผลดีกับแม่นางก็ตาม” เซี่ยวจวินพยายามพูดอย่างใจเย็น“ท่าน เอ้ย คุณชาย ท่านพักที่นี่เช่นกันหรือ”“อืม”“ดื่มกับข้าก่อนสักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ”เซี่ยวจวินปรายตาไปมองน้ำเต้าที่บรรจุน้ำเมาเอาไว้ พลางส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วดันร่างอรชรให้ออกห่าง ทว่ายังเดินไปมิทันถึงครึ่งก้าว หญิงสาวก็โผกระโดดเข้ากอด สองขายกก่ายเอวสอบแล้วรัดไขว้ไว้ด้วยกันแน่น“เจ้า เจ้าทำอันใดนี่”“ไปด้วย ข้าไปกับท่านด้วย&
เซี่ยวจวินเองก็ละเลงใบลิ้นตวัดเลียยอดปทุมถันระรัว สลับซ้ายขวาไปมามิให้ข้างใดข้างหนึ่งน้อยเนื้อต่ำใจ และไม่เพียงแลบเลียหยอกเย้าเท่านั้น โพรงปากอุ่นครอบดูดเต้าทรวงเข้าไปเต็มปากเต็มคำราวกับหิวกระหายมาหลายมื้อก็มิปาน ความเสียวซ่านที่ได้รับทำเอากายบางบิดเร่าส่ายร่อนไปมา โดยหลงลืมไปว่ายามนี้ส่วนกลางกายของทั้งคู่เฉียดใกล้กันไปมาแท่งหยกแข็งแกร่งเสียดสีถูไถไปตามหน้าท้องแบนราบยามที่เจ้าของของมันรั้งกายบางให้เข้ามาแนบชิด สุดท้ายมิรู้ปิศาจราคะใดเข้าสิง มือเล็กก็เลื่อนลงไปกอบกุมแท่งหยกใหญ่โตนั้นพลางขยับข้อมือชักรูดมันเบา ๆ ทว่าเพียงเท่านั้นก็ทำเอาเซี่ยวจวินผละริมฝีปากออกมาครางฮึ่มในลำคอ“เด็กซน เจ้าคงมิอยากเดินลงจากเตียงดี ๆ ใช่หรือไม่”“เรียกข้าว่าเด็ก ตัวท่านอายุกี่หนาวกันเชียว ดูจากใบหน้าแล้วคงมิได้ห่างจากข้ามากมายนัก”“อ่า~ อาเยว่ที่รัก ปรานีบุรุษของเจ้าเถิด”หลินจื่อเยว่เร่งจังหวะฝ่ามือที่ชักรูดแท่งหยกให้เร็วขึ้น จนเซี่ยวจวินหลุดปากร้องขอความเมตตา ด้วยยังมิอยากแตกพ่ายเสียตั้งแต่ยังมิได้เข้าไปในกายนางคิ้วเรียวขมว
ทั้งสองร้องครางออกมาพร้อมกัน โดยเซี่ยวจวินนั้นทิ้งศีรษะลงซุกซบปทุมแฝดคู่งาม หากแต่มิได้ทิ้งน้ำหนักตัวลงไปมากนัก ด้วยเพราะร่างกายเขาใหญ่โตกว่าหลินจื่อเยว่มาก เสียงหอบหายใจดังสอดประสานเป็นท่วงทำนองเดียวกัน ปทุมแฝดกระเพื่อมไหวตามแรงหายใจของสตรี ไหนจะมีลมหายใจอุ่นร้อนของบุรุษที่ซุกซบเป่ารินรดชวนให้ขนอ่อนในกายพากันลุกซู่ขึ้นมาอีกครั้ง“นอนเถิด ราตรีนี้ข้าจะดูแลเจ้าเอง” เซี่ยวจวินกดจุมพิตลงบนหน้าผากมน ก่อนจะถอดถอนแท่งหยกออกจากถ้ำบุปผาจนน้ำสีขาวขุ่นไหลย้อนตามออกมาเซี่ยวจวินคว้าผ้าแพรขึ้นมาห่มร่างกายของหลินจื่อเยว่เอาไว้ ก่อนจะออกไปเรียกหาน้ำอุ่นกับเสี่ยวเอ้อร์ เพียงไม่นานสิ่งที่ต้องการก็ถูกนำมาส่ง หากแต่เมื่อเสี่ยวเอ้อร์จะนำถังน้ำอุ่นเข้าไปในห้อง ก็ถูกเซี่ยวจวินขวางเอาไว้ มิให้ได้เห็นสิ่งที่อยู่ภายในได้เลยมือหนาแย่งเอาถังน้ำและผ้าสะอาดมาจากมือเสี่ยวเอ้อร์ พลางไล่เขาทางสายตาอีกครั้ง ก่อนจะเดินกลับเข้ามาในห้อง แล้วทำการเช็ดตัวให้หลินจื่อเยว่ด้วยความทนุถนอมราวกับรักหยกถนอมบุปผาก็มิปานน้ำอุ่นลูบไล้ไปตามเรือนกายนิ่มจนสะอาด มองรอยจ้ำที่ฝากฝังไว้บนกา
หลินจื่อเยว่ออกจากห้องพักของเซี่ยวจวินได้ก็เร่งเข้าห้องของตนเอง เพื่อมิให้ผู้ใดเห็น ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่จางหมิ่นเดินขึ้นมาเพื่อให้การปรนนิบัติผู้เป็นนายของตัวเอง ทว่าก็ได้เห็นในสิ่งที่ควรจะต้องเห็น“ร่างกายนี่มันอันใดกัน เหตุใดจึงมีวิสัยเช่นนั้นเล่า ตายแน่ ๆ จื่อเยว่” หลินจื่อเยว่พึมพำกับตัวเองไปเบา ๆ จากนั้นก็เรียกหาน้ำอาบจากเสี่ยวเอ้อร์ ก่อนจะพาร่างกายไปชำระล้าง และทันทีที่อาภรณ์หลุดร่วงลงไปกองอยู่บนพื้น สายตาคู่สวยก็พลันเริ่มสำรวจร่างกายตัวเองทันที แน่นอนว่าร่องรอยที่บุรุษแปลกหน้าสำหรับนางยังคงอยู่ชัดเจน ตอกย้ำว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อราตรีที่ผ่านมามิใช่การหลุดเข้าสู่ห้วงฝันแต่อย่างใดกายอรชรซึ่งทำการเปลี่ยนใบหน้ากลับมาดังเดิมแล้วก็พาร่างกายลงไปแช่ในถังไม้ น้ำอุ่น ๆ กับกลิ่นหอมของดอกไม้และสมุนไพรอ่อน ๆ ทำให้นางรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง แผ่นหลังบอบบางเอนกายลงพิงถังไม้ พลางคิดไปถึงเรื่องเมื่อราตรีที่ผ่านมา“อาเยว่หรือ เหตุใดบุรุษผู้นั้นถึงได้เรียกข้าเช่นนั้น เรียกราวกับรู้จักข้า” สิ่งเดียวที่ยังคงค้างคาใจนางมาตั้งแต่ยามได้กลับเข้าห้องพัก ด้วยเพราะปกติแล้วมิมีบุรุษใดเรียกสตรีที่เพิ
ทันทีที่เซี่ยวจวินกลับมาถึงโรงเตี๊ยม ก็เจอจางหมิ่นยืนรออยู่แล้วด้วยสีหน้ามิสู้ดีนัก เขาเดินเข้าไปใกล้พลางเอ่ยถาม เพราะปกติแล้วเวลาเย็นย่ำเช่นนี้จางหมิ่นจะไม่เข้ามาหากไม่ได้เรียกหา“เรียนเซี่ยงซื่อ ฝ่าบาททรงประชวรแปลกขอรับ ทางวังหลวงส่งจดหมายเรียกตัวเซี่ยงซื่อกลับไปขอรับ”“งั้นเจ้าไปเตรียมตัวเถิด เราจะกลับวังหลวงกันตอนนี้เลย”เซี่ยวจวินหันไปคว้าผ้าผืนหนึ่งที่เป็นของหลินจื่อเยว่ติดมือไปด้วย ก่อนจะเดินลงจากห้องพักแล้วโหนขึ้นหลังอาชาพ่วงพีสีขาว ก่อนจะควบขี่มันออกจากโรงเตี๊ยมอย่างรวดเร็วจนฝุ่นตลบและเพราะเดินทางโดยมิหยุดพัก ทำให้พวกเขาใช้เวลาหนึ่งคืนกับอีกหนึ่งวัน ทันทีที่เข้ามาถึงเมืองหลวง เซี่ยวจวินก็ตรงเข้าไปในวังหลวงทันที “อย่าให้ผู้ใดรู้ว่าข้ากลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว” เซี่ยวจวินหันไปกำชับความกับจางหมิ่นหนึ่งคำก็ควบม้าไปอีกด้านของกำแพงวังหลวงทันที ชายหนุ่มใช้วิชาตัวเบาโหนกายข้ามกำแพงสูงเข้าไปท่ามกลางความมืดมิด ก่อนจะตรงไปยังตำหนักหลวงเสวียนโดยใช้เพียงความมืดเป็นตัวอำพรางกายตนไปเท่านั้นบรรยากาศรอบตำหนักหลงเสวียนยามนี้คล้ายมีม่านหมอกสีดำปกคลุมไปทั่ว อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความอึดอัด มือหนา
ภายในท้องพระโรงช่วงปลายยามเฉิน เหล่าข้าราชสำนักในชุดเต็มพิธีการต่างยืนรอเข้าประชุมที่ถูกเลื่อนออกมาสามวัน เนื่องจากฮ่องเต้หลี่เซียนทรงประชวร กระนั้นก็พาให้เหล่าขุนนางพูดกันไปต่าง ๆ นานา ด้วยเพราะที่ผ่านมาแม้หลี่เซียนจะมีชันษาที่มากแล้ว ทว่าร่างกายก็ยังคงแข็งแรงเช่นเดิม ถึงจะป่วยไข้บ้างแต่ก็มิเคยหนักถึงขนาดออกจากตำหนักไม่ได้เช่นนี้ระหว่างที่เหล่าขุนนางต่างพากันพูดคุยเสียงเซ็งแซ่ เซี่ยวจวินก็เดินเข้ามาภายในท้องพระโรงด้วยท่าทีนิ่งเรียบ ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ด้านหน้าสุดของแถวขุนนาง ซึ่งเป็นที่ประจำของเขา “เซี่ยวเซี่ยงซื่อ ไปเมืองชางมาเหตุใดจึงกลับมาเร็วนัก” เซี่ยวจวินหันไปหาบุรุษวัยสี่สิบปลายในชุดขุนนางสีแดงเลือดเล็กน้อย มิได้ยกมือทำการคารวะอย่างที่ผู้น้อยควรจะเป็น เพราะแน่นอนว่ามิมีผู้ใดรู้แจ้งว่าบุรุษหน้าน้ำแข็งนามว่าเซี่ยวจวินแท้จริงอายุเท่าไรกันแน่“ใต้เท้าเจียง ข้าเพียงไปตามพระประสงค์ของฝ่าบาทเท่านั้น หากแต่ผู้ที่ต้องควบคุมงานที่นั่นก็ยังคงเป็นเจ้ากรมโยธา มิอาจมีผู้ใดจะสอดมืดเข้าไปวุ่นวายได้ หรือใต้เท้าเจียงมีความเห็นเป็นประการใด” เมื่อถูกคนที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์กว่าพูดใส่หน้าเช่นนั้
เมืองชางหลินจื่อเยว่ใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองชางจนครบสิบวัน ก็เริ่มคิดหาทางสำหรับนางต่อไป ด้วยเพราะเมื่อวันก่อนนางที่เดินเที่ยวอยู่ในตลาดก็ได้ยินเถ้าแก่แผงปลาพูดคุยกันว่าถัดจากนี้ไปราวสามร้อยลี้มีเมืองขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กตั้งอยู่ นางที่ชื่นชอบการท่องยุทธภพอยู่แล้วก็มิรั้งรอให้เสียการเมื่อครบสิบวันหลินจื่อเยว่ก็เดินลงมาพร้อมคืนกุญแจให้เจ้าของโรงเตี๊ยม มิได้สนใจท่าทีพินอบพิเทาของคนสูงวัยที่มีต่อตนแม้แต่น้อยกายอรชรเดินออกจากโรงเตี๊ยมนั้นแล้วมุ่งหน้าต่อไปทางทิศใต้ คราแรกอยากไปเมืองหลวง แต่เมื่อคิดว่าอยากปักหลักถิ่นฐาน ในเมืองหลวงก็ดูจะวุ่นวายเกินไปครั้งก่อนได้อาศัยคาราวานพ่อค้ามายังเมืองชาง ทว่าคราวนี้นางเลือกใช้เงินที่มีซื้ออาชากำยำแข็งแรงมาหนึ่งตัว แม้นจะไม่ได้แข็งแรงเท่าม้าศึก แต่ก็คงพอจะเดินทางไกลได้ไม่น่าเป็นห่วงอันใดหนึ่งสตรีหนึ่งอาชามุ่งหน้าลงทางตอนใต้ของแคว้นเว่ย ธรรมชาติรอบกายให้ความรู้สึกผ่อนคลาย หลินจื่อเยว่จึงมิได้เร่งควบขี่ม้า ปล่อยให้มันเดินไปตามทางช้า ๆจนกระทั่งผ่านมาครึ่งวัน ดวงตะวันเคลื่อนคล้อยมาตรงกลางศีรษะ หลินจื่อเยว่จึง
เรื่องราวจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างเซี่ยวจวินและหลินจื่อเยว่ ถูกบอกเล่าให้กับเหล่าศิษย์พี่ทุกคนได้ฟังในค่ำคืนที่พวกเขาจัดงานฉลองต้อนรับหลานคนแรกของสำนักเจินเฉียงลุกมานั่งข้างเซี่ยวจวินพลางยกมือขึ้นตบไหล่เขาปุ ๆ อย่างเห็นใจ “น้องเขย ศิษย์น้องข้าผู้นี้นิสัยห่างไกลความเป็นสตรีปกติ ข้าเล่าเห็นใจเจ้าเสียจริง”“ใช่ ๆ พวกข้าเองก็เห็นใจเจ้า”“ศิษย์พี่ทั้งหลายรักข้าเสียจริง พากันเห็นใจบุรุษด้วยกัน ไยมิเห็นใจข้าบ้างเล่าที่มีสามีโดยที่ตอนนั้นมิรู้ว่าเขาชื่อเสียงเรียงนามอันใด”บุรุษทั้งเก้าคนพากันส่ายหน้าให้ เพราะไม่ได้รู้สึกเห็นใจสตรีเช่นศิษย์น้องเล็กอย่างที่นางเรียกร้องเลยแม้แต่น้อย“พวกท่านมิต้องเห็นใจข้าก็ได้ เพราะข้ายินยอมนางเอง มิได้ขัดขืนยามนางลุกขึ้นมาปลุกปล้ำข้า...”เพียะฝ่ามือเรียวฟาดลงบนต้นแขนแกร่งของสามีมิคิดถนอมแรง ใจจริงอยากจะแทรกกำลังภายในเข้าไปด้วยเสียด้วยซ้ำ ที่นำเรื่องน่าอายเช่นนี้ออกมาบอกเล่า ก่อนที่หลินจื่อเยว่จะหนีอุ้มเอาหลินเสวี่ยอี้เข้าไปนอนเสีย ปล่อยให้บรรดาบุรุษได้นั่ง
เทศกาลหยวนเซียวครึกครื้นไปด้วยผู้คนที่พากันออกมาชมโคมไฟกันยังจัตุรัสกลางเมืองหลวง โคมไฟกระดาษที่ถูกบรรจงเขียนภาพหรือคำกลอนขึ้นลอยไปบนฟ้ายามค่ำคืน จนทั่วนภาสว่างโร่มิต่างจากกลางวันมากมายนักเซี่ยวจวินพาหลินจื่อเยว่และหลินเสวี่ยอี้มาหยุดยืนกลางสะพาน ในมือมีโคมไฟที่เป็นรูปครอบครัวนกพิราบเผือกสีขาวนวลสามตัวเกาะอยู่บนกิ่งไม้“นกพิราบเป็นตัวแทนสันติภาพ” หลินจื่อเยว่เอ่ยขึ้นขณะทอดมองสายตาไปยังโคมไฟของพวกเขาที่ค่อย ๆ ลอยสูงขึ้น“ไม่ผิด หากแต่นกพิราบสามตัวนี้กำลังเกาะอยู่บนกิ่งไม้ ตัวผู้และตัวเมียกระพือปีกป้องลูกน้อย ข้ามองมันแทนตัวพวกเรา มีข้า มีเจ้า มีเสวี่ยอี้โผบินไปบนท้องนภาอย่างอิสระนับจากนี้”“โหราจารย์เอกแห่งวังหลวงมีคารมคมคายเช่นนี้เลยหรือ มิน่าทำให้องค์หญิงหลงใหลได้ถึงเพียงนั้น”หลินจื่อเยว่เอ่ยแซว กว่าเรื่องราวขององค์หญิงหลี่หรงเอ๋อร์จะจบลง นางแทบจะกลายร่างเป็นนางมารวันละสิบครั้ง ทว่าได้ฮ่องเต้หลี่เซียนและองค์รัชทายาทช่วยปรามจนนางถอดใจไป ก่อนจะถูกส่งตัวไปอภิเษกกับองค์ชายต่างแคว้นเพื่อเชื่อมสัมพันธ์สตรีด้วยกันม
เซี่ยวจวินอุ้มพาภรรยามาวางบนเตียงก่อนจะตามขึ้นไปคร่อมร่างเล็กเอาไว้ สายตาคู่คมไล่มองสำรวจเรือนร่างงดงามขาวผ่องไปทุกส่วนก่อนจะจับปลายเท้าเรียวขึ้นมาแล้วจรดจุมพิตไปบนหลังเท้าขาวสะอาดแผ่วเบา ยิ่งทำให้หัวใจของหลินจื่อเยว่เต้นรัวแรงหนักกว่าเดิม แม้นจะอยากดึงเท้ากลับ ทว่าก็มิอาจทำได้ เนื่องจากเซี่ยวจวินมิยอมปล่อยริมฝีปากหยักไล่พรมจูบขึ้นมาตั้งแต่ปลายเท้า ท่อนขา จนมาถึงต้นขาด้านใน เซี่ยวจวินขบเม้มมันเบา ๆ จนเกิดรอยสีกุหลาบ เซี่ยวจวินผละใบหน้าออกมาแล้วสบมองดวงตาคู่สวยครู่หนึ่ง จังหวะเดียวกันก็สอดก้านนิ้วแกร่งยาวเรียวชำแรกแทรกเข้าไปในกลีบผงางาม เรียกเสียงครางหวานจากคนตัวเล็กได้เป็นอย่างดีเซี่ยวจวินมิได้หยุดเพียงเท่านั้น ยังคงโน้มลงไปตวัดดูดดึงยอดปทุมสีหวานราวกับมันเป็นของหวานเลิศรสจากสวรรค์ก็ไม่ปาน“ภรรยาข้างดงามและหอมหวานเสียจริง”“อึก ท่านพี่”ความร้อนในกายแล่นปลาบไปทั่วเรือนร่าง ยิ่งยามที่ลิ้นของสามีดูดึงยอดปทุม คล้ายกับความร้อนยิ่งเพิ่มสูงขึ้นจนกายบางบิดเร่าไปมา ยิ่งก้านนิ้วที่สอดแทรกเข้าไปภายในกายขยับเข้าออกในจังหวะท
วันต่อมาเซี่ยวจวินเดินทางเข้าวังตั้งแต่ช่วงเช้าพร้อมด้วยหลินจื่อเยว่ หากแต่วันนี้บุตรชายมิได้มาด้วย เพราะเจ้าตัวอยากไปเที่ยวตลาดกับท่านป้าอาเยียนหลังจากได้เผยความรู้สึกของกันและกันให้ได้รับรู้ และทำการแยกห้องนอนกับหลินเสวี่ยอี้ ทั้งสองก็ช่วยกันทำงาน ให้คำปรึกษากันและกันในทุกเรื่อง แม้ว่าเซี่ยวจวินจะยกอำนาจการตัดสินใจเรื่องภายในจวนให้กับหลินจื่อเยว่ ทว่านางก็ยังถามไถ่จากพ่อบ้าน ด้วยว่าที่ผ่านเขาเป็นคนดูแลจวนนี้มาตลอดเมื่อเข้ามาถึงวังหลวงทั้งเซี่ยวจวินและหลินจื่อเยว่ก็ตรงไปยังตำหนักหลงเสวียนทันที เหิงกงกงยังคงต้อนรับทั้งสองด้วยใบหน้าแย้มยิ้มปรีดา เพราะนับจากวันที่หลินจื่อเยว่แนะนำให้หลี่เซียนแช่น้ำสมุนไพรเพื่อขับพิษ ดูเหมือนหลี่เซียนก็ค่อย ๆ แข็งแรงขึ้น“เซี่ยวจวินหรือ มา ๆ เข้ามา” เสียงของหลี่เซียนดูสดใสขึ้น“เซี่ยวจวินถวายพระพรฝ่าบาท”“จื่อเยว่ถวายพระพรฝ่าบาท”ทั้งสองเอ่ยขึ้นพลางยอบกาบย่อตัวลงคารวะตามพิธีการ“นั่งเถอะ”“พระอาการเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท&rdqu
เซี่ยวจวินตั้งใจมอบหมายงานให้กับคนอื่นดูแลต่อจากนี้ แน่นอนว่านอกจากเขาและจางหมิ่นแล้วยังมีโหราจารย์อีกท่านที่เชี่ยวชาญการทำนายดวงชะตา และพยากรณ์ความเป็นไปของบ้านเมืองได้ขณะที่เซี่ยวจวินเข้าไปจัดการงานที่เหลือเพื่อมอบหมายให้คนอื่นหลังจากนี้ หลินจื่อเยว่และหลินเสวี่ยอี้ก็พากันเดินชมสวนใกล้ ๆ กลิ่นหอมของดอกไม้นานาพรรณเรียกรอยยิ้มจากใบหน้างามได้เป็นอย่างดี นางยืนมองบุตรชายวิ่งไล่จับผีเสื้อที่เข้ามาดูดน้ำหวานจากเกสรทว่าขณะเดียวกันนั้นกลับก็ปรากฏสตรีในอาภรณ์งามสง่าบ่งบอกว่านางเป็นสตรีสูงศักดิ์เดินเข้ามา หลินจื่อเยว่จึงทำเพียงดึงบุตรชายให้หลบทาง แล้วก้มหน้าก้มตาลง“วังหลวงหาใช่สถานที่ที่ใครจะเข้าออกได้ มิทราบว่าแม่นางคือผู้ใดกัน เปิ่นกงมิเคยเห็นหน้ามาก่อน”หลี่หรงเอ๋อร์ทราบจากนางกำนัลว่าเจอเซี่ยวจวินเข้ามาในวังหลวง จึงเร่งแต่งกายแล้วรีบมาหา กระทั่งมาเจอหนึ่งเด็กหนึ่งสตรีแปลกหน้า“องค์หญิง”เสียงทุ้มของเซี่ยวจวินดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้หลี่หรงเอ๋อร์ซึ่งกำลังไม่พอใจที่นางถามหลินจื่อเยว่แต่กลับไม่ได้คำตอบ
เวลาผ่านไปค่อนคืนจนดึกสงัดแล้ว ทว่าร่างสูงที่นอนอยู่บนตั่งเตียงยังคงพลิกกายไปมาสลับซ้ายขวา จนสุดท้ายต้องผุดลุกขึ้นนั่ง แล้วถอนหายใจออกมาแรง ๆ เฮือกหนึ่ง เซี่ยวจวินผุดลุกขึ้นแล้วเปิดประตูเพื่อออกไปข้างนอก ภายในจวนยามนี้เงียบสงัดได้ยินเพียงเสียงลมยามราตรีที่พัดโบกต้นไม้ใบหน้าให้เสียดสีกันไปมา เท้าแกร่งเดินไปหยุดอยู่หน้าเรือนหมิงเยว่ แล้วถอนหายใจออกมาอีกรอบ ขณะที่ตั้งท่าจะหันหลังกลับ ประตูเรือนหมิงเยว่ก็ถูกเปิดออกมา“เซี่ยวจวิน เป็นท่านหรือ” หลินจื่อเยว่ซึ่งตื่นมาดูบุตรชายก็หลับไม่ลงอีก จึงตั้งใจว่าจะออกมาเดินเล่น แต่ไม่คิดว่าจะเจอใครอีกคนยืนอยู่“เป็นข้าเอง เจ้าออกมาทำไมกัน”“ข้าสิต้องถามท่าน ท่านมายืนตรงนี้ทำไม” หลินจื่อเยว่เดินเข้ามาหยุดยืนใกล้ ๆ“ข้า... เอ่อ... ข้าเพียงแค่... เฮ้อ ข้านอนไม่หลับ ก่อนหน้านี้บนรถม้ามีเจ้ากับเสวี่ยอี้นอนด้วยตลอด พอต้องกลับมานอนคนเดียวข้าเลยไม่ชิน”“...”“ข้าขอนอนด้วยได้หรือไม่”เซี่ยวจวินเอ่ยถามออกไปตรง ๆ และกว่าหลิ
“ฮู...ฮูหยิน”อาเยียนที่ออกมาเดินเล่นได้ยินแบบนั้นก็หันไปมองบุรุษที่แต่งกายด้วยอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มด้วยความงุนงง อีกทั้งตอนที่เดินเข้ามาก็ไม่เคยเห็นบุรุษผู้นี้มาก่อนเลย“ท่านเรียกข้าหรือ”“เอ่อ ฮูหยินจะไปพบนายท่านหรือขอรับ”“เดี๋ยวนะ อย่างแรกข้ามิใช่ฮูหยิน” อาเยียนที่พอจะเข้าใจอะไรก็พยายามจะอธิบาย ทว่าดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่รับฟังเท่าไร“แม้จะยังไม่กราบไหว้ฟ้าดินกัน หากแต่ฮูหยินเข้ามาแล้ว อย่างไรก็หนีไม่พ้นตำแหน่งนี้แน่นอนขอรับ”“ข้ายังพูดไม่จบ เจ้าก็ทึกทักไปเองทั้งหมด ข้าเพียงอยากบอกเจ้าว่า ข้ามิใช่ฮูหยิน ข้ามีนามว่าอาเยียน เป็นผู้ติดตามของนายหญิงหลินจื่อเยว่ หรือก็คนที่จะมาเป็นฮูหยินตามที่ท่านเข้าใจ”จางหมิ่นได้ยินเช่นนั้นก็หน้าม้านทั้งยังอับอายที่ทักคนผิดไปเช่นนั้น และหากสตรีตรงหน้าเอาเรื่องนี้ไปฟ้องนายหญิงของนาง มีหวังเขาเองก็คงได้รับโทษจากเซี่ยวจวินเช่นกัน“ข้าขออภัยแม่นาง ข้าไม่ทราบว่าเป็นผู้ติดตามของฮูหยิน ข้าจางหมิ่น เป็นผู้ช่วยของเซี่ยว เอ่อ นายท่า
เมืองหลวงในช่วงเช้าตรู่ดูคึกคัก เสียงรถม้าวิ่งสวนกันไปมาเคล้าไปกับเสียงพ่อค้าแม่ขายที่ตะโกนเรียกลูกค้าให้เข้ามาจับจ่ายใช้สอยกันเซ็งแซ่ รถม้าคันหรูแล่นไปหยุดหน้าเหลาอาหารที่ใหญ่ที่สุด เซี่ยวจวินเดินลงไปพลางยื่นมือไปรับเอาหลินเสวี่ยอี้มาอุ้มเอาไว้ด้วยแขนข้างเดียว ก่อนจะยื่นมือไปให้หลินจื่อเยว่“ท่านพ่อ ที่นี่คือเมืองหลวงหรือขอรับ”“ใช่แล้ว แต่พ่อเกรงว่ากว่าจะไปจวนเจ้าจะหิวเสียก่อน เลยแวะทานข้าว และเราค่อยกลับไปพักดีหรือไม่”หลินเสวี่ยอี้ยิ้มแต้พลางยกมือขึ้นลูบหน้าท้องที่กำลังร้องโครกครากขออาหาร จากนั้นทั้งสามพร้อมด้วยอาเยียนก็เดินเข้าไปด้านใน ที่ผ่านมาหลินจื่อเยว่ให้อาเยียนนั่งร่วมโต๊ะด้วยตลอด ด้วยเพราะไม่เคยเห็นว่านางเป็นเพียงสาวใช้ แต่เห็นนางเป็นเสมือนพี่สาวคนหนึ่ง“เซี่ยวจวิน เอ่อ หากข้าให้อาเยียนร่วมโต๊ะด้วย ท่าน...”“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะนายหญิง” อาเยียนรีบเอ่ยขัดขึ้น เพราะเกรงใจเซี่ยวจวินไม่น้อย แม้นางจะไม่ใช่สตรีสูงศักดิ์ หรือมาจากครอบครัวผู้ดีอันใด ทว่านางก็รู้ดีว่ามิควรเอาตัวไปเทียบเสมอผู้เป็นนา
“หยุดรถม้าก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ”เซี่ยวจวินหันมามองด้วยความไม่เข้าใจ กระนั้นก็สั่งให้หยุดรถม้าตามคำร้องขอของสตรีข้างกาย และทันทีที่รถม้าหยุดลงหลินจื่อเยว่ก็รีบลงไปทันที เซี่ยวจวินอุ้มหลินเสวี่ยอี้ตามลงไปจึงได้เห็นนางตรงเข้าไปช่วยชายชราที่กำลังนอนนิ่งหญิงชราที่กำลังนั่งร้องห่มร้องไห้อยู่เมื่อได้เห็นคนตรงเข้ามาช่วยก็พานดีใจ กระนั้นให้มองเต็มตาเท่าไรก็มองมิกระจ่างว่าผู้ที่สวมหมวกม่านมี่หลี่ปิดบังใบหน้ามองเห็นเพียงดวงตานั้นเป็นบุรุษหรือสตรี“ท่านยาย ท่านตาเป็นเช่นนี้มานานแล้วหรือไม่”“สักราว ๆ สองเค่อ ได้แล้วละ”หลินจื่อเยว่วางมือทาบลงไปตรงกลางระหว่างอกก็รับรู้ได้ว่าลมหายใจติดขัด การรักษาเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ทว่าจังหวะที่นางกำลังทำการรักษาใกล้เสร็จ จู่ ๆ ก็วางมือลง แววตาเต็มไปด้วยความเย็นชาจากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วหันหลังเดินขึ้นรถม้าไปทันที ไม่สนใจเสียงร้องคร่ำครวญของหญิงชราแม้แต่น้อย อาเยียนเองเมื่อเห็นผู้เป็นนายหันหลังให้ นางก็เดินกลับไปขึ้นรถม้าด้านหลังเช่นกัน สร้างความงุนงงให้กับเ