คุณครูสาวไม่รู้จะหาทางออกยังไงเธอจะจ่ายค่ารักษาให้ก็ได้แต่แม่ของออมสินก็คงไม่ยอม
“ครูเคยทำแบบนี้บ่อยไหมครับ”
“ไม่เลยค่ะปกติเราก็จะบอกไปตามตรงว่ากรณีไหนจะสามารถเบิกได้กรณีไหนผู้ปกครองต้องจ่ายเอง แต่กับเด็กคนนี้ครูขอเป็นกรณีพิเศษได้ไหมคะ”
“ทำไมถึงขอให้เด็กคนนี้เป็นกรณีพิเศษ ครูไม่กลัวว่าขอให้คนนี้ได้แล้วคนอื่นจะทำตามอย่างเหรอ”
“หมอคงมองว่าครูเป็นคนไม่ดีไม่ซื่อสัตย์ใช่ไหม แต่ออมสินเขาอยู่กับแม่และยายแก่ๆ แม่เขารับจ้างอ้อยค่าแรงวันหนึ่งไม่ถึงห้าร้อย ถ้าเอาเงินมารักษาแบบนี้เห็นทีจะลำบาก”
“น่าเห็นใจเหมือนกันนะครับ”
“ถ้างั้นคุณหมอไม่ช่วยครูจะจ่ายค่ารักษาให้เองก็ได้ค่ะ” แม้ว่าเงินเดือนจะไม่มากแต่มันก็คงมากว่ารายได้ของมารดาเด็กนักเรียน
กรัณย์กรไม่เคยเจอกรณีแบบนี้มาก่อนเขาเองก็สงสารและเห็นใจเธออยู่มากแต่เรื่องที่จะทำมันก็เป็นเรื่องที่ผิด
“ครูรอผมสักครู่นะครับ”
คุณหมอหนุ่มบอกกับคุณครูก่อนที่ตัวเองจะเดินออกมานอกห้องตรวจ
“พี่ต่ายครับผมมีเรื่องถามหน่อยครับ” กรัณย์กรเดินมาหาหัวหน้าพยาบาลประจำแผนกฉุกเฉิน
“มีอะไรคะหมอ”
คุณหมอหนุ่มเล่าเรื่องที่เขาคุยกับคุณครูในห้องตรวจให้กับพี่หัวหน้าพยาบาลฟังอย่างละเอียด
“ผมว่ามันถูกนะครับพี่ ทำแบบนี้คนที่เสียเปรียบก็คือบริษัทประกัน”
“ค่ะ พี่รู้แต่หมอลองมองอีกมุมสิคะ การวิ่งเล่นหกล้มกับวิ่งเล่นฟุตบอลแล้วหกล้มมันต่างกันมากไหม การเล่นฟุตบอลของเด็กเก้าขวบคือการเล่นชนิดหนึ่งเพียงแต่มันมีอุปกรณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง เด็กเขาไม่ได้ไปแข่งฟุตบอลแล้วล้มนะคะ เขาแค่วิ่งเล่น”
เพราะทำงานมานานหัวหน้าพยาบาลเลยเจอเคสที่มันก้ำกึ่งแบบนี้อยู่บ่อยๆ อย่างในกรณีนี้มันก็ไม่ใช่การแข่งกีฬาแต่มันคือการเล่นของเด็กเท่านั้นจะวิ่งเล่นแล้วหกล้มหรือวิ่งเล่นฟุตบอลแล้วหกล้มกันก็แทบไม่ต่างกันเลย
“พี่ต่ายคิดว่าผมควรจะเขียนแค่วิ่งเล่นใช่ไหม”
“พี่ไม่ได้บอกว่าให้หมอเขียนแบบไหน แต่เด็กกับการเล่นและการหกล้มเป็นของคู่กัน ไม่ว่าเขาจะเล่นอะไรเขาก็หกล้มได้”
“ผมคิดว่ารู้แล้วว่าจะต้องเขียนยังไง ขอบคุณมากครับ”
เมื่อคุยกับหัวหน้าพยาบาลแล้วกรัณย์กรก็เดินกลับเข้ามาในห้องตรวจอีกครั้ง
“ขอโทษนะครับที่ให้รอนาน”
“ไม่เป็นค่ะ หมอจะช่วยใช่ไหมคะ คะครูสัญญาเลยจะไม่บอกใครแล้วจะไม่ทำเรื่องแบบนี้อีก”
“เหมือนคุณครูจะห่วงลูกศิษย์คนนี้มากนะครับ”
“ออมสินเป็นเด็กน่ารักช่างพูดค่ะ”
“ถ้าผมช่วยแล้วคุณครูมีอะไรจะให้ผมเป็นข้อแลกเปลี่ยนไหม”
“คุณหมอจะให้ครูทำอะไรคะ ครูทำให้ได้หมดเลย”
“แน่ใจนะ”
“แน่ใจค่ะ ตกลงคุณหมอจะยอมช่วยใช่ไหม”
“ผมจะช่วยก็ได้แต่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะครับ เพราะผมก็ไม่อยากทำผิด” กรัณย์กรตัดสินใจช่วยเหลือคุณครู หลังจากฟังสิ่งที่หัวหน้าพยาบาลพูดและคิดตามอย่างถี่ถ้วนแล้ว
การซักประวัติเด็กบางครั้งมันก็มีข้อผิดพลาดได้ถ้าหากโดนตรวจสอบขึ้นมาเขาก็จะใช้ข้ออ้างนี้
“ขอบคุณค่ะคุณหมอที่ช่วย”
“เดี๋ยวคุณพาเด็กไปรับยาและอย่าลืมพามาทำแผลนะครับหนึ่งอาทิตย์ผมจะนัดมาดูแผลอีกที ถ้าระหว่างนี้เด็กซึมลง มีปวดหัวหรืออาเจียน หรือเลือดออกเยอะขึ้นก็ต้องรีบพามาหาหมอนะครับ”
“ทำแผลทุกวันเหรอคะ”
“ครับ ปกติแผลแบบนี้ไม่ต้องทำแผลทุกวันก็ได้ครับ ส่วนใหญ่ก็จะนัดมาดูวันที่ตัดไหมเลย แต่ที่ต้องมาทำแผลทุกวันเพราะแผลมีรอยถลอกและขอบไม่เรียบเท่าไหร่หมอเลยอยากให้มาทำแผลครับ” กรัณย์กรอธิบาย
“ได้ค่ะ ขอบคุณค่ะคุณหมอ” ปิ่นปินัทธ์ลุกขึ้นยืนและยกมือไหว้
“เปลี่ยนคำขอบคุณเป็นให้คุณเลี้ยงข้าวผมสักมื้อได้ไหม”
“ได้สิฉันยินดีเลยค่ะ”
“แล้วผมจะติดต่อคุณได้ยังไงล่ะ”
“ในประวัติของเด็กชายออมสินเมื่อกี้มีเบอร์โทรของของฉันอยู่ค่ะฉันชื่อครูปิ่นปินัทธ์ค่ะ”
“ผมหมอกรัณย์กรครับ ยินดีที่ได้รู้จักผมว่างวันไหนผมจะโทรไปหาคุณครู”
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะฉันขอตัวก่อนค่ะ”
ปิ่นปินัทธ์เดินออกมาจากห้องตรวจก็เจอกับออมสินและมารดาที่ตอนนี้นั่งรออยู่หน้าห้องฉุกเฉิน
“คุณครูคะหมอว่ายังไงบ้าง”
“ออมสินเย็บไปเจ็ดเข็มค่ะ แผลไม่ได้ลึกเท่าไหร่ค่ะ”
หญิงสาวอธิบายถึงอาการที่ต้องรีบพาออมสินมาหาหมอก่อนเวลานัดให้กับมารดาของเด็กชายฟังตามที่ตนเองได้คุยกับคุณหมอมาเมื่อครู่
“แม่จะคอยสังเกตค่ะ”
“เดี๋ยวคุณแม่รออยู่ตรงนี้นะคะ ครูขอไปรับยาก่อน” หญิงสาวไปรอรับยาหน้าห้องยา อยากจากนั้นก็กลับมาหาสองแม่ลูกอีกครั้ง
“มีเป็นยาแก้ปวดนะคะ เอาไว้กินตอนปวดหัวตอนนี้ฤทธิ์ยาชาน่าจะยังมีอยู่ออมสินก็เลยไม่เจ็บแผลเท่าไหร่ แล้วนี่ก็เป็นยาแก้อักเสบต้องทานให้ครบนะคะ เภสัชบอกว่ายาแก้อักเสบต้องกินให้หมดและอย่ากินร่วมกับน้ำส้มหรือพวกนมค่ะ ถ้าออมสินจะกินนมก็ให้เว้นจากยาประมาณสองชั่วโมงนะคะ”
“แล้วคุณแม่ต้องจ่ายเงินไหมคะคุณครู”
“ไม่หรอกค่ะกรณีนี้เราเบิกประกันโรงเรียนได้ แต่ถ้ามีใครถามออมสินต้องบอกว่าลื่นล้มนะครับห้ามบอกว่าเตะฟุตบอล”
“ทำไมล่ะครับครู”
“ออมสินไม่ต้องถามเหตุผลบอกแค่ว่าลื่นล้มก็พอทำได้ไหมครับ”
“ได้ครับ” เด็กชายรับปากทั้งที่ไม่เข้าใจความหมายเท่าไหร่
“คุณครูทำไมต้องให้ออมสินพูดแบบนี้ด้วยคะ” มารดาของเด็กชายถามคุณครูเพราะเธอเองก็ไม่เข้าใจเรื่องนี้เหมือนกัน
“ประกันโรงเรียนจะไม่ครอบคลุมถ้าหากอุบัติเหตุเกิดจากการเล่นกีฬาค่ะ ครูคุยกับคุณหมอให้แล้วหมอจะเขียนแค่ว่าวิ่งเล่นแล้วหกล้มตกลงไหมคะ”
“ขอบคุณค่ะครู ถ้าให้แม่ต้องจ่ายค่าหมอค่ายาอีกคงจะไม่ค่อยไหวเท่าไหร่” เพราะมีอาชีพรับจ้างหาเช้ากินค่ำการจะเอาเงินมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลหลักพันมันก็ค่อนข้างลำบาก
“ครูเข้าใจค่ะคุณแม่ ครูก็เลยคุยกับหมอให้แล้วเดี๋ยวคุณแม่พาออมสินกลับบ้านได้เลย”“แล้วพรุ่งนี้ออมสินต้องมาโรงเรียนไหมคะครู”“คุณหมอบอกว่าแผลที่ศีรษะไม่ได้เป็นอะไรมากแต่ถ้ามีไข้หรือปวดแผลมากๆ ออมสินจะหยุดอยู่บ้านก็ได้” เธอบอกตามที่ได้รับฟังมาจากพยาบาล“คือแม่ต้องไปทำงานออมสินต้องอยู่บ้านกับยายค่ะ แม่กลัวว่ายายจะเอายาให้ออมสินไม่ถูกเพราะยายแกอ่านหนังสือไม่ออกค่ะ ถ้าจะให้หยุดงานแม่ก็เอาเงินค่าจ้างของเขามาแล้ว” ท่าทางวิตกกังวลของผู้เป็นมารดาทำให้ปิ่นปินัทธ์เห็นใจและคิดว่าตนเองจะอยู่เฉยกับเรื่องนี้ไม่ได้“เอาอย่างนี้ก็ได้ค่ะ คุณแม่ให้ออมสินมาที่โรงเรียนเอายามาด้วยนะคะเดี๋ยวครูจะช่วยดูให้ แล้วตอนเย็นคุณครูจะพามาล้างแผลและจะพาไปส่งที่บ้าน”“เกรงใจคุณครูจังเลยค่ะ เรื่องล้างแผลเลิกงานแล้วแม่พาออมสินมาเองก็ได้นะคะ”“ต้องเกรงใจอะไรกันล่ะคะแม่ เพราะยังไงเวลาครูกลับบ้านก็ต้องผ่านบ้านออมสินอยู่แล้วใช่ไหม” เธอหันมาถามลูกศิษย์“ใช่ครับ บ้านครูปิ่นเลยไปข้างในบ้านเรา” เด็กชายออมสินจำได้ว่าเพราะเธอเคยเล่าให้ฟังว่าทุกครั้งว่ากลับจากโรงเรียนก็จะผ่านบ้านของเด็กชาย“แม่ไม่รู้จะขอบคุณคุณครูยังไงเลย”“ไม่เป็นไ
กรัณย์กรตรวจผู้ป่วยในห้องฉุกเฉินจนกระทั่งถึงเวลาห้าทุ่มจึงได้นั่งพักเหนื่อย เขานั่งอยู่หน้าจอเปิดคอมพิวเตอร์และดึงประวัติของเด็กชายออมสินขึ้นมาดูอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะติดใจเรื่องการทำประวัติแต่เพราะเขาอยากได้เบอร์โทรศัพท์ของคุณครูสาวที่ชื่อปิ่นปินัทธ์มากกว่า เพราะตั้งแต่ย้ายมาเป็นแพทย์ใช้ทุนที่นี่สองปีกว่าก็เขายังไม่เคยเจอผู้หญิงคนไหนที่สวยและถูกใจเท่ากับคุณครูคนนี้มาก่อนชายหนุ่มยังต้องประจำอยู่ที่โรงพยาบาลนี้อีกครึ่งปี ถ้าหากระหว่างนี้เขาจะลองคบหากับเธอมันคงพอจะมีทางเป็นไปได้เท่าที่สังเกตดูเขาคิดว่าหญิงสาวคนนี้น่าจะยังไม่มีแฟนเพราะถ้าไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ตอบรับการนัดเลี้ยงข้าวของเขาไว้ง่ายๆ แบบนี้กรัณย์กรบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของของเธอลงเครื่องของตัวเองไว้และลังเลว่าจะแอดไลน์ไปดีหรือเปล่าแต่คิดว่าจะรอเจอเธอพรุ่งนี้แล้วค่อยขออนุญาตแอดไลน์เพราะตอนนี้มันก็เป็นเวลาดึกมากแล้วเขาบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของลงเสร็จแล้วหย่อนโทรศัพท์ลงกระเป๋าเสื้อกาวน์โดยไม่ทันสังเกตว่ามือตัวเองเผลอกดเธอออก“หมอคะมีคนไข้ฉุกเฉินมากค่ะ” เสียงพยาบาลสาวทำให้เขาไม่ได้ยินเสียงปลายสายที่ตอบรับผู้ป่วยรายนี้มีอาการ ปวดท้องเกร
กรัณย์กรเดินวนอยู่หน้าห้องตรวจฉุกเฉินจนถึงเวลาสิบเจ็ดนาฬิกาก็เห็นปิ่นปินัทธ์เดินมากับเด็กชายออมสิน“สวัสดีครับคุณหมอ” เด็กชายออมสินรีบยกมือไหว้คุณหมอคนที่เย็บแผลให้กับตนเองเมื่อวาน“เป็นไงบ้างครับออมสิน เจ็บแผลอยู่ไหม”“เจ็บนิดหน่อยครับ”“สวัสดีครับครูปิ่น”“สวัสดีค่ะหมอ” ปิ่นปินัทธ์ยกมือไหว้ทำให้เขารีบยกมือรับไหว้แทบไม่ทัน“ครูไม่ต้องไหวผมหรอกครับผมยังไม่อยากแก่”“ค่ะ ปิ่นขอตัวพาออมสินไปทำแผลก่อนนะคะ”“ผมก็จะเข้าไปดูเหมือนกันอยากรู้ว่าแผลที่เย็บไปเมื่อวานเป็นยังไงบ้าง”“ค่ะหมอ”หญิงสาวส่งบัตรนัดทำแผลให้กับผู้ช่วยพยาบาลจากนั้นก็พอออมสินไปนอนบนเตียงให้พยาบาลล้างแผล“แผลติดดีนะคะหมอ พี่ว่าไม่ต้องมาล้างทุกวันก็ได้มั้งคะ”“ถ้างั้นล้างพรุ่งนี้อีกวันก็ได้ครับแล้วก็มาอีกทีวันตัดไหมเลย”“จะไม่เป็นไรใช่ไหมคะ” ปิ่นปินัทธ์ถามเพราะเธอไม่ค่อยมีความรู้เรื่องนี้“ไม่หรอกหรอกครับ แต่ถ้าระหว่างนี้มีไข้หรือเลือดซึมก็ต้องพามาครับ”“เจ็บไหม” กรัณย์กรถามเด็กชายที่วันนี้นั่งนอนนิ่งให้พยาบาลทำแผลไม่ได้งอแงอย่างเมื่อวาน“ไม่เจ็บครับ”“ตั้งแต่กลับไปบ้านเมื่อวานล่ะเจ็บไหม”“เมื่อคืนเจ็บครับ” เด็กชายนึกอยู่นานก
“แต่เด็กเขาหกล้มเองไม่ใช่เหรอครับ”“ใช่ค่ะแต่เด็กก็อยู่ในความรับผิดชอบของครู ตราบใดที่พ่อแม่เขายังไม่มารับก็เป็นหน้าที่ของครูค่ะ” ปิ่นปินัทธ์คิดว่าสิ่งที่ตนเองทำอยู่มันถูกต้องแล้ว ถ้าเธอดูแลนักเรียนดีกว่านี้ออมสินก็คงจะไม่เจ็บตัว“แต่ผมว่ามันไม่ใช่ความผิดของครูนะครับ เด็กก็ต้องซนเป็นธรรมดาอย่าคิดมากเลย หรือที่ปิ่นพูดแบบนี้เพราะแม่เขาหรือเปล่า”“เปล่าค่ะ แม่ของออมสินเขาเข้าใจค่ะ แต่ปิ่นรู้สึกผิดนิดหน่อยแค่นั้นเองค่ะ”“ผมว่าปิ่นทำดีที่สุดแล้วนะครับ”“ขอบคุณค่ะที่เข้าใจปิ่น”“เป็นครูนี่เหนื่อยเหมือนกันนะครับ”“แต่ปิ่นว่าคงเหนื่อยไม่เท่าหมอหรอกนะคะ ครูมีหน้าที่แค่สอนหนังสือและดูแลเด็กเอง ไม่เหมือนหมอที่ต้องรับผิดชอบชีวิตด้วย หมอทำงานหนักมากกว่าครูเยอะเลยค่ะ”“มันก็ถูกครับหมอเป็นอาชีพที่ทำงานหนักจริงๆ”“แต่คนก็ยังอยากเป็นหมอกันเยอะนะคะ”“ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน”“น่าจะเพราะรายได้ดีและดูมีเกียรติมั้งคะ”“ผมว่าทุกอาชีพก็มีเกียรติเหมือนกันนะครับ ผมว่าการเป็นครูไม่ง่ายเลยนะครับ ถ้าไม่มีครูดีๆ สอนมาตั้งแต่เด็กๆ ผมจะโตมาเป็นหมอได้ยังไงจริงๆ แล้วผมว่าอาชีพครูเป็นอาชีพที่น่าชื่นชมและมีเกียรติมากอาช
หลังจากที่โทรศัพท์คุยกับปิ่นปินัทธ์ทุกคืน วันนี้กรัณย์กรก็รู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้เจอเธออีกครั้ง เพราะเธอบอกเขาว่าวันนี้จะต้องพาลูกศิษย์มาตัดไหมที่โรงพยาบาลชายหนุ่มตรวจคนไข้คนอื่นเสร็จแล้วก็นั่งรอว่าเมื่อไหร่หญิงสาวจะเดินเข้ามา แต่กรัณย์กรก็ต้องผิดหวังเพราะวันนี้คนที่พาออมสินมาตัดไหมเป็นมารดาของเด็กชายแทนที่จะเป็นคุณครูปิ่นปินัทธ์“สวัสดีครับคุณหมอ / สวัสดีค่ะคุณหมอ” ออมสินและมารดายกมือไหว้“สวัสดีครับ น้องเป็นยังไงบ้างครับคุณแม่มีอาการผิดปกติอะไรไหม”“ไม่มีค่ะ”“หมอขอดูแผลหน่อยนะครับ”กรัณย์กรตรวจบาดแผลแล้วก็เห็นว่าแผลติดสนิทดีชายหนุ่มตัดไหมออกทั้งหมดจากนั้นก็ปิดพลาสเตอร์กันน้ำไว้อย่างเดิม“อย่าเพิ่งให้แผลโดนน้ำนะครับ รอให้ครบสามวันก่อนแล้วค่อยแกะพลาสเตอร์ออก”“แล้วต้องมาทำแผลอีกมั้ยคะ”“ไม่แล้วครับระหว่างนี้ก็ดูว่ามีเลือดซึมออกมาจากพลาสเตอร์ที่ปิดไว้หรือเปล่าถ้ามีอาการผิดปกติหรือรู้สึกว่าบริเวณแผลบวมขึ้นหรือมีไข้ก็ให้มาหาหมอ”“ขอบคุณมากค่ะหมอ”“ไม่วิ่งซนอีกแล้วนะครับออมสิน”“ครับคุณหมอ”“วันนี้แม่พาน้องกลับบ้านได้เลยนะครับ”“มีค่าใช้จ่ายอะไรหรือเปล่าคะคุณหมอ”“ไม่มีครับเดี๋ยวพยาบา
เช้าวันเสาร์ปิ่นปินัทธ์ตื่นนอนตั้งแต่เช้าเพื่อไปซื้อของสำหรับเตรียมทำอาหารต้อนรับหมอกรัณย์กรซึ่งจะมาทานในตอนเย็นส่วนตอนเช้าเธอคุยกับคุณยายแล้วว่าจะซื้อโจ๊กที่ตลาดเข้าไปคุณยายจะได้ไม่ต้องทำอาหารให้เหนื่อยแต่กลางวันก็คุยกันไว้แล้วว่าจะทำเย็นตาโฟทานกันหลังจากซื้อของเตรียมทำอาหารครบแล้วหญิงสาวก็แวะที่ร้านประจำร้านหนึ่งเพื่อซื้อซอสสำหรับทำเย็นตาโฟ“ซื้อของเยอะเลยนะคะครูปิ่น” เจ้าของร้านทักทาย“ค่ะพี่หนึ่ง ปิ่นซื้อของสดเข้าบ้านทุกวันเสาร์ก็เลยเยอะหน่อย พี่หนึ่งมีซอสเย็นตาโฟไหมคะ”“มีค่ะ ครูเอากี่ขวดค่ะ”“ขวดเดียวค่ะ”เมื่อแม่ค้าเอาซอสมาให้แล้วหญิงสาวก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนเองลืมซื้อผักบุ้งสำหรับใส่เย็นตาโฟมาด้วย จะใช้ผักบุ้งที่ซื้อมาผัดก็กลัวจะไม่อร่อย“พี่หนึ่งมีผักบุ้งสำหรับใส่เย็นตาโฟไหม”“มีค่ะ เอาซอสเย็นตาโฟผักบุ้งแล้วเอาอะไรอย่างอื่นเพิ่มไหมคะครู”“เอาแค่นี้ค่ะ เท่าไหร่คะ”“สามสิบห้าบาทค่ะ คิดแค่ค่าซอสนะคะ ส่วนค่าผักบุ้งพี่ไม่คิดหรอกค่ะ”“ไม่คิดได้ยังไงล่ะคะ พี่ของซื้อของขายนะ”“แต่ผักบุ้งพวกนี้พี่ปลูกไว้เองที่กระบะหลังบ้านค่ะ ครูปิ่นเอาไปได้เลยไม่ต้องเกรงใจ”“ได้ยังไงกันแบบนี้ปิ่นก็
จากเลี้ยงอาหารมื้อเย็นเพื่อเป็นการขอบคุณที่หมอกรัณย์กรช่วยเขียนประวัติให้ในครั้งนั้น ตอนนี้หมอกรัณย์กรก็ได้กลายเป็น แขกประจำที่มักจะแวะเวียนมาทานอาหารที่บ้านของปิ่นปินัทธ์บ่อยๆ จนคุณยายละมัยเริ่มสงสัยว่าทั้งสองคนกำลังคบกัน“เขาก็แค่มากินข้าวเองค่ะยาย ไม่มีอะไรหรอก” ปิ่นปินัทธ์ตอบเมื่อถูกถามว่าตอนนี้กำลังคบกับหมอกรัณย์กรหรือเปล่า“แต่ปกติยายไม่เห็นหนูพาเพื่อนที่ไหนมากินข้าวที่บ้านนะ”“ก็เพื่อนส่วนใหญ่เขาเป็นคนแถวนี้นี่คะยาย เลิกงานเขาก็กลับบ้าน แต่หมอเขาเป็นคนกรุงเทพไม่ค่อยมีเพื่อนที่นี่เท่าไหร่”“แต่ยายว่าหมอเขาต้องจีบหลานสาวของยายแน่ๆ เลยนะ”“ไม่หรอกค่ะยายปิ่นก็แค่ครูธรรมดาคนหนึ่งคนอย่างหมอเขาต้องมีแฟนเป็นหมอด้วยกันสิคะ”“ทำไมเป็นคิดแบบนั้นล่ะลูก”“ก็มันจริงนี่คะส่วนใหญ่หมอก็จะเป็นแฟนกับหมอหรือไม่ก็เป็นแฟนกับเภสัชหรือพยาบาล พวกเขาทำงานลักษณะเดียวกันคุยกันรู้เรื่องมากกว่าค่ะ”“เท่าที่ยายสังเกตยายว่าหมอรัณย์เขาต้องชอบหลานสาวของยายแน่ แล้วถ้าเกิดมันเป็นแบบนั้นจริงปิ่นคิดว่ายังไงล่ะ”“ปิ่นไม่กล้าคิดหรอกค่ะยาย”“ปิ่นตอบว่าไม่กล้าคิดแสดงว่าเคยคิดใช่ไหมล่ะ”“มันก็มีนิดหน่อยค่ะยาย หมอเขาเป็น
“ครูปิ่นคร้าบ ครูปิ่นคร้าบ ช่วยด้วย ช่วยออมสินด้วย ออมสินล้มหัวมีแต่เลือดเลยครับ” ไออุ่นเด็กชายวัยเก้าขวบวิ่งหน้าตื่นเข้ามาในห้องเรียนในเวลาสิบห้านาฬิกา“อะไรนะไออุ่น ค่อยๆ พูดแล้วนั่นทำไมเสื้อมีแต่เลือด” คุณครูสาวถามด้วยความตกใจ“ออมสินครับครูปิ่น ออมสินล้มหัวมีแต่เลือดเต็มเลย” เด็กชายตอบพร้อมกับหอบเหนื่อย“แล้วล้มอยู่ที่ไหน ไออุ่นพาครูไปหน่อย”“ล้มที่สนามฟุตบอลครับครูปิ่นครูต้องไปช่วยออมสินนะครับ”“ไออุ่นนำครูไปเลย”ปิ่นปินัทธ์ครูสาววัยยี่สิบห้าปีบอกกับลูกศิษย์ก่อนจะรีบวางการบ้านที่กำลังตรวจอยู่แล้ววิ่งตามเด็กชายไออุ่นไปยังบริเวณสนามฟุตบอลซึ่งตอนนี้เด็กๆ หลายคนกำลังมุงดูอะไรบางอย่างอยู่จนมองไม่เห็นว่าตรงกลางนั้นคืออะไร“หลบหน่อย ครูปิ่นมาแล้ว” ไออุ่นตะโกนบอกเพื่อนก่อนที่ตัวเองจะวิ่งมาถึงเมื่อเด็กๆ กระจายตัวกันออกแล้วปิ่นปินัทธ์ก็เห็นว่าตอนนี้เด็กชายออมสินนักเรียนห้องของเธอนั่งอยู่บนพื้นและกำลังร้องไห้ เสื้อนักเรียนสีขาวเปื้อนเลือดเต็มไปหมด“ออมสินเป็นอะไร เจ็บตรงไหน เอามือออกก่อนนะขอครูดูหน่อย” คุณครูสาวพยายามจะดึงมือออกแต่เด็กชายออมสินก็ไม่ยอมปล่อยมือของตนเอง“มันมีแต่เลือดเลยครับ
จากเลี้ยงอาหารมื้อเย็นเพื่อเป็นการขอบคุณที่หมอกรัณย์กรช่วยเขียนประวัติให้ในครั้งนั้น ตอนนี้หมอกรัณย์กรก็ได้กลายเป็น แขกประจำที่มักจะแวะเวียนมาทานอาหารที่บ้านของปิ่นปินัทธ์บ่อยๆ จนคุณยายละมัยเริ่มสงสัยว่าทั้งสองคนกำลังคบกัน“เขาก็แค่มากินข้าวเองค่ะยาย ไม่มีอะไรหรอก” ปิ่นปินัทธ์ตอบเมื่อถูกถามว่าตอนนี้กำลังคบกับหมอกรัณย์กรหรือเปล่า“แต่ปกติยายไม่เห็นหนูพาเพื่อนที่ไหนมากินข้าวที่บ้านนะ”“ก็เพื่อนส่วนใหญ่เขาเป็นคนแถวนี้นี่คะยาย เลิกงานเขาก็กลับบ้าน แต่หมอเขาเป็นคนกรุงเทพไม่ค่อยมีเพื่อนที่นี่เท่าไหร่”“แต่ยายว่าหมอเขาต้องจีบหลานสาวของยายแน่ๆ เลยนะ”“ไม่หรอกค่ะยายปิ่นก็แค่ครูธรรมดาคนหนึ่งคนอย่างหมอเขาต้องมีแฟนเป็นหมอด้วยกันสิคะ”“ทำไมเป็นคิดแบบนั้นล่ะลูก”“ก็มันจริงนี่คะส่วนใหญ่หมอก็จะเป็นแฟนกับหมอหรือไม่ก็เป็นแฟนกับเภสัชหรือพยาบาล พวกเขาทำงานลักษณะเดียวกันคุยกันรู้เรื่องมากกว่าค่ะ”“เท่าที่ยายสังเกตยายว่าหมอรัณย์เขาต้องชอบหลานสาวของยายแน่ แล้วถ้าเกิดมันเป็นแบบนั้นจริงปิ่นคิดว่ายังไงล่ะ”“ปิ่นไม่กล้าคิดหรอกค่ะยาย”“ปิ่นตอบว่าไม่กล้าคิดแสดงว่าเคยคิดใช่ไหมล่ะ”“มันก็มีนิดหน่อยค่ะยาย หมอเขาเป็น
เช้าวันเสาร์ปิ่นปินัทธ์ตื่นนอนตั้งแต่เช้าเพื่อไปซื้อของสำหรับเตรียมทำอาหารต้อนรับหมอกรัณย์กรซึ่งจะมาทานในตอนเย็นส่วนตอนเช้าเธอคุยกับคุณยายแล้วว่าจะซื้อโจ๊กที่ตลาดเข้าไปคุณยายจะได้ไม่ต้องทำอาหารให้เหนื่อยแต่กลางวันก็คุยกันไว้แล้วว่าจะทำเย็นตาโฟทานกันหลังจากซื้อของเตรียมทำอาหารครบแล้วหญิงสาวก็แวะที่ร้านประจำร้านหนึ่งเพื่อซื้อซอสสำหรับทำเย็นตาโฟ“ซื้อของเยอะเลยนะคะครูปิ่น” เจ้าของร้านทักทาย“ค่ะพี่หนึ่ง ปิ่นซื้อของสดเข้าบ้านทุกวันเสาร์ก็เลยเยอะหน่อย พี่หนึ่งมีซอสเย็นตาโฟไหมคะ”“มีค่ะ ครูเอากี่ขวดค่ะ”“ขวดเดียวค่ะ”เมื่อแม่ค้าเอาซอสมาให้แล้วหญิงสาวก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนเองลืมซื้อผักบุ้งสำหรับใส่เย็นตาโฟมาด้วย จะใช้ผักบุ้งที่ซื้อมาผัดก็กลัวจะไม่อร่อย“พี่หนึ่งมีผักบุ้งสำหรับใส่เย็นตาโฟไหม”“มีค่ะ เอาซอสเย็นตาโฟผักบุ้งแล้วเอาอะไรอย่างอื่นเพิ่มไหมคะครู”“เอาแค่นี้ค่ะ เท่าไหร่คะ”“สามสิบห้าบาทค่ะ คิดแค่ค่าซอสนะคะ ส่วนค่าผักบุ้งพี่ไม่คิดหรอกค่ะ”“ไม่คิดได้ยังไงล่ะคะ พี่ของซื้อของขายนะ”“แต่ผักบุ้งพวกนี้พี่ปลูกไว้เองที่กระบะหลังบ้านค่ะ ครูปิ่นเอาไปได้เลยไม่ต้องเกรงใจ”“ได้ยังไงกันแบบนี้ปิ่นก็
หลังจากที่โทรศัพท์คุยกับปิ่นปินัทธ์ทุกคืน วันนี้กรัณย์กรก็รู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้เจอเธออีกครั้ง เพราะเธอบอกเขาว่าวันนี้จะต้องพาลูกศิษย์มาตัดไหมที่โรงพยาบาลชายหนุ่มตรวจคนไข้คนอื่นเสร็จแล้วก็นั่งรอว่าเมื่อไหร่หญิงสาวจะเดินเข้ามา แต่กรัณย์กรก็ต้องผิดหวังเพราะวันนี้คนที่พาออมสินมาตัดไหมเป็นมารดาของเด็กชายแทนที่จะเป็นคุณครูปิ่นปินัทธ์“สวัสดีครับคุณหมอ / สวัสดีค่ะคุณหมอ” ออมสินและมารดายกมือไหว้“สวัสดีครับ น้องเป็นยังไงบ้างครับคุณแม่มีอาการผิดปกติอะไรไหม”“ไม่มีค่ะ”“หมอขอดูแผลหน่อยนะครับ”กรัณย์กรตรวจบาดแผลแล้วก็เห็นว่าแผลติดสนิทดีชายหนุ่มตัดไหมออกทั้งหมดจากนั้นก็ปิดพลาสเตอร์กันน้ำไว้อย่างเดิม“อย่าเพิ่งให้แผลโดนน้ำนะครับ รอให้ครบสามวันก่อนแล้วค่อยแกะพลาสเตอร์ออก”“แล้วต้องมาทำแผลอีกมั้ยคะ”“ไม่แล้วครับระหว่างนี้ก็ดูว่ามีเลือดซึมออกมาจากพลาสเตอร์ที่ปิดไว้หรือเปล่าถ้ามีอาการผิดปกติหรือรู้สึกว่าบริเวณแผลบวมขึ้นหรือมีไข้ก็ให้มาหาหมอ”“ขอบคุณมากค่ะหมอ”“ไม่วิ่งซนอีกแล้วนะครับออมสิน”“ครับคุณหมอ”“วันนี้แม่พาน้องกลับบ้านได้เลยนะครับ”“มีค่าใช้จ่ายอะไรหรือเปล่าคะคุณหมอ”“ไม่มีครับเดี๋ยวพยาบา
“แต่เด็กเขาหกล้มเองไม่ใช่เหรอครับ”“ใช่ค่ะแต่เด็กก็อยู่ในความรับผิดชอบของครู ตราบใดที่พ่อแม่เขายังไม่มารับก็เป็นหน้าที่ของครูค่ะ” ปิ่นปินัทธ์คิดว่าสิ่งที่ตนเองทำอยู่มันถูกต้องแล้ว ถ้าเธอดูแลนักเรียนดีกว่านี้ออมสินก็คงจะไม่เจ็บตัว“แต่ผมว่ามันไม่ใช่ความผิดของครูนะครับ เด็กก็ต้องซนเป็นธรรมดาอย่าคิดมากเลย หรือที่ปิ่นพูดแบบนี้เพราะแม่เขาหรือเปล่า”“เปล่าค่ะ แม่ของออมสินเขาเข้าใจค่ะ แต่ปิ่นรู้สึกผิดนิดหน่อยแค่นั้นเองค่ะ”“ผมว่าปิ่นทำดีที่สุดแล้วนะครับ”“ขอบคุณค่ะที่เข้าใจปิ่น”“เป็นครูนี่เหนื่อยเหมือนกันนะครับ”“แต่ปิ่นว่าคงเหนื่อยไม่เท่าหมอหรอกนะคะ ครูมีหน้าที่แค่สอนหนังสือและดูแลเด็กเอง ไม่เหมือนหมอที่ต้องรับผิดชอบชีวิตด้วย หมอทำงานหนักมากกว่าครูเยอะเลยค่ะ”“มันก็ถูกครับหมอเป็นอาชีพที่ทำงานหนักจริงๆ”“แต่คนก็ยังอยากเป็นหมอกันเยอะนะคะ”“ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน”“น่าจะเพราะรายได้ดีและดูมีเกียรติมั้งคะ”“ผมว่าทุกอาชีพก็มีเกียรติเหมือนกันนะครับ ผมว่าการเป็นครูไม่ง่ายเลยนะครับ ถ้าไม่มีครูดีๆ สอนมาตั้งแต่เด็กๆ ผมจะโตมาเป็นหมอได้ยังไงจริงๆ แล้วผมว่าอาชีพครูเป็นอาชีพที่น่าชื่นชมและมีเกียรติมากอาช
กรัณย์กรเดินวนอยู่หน้าห้องตรวจฉุกเฉินจนถึงเวลาสิบเจ็ดนาฬิกาก็เห็นปิ่นปินัทธ์เดินมากับเด็กชายออมสิน“สวัสดีครับคุณหมอ” เด็กชายออมสินรีบยกมือไหว้คุณหมอคนที่เย็บแผลให้กับตนเองเมื่อวาน“เป็นไงบ้างครับออมสิน เจ็บแผลอยู่ไหม”“เจ็บนิดหน่อยครับ”“สวัสดีครับครูปิ่น”“สวัสดีค่ะหมอ” ปิ่นปินัทธ์ยกมือไหว้ทำให้เขารีบยกมือรับไหว้แทบไม่ทัน“ครูไม่ต้องไหวผมหรอกครับผมยังไม่อยากแก่”“ค่ะ ปิ่นขอตัวพาออมสินไปทำแผลก่อนนะคะ”“ผมก็จะเข้าไปดูเหมือนกันอยากรู้ว่าแผลที่เย็บไปเมื่อวานเป็นยังไงบ้าง”“ค่ะหมอ”หญิงสาวส่งบัตรนัดทำแผลให้กับผู้ช่วยพยาบาลจากนั้นก็พอออมสินไปนอนบนเตียงให้พยาบาลล้างแผล“แผลติดดีนะคะหมอ พี่ว่าไม่ต้องมาล้างทุกวันก็ได้มั้งคะ”“ถ้างั้นล้างพรุ่งนี้อีกวันก็ได้ครับแล้วก็มาอีกทีวันตัดไหมเลย”“จะไม่เป็นไรใช่ไหมคะ” ปิ่นปินัทธ์ถามเพราะเธอไม่ค่อยมีความรู้เรื่องนี้“ไม่หรอกหรอกครับ แต่ถ้าระหว่างนี้มีไข้หรือเลือดซึมก็ต้องพามาครับ”“เจ็บไหม” กรัณย์กรถามเด็กชายที่วันนี้นั่งนอนนิ่งให้พยาบาลทำแผลไม่ได้งอแงอย่างเมื่อวาน“ไม่เจ็บครับ”“ตั้งแต่กลับไปบ้านเมื่อวานล่ะเจ็บไหม”“เมื่อคืนเจ็บครับ” เด็กชายนึกอยู่นานก
กรัณย์กรตรวจผู้ป่วยในห้องฉุกเฉินจนกระทั่งถึงเวลาห้าทุ่มจึงได้นั่งพักเหนื่อย เขานั่งอยู่หน้าจอเปิดคอมพิวเตอร์และดึงประวัติของเด็กชายออมสินขึ้นมาดูอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะติดใจเรื่องการทำประวัติแต่เพราะเขาอยากได้เบอร์โทรศัพท์ของคุณครูสาวที่ชื่อปิ่นปินัทธ์มากกว่า เพราะตั้งแต่ย้ายมาเป็นแพทย์ใช้ทุนที่นี่สองปีกว่าก็เขายังไม่เคยเจอผู้หญิงคนไหนที่สวยและถูกใจเท่ากับคุณครูคนนี้มาก่อนชายหนุ่มยังต้องประจำอยู่ที่โรงพยาบาลนี้อีกครึ่งปี ถ้าหากระหว่างนี้เขาจะลองคบหากับเธอมันคงพอจะมีทางเป็นไปได้เท่าที่สังเกตดูเขาคิดว่าหญิงสาวคนนี้น่าจะยังไม่มีแฟนเพราะถ้าไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ตอบรับการนัดเลี้ยงข้าวของเขาไว้ง่ายๆ แบบนี้กรัณย์กรบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของของเธอลงเครื่องของตัวเองไว้และลังเลว่าจะแอดไลน์ไปดีหรือเปล่าแต่คิดว่าจะรอเจอเธอพรุ่งนี้แล้วค่อยขออนุญาตแอดไลน์เพราะตอนนี้มันก็เป็นเวลาดึกมากแล้วเขาบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของลงเสร็จแล้วหย่อนโทรศัพท์ลงกระเป๋าเสื้อกาวน์โดยไม่ทันสังเกตว่ามือตัวเองเผลอกดเธอออก“หมอคะมีคนไข้ฉุกเฉินมากค่ะ” เสียงพยาบาลสาวทำให้เขาไม่ได้ยินเสียงปลายสายที่ตอบรับผู้ป่วยรายนี้มีอาการ ปวดท้องเกร
“ครูเข้าใจค่ะคุณแม่ ครูก็เลยคุยกับหมอให้แล้วเดี๋ยวคุณแม่พาออมสินกลับบ้านได้เลย”“แล้วพรุ่งนี้ออมสินต้องมาโรงเรียนไหมคะครู”“คุณหมอบอกว่าแผลที่ศีรษะไม่ได้เป็นอะไรมากแต่ถ้ามีไข้หรือปวดแผลมากๆ ออมสินจะหยุดอยู่บ้านก็ได้” เธอบอกตามที่ได้รับฟังมาจากพยาบาล“คือแม่ต้องไปทำงานออมสินต้องอยู่บ้านกับยายค่ะ แม่กลัวว่ายายจะเอายาให้ออมสินไม่ถูกเพราะยายแกอ่านหนังสือไม่ออกค่ะ ถ้าจะให้หยุดงานแม่ก็เอาเงินค่าจ้างของเขามาแล้ว” ท่าทางวิตกกังวลของผู้เป็นมารดาทำให้ปิ่นปินัทธ์เห็นใจและคิดว่าตนเองจะอยู่เฉยกับเรื่องนี้ไม่ได้“เอาอย่างนี้ก็ได้ค่ะ คุณแม่ให้ออมสินมาที่โรงเรียนเอายามาด้วยนะคะเดี๋ยวครูจะช่วยดูให้ แล้วตอนเย็นคุณครูจะพามาล้างแผลและจะพาไปส่งที่บ้าน”“เกรงใจคุณครูจังเลยค่ะ เรื่องล้างแผลเลิกงานแล้วแม่พาออมสินมาเองก็ได้นะคะ”“ต้องเกรงใจอะไรกันล่ะคะแม่ เพราะยังไงเวลาครูกลับบ้านก็ต้องผ่านบ้านออมสินอยู่แล้วใช่ไหม” เธอหันมาถามลูกศิษย์“ใช่ครับ บ้านครูปิ่นเลยไปข้างในบ้านเรา” เด็กชายออมสินจำได้ว่าเพราะเธอเคยเล่าให้ฟังว่าทุกครั้งว่ากลับจากโรงเรียนก็จะผ่านบ้านของเด็กชาย“แม่ไม่รู้จะขอบคุณคุณครูยังไงเลย”“ไม่เป็นไ
คุณครูสาวไม่รู้จะหาทางออกยังไงเธอจะจ่ายค่ารักษาให้ก็ได้แต่แม่ของออมสินก็คงไม่ยอม“ครูเคยทำแบบนี้บ่อยไหมครับ”“ไม่เลยค่ะปกติเราก็จะบอกไปตามตรงว่ากรณีไหนจะสามารถเบิกได้กรณีไหนผู้ปกครองต้องจ่ายเอง แต่กับเด็กคนนี้ครูขอเป็นกรณีพิเศษได้ไหมคะ”“ทำไมถึงขอให้เด็กคนนี้เป็นกรณีพิเศษ ครูไม่กลัวว่าขอให้คนนี้ได้แล้วคนอื่นจะทำตามอย่างเหรอ”“หมอคงมองว่าครูเป็นคนไม่ดีไม่ซื่อสัตย์ใช่ไหม แต่ออมสินเขาอยู่กับแม่และยายแก่ๆ แม่เขารับจ้างอ้อยค่าแรงวันหนึ่งไม่ถึงห้าร้อย ถ้าเอาเงินมารักษาแบบนี้เห็นทีจะลำบาก”“น่าเห็นใจเหมือนกันนะครับ”“ถ้างั้นคุณหมอไม่ช่วยครูจะจ่ายค่ารักษาให้เองก็ได้ค่ะ” แม้ว่าเงินเดือนจะไม่มากแต่มันก็คงมากว่ารายได้ของมารดาเด็กนักเรียนกรัณย์กรไม่เคยเจอกรณีแบบนี้มาก่อนเขาเองก็สงสารและเห็นใจเธออยู่มากแต่เรื่องที่จะทำมันก็เป็นเรื่องที่ผิด“ครูรอผมสักครู่นะครับ”คุณหมอหนุ่มบอกกับคุณครูก่อนที่ตัวเองจะเดินออกมานอกห้องตรวจ“พี่ต่ายครับผมมีเรื่องถามหน่อยครับ” กรัณย์กรเดินมาหาหัวหน้าพยาบาลประจำแผนกฉุกเฉิน“มีอะไรคะหมอ”คุณหมอหนุ่มเล่าเรื่องที่เขาคุยกับคุณครูในห้องตรวจให้กับพี่หัวหน้าพยาบาลฟังอย่างละเอ
เมื่อวางสายจากมารดาของเด็กชายออมสินแล้วปิ่นปินัทธ์ก็รีบขึ้นไปยังห้องฉุกเฉินซึ่งตอนนี้พยาบาลกำลังช่วยกันทำความสะอาดแผลของออมสินที่ยังร้องไห้ไม่หยุด“แผลลึกไหมคะคุณพยาบาล”“ไม่ลึกค่ะแต่อาจจะต้องเย็บเดี๋ยวเราจะตามหมอให้นะคะ”“ไม่ทราบว่าน้องโดนอะไรมาคะ”“น้องหกล้มหัวกระแทกก้อนหินค่ะ”ขณะที่พยาบาลกำลังทำความสะอาดแผลบนศีรษะหมอประจำห้องฉุกเฉินก็เข้ามาพอดี“หัวเด็กไปโดนอะไรมาครับ”“หกล้มกระแทกก้อนหินค่ะ”“หมอขอดูแผลหน่อยนะครับ” คุณหมอหนุ่มเดินไปตรวจแผลแล้วบอกพยาบาลให้เตรียมอุปกรณ์เย็บแผลไว้รอ“แผลเปิดแต่ไม่ลึกมากคงต้องเย็บนะครับ ผู้ปกครองเซ็นชื่อแล้วใช่ไหมครับ”“ฉันไม่ใช่ผู้ปกครองค่ะ ฉันเป็นครู”เสียงที่ตอบฟังอ่อนหวานจนคุณหมอหนุ่มที่กำลังดูแผลอยู่รีบหันหน้ามามอง ผู้หญิงคนนี้นอกจากจะเสียงหวานแล้วใบหน้าเธอก็ยังสวยหวานมากๆ อีกด้วย เธอคือผู้หญิงในสเปกของเขาชัดๆ“คุณครูเหรอครับ” เขาถามแล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตร“ค่ะ”“แล้วผู้ปกครองของเด็กจะมาถึงเมื่อไหร่”“คงอีกสักพักค่ะ ให้ฉันเซ็นชื่อแทนได้ไหม”“ได้ครับ ถ้าเซ็นชื่อแล้วก็รอด้านนอกก่อนก็ได้”“ไม่เอาผมไม่อยากอยู่คนเดียว ครูปิ่นอย่าไปไหนนะ ห้ามทิ้งผมไป