“ขอบคุณมากนะคะคุณลุงคุณป้า อาหารอร่อยมากค่ะ”
“ถ้าอร่อยหมอพั้นช์ก็มาทานบ่อยๆ สิจ๊ะ เลิกงานแล้วกลับมาพร้อมป้าเลยก็ได้นะ มาทานแล้วค่อยกลับคอนโด”
“พั้นช์เลิกงานไม่ตรงเวลาหรอกค่ะ ไม่อยากให้ทุกคนรอเอาไว้ถ้าช่วงที่งานไม่เยอะ พั้นช์ค่อยแวะมาทานข้าวด้วยนะคะ”
“ได้จ้ะ บ้านนี้ต้อนรับหมอพั้นช์ตลอด”
“พั้นช์ไปก่อนนะคะ” หญิงสาวยกมือไหว้เจ้าของบ้านอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงรถมาจอด
“จะกลับคอนโดเลยไหม หรือจะให้ผมไปส่งที่ไหน” นิโคไลถามอย่างเอาเรื่องเพราะไม่รู้ว่าวันนี้หญิงสาวคิดจะหนีเขาไปนอนที่ไหนอีก
“กลับคอนโดค่ะ”
“ได้ยินแล้วนะธนัท กลับคอนโด” พูดจบเขาก็กดปุ่มเพื่อให้ม่านกั้นระหว่างผู้โดยสารและคนขับ
“อันที่จริงคุณไม่ต้องส่งฉันที่คอนโดก็ได้นะ ส่งแค่ปากซอยก็ได้เดี๋ยวฉันนั่งแท็กซี่ไปเอง”
“ผมรับปากแม่ไว้แล้วยังไงผมก็ต้องส่งคุณให้ถึงที่”
“ฉันไม่พูด คุณไม่พูดคุณป้าไม่รู้หรอก”
“ผมเป็นคนรักษาคำพูดน่ะ ไม่เหมือนคนบางคน”
“ฉันรักษาคำพูดตลอด”
“ผมก็ไม่ได้ว่าคุณนี่ครับ”
“แต่หน้าคุณมันฟ้อง”
“ผมว่าคุณร้อนตัวมากกว่า ถ้าคุณคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดก็ไม่เห็นต้องหลบหน้าผมเลย”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ได้หลบ ลูกน้องคุณดูไม่ดีเองแล้วมาหาว่าฉันหนี”
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้คุณต้องให้ผมไปรับ”
“ได้สิ”
“กี่โมง”
“เจ็ดโมงเช้า ถ้าช้าแม้แต่วินาทีเดียวจะมาหาว่าฉันหนีไม่ได้นะ”
“แล้วคืนนี้คุณต้องไปโรงพยาบาลกลางดึกไหม”
“ไม่ วันนี้ใช่เวรฉัน”
“เวรคุณวันไหนบ้าง”
“คุณไม่ต้องรู้หรอกน่า”
“ก็ผมจะคอยรับส่งไง ถ้าไม่รู้จะเตรียมตัวทันไหมล่ะ””
“เอาเป็นว่าวันไหนเป็นเวรของฉันแล้วฉันจะบอกตกลงไหม” พัณณ์ชิตาคิดว่าเขาคงรับส่งเธอไม่กี่วันเดี๋ยวก็คงเบื่อไปเอง
“ตกลง”
“นี่คุณ ฉันถามหน่อยเถอะ คุณไม่คิดบ้างเหรอว่าสิ่งที่คุณทำอยู่นี่มันไร้สาระมากเลยนะ”
“ไม่เลย ผมทำเพื่อหลาน”
“ฉันรู้เรื่องของคุณหมดแล้วนะ เพราะฉะนั้นคุณมั่นใจได้เลยว่าจะไม่เกิดเรื่องแบบนั้นอีกอย่างแน่นอน” หญิงสาวอยากให้เขามั่นใจว่าจะไม่มีทางเกิดเรื่องแบบนั้นอีก เพราะเธอติดตามอาการของทารกน้อยกับคุณหมอไอรดาอยู่ตลอดและตอนนี้ทารกก็ไม่ได้อยู่ในขั้นวิกฤติหรือต้องกังวลอะไรเลย
“คุณรู้ได้ยังไง”
“แม่คุณเล่าให้ฉันฟัง”
“แม่เล่าให้ฟังแค่ไหน” น้อยครั้งที่เขาจะพูดถึงเรื่องนี้ให้คนอื่นฟังเพราะถือเป็นเรื่องภายในครอบครัว
“ก็เล่าว่าคุณสูญเสียลูกจากการคลอดก่อนกำหนด แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดมาก” พัณณ์ชิตาอยากให้เขาเปิดใจคุยเผื่อจะหายเครียดได้บ้าง
“อือ ผมเสียลูกไปจริงๆ ก่อนหน้านั้นไม่กี่วันเขาเหมือนอาการจะดีขึ้นนะ เริ่มหายใจเองได้ ผมก็เลยวางใจ แต่อีกสองวันต่อมาเขาก็เริ่มซึมแล้วจู่ๆ ก็หยุดหายใจ”
“ถ้าฉันเป็นคุณก็คงเสียใจมากเหมือนกัน และก็คงให้หมอชันสูตรจะได้รู้สาเหตุ พอครั้งต่อไปจะได้หาทางป้องกัน”
“ผมก็ชันสูตรนะ แต่หมอก็ไม่ได้บอกอะไรแค่บอกว่าเกี่ยวกับหัวใจ”
“ไม่นะคะ คุณป้าบอกว่าภรรยาของคุณบอกหมอไม่ให้ชันสูตรเพราะสงสารลูก”
“คุณเอาอะไรมาพูด” นิโคไลมองหน้าหญิงสาว เขาไม่เชื่อว่าอดีตภรรยาจะทำแบบนั้น
“ฉันก็พูดตามที่ได้ยินมา คุณจะมาทำหน้ายักษ์ใส่ฉันทำไมกันล่ะ ถ้าคุณอยากรู้ว่ามันจริงไหมคุณก็ไปถามภรรยาคุณดูเองสิ”
ชายหนุ่มได้แต่นิ่งเพราะเขาไม่รู้ว่าทำไม่มารีนาอดีตภรรยาของเขาถึงทำแบบนั้น
“บางทีมันก็ถูกของเธอนะ”
“ถ้าคิดว่าเธอทำถูกแล้วคุณจะทำหน้าเครียดทำไมล่ะ”
“มันคาใจ”
“คุณก็ถามเธอสิ คนเป็นสามีภรรยากันมันต้องคุยกันได้ทุกเรื่อง เพราะถ้าเป็นฉัน ฉันจะไม่ยอมให้อะไรมันค้างคาใจจนฉุดเราไม่ให้เดินไปข้างหน้า” เพราะพัณณ์ชิตาเป็นคนที่กล้าได้กล้าเสีย ถ้าอยากรู้อะไรก็ต้องรู้ให้ถึงที่สุด การรู้อย่างครึ่งๆ กลางๆ และเก็บมาคิดเองแบบนี้ไม่ใช่นิสัยของเธอ
“ผมเลิกกับเธอได้เกือบห้าปีแล้ว”
“ฉันเสียใจด้วยนะคะ และก็ขอโทษที่พูดไม่ดีกับคุณ” หญิงสาวรู้สึกผิดที่พูดกับเขาไปแบบนั้น เพราะเธอไม่รู้ว่าเขากับภรรยาเลิกกันแล้ว
“ผมไม่คิดมากแล้ว เราไปกันไม่ได้ก็เลิกกันแค่นั้นเอง แต่ที่ผมยังติดใจอยู่ก็คือเรื่องลูก” นิโคไลไม่หลงเหลือความรักให้กับมารีนาแล้วเขาจึงไม่เสียที่เลิกกับเธอ
“ฉันไม่รู้นะว่าระบบโรงพยาบาลที่ประเทศคุณเป็นยังไง แต่ที่ประเทศไทยตามโรงพยาบาลจะเก็บประวัติคนไข้ห้าปีก่อนจะทำลายทิ้ง”
“ถ้าได้ประวัติมาแล้วมันจะมีอะไรเปลี่ยนไปไหมล่ะ” นิโคไลไม่รู้ว่าตอนนี้เขาควรจะทำยังไงดี
“มันคงไม่มีอะไรเปลี่ยน แต่มันจะทำให้ความกลัวและความกังวลที่คุณมีอยู่ตอนนี้หายไปและคุณก็จะได้เลิกตามฉันไงล่ะ”
“ที่พูดมาทั้งหมดก็เพื่อตัวเองใช่ไหม”
“ก็แล้วแต่คุณจะคิดเลยนะ ถ้าคุณตามฉันจนหลานคุณออกจากโรงพยาบาลแล้วคุณคิดว่าเรื่องลูกของคุณจะจางหายไปไหมล่ะ”
“ถ้าผมได้ประวัติมา คุณจะช่วยดูไหมล่ะ” ชายหนุ่มเองก็อยากรู้และจะได้หลุดพ้นจากกังวลที่ตนเองเป็นอยู่ตอนนี้
“ฉันไม่ได้เชี่ยวชาญขนาดนั้น แต่จะหาคนที่พอรู้เรื่องช่วยดูให้ได้” พัณณ์ชิตาก็อยากช่วยเขาอย่างเต็มที่
“ขอบคุณมาก”
“อย่าเพิ่งขอบคุณเลยค่ะ ฉันไม่รู้ว่าถ้าได้แฟ้มมาแล้วเรื่องมันจะเป็นยังไงต่อ”
“แค่คุณคิดจะช่วยผมก็ดีใจแล้ว” นิโคไลรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ที่ผ่านมาเขาไม่เคยขอความช่วยเหลือจากใครและเคยมีใครเสนอจะช่วยเหลือเขา ทุกคนต่างเข้าหาเขาเพื่อผลประโยชน์ของตนเองด้วยกันทั้งนั้น
“งั้นฉันไปได้แล้วใช่ไหม”
“พรุ่งนี้ผมมารับนะ หวังว่าเราจะได้เจอกันที่นี่ไม่ใช่ที่โรงพยาบาล”
“ฉันไม่ใช่เด็กนะคะ ดีเสียอีกมีคนรับส่งฉันจะได้ไม่ต้องเหนื่อยขับรถเองไงล่ะ” พัณณ์ชิตาพยายามมองโลกในแง่ดีเอาไว้ก่อน
“ดีครับ เพราะช่วงนี้ผมก็ไม่มีอะไรทำอยู่เหมือนกัน” นิโคไลรอจนกระทั่งหญิงสาวเดินเข้าไปในคอนโดแล้วบอกธนัทกลับ
ระหว่างชายหนุ่มก็เอาแต่คิดว่ามารีนามีเหตุผลอะไรที่ไม่ให้หมอชันสูตรต่อ เธอไม่อยากรู้เหมือนเขาเหรอว่าทำไมอยู่ดีๆ ลูกถึงจากไปแบบนั้น แค่เพียงสงสารลูกมันฟังดูไม่ขึ้นเท่าไหร่
มารดาของเขาไม่เคยบอกเรื่องนี้กับเขาเลยคงเป็นเพราะไม่อยากให้เขาเก็บไปคิดมาก แต่ในเมื่อเขารู้แล้วเขาก็จะหาคำตอบว่าเพราะอะไรลูกสาวของเขาถึงเสียชีวิต แม้มันจะกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แต่มันก็จะปลดล็อกความรู้สึกของเขาอย่างที่คุณหมอคนสวยพูดไว้
เช้าวันไหมนิโคไลมารอรับพัณณ์ชิตาตามเวลานัด วันนี้เขาขับรถมาเองส่วนลูกน้องก็ให้ตามอยู่ห่างๆ เพราะกลัวว่าคุณหมอคนสวยจะอึดอัดที่คนของเขาล้อมหน้าล้อมหลังอีกอย่างเขาก็ไม่ต้องระวังตัวมากเหมือนกับอยู่รัสเซียเพราะที่นี่เขาก็แค่ประชาชนคนหนึ่งไม่ใช่นักธุรกิจผู้ทรงอิทธิพล“ปกติเช้าแบบนี้คุณทานอะไรก่อนไปทำงานไหม” เขาถามเมื่อเธอขึ้นมานั่งคู่กับเขาข้างที่นั่งคนขับเรียบร้อยแล้ว“ไม่ค่ะ”“แล้วไม่หิวเหรอ”“ฉันชินแล้วค่ะ เดี๋ยวราวน์คนไข้เสร็จก็มีของว่างและกาแฟที่โรงพยาบาลจัดไว้ให้”“วันนี้เลิกงานกี่โมง”“ถ้าเลิกงานจริงๆ ก็ประมาณห้าโมงเย็นค่ะ จากนั้นก็ราวน์คนไข้ต่อ”“ทางโรงพยาบาลให้น้องผมอยู่ต่ออีกหนึ่งอาทิตย์ผมจะไปรอที่นั่น ถ้าคุณตรวจเสร็จแล้วโทรบอกผมนะ แล้วก็เลิกบล็อกเบอร์ผมด้วย ถ้าผมตามหาคุณไม่เจอผมจะให้ทางโรงพยาบาลเป็นคนโทรตาม”“อย่านะทำแบบนั้นนะ”“ผมไม่ทำหรอกถ้าคุณทำตัวให้ติดต่อง่าย”พัณณ์ชิตาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วยกเลิกการบล็อกเบอร์ของเขาเพราะถ้าเขาให้โรงพยาบาลติดต่อเรื่องคงจะวุ่นวายและตามมาด้วยคำถามอีกมาก“ฉันยกเลิกแล้วนะ”“ก็ดีครับ พูดง่ายๆ แบบนี้ค่อยน่ารักหน่อย” เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี“คุณส่ง
การได้ใกล้ชิดกับพัณณ์ชิตามาเกือบหนึ่งเดือนทำให้มาเฟียหนุ่มอย่างนิโคไลเริ่มจะคล้อยตามความคิดของบิดาที่อยากให้เขามีภรรยาเป็นคนไทยนอกจากหญิงสาวจะสวยแล้วยังทำงานเก่งและอึดได้อย่างน่าประหลาด เขาเห็นเธอตรวจคนไข้ทั้งวัน บางวันก็มีผ่าตัด อีกทั้งบางคืนยังถูกเรียกให้มาทำคลอดหรือผ่าคลอดกลางดึกแต่ไม่เคยได้ยินเธอบนว่าเหนื่อยเลยแม้แต่ครั้งเดียวถ้าใครที่จะมาเป็นแฟนกับเธอคงคิดหนักเพราะเวลาพักแทบจะไม่มี และถ้าอีกฝ่ายต้องทำงานด้วยแล้วโอกาสจะได้อยู่กับแฟนก็คงริบหรี่ แต่สำหรับคนว่างงานอย่างนิโคไล กลับมองว่ามันไม่ใช่ปัญหาเลย เขามีเวลาให้เธอตลอดไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหน ขอแค่เธอโทรบอกเข้าก็พร้อมที่จะรับเธอไปส่งที่โรงพยาบาลเพราะวันไหนที่เธอต้องเข้าเวรชายหนุ่มจะมาเช่าโรงแรมที่ใกล้กับคอนโดของเธอเพื่อจะได้รับเธอไปส่งได้ทันเวลา“วันนี้ให้ผมไปส่งที่บ้านเหมือนเดิมใช่ไหม” เขารู้ตารางของเธอเป็นอย่างดีเพราะปกติแล้วเช้าวันเสาร์เธอจะราวน์คนไข้เสร็จแล้วจากนั้นก็จะไปค้างที่บ้านกับครอบครัว นิโคไลไปส่งเธอแค่หน้าบ้านแต่ยังไม่เคยเข้าไปรู้จักกับคนในครอบครัวของเธอเลยสักครั้งดูเหมือนว่าเธอจะค่อนข้างเว้นระยะห่างกับเขาพอสมควรแต่ม
16.30 น. ขณะที่พัณณ์ชิตากำลังจะเริ่มแต่งตัวก็มีสายเรียกเข้าจากนิโคไล หญิงสาวคิดว่าเขาโทรมาบอกว่าเปลี่ยนใจไม่ไปกับเธอแล้ว“พั้นช์”“ว่าไงคะ เปลี่ยนใจแล้วใช่ไหม”“เปล่าครับ ผมแค่จะถามว่าผมต้องแต่งตัวยังไง”“แต่งยังไงก็ได้ค่ะ ไม่ได้เป็นทางการอะไรคนที่มาก็เพื่อนกันทั้งนั้น”“ผมกลัวทำคุณขายหน้า”“ไม่หรอกค่ะ ปกติคุณก็แต่งตัวดีอยู่แล้วไม่เห็นจะต้องกังวลเลยนี่ค่ะ”“มันเป็นครั้งแรกที่ผมจะได้เจอเพื่อนคุณนี่ครับ” จากคนที่มีความมั่นใจในรูปร่างและหน้าตาของตัวเอง แต่วันนี้นิโคไลกลับรู้สึกไม่มั่นใจจนต้องโทรถาม“ให้ฉันบอกตรงๆ ไหมคะ”“ครับ บอกผมมาเลย”“คุณหล่ออยู่แล้วแต่งแบบไหนก็หล่อ”“ไม่หลอกกันนะครับ”“คุณไม่เคยส่องกระจกหรือไงคะ ถึงไม่มั่นใจแบบนี้ เอาล่ะ ฉันขอวางก่อนนะ ฉันยังแต่งตัวไม่เสร็จเลย”“ครับ ผมไม่กวนแล้วเดี๋ยวเจอกันนะ”พอวางสายแล้วพัณณ์ชิตาก็หันมาสนใจตัวเองอีกครั้ง วันนี้เธอเลือกสวมเดรสแขนกุดสีครีมยาวพอดีเข่า ดูสบายๆ ส่วนผมที่เคยรวมตึงไว้ตลอดก็ดัดปลายให้เป็นลอนดูเป็นธรรมชาติ จากนั้นแต่งเติมสีสันบนใบหน้าอีกเพียงนิดก็เรียบร้อย เธอไม่จำเป็นต้องแต่งอะไรมากเพราะวันนี้คนที่จะไปเจอก็มีแต่เพื่อนกัน
พัณณ์ชิตาแนะนำนิโคไลให้กับเพื่อนๆ จนครบทุกคนจากนั้นก็เริ่มทานอาหารจนกระทั่งทุกคนทานอิ่ม ความโกลาหลก็เกิดขึ้น เพราะแต่ละคนดูเหมือนจะไม่ได้เจอกันนานมาก ต่างฝ่ายต่างเล่าเรื่องราวที่ตัวเองเจอมาให้เพื่อนๆ ฟัง จนแยกแทบไม่ออกว่าเสียงใครเป็นเสียงใครเขาไม่เคยเห็นพัณณ์ชิตาในมุมนี้มาก่อนเลย วันนี้เธอดูร่าเริงสดใสและช่างคุยเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆ ได้เป็นอย่างดี คุยไปสักพักเธอก็หันมาถามว่าเขาเบื่อไหม พอนิโคไลส่ายหน้าหญิงสาวก็หันไปคุยกับเพื่อนต่อนิโคไลฟังที่พวกเธอคุยกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างแต่ก็ไม่ได้รู้สึกเบื่ออะไร ในทางกลับกันเข้ากลับรู้สึกเพลินด้วยซ้ำ“พั้นช์ ผมขอไปเข้าห้องน้ำนะ”“ค่ะ ถ้าเบื่อจะรอข้างนอกก็ได้นะคะ”“ไม่เป็นไรผมว่าพวกคุณคุยสนุกดี”พอบอกหญิงสาวเสร็จเขาก็เดินมาเข้าห้องน้ำและบังเอิญเจอกับคุณหมอคนหนึ่งที่กำลังเดินออกมาพอดี“คุณหมอครับ พอจะมีเวลาคุยกับผมนิดไหมครับ”“มีสิครับ ว่าแต่คุณจะไม่เข้าห้องน้ำก่อนเหรอ”“ไม่เป็นไรครับผมมีเรื่องจะถามคุณหมอนิดหน่อย”“ไปคุยกันตรงนั้นไหม” คุณหมอชี้ไปทางด้านหน้าร้านที่มีเก้าอี้หินอ่อนตั้งอยู่“ครับ” นิโคไลเดินตามมาจากนั้นทั้งสองก็นั่งลงบ
นิโคไลรีบหันหน้าเข้าหากำแพงเมื่อประตูห้องน้ำเปิดออก เพราะไม่อยากให้ผู้ชายที่คุยกันในห้องน้ำเมื่อครู่รู้ว่าตนเองแอบฟังอยู่ พอสองคนเดินไปออกไปไกลแล้ว ชายหนุ่มก็ได้แต่มองตามหลัง เพราะได้ยินแต่เสียงเลยไม่รู้ว่าคนไหนที่เคยเป็นแฟนของพัณณ์ชิตามาก่อนแต่ตอนนี้มันไม่สำคัญอีกแล้วเพราะนิโคไลตัดสินใจแล้วว่าจากนี้เขาจะจีบคุณหมอคนสวยอย่างจริงจัง เพราะตั้งแต่ได้ใกล้ชิดมาตลอดหนึ่งเดือนมันทำให้เขามั่นใจว่าพัณณ์ชิตาคือผู้หญิงที่เขาอยู่ใกล้แล้วมีความสุขโดยไม่มีเรื่องบนเตียงมาเกี่ยวข้องจะว่าไปแล้วนิโคไลก็รู้สึกแปลกใจกับตัวเองอยู่เหมือนกัน ปกติแล้วเขาไม่เคยขาดเรื่องอย่างว่าได้นานขนาดนี้มาก่อน เขาชักจะสงสัยแล้วว่าตนน่าจะกามตายด้านไปแล้วหรือไม่ก็เครียดจนไม่มีอารมณ์ทางเพศ เขารีบสลัดความคิดพวกนี้ออกจากหัวก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปจัดการธุระส่วนตัวชายหนุ่มเดินกลับมานั่งที่เดิมอีกครั้งขณะที่พัณณ์ชิตาก็กำลังนั่งฟังเพื่อนคนหนึ่งเล่าถึงการไปออกหน่อยแพทย์เคลื่อนที่ในถิ่นธุระกันดาร“หายไปนานเลยนะคะ นึกว่ากลับไปแล้ว”“พอดีมีงานให้ต้องโทรไปจัดการนิดหน่อยครับ” เขาตอบพลางขยับเข้ามาใกล้จนพัณณ์ชิตารู้สึกว่ามันใกล้จนแทบจะตั
“เฮ้อ!...” พัณณ์ชิตาถอนหายใจอย่างหนักหลังจากประตูรถปิดลง“ดูท่าเขาจะไม่ค่อยเชื่อนะว่าเราเป็นแฟนกัน”“แล้วฉันต้องทำยังไง ไม่ใช่ว่าเขาจะตามดูเราตลอดนะ”“ผมไม่รู้ว่านิสัยเขาเป็นยังไง เชื่อคนง่ายหรือเปล่า แต่อย่างมากก็คงตามถึงคอนโดนั่นแหละครับ”“ไม่ได้นะ ฉันไม่อยากให้เขารู้ว่าพักอยู่ที่ไหน” พัณณ์ชิตารู้จักนิสัยของคนรักเก่าดีว่าเป็นพวกชอบตามตื๊อ ถ้าเขารู้ว่าคอนโดเธออยู่ที่ไหนชีวิตของเธอคงจะวุ่นวายน่าดู“เขาไม่เคยไปที่นั่นเหรอครับ”“ไม่เคยค่ะ ฉันเพิ่งย้ายมาอยู่ที่คอนโดนั่นไม่นาน แต่ก่อนฉันอยู่บ้านค่ะ”“ถ้าไม่อยากให้เขาตามไปก็มีสองทางเลือกคือ ไปค้างที่บ้านผมหรือไม่เราก็ไปนั่งดื่มกันต่อ”“ถ้าเขาตามเข้าไปล่ะคะ”“เขาคงตามแน่ แต่ในนั้นคนเยอะครับ เขาคงจับตาดูเราไม่ได้ตลอดหรอก” อันที่จริงถ้าไม่อยากให้เขาตามนิโคไลก็แค่โทรบอกลูกน้องให้จัดการทุกอย่างก็เรียบร้อย แต่ที่ไม่ทำแบบนั้นเพราะอยากชวนพัณณ์ชิตาไปนั่งดื่มด้วยกันสักหน่อย เนื่องจากพรุ่งนี้เป็นวันหยุดของเธอจึงไม่ต้องรีบตื่นนอนตั้งแต่เช้า“งั้นก็ตกลงค่ะ”นิโคไลขับรถพาพัณณ์ชิตามายังผับแห่งหนึ่งที่คนค่อนข้างจะพลุกพล่านเพราะเป็นคืนวันเสาร์แต่ก่อนมาเขาใ
“อะไรนะครับ คุณจะไปภูเก็ตเหรอ ผมไม่เห็นรู้เลย คิดจะหนีผมอีกแล้วใช่ไหมพั้นช์”“พั้นช์ก็เพิ่งรู้เมื่อกี้เองค่ะ พอดีมีประชุมวิชาการที่นั่นแล้วเพื่อนของเขาพั้นช์ลงทะเบียนไว้แล้วแต่ติดธุระด่วน พอดีว่าพั้นช์มีวันลาเหลืออีกเยอะก็เลยถือโอกาสไปแทนค่ะ”“คุณจะไปกี่วัน”“ประชุม 2 วันอยู่พักผ่อนอีก 2 วันค่ะ ถามทำไมคะ อย่าบอกนะว่าจะตามไปด้วย”“ไม่ได้เหรอครับ”“พั้นช์ว่าอย่าเลยค่ะ ขอเวลาพั้นช์อยู่คนเดียวนะคะ ถ้ากลับมาแล้วจะให้คำตอบที่คุณขอ” “แล้วเขาไปด้วยไหมครับ” “ไม่ค่ะ” เพราะรู้ว่าธาวินไม่ได้เธอจึงไปแทนเพื่อน“ผมหวังว่ากลับมาผมได้ยินข่าวดีจากคุณนะ”“ไม่คิดเผื่อใจไว้หน่อยเหรอคะ”“ผมรู้ว่าระหว่างเรามันเริ่มต้นไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ที่ผ่านมาผมก็ไม่เคยทำอะไรไม่ดีกับคุณเลย ถ้าคุณไม่อคติหรือปิดกั้นตัวเองจนเกินไปผมก็ยังมีความหวัง”“ทำไมถึงคิดว่าพั้นช์ปิดกั้นตัวเองล่ะคะ”“ก็เพื่อนๆ คุณคุยกันว่านานแล้วที่คุณไม่คบใครเลย ผมไม่รู้ว่าเพราะคุณปิดกั้นตัวเองหรือเปล่า”“ไม่ใช่หรอกค่ะ ที่พั้นช์ที่พั้นช์ยังไม่คบกับใครทั้งที่อายุเยอะแล้วก็เพราะยังไม่เจอคนที่ยอมรับและเข้าใจการทำงานของพั้นช์ อีกอย่าง
พัณณ์ชิตาเข้าประชุมกับเพื่อนร่วมอาชีพที่ได้ทั้งความรู้และได้เพื่อนใหม่อีกหลายคน หลังจากประชุมเสร็จในบ่ายวันศุกร์ก็มีการจัดงานเลี้ยงเล็กๆ ขึ้นที่ห้องจัดเลี้ยงของทางโรงแรมซึ่งงานจะเริ่มในเวลาหนึ่งทุ่ม แต่หญิงสาวไม่ค่อยอยากจะไปร่วมงานสักเท่าไหร่ “ผมอยากเห็นจังว่าเย็นนี้คุณจะสวมชุดไหน” นิโคไลถามเพราะเขากลัวว่าเธอจะแต่งตัวเช็กซี่จนหมอหนุ่มๆ ตามจีบ “ก็แค่เดรสธรรมดาเองค่ะ มันเป็นงานเลี้ยงเล็กๆ ไม่ได้หรูหราอะไรหรอกค่ะ พั้นช์ไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่เลยค่ะ” “เหนื่อยเหรอครับ นี่เพิ่งห้าโมงเย็นเองนะ พั้นช์นอนพักก่อนก็ได้ งานเริ่มหนึ่งทุ่มไม่ใช่เหรอครับ” “ไม่เหนื่อยหรอกค่ะ คุณก็รู้ว่าพั้นช์อึดแค่ไหน แค่นั่งประชุมอย่างเดียวไม่เหนื่อยเลย” “แล้วทำถึงไม่อยากไปล่ะครับ” “มีบางคนที่พั้นช์ไม่ค่อยอยากเจอค่ะ” “ไหนพั้นช์บอกว่าเขาไม่ไป” นิโคไลถามอย่างร้อนรน “ค่ะ เขาไม่ได้เข้าประชุม แต่หมออีกคนที่เป็นเพื่อนสนิทของเขามาประชุม เขาเลยมาหาเพื่อนเขาเมื่อตอนบ่ายนี้ค่ะ แล้วก็คงจะมางานเลี้ยงเย็นนี้ด้วย ถ้าพั้นช์รู้มาก่อนก็คงไม่นัดเพื่อนหมอคนอ
“หมอพั้นช์ลางานตั้งหลายวันครั้งนี้จะไปเที่ยวไหนคะ” พยาบาลหน้าห้องตรวจถามคุณหมอสาวที่มักจะใช้วันหยุดไปกับการท่องเที่ยวและมีของฝากติดไม้ติดมือมาเป็นประจำ“ครั้งนี้คิดว่าจะพักผ่อนอยู่บ้านจริงๆ ค่ะ เจอกันวันจันทร์หน้านะคะ” พัณณ์ชิตาอยากให้เวลากับนิโคไลบ้างเพราะที่ผ่านมาเธอทำแต่งานหนักมาโดยตลอดพัณณ์ชิตาบอกพยาบาลที่หน้าห้องตรวจก่อนจะรีบมาขึ้นรถซึ่งนิโคไลมารออยู่ก่อนแล้ว“เหนื่อยไหมครับ” ชายหนุ่มส่งน้ำเย็นให้เธอ เขาทำแบบนี้ทุกครั้งที่มารับคนรัก“ไม่ค่ะ ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวรับน้ำมาดื่มจากนั้นทั้งสองคนก็ไปทานอาหารเย็นด้วยกันที่ร้านประจำซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากเพนท์เฮาส์“ผมขอทำงานต่ออีกนิดนะครับ” นิโคไลบอกคนรักเมื่อมาถึงบนห้อง“ได้ค่ะ”พัณณ์ชิตากลับมายังห้องนอนยังไม่ทันได้เข้าห้องน้ำก็มีข้อความจากหมอปิญชาน์แจ้งผลการตรวจเลือดและนั่นก็ทำให้เธอยิ้มออก ไม่ใช่แค่ผลจากหมอปิญชาน์ แต่เธอยังไม่ตรวจที่อื่นมาแล้วเมื่อตอนบ่าย หญิงสาวยิ้มด้วยความดีใจที่ทุกอย่างมันผ่านไปได้ เธออาบน้ำอย่างสบายใจจนลืมไปว่านิโคไลก็รอฟังผลเลือดอยู่เหมือนกันเมื่อนึกได้ว่ายังไม่ได้บอกข่าวดีกับเขาก็รีบอาบน้ำและแต่งตัวอย่างรวดเร็ว แต
วันนี้พัณณ์ชิตามาเจาะเลือดที่คลินิกของหมอปิญชาน์หลังจากที่ทานยาครบ 28 วันแล้ว ไม่ว่าผลการตรวจเลือดจะออกมายังไงนิโคไลก็ยังยืนเหมือนเดิมว่าเขาจะแต่งงานกับเธอซึ่งเหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งเดือนแล้ว “เดี๋ยวพี่จะเอาเลือดไปส่งเอง พั้นช์ไปรอฟังผลที่บ้านก็ได้นะ” “นานไหมครับหมอ” นิโคไลถาม “ไม่เกิน 2 ชั่วโมงครับ” “ถ้าผลเป็นลบก็หยุดยาแล้วมาตรวจซ้ำอีกครั้งหลังจากวันนี้อีกสองเดือน” “แล้วถ้าผลเป็นบวกล่ะครับ” “ถ้าผลเป็นบกต้องตรวจเพิ่มว่าระดับเชื้อมีมากน้อยแค่ไหนจากนั้นก็จะเริ่มทานต้านเชื้อครับ แต่ผมว่าดูแล้วโอกาสที่จะติดเชื้อแทบไม่มีเลย พั้นช์ก็อาการปกติดี” “ขอบคุณครับหมอชาน์” “พั้นช์ออกไปรอข้างนอกก่อนได้ไหม พี่ขอปรึกษาอะไรคุณนิคสักหน่อย” ปิญชาน์บอกคุณหมอรุ่นน้อง “ขอพั้นช์ฟังด้วยไม่ได้เหรอคะ” “มันเป็นเรื่องของผู้ชายพั้นช์อย่าฟังเลย” “ก็ได้ค่ะ” พัณณ์ชิตาเดินออกไปแล้วปิญชาน์ก็ให้คำแนะนำเพิ่มเติมกับนิโคไลเพราะรู้ว่าผู้ชายทุกคนนั้นมีความต้องการในเรื่องอย่างว่า “ขอบคุณค
“เป็นอะไรหรือเปล่าพั้นช์” นิโคไลถามคนรักทันทีที่เธอขึ้นมานั่งบนรถ “มีเรื่องเครียดนิดหน่อยค่ะ” “ผมช่วยอะไรได้ไหมครับ” “ใครก็ช่วยไม่ได้หรอกค่ะ” “ผมไม่รู้ว่าปัญหามันคืออะไร ถึงผมช่วยไม่ได้แต่ให้กำลังใจพั้นช์ได้ใช่ไหมครับ” เขาจับมือเล็กๆ ขึ้นมาแล้วจูบไปบนหลังมือเบาๆ “ขอบคุณค่ะนิค เรารีบกลับเถอะค่ะพั้นช์เหนื่อยมากอยากนอนพักแล้ว” “พั้นช์หลับเลยก็ได้นะครับ” พัณณ์ชิตาหลับตาลงช้าๆ เธอไม่ได้เหนื่อยอย่างที่พูดเลยสักนิดแต่เธอกำลังเครียดกับปัญหาที่ตนเองกำลังเผชิญอยู่และก็ไม่รู้เลยว่าจะเริ่มพูดกับเขายังไง “ที่รักถึงแล้วถ้าไม่ไหวให้ผมอุ้มไปนะ” “ไม่เป็นค่ะนิค พั้นช์ไหว” พอมาถึงบนห้องก็รีบอาบน้ำและเข้านอนซึ่งนิโคไลก็เข้าใจว่าคนรักเหนื่อยจากการทำงานจริงๆ เพราะเมื่อเช้าเธอบอกเขาว่าวันนี้มีผ่าตัดถึงสามเคสด้วยกัน ชายหนุ่มนั่งทำงานต่ออีกพักใหญ่ก่อนจะอาบน้ำและเข้านอนตามเธอไป พัณณ์ชิตายังนอนไม่หลับเพราะเอาแต่คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ระหว่างรอผลเลือดหนึ่งเดือนนี้เธอต้องหาทางอยู่ห่างจากเขาให้ม
อีกไม่ถึงสองเดือนก็จะถึงงานแต่งงานแล้ว การเตรียมงานเป็นไปตามแผนที่คิดไว้ ทั้งสองคนเลือกไปถ่ายพรีเวดดิ้งที่ภูเก็ตเพราะที่นั่นเป็นจุดที่ทั้งสองตกลงใช่ชีวิตร่วมกัน ตอนนี้ทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้หมดแล้วเหลือแค่รอเวลาเพียงเท่านั้น พัณณ์ชิตายังคงทำงานอย่างเดิมแต่ก็วางแผนไว้แล้วว่าหลังแต่งงานเธอจะรับขึ้นเวรให้น้อยลงเพราะอย่างแบ่งเวลาให้กับครอบครัว ซึ่งเรื่องนี้นิโคไลก็ให้เธอเป็นคนตัดสินใจเอง ส่วนเขาก็ยังคงทำงานที่บริษัทของตนเองและบิดาที่ย้ายออฟฟิศมาไว้ที่ตึกฝั่งตรงข้ามกับโรงพยาบาล “หมอพั้นช์ไหวไหมคะ” พยาบาลประจำห้องผ่าตัดถามเธอขึ้นเพราะวันนี้พัณณ์ชิตาผ่าตัดไปถึงสามเคสและเคสสุดท้ายเป็นที่ค่อนข้างหนักเพราะคนไข้มีเชื้อ HIV แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี” “ไหวค่ะพี่ไก่” “หมอพั้นช์อึดมากๆ เลยนะคะ” “พี่ไก่เหมือนกันนะคะ ถ้าไม่ได้พี่พั้นช์ก็คงแย่” เพราะพี่ไก่หรือปัทมานั้นเป็นพยาบาลที่คอยส่งเครื่องมือให้เธอในห้องผ่าตัด ทั้งสองทำงานเข้าขากันดี บางครั้งเธอแทบไม่ต้องบอกพี่พยาบาลก็หยิบเครื่องมือมารออยู่แล้ว “พี่ดูตารางผ่าตัดแล้ว เดือนนี้หมอพั
กลับมาถึงเมืองไทยชีวิตของพัณณ์ชิตาก็ดำเนินต่อไปตามปกติ ในทุกๆ วันนิโคไลจะคอยตามรับส่งจนใครๆ ต่างก็พากันอิจฉา แม้ว่าต้องทำงานบริษัทของตนเองและบิดาแต่นิโคไลก็บริหารเวลาได้ดี “พั้นช์ครับ ผมแต่งตัวโอเคไหม” “หล่อแล้วค่ะ” พัณณ์ชิตามองคนรักที่วันนี้เขาเลือกสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวต่างจากวันปกติที่มักจะสวมแต่สีโทนมืด “มันดูเข้ากับคุณไหม” “เข้าสิคะ นิคคะคุณไม่จำเป็นต้องแต่งตัวให้เข้ากับพั้นช์หรอกนะคะ แต่แบบเดิมก็ดีอยู่แล้ว” “ผมอยากเปลี่ยนตัวเองบ้าง เบื่อแล้วสีมืดๆ ดูไม่สดชื่นเลย แล้วผมก็อยากดูดีในสายตาของเพื่อนคุณ”วันนี้พัณณ์ชิตานัดทานอาหารกับเพื่อนซึ่งบังเอิญว่าเข้ามาประชุมวิชาการกันที่กรุงเทพหญิงสาวจึงนัดทานอาหารเย็นกับทุกคนและเธอก็ตั้งใจจะบอกข่าวดีให้เพื่อนๆ ได้ทราบ“เราต้องเตรียมการ์ดไปให้เพื่อนๆ ไหมครับ”“พั้นช์เอาใส่กระเป๋าไว้แล้ว ไปกันเถอะค่ะ”“เดี๋ยวสิ ลืมอะไรหรือเปล่า”“ไม่นะคะ หญิงสาวเปิดกระเป๋าถือของตนเองเช็กแล้วว่าด้านในมีการ์ดแต่งงาน โทรศัพท์รวมทั้งกระเป๋าเงินอยู่ครบแล้ว“ผมไม่ได้หมายถึงของในกระเป๋า”“แล้วหมายถึงอะไรล่ะคะ” หญิ
สายของวันใหม่พัณณ์ชิตาถึงรู้สึกตัวตื่น เมื่อคืนทั้งเธอและคนรักต่างกระโจนเข้าหากันครั้งแล้วครั้งเล่า หญิงสาวไม่คิดมาก่อนว่าตัวเองจะมีเรี่ยวแรงตอบสนองเขาได้มากขนาดนั้น เธอไม่รู้ว่ามันมากไปหรือเปล่าเพราะไม่เคยมีประสบการณ์กับคนอื่นมาก่อน แต่ถ้าถามว่ามีความสุขไหมคุณหมอสาวก็ตอบได้อย่างไม่อายเลยว่ามันมีความสุขมาก สุขจนนึกว่าทุกอย่างเป็นความฝัน เธอนึกไม่ออกเลยว่าเมื่อวานถ้านิโคไลกลับมาไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอบ้าง ถึงแม้จะยิงอังเดรไปแล้วแต่ก็ยังมีลูกน้องของเขาที่รออยู่ทางด้านนอกอีกอย่างน้อยสองคน “โทรศัพท์” พัณณ์ชิตานึกได้ว่าเมื่อวานได้อัดเสียงสนทนาไว้ จึงรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแต่ก็ต้องทรุดลงข้างเตียงเพราะขาเธอแทบมีแรงอีกทั้งยังปวดร้าวไปทั้งตัว “โอ๊ยยย...” “พั้นช์ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” นิโคไลที่เดินขึ้นมาบนห้องนอนพอได้ยินเสียงก็รีบเข้ามาพยุงเธอขึ้นมานั่งบนเตียง “นิคคะ โทรศัพท์ของพั้นช์อยู่ที่ห้องรับแขก ช่วยไปเอาให้หน่อยได้ไหมคะ” “ผมเห็นแล้วแต่แบตมันหมดตอนนี้ชาร์ตอยู่ เดี๋ยวผมเอามาให้แบตน่าจะเต็มแล้ว” พัณณ์ชิตานั่ง
เมื่อเห็นคนรักเร่าร้อนและทำทุกอย่างไปตามอารมณ์ปรารถนานิโคไลก็ต้องปล่อยไปกายปล่อยใจไปตามอารมณ์ที่เธอส่งผ่าน หญิงสาวใบหน้าแดงก่ำขณะบดเบียดโพรงอ่อนนุ่มเข้ากับความแข็งร้อนหมุนวน สะบัดส่ายไปมาทำเอาคนมากประสบการณ์อย่างเขาครางแทบไม่เป็นภาษา“สุดยอดพั้นช์ อ้าห์...ดีมาก...ที่รัก”เขามองคนรักที่ควบอยู่บนตัวเขาราวกับเป็นจ๊อกกี้สาว เธอกำลังพาตัวเองเข้าไปใกล้เส้นชัยทีละนิด นิโคไลเอื้อมมือไปฟอนเฟ้นเต้าอวบอย่างแรงจนเนื้อขาวนวลปลิ้นออกตามร่องนิ้ว ยิ่งเขากระตุ้นเธอก็ยิ่งควบเขาเร็วขึ้นราวกับจะบอกว่าเธอชอบกับการกระทำของเขามากแค่ไหน“นิคจ๋า จูบพั้นช์ได้ไหม”นิโคไลโน้มตัวคนรักลงมาบดเบียดริมฝีปากเข้าหาอย่างดูดดื่มและเร่าร้อนไปพายุตัณหาที่กำลังโหมกระหน่ำปลายลิ้นเกี่ยวกันอย่างไม่ลดละ เขากอดเธอจนหน้าอกนุ่มแนบกับแผงอกแกร่งรู้สึกถึงความร้อนจากร่างกายของเธอที่ยังไม่ลดลงเลยสักนิด“ที่รักคุณจะถึงแล้ว...”เขารู้ด้วยสัญชาตญาณเพราะตอนนี้ผนังอ่อนนุ่มในกายของเธอกำลังตอดรัดแรงและถี่รัวจนท่อนเอ็นของเขาปวดร้าว ชายหนุ่มสวนสะโพกเข้าหาโพรงอ่อนนุ่มอย่างบ้าคลั่ง“นิคขา...อื้อ...อ้าส์...”พัณณ์ชิตากรีดร้องอย
พัณณ์ชิตาปัดป่ายมือไปทั่วขณะที่อังเดรกำลังซุกไซร้ไปตามซอกคอนั่นยิ่งทำให้สติของเธอลงน้อยลงจนเกือบจะเป็นศูนย์ เธอโอบรอบลำตัวของอังเครมือไปทางด้านหลัง มือเล็กไปชนกับวัตถุแข็งเย็น หญิงสาวกัดฟันข่มความรู้สึกจากการปลุกเร้าก่อนจะดึงปืนที่เหน็บอยู่ทางด้านหลังออกมาปลดเซฟตี้ตามได้ฝึกมาจากพ่อและพี่ชาย จากนั้นก็ใช้แรงที่เหลือดันตัวเองออก แล้วจ่อปืนไปยังหน้าผากของอังเดรด้วยมือที่สั่นเทา “พั้นช์ว่าคุณอาถอยไปดีกว่านะคะ” เธอออกคำสั่งขณะที่กำลังถอยห่างจากเขาทีละนิด “ไม่เอาน่า ยังไงเธอก็หนีไม่รอดหรอก ไอ้ยาที่เธอกินลงไปนั้นยังไงก็ต้องให้คนช่วย” “แต่ต้องไม่ใช่คุณอาค่ะ เชื่อพั้นช์ ถอยออกไปก่อนที่พั้นช์จะลั่นไก” “เธอไม่กล้ายิงหรอก แค่นี้มือเธอก็สั่นไปหมดแล้ว” “ลองดูไหมล่ะ” “เธอคิดว่าแค่นี้จะขู่ฉันได้เหรอ” “ฉันไม่ได้ขู่ถ้าคุณเดินมาอีกก้าวเดียวฉันยิ่งแน่” อังเดรมองหญิงสาวที่กำลังต่อสู้กับความรู้สึกของตนเอง เขาคิดว่ายังไงเธอก็คงไม่กล้ายิง เธอจะใช้ปืนเป็นหรือเปล่าเขายังไม่แน่ใจด้วยซ้ำ เขาก้าวเท้าไปหาเธออย่างไม่
กลับจากเที่ยวเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก นิโคไลก็มีเวลาจัดการกับธุระเรื่องบริษัทของตนเอง ส่วนพัณณ์ชิตาไม่ได้ตามไปที่บริษัทด้วย หญิงสาวพักผ่อนอยู่ที่บ้านตามลำพัง บ้านของนิโคไลเป็นบ้านหลังไม่ใหญ่มาก เพราะเขาอยู่คนเดียว ในทุกๆ วันจะมีแม่บ้านมาทำความสะอาดจากนั้นก็จะกลับในเวลาเย็น วันนี้พัณณ์ชิตามีนัดดินเนอร์กับเขาที่ร้านอาหารในเวลาหนึ่งทุ่ม พอใกล้ถึงเวลานัดหญิงสาวจึงอาบน้ำแต่งตัวรอให้เขามารับ ชุดที่ใส่วันนี้เป็นเกาะอกสีแดงยาวถึงข้อเท้าแต่ผ่าทางด้านข้างถึงโคนขาสวย รองเท้าที่สวมก็เป็นรองเท้าส้นสูงสี่นิ้วซึ่งทั้งหมดนี้นิโคไลเป็นคนให้ลูกน้องเอามาส่งที่บ่ายเมื่อตอนบ่าย หญิงสาวแต่งตัวเสร็จก็ลงมานั่งรอเขาที่ห้องรับแขกและระหว่างนั้นชายหนุ่มก็โทรศัพท์เข้ามาพอดี “พั้นช์ครับ ผมอาจจะไปถึงช้าหน่อยนะครับ คุณหิวหรือยัง” “ยังเลยค่ะ เมื่อตนบ่ายพั้นช์กินขนมไปแล้ว” “พั้นช์จะไม่ถามหน่อยเหรอครับว่าทำไมผมถึงไปรับช้า” “ไม่หรอกค่ะ ถ้าคุณอยากบอกก็บอกเอง” “ทำไมพั้นช์ของผมถึงน่ารักแบบนี้นะ ผมจะไปเยี่ยมมารีนาครับ เมื่อกี