สัญญาณไฟเหนือประตูห้องผ่าตัดยังเปิดอยู่แม้ตอนนี้จะเป็นเวลาตีสามแต่ทุกคนด้านหลังประตูก็ทำงานกันอย่างเต็มที่เพื่อให้ผู้ป่วยและลูกน้อยในครรภ์รอดชีวิตหลังเกิดอุบัติเหตุรถบรรทุกแหกโค้งชนกับรถเก๋งเมื่อสองชั่วโมงก่อนคารินาก็ถูกส่งมายังโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุด เมื่อมาถึงโรงพยาบาลก็พบว่าหญิงสาวมีอาการที่น่าเป็นห่วงเพราะถูกหน้าท้องถูกสายเข็มขัดนิรภัยกระชากอย่างแรงจนทำให้ทารกในครรภ์ดิ้นน้อยลงทางโรงพยาบาลจึงต้องตามหมอเฉพาะทางเพื่อมาทำการเด็กออกก่อนแม้ว่าจะยังไม่ถึงกำหนดคลอดเพราะพิจารณาแล้วว่าอัตราการรอดชีวิตจะมากกว่าปล่อยให้อยู่ในท้องมารดาอรรถวุฒิผู้เป็นสามีรีบเซ็นชื่อให้ความยินยอมให้รับการผ่าตัดอย่างรวดเร็ว เขารู้ดีว่าถ้าหากตนเองตัดสินใจช้าเพียงเสี้ยววินาทีก็อาจจะต้องเสียคนรักทั้งสองคนไปอย่างไม่มีวันกลับหลังจากทำแผลตามร่างกายของตนเองแล้วเขาก็รีบตามมาที่หน้าห้องผ่าตัดซึ่งตอนนี้พี่ชายของภรรยามารออยู่ก่อนแล้ว“พี่นิค ผมขอโทษนะครับ”“ไม่ใช่ความผิดขอบนายหรอก รถบรรทุกนั่นต่างหากที่ขับมาเร็ว” ก่อนมาโรงพยาบาลชายหนุ่มที่ที่โรงพักมาแล้วจึงได้รู้ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะอะไร“อือ นายไม่เป็นไรมากใช่ไหม
พัณณ์ชิตาเดินลงมายังลานจอดในเวลาเกือบจะตีห้า หญิงสาวทั้งง่วงทั้งเพลียเพราะคืนก่อนหน้านี้เธอก็ผ่าตัดจนตึกและคืนนี้ก็ถูกปลุกทั้งที่เพิ่งเข้านอนไปได้ไม่ถึงสองชั่วโมงด้วยซ้ำ“ดูท่าทางแล้วหมอคนสวยคงจะเหนื่อยมากนะครับ ให้ผมขับรถไปส่งไหม” นิโคไลที่รออยู่ตรงลานจอดรถเกือบครึ่งชั่วโมงก็เดินเข้ามาหา“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันกลับเองได้”“แต่ผมอยากไปส่ง”“จะไปส่งฉันให้มันได้อะไรขึ้นมาล่ะคะ ทำไมคุณไม่เอาเวลานี้ไปเฝ้าหลานสาวหรือน้องสาวของคุณล่ะ”“เพราะที่นั่นมีคนเฝ้าเยอะแล้วไงล่ะ แต่ยังไม่มีใครเฝ้าคุณเลยสักคน”“ทำไมจะต้องเฝ้าฉันด้วยล่ะ” พัณณ์ชิตาถามอย่างไม่เข้าใจ“ก็คุณหมอบอกผมเองนี่ว่าจะรับผิดชอบ”“ใช่ ฉันเป็นคนรับผิดชอบ แต่คุณไม่จำเป็นต้องมาเฝ้าฉันแบบนี้”“จำเป็นสิ ถ้าเกิดคุณกลัวความผิดแล้วหนีไป ผมกับครอบครัวจะหาคนรับผิดชอบที่ไหนล่ะ เพราะฉะนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผมจะตามติดคุณเป็นเงาตามตัวจนกว่าหลานสาวผมจะออกจากโรงพยาบาล”“ว่างมากเหรอคะ”“ไม่ว่างแต่ก็จะพยายามวางครับ” เขาตอบด้วยท่าทางยียวน“ฉันก็บอกแล้วไงว่าฉันผ่าตัดตามข้อบ่งชี้ ไม่มีตรงไหนที่ฉันทำพลาดเลย ถ้าคุณไม่เชื่อจะลองไปถามหมอที่โรงพยาบาลอื่นดูก็ไ
หญิงสาวขึ้นมาถึงห้องตัวเองก็เหนื่อยและง่วงเกินกว่าจะอาบน้ำเธอจึงเลือกที่จะนอนบนโซฟาในห้องรับแขกแทนที่จะเข้าไปนอนบนเตียงนุ่มๆ เธอรู้สึกตัวตื่นอีกครั้งเมื่อพี่ชายที่เป็นตำรวจโทรเข้ามา“พั้นช์ตื่นหรือยัง” พชรถามน้องสาวอย่างร้อนใจ“ตื่นแล้วค่ะพี่เพชร มีอะไรหรือเปล่าคะ”“พี่ต้องถามเรามากกว่าว่าเกิดอะไรขึ้นกับพั้นช์หรือเปล่า แล้วเราไปเกี่ยวข้องกับผู้ชายคนนั้นยังไง”“เรื่องมันยาวค่ะพี่เพชร”“ก็สรุปสั้นๆ สิ”พัณณ์ชิตาเล่าให้พี่ชายฟังอย่างรวบรัดเพราะถ้าไม่เล่าก็กลัวว่าพี่ชายจะเอาเรื่องนี้ไปบอกมารดา“ประวัติเขาเท่าที่พี่หาได้ก็คือเขาเป็นนักธุรกิจทั่วๆ ไป แต่ค่อนข้างมีอิทธิพลในรัสเซีย”“เขาคงไม่ทำอะไรพั้นช์หรอกค่ะพี่เพชร พั้นช์ก็แค่หมอตัวเล็กเองๆ” หญิงสาวบอกพี่ชายทั้งที่ตัวเองก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ เพราะท่าทางของผู้ชายที่ชื่อนิโคไลนั้นเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน“แล้วเรื่องน้องสาวของเขาล่ะ เรามั่นใจใช่ไหมว่าไม่มีอะไรผิดพลาดให้เขาตามเอาเรื่องได้”“มั่นใจสิคะ พี่เพชรถามเหมือนไม่เชื่อฝีมือน้องสาวเลยนะคะ” พัณณ์ชิตาถามพี่ชายกลับ“เชื่อสิ แต่ที่ถามย้ำก็เพราะพี่รู้มาว่าเขาคนนี้เป็นคนรักครอบครัวมาก ถ้าเกิด
นิโคไลเดินเข้ามาในห้องพักฟื้นของน้องสาวซึ่งในเวลานี้ผ้าม่านบริเวณเตียงผู้ป่วยถูกปิดไว้เขาเลยมานั่งที่มุมห้องรวมกับมารดาที่มาเยี่ยมน้องสาวตั้งแต่เช้า“ไปไหนมาล่ะนิค ดูเหมือนคนไม่ได้นอนเลยนะ” มารดาของชายหนุ่มที่เป็นคนช่างสังเกตถามลูกชายตัวดีที่เมื่อคืนก็ไม่ยอมกลับไปนอนที่บ้าน“นอนไม่หลับครับแม่ เป็นห่วงยายหนู แม่ไปดูยายหนูมาหรือยังครับ”“ไปมาแล้วจ้ะ ยายหนูตัวเล็กมาก แม่ล่ะอดเป็นห่วงไม่ได้ นี่หมอก็ให้น้องเราปั๊มนมไปส่ง แต่หมอก็ยืนยันนะว่าทุกอย่างไม่มีปัญหาอะไร”“ก็ลองมีปัญหาสิ ผมจะจับตัวมาลงโทษให้หมดเลยคอยดู”“ใจเย็นสินิค” นิชาภาปรามลูกชาย“จะเย็นได้ยังไงครับแม่ แม่ยังไม่เจอหมอที่ผ่าเอาเด็กแกใช่ไหมล่ะ” “ทำไม หมอมีปัญหาอะไรหรือเปล่าลูก”“ไม่มีหรอกครับแม่ พี่นิคเขาก็แค่กังวลเกินเหตุ”“นายก็เขาข้างหมออีกคนเหรอ หรือว่าเพราะเห็นว่าเธอสวยหน่อยก็เลยเข้าข้างกัน”“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย ผมว่าหมอทำถูกแล้วที่รีบผ่าเอาเด็กออก ถ้ารอนานไปจะเป็นอันตรายทั้งแม่และลูกได้นะครับ” อรรถวุฒิอธิบายตามที่เขาเข้าใจเพราะก่อนตกลงให้ผ่าตัดเขาก็ได้รับการอธิบายอย่างละเอียด“แต่หมอยังเด็กมากเลยนะครับ ไม่รู้ว่ายังเรีย
หลังจากตรวจร่างกายของคารินาแล้วพัณณ์ชิตาก็บอกถึงอาการของลูกสาวให้กับเธอทราบเพราะก่อนจะมาที่นี่คุณหมอสาวแวะไปสอบถามอาการของเด็กทารกมาก่อนแล้วเพื่อให้คุณแม่ได้สบายใจ“หมอคะ เคทขอไปดูลูกได้ไหมคะ”“ได้ค่ะ แต่ต้องหลังจากที่คนไข้ไม่มีอาการเวียนหัวแล้วนะคะ”“ตอนนี้เคทก็ไม่ค่อยเวียนหัวแล้วนะคะ”“เอาไว้ตอนบ่ายหมอจะให้พยาบาลมาถามอาการอีกครั้งนะคะ ถ้าไม่มีอาหารเวียนหัวเลย หมอจะให้พยาบาลพาไปที่ห้องเด็กนะคะ”“ขอบคุณค่ะหมอ”“คนไข้มีอะไรสงสัยจะถามหมอเพิ่มเติมไหมคะ”“เคทอยากรู้ว่านมที่เอาไปลูกเคทกินได้ไหมคะ”“ได้ค่ะ พยาบาลจะแบ่งให้มือละนิดหน่อยค่ะ แต่คนไข้ก็ต้องปั๊มนมเก็บไว้นะคะ ช่วงแรกนมจะมาน้อยแต่ถ้าเราปั๊มออกมาบ่อยๆ ทุกสองชั่วโมงอีกหน่อยน้ำนมก็จะเยอะเองค่ะ เดี๋ยวหมอจะให้พยาบาลมาสอนการปั๊มนมและเก็บนมใส่ถุงอีกครั้งนะคะ” เมื่อคนไข้ไม่มีข้อสงสัยคุณหมอก็ขอตัวกลับ“วันนี้วันเสาร์หมอตรวจเสร็จแล้วจะไปหรือเปล่าจ๊ะ”“ไม่หรอกค่ะ คุณป้ามีอะไรหรือเปล่าคะ”“ป้ามีเรื่องจะปรึกษาหน่อยจ้ะ พอจะมีที่ส่วนตัวคุยกันหน่อยไหม”“แม่ครับ คุยที่นี่ก็ได้ มีแต่พวกเรากันเองทั้งนั้น” นิโคไลรีบบอกเพราะกลัวว่าถ้าคุณหมอมีโอกาสอยู่ต
พัณณ์ชิตาราวน์คนไข้จนครบทุกคนแล้วก็กำลังคิดหาทางกลับคอนโดของตนเองโดยไม่ให้คนของนิโคไลที่เตร็ดเตร่อยู่หน้าประตูโรงพยาบาลรู้ แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออกจนกระทั่งได้ยินพยาบาลที่วอร์ดคุยกันว่าเที่ยงนี้รถพยาบาลจะออกไปให้บริการประชาชนที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง“พี่ภัทรคะ จะเป็นไรไหมคะถ้าพั้นช์จะขอติดรถไปที่ห้างด้วยค่ะ”“ได้สิคะ วันนี้หมอพั้นช์ไม่เอารถมาเหรอคะ”“ค่ะ เมื่อเช้าติดรถเพื่อนมาน่ะคะ”“หมอให้แผนกรับส่งเอารถคันอื่นไปส่งที่คอนโดได้นะคะ ไม่ต้องนั่งรถพยาบาลไปก็ได้” จิตาภัทรบอกคุณหมอคนสวยเพราะปกติแล้วที่โรงพยาบาลก็จะมีรถไว้คอยรับส่งบุคลากรต่างหากอยู่แล้ว“ไม่เป็นไรค่ะ พั้นช์ว่าจะไปเดินเล่นที่ห้างอยู่พอดี”“งั้นไปรอที่รถเลยนะคะ ตอนนี้เขากำลังเตรียมของกันอยู่เดี๋ยวพี่โทรบอกให้เขารอนะคะ”“ขอบคุณค่ะพี่ภัทร” พัณณ์ชิตายังคงสวมแมสก์และชุดกาวน์อีกทั้งยังหยิบแว่นกรองแสงที่มักเอาใช้เวลาต้องนั่งหน้าคอมนานๆ ออกมาสวมหญิงสาวเดินผ่านคนของนิโคไลที่ประตูทางออกแล้วเดินขึ้นรถพยาบาลไปโดยที่ไม่มีใครผิดสังเกตพอมาถึงห้างสรรพสินค้าพัณณ์ชิตาก็เดินเลือกซื้อของอย่างสบายใจ แม้จะรู้ว่าคงหลบเขาได้ไม่ตลอดแต่อย่างน้อยวัน
นิโคไลมองตามหลังคุณหมอด้วยสายตาคาดโทษ เมื่อวานเขาให้ลูกน้องเฝ้าทุกทางเข้าออกโรงพยาบาลแต่เธอก็ยังหนีไปได้ พอจะโทรหาเธอก็บล็อกเบอร์ของเขา ชายหนุ่มไปดักรอที่คอนโดก็ปรากฏว่าเธอไม่ได้กลับไปค้างที่นั่นไม่เคยมีใครทำให้เขารู้สึกเสียหน้าแบบนี้มาก่อนวันนี้เขาจะต้องคุยกับเธอให้รู้เรื่องถ้าเธอไม่ยอมคุยดีๆ ก็คงต้องใช้ไม้แข็งกันบ้าง“นิค มีอะไรกับคุณหมอหรือเปล่า แม่เห็นลูกมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ นะ”“เปล่าครับแม่”“เมื่อไหร่นิคจะกลับไปทำงานสักที แม่ว่าทิ้งงานมานานจะไม่ดีเอานะ” ถึงแม้งานของลูกชายไม่จำเป็นต้องเข้าบริษัทตลอดแต่เธอก็ไม่อยากให้เขาทิ้งภาระให้ผู้ช่วยมากจนเกินไป“ผมบอกแม่แล้วไงครับ ผมจะอยู่ที่นี่จนกว่ายายหนูจะออกจากโรงพยาบาล”“อย่าไล่เขากลับเลยค่ะแม่ ที่ผ่านมาเขาทำงานมาตลอด ช่วงนี้ก็ถือว่าเขาพักร้อนแล้วกันนะคะ”“แม่ก็อดห่วงไม่ได้นี่เคท”“แม่ครับบอริสทำงานกับผมมาเกือบสิบปีผมเชื่อมือเขาครับ”“งั้นก็ตามใจ แล้วอยู่แต่ในโรงพยาบาลไม่อึดอัดเหรอ แม่ว่าไหนๆ ก็ไม่กลับรัสเซียแล้วนิคน่าจะหาเวลาเที่ยวบ้างนะ”“ผมไม่รู้จะไปเที่ยวไหนนี่ครับแม่”“ก็ให้ธนัทพาไปสิ” เธอหมายถึงคนสนิทของเขาที่เป็นทั้งผู้ช่วย คนขั
“ขอบคุณมากนะคะคุณลุงคุณป้า อาหารอร่อยมากค่ะ”“ถ้าอร่อยหมอพั้นช์ก็มาทานบ่อยๆ สิจ๊ะ เลิกงานแล้วกลับมาพร้อมป้าเลยก็ได้นะ มาทานแล้วค่อยกลับคอนโด”“พั้นช์เลิกงานไม่ตรงเวลาหรอกค่ะ ไม่อยากให้ทุกคนรอเอาไว้ถ้าช่วงที่งานไม่เยอะ พั้นช์ค่อยแวะมาทานข้าวด้วยนะคะ”“ได้จ้ะ บ้านนี้ต้อนรับหมอพั้นช์ตลอด”“พั้นช์ไปก่อนนะคะ” หญิงสาวยกมือไหว้เจ้าของบ้านอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงรถมาจอด“จะกลับคอนโดเลยไหม หรือจะให้ผมไปส่งที่ไหน” นิโคไลถามอย่างเอาเรื่องเพราะไม่รู้ว่าวันนี้หญิงสาวคิดจะหนีเขาไปนอนที่ไหนอีก“กลับคอนโดค่ะ”“ได้ยินแล้วนะธนัท กลับคอนโด” พูดจบเขาก็กดปุ่มเพื่อให้ม่านกั้นระหว่างผู้โดยสารและคนขับ“อันที่จริงคุณไม่ต้องส่งฉันที่คอนโดก็ได้นะ ส่งแค่ปากซอยก็ได้เดี๋ยวฉันนั่งแท็กซี่ไปเอง”“ผมรับปากแม่ไว้แล้วยังไงผมก็ต้องส่งคุณให้ถึงที่”“ฉันไม่พูด คุณไม่พูดคุณป้าไม่รู้หรอก”“ผมเป็นคนรักษาคำพูดน่ะ ไม่เหมือนคนบางคน”“ฉันรักษาคำพูดตลอด”“ผมก็ไม่ได้ว่าคุณนี่ครับ”“แต่หน้าคุณมันฟ้อง”“ผมว่าคุณร้อนตัวมากกว่า ถ้าคุณคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดก็ไม่เห็นต้องหลบหน้าผมเลย”“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ได้หลบ ลูกน้องคุณดูไม่ดี
“หมอพั้นช์ลางานตั้งหลายวันครั้งนี้จะไปเที่ยวไหนคะ” พยาบาลหน้าห้องตรวจถามคุณหมอสาวที่มักจะใช้วันหยุดไปกับการท่องเที่ยวและมีของฝากติดไม้ติดมือมาเป็นประจำ“ครั้งนี้คิดว่าจะพักผ่อนอยู่บ้านจริงๆ ค่ะ เจอกันวันจันทร์หน้านะคะ” พัณณ์ชิตาอยากให้เวลากับนิโคไลบ้างเพราะที่ผ่านมาเธอทำแต่งานหนักมาโดยตลอดพัณณ์ชิตาบอกพยาบาลที่หน้าห้องตรวจก่อนจะรีบมาขึ้นรถซึ่งนิโคไลมารออยู่ก่อนแล้ว“เหนื่อยไหมครับ” ชายหนุ่มส่งน้ำเย็นให้เธอ เขาทำแบบนี้ทุกครั้งที่มารับคนรัก“ไม่ค่ะ ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวรับน้ำมาดื่มจากนั้นทั้งสองคนก็ไปทานอาหารเย็นด้วยกันที่ร้านประจำซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากเพนท์เฮาส์“ผมขอทำงานต่ออีกนิดนะครับ” นิโคไลบอกคนรักเมื่อมาถึงบนห้อง“ได้ค่ะ”พัณณ์ชิตากลับมายังห้องนอนยังไม่ทันได้เข้าห้องน้ำก็มีข้อความจากหมอปิญชาน์แจ้งผลการตรวจเลือดและนั่นก็ทำให้เธอยิ้มออก ไม่ใช่แค่ผลจากหมอปิญชาน์ แต่เธอยังไม่ตรวจที่อื่นมาแล้วเมื่อตอนบ่าย หญิงสาวยิ้มด้วยความดีใจที่ทุกอย่างมันผ่านไปได้ เธออาบน้ำอย่างสบายใจจนลืมไปว่านิโคไลก็รอฟังผลเลือดอยู่เหมือนกันเมื่อนึกได้ว่ายังไม่ได้บอกข่าวดีกับเขาก็รีบอาบน้ำและแต่งตัวอย่างรวดเร็ว แต
วันนี้พัณณ์ชิตามาเจาะเลือดที่คลินิกของหมอปิญชาน์หลังจากที่ทานยาครบ 28 วันแล้ว ไม่ว่าผลการตรวจเลือดจะออกมายังไงนิโคไลก็ยังยืนเหมือนเดิมว่าเขาจะแต่งงานกับเธอซึ่งเหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งเดือนแล้ว “เดี๋ยวพี่จะเอาเลือดไปส่งเอง พั้นช์ไปรอฟังผลที่บ้านก็ได้นะ” “นานไหมครับหมอ” นิโคไลถาม “ไม่เกิน 2 ชั่วโมงครับ” “ถ้าผลเป็นลบก็หยุดยาแล้วมาตรวจซ้ำอีกครั้งหลังจากวันนี้อีกสองเดือน” “แล้วถ้าผลเป็นบวกล่ะครับ” “ถ้าผลเป็นบกต้องตรวจเพิ่มว่าระดับเชื้อมีมากน้อยแค่ไหนจากนั้นก็จะเริ่มทานต้านเชื้อครับ แต่ผมว่าดูแล้วโอกาสที่จะติดเชื้อแทบไม่มีเลย พั้นช์ก็อาการปกติดี” “ขอบคุณครับหมอชาน์” “พั้นช์ออกไปรอข้างนอกก่อนได้ไหม พี่ขอปรึกษาอะไรคุณนิคสักหน่อย” ปิญชาน์บอกคุณหมอรุ่นน้อง “ขอพั้นช์ฟังด้วยไม่ได้เหรอคะ” “มันเป็นเรื่องของผู้ชายพั้นช์อย่าฟังเลย” “ก็ได้ค่ะ” พัณณ์ชิตาเดินออกไปแล้วปิญชาน์ก็ให้คำแนะนำเพิ่มเติมกับนิโคไลเพราะรู้ว่าผู้ชายทุกคนนั้นมีความต้องการในเรื่องอย่างว่า “ขอบคุณค
“เป็นอะไรหรือเปล่าพั้นช์” นิโคไลถามคนรักทันทีที่เธอขึ้นมานั่งบนรถ “มีเรื่องเครียดนิดหน่อยค่ะ” “ผมช่วยอะไรได้ไหมครับ” “ใครก็ช่วยไม่ได้หรอกค่ะ” “ผมไม่รู้ว่าปัญหามันคืออะไร ถึงผมช่วยไม่ได้แต่ให้กำลังใจพั้นช์ได้ใช่ไหมครับ” เขาจับมือเล็กๆ ขึ้นมาแล้วจูบไปบนหลังมือเบาๆ “ขอบคุณค่ะนิค เรารีบกลับเถอะค่ะพั้นช์เหนื่อยมากอยากนอนพักแล้ว” “พั้นช์หลับเลยก็ได้นะครับ” พัณณ์ชิตาหลับตาลงช้าๆ เธอไม่ได้เหนื่อยอย่างที่พูดเลยสักนิดแต่เธอกำลังเครียดกับปัญหาที่ตนเองกำลังเผชิญอยู่และก็ไม่รู้เลยว่าจะเริ่มพูดกับเขายังไง “ที่รักถึงแล้วถ้าไม่ไหวให้ผมอุ้มไปนะ” “ไม่เป็นค่ะนิค พั้นช์ไหว” พอมาถึงบนห้องก็รีบอาบน้ำและเข้านอนซึ่งนิโคไลก็เข้าใจว่าคนรักเหนื่อยจากการทำงานจริงๆ เพราะเมื่อเช้าเธอบอกเขาว่าวันนี้มีผ่าตัดถึงสามเคสด้วยกัน ชายหนุ่มนั่งทำงานต่ออีกพักใหญ่ก่อนจะอาบน้ำและเข้านอนตามเธอไป พัณณ์ชิตายังนอนไม่หลับเพราะเอาแต่คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ระหว่างรอผลเลือดหนึ่งเดือนนี้เธอต้องหาทางอยู่ห่างจากเขาให้ม
อีกไม่ถึงสองเดือนก็จะถึงงานแต่งงานแล้ว การเตรียมงานเป็นไปตามแผนที่คิดไว้ ทั้งสองคนเลือกไปถ่ายพรีเวดดิ้งที่ภูเก็ตเพราะที่นั่นเป็นจุดที่ทั้งสองตกลงใช่ชีวิตร่วมกัน ตอนนี้ทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้หมดแล้วเหลือแค่รอเวลาเพียงเท่านั้น พัณณ์ชิตายังคงทำงานอย่างเดิมแต่ก็วางแผนไว้แล้วว่าหลังแต่งงานเธอจะรับขึ้นเวรให้น้อยลงเพราะอย่างแบ่งเวลาให้กับครอบครัว ซึ่งเรื่องนี้นิโคไลก็ให้เธอเป็นคนตัดสินใจเอง ส่วนเขาก็ยังคงทำงานที่บริษัทของตนเองและบิดาที่ย้ายออฟฟิศมาไว้ที่ตึกฝั่งตรงข้ามกับโรงพยาบาล “หมอพั้นช์ไหวไหมคะ” พยาบาลประจำห้องผ่าตัดถามเธอขึ้นเพราะวันนี้พัณณ์ชิตาผ่าตัดไปถึงสามเคสและเคสสุดท้ายเป็นที่ค่อนข้างหนักเพราะคนไข้มีเชื้อ HIV แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี” “ไหวค่ะพี่ไก่” “หมอพั้นช์อึดมากๆ เลยนะคะ” “พี่ไก่เหมือนกันนะคะ ถ้าไม่ได้พี่พั้นช์ก็คงแย่” เพราะพี่ไก่หรือปัทมานั้นเป็นพยาบาลที่คอยส่งเครื่องมือให้เธอในห้องผ่าตัด ทั้งสองทำงานเข้าขากันดี บางครั้งเธอแทบไม่ต้องบอกพี่พยาบาลก็หยิบเครื่องมือมารออยู่แล้ว “พี่ดูตารางผ่าตัดแล้ว เดือนนี้หมอพั
กลับมาถึงเมืองไทยชีวิตของพัณณ์ชิตาก็ดำเนินต่อไปตามปกติ ในทุกๆ วันนิโคไลจะคอยตามรับส่งจนใครๆ ต่างก็พากันอิจฉา แม้ว่าต้องทำงานบริษัทของตนเองและบิดาแต่นิโคไลก็บริหารเวลาได้ดี “พั้นช์ครับ ผมแต่งตัวโอเคไหม” “หล่อแล้วค่ะ” พัณณ์ชิตามองคนรักที่วันนี้เขาเลือกสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวต่างจากวันปกติที่มักจะสวมแต่สีโทนมืด “มันดูเข้ากับคุณไหม” “เข้าสิคะ นิคคะคุณไม่จำเป็นต้องแต่งตัวให้เข้ากับพั้นช์หรอกนะคะ แต่แบบเดิมก็ดีอยู่แล้ว” “ผมอยากเปลี่ยนตัวเองบ้าง เบื่อแล้วสีมืดๆ ดูไม่สดชื่นเลย แล้วผมก็อยากดูดีในสายตาของเพื่อนคุณ”วันนี้พัณณ์ชิตานัดทานอาหารกับเพื่อนซึ่งบังเอิญว่าเข้ามาประชุมวิชาการกันที่กรุงเทพหญิงสาวจึงนัดทานอาหารเย็นกับทุกคนและเธอก็ตั้งใจจะบอกข่าวดีให้เพื่อนๆ ได้ทราบ“เราต้องเตรียมการ์ดไปให้เพื่อนๆ ไหมครับ”“พั้นช์เอาใส่กระเป๋าไว้แล้ว ไปกันเถอะค่ะ”“เดี๋ยวสิ ลืมอะไรหรือเปล่า”“ไม่นะคะ หญิงสาวเปิดกระเป๋าถือของตนเองเช็กแล้วว่าด้านในมีการ์ดแต่งงาน โทรศัพท์รวมทั้งกระเป๋าเงินอยู่ครบแล้ว“ผมไม่ได้หมายถึงของในกระเป๋า”“แล้วหมายถึงอะไรล่ะคะ” หญิ
สายของวันใหม่พัณณ์ชิตาถึงรู้สึกตัวตื่น เมื่อคืนทั้งเธอและคนรักต่างกระโจนเข้าหากันครั้งแล้วครั้งเล่า หญิงสาวไม่คิดมาก่อนว่าตัวเองจะมีเรี่ยวแรงตอบสนองเขาได้มากขนาดนั้น เธอไม่รู้ว่ามันมากไปหรือเปล่าเพราะไม่เคยมีประสบการณ์กับคนอื่นมาก่อน แต่ถ้าถามว่ามีความสุขไหมคุณหมอสาวก็ตอบได้อย่างไม่อายเลยว่ามันมีความสุขมาก สุขจนนึกว่าทุกอย่างเป็นความฝัน เธอนึกไม่ออกเลยว่าเมื่อวานถ้านิโคไลกลับมาไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอบ้าง ถึงแม้จะยิงอังเดรไปแล้วแต่ก็ยังมีลูกน้องของเขาที่รออยู่ทางด้านนอกอีกอย่างน้อยสองคน “โทรศัพท์” พัณณ์ชิตานึกได้ว่าเมื่อวานได้อัดเสียงสนทนาไว้ จึงรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแต่ก็ต้องทรุดลงข้างเตียงเพราะขาเธอแทบมีแรงอีกทั้งยังปวดร้าวไปทั้งตัว “โอ๊ยยย...” “พั้นช์ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” นิโคไลที่เดินขึ้นมาบนห้องนอนพอได้ยินเสียงก็รีบเข้ามาพยุงเธอขึ้นมานั่งบนเตียง “นิคคะ โทรศัพท์ของพั้นช์อยู่ที่ห้องรับแขก ช่วยไปเอาให้หน่อยได้ไหมคะ” “ผมเห็นแล้วแต่แบตมันหมดตอนนี้ชาร์ตอยู่ เดี๋ยวผมเอามาให้แบตน่าจะเต็มแล้ว” พัณณ์ชิตานั่ง
เมื่อเห็นคนรักเร่าร้อนและทำทุกอย่างไปตามอารมณ์ปรารถนานิโคไลก็ต้องปล่อยไปกายปล่อยใจไปตามอารมณ์ที่เธอส่งผ่าน หญิงสาวใบหน้าแดงก่ำขณะบดเบียดโพรงอ่อนนุ่มเข้ากับความแข็งร้อนหมุนวน สะบัดส่ายไปมาทำเอาคนมากประสบการณ์อย่างเขาครางแทบไม่เป็นภาษา“สุดยอดพั้นช์ อ้าห์...ดีมาก...ที่รัก”เขามองคนรักที่ควบอยู่บนตัวเขาราวกับเป็นจ๊อกกี้สาว เธอกำลังพาตัวเองเข้าไปใกล้เส้นชัยทีละนิด นิโคไลเอื้อมมือไปฟอนเฟ้นเต้าอวบอย่างแรงจนเนื้อขาวนวลปลิ้นออกตามร่องนิ้ว ยิ่งเขากระตุ้นเธอก็ยิ่งควบเขาเร็วขึ้นราวกับจะบอกว่าเธอชอบกับการกระทำของเขามากแค่ไหน“นิคจ๋า จูบพั้นช์ได้ไหม”นิโคไลโน้มตัวคนรักลงมาบดเบียดริมฝีปากเข้าหาอย่างดูดดื่มและเร่าร้อนไปพายุตัณหาที่กำลังโหมกระหน่ำปลายลิ้นเกี่ยวกันอย่างไม่ลดละ เขากอดเธอจนหน้าอกนุ่มแนบกับแผงอกแกร่งรู้สึกถึงความร้อนจากร่างกายของเธอที่ยังไม่ลดลงเลยสักนิด“ที่รักคุณจะถึงแล้ว...”เขารู้ด้วยสัญชาตญาณเพราะตอนนี้ผนังอ่อนนุ่มในกายของเธอกำลังตอดรัดแรงและถี่รัวจนท่อนเอ็นของเขาปวดร้าว ชายหนุ่มสวนสะโพกเข้าหาโพรงอ่อนนุ่มอย่างบ้าคลั่ง“นิคขา...อื้อ...อ้าส์...”พัณณ์ชิตากรีดร้องอย
พัณณ์ชิตาปัดป่ายมือไปทั่วขณะที่อังเดรกำลังซุกไซร้ไปตามซอกคอนั่นยิ่งทำให้สติของเธอลงน้อยลงจนเกือบจะเป็นศูนย์ เธอโอบรอบลำตัวของอังเครมือไปทางด้านหลัง มือเล็กไปชนกับวัตถุแข็งเย็น หญิงสาวกัดฟันข่มความรู้สึกจากการปลุกเร้าก่อนจะดึงปืนที่เหน็บอยู่ทางด้านหลังออกมาปลดเซฟตี้ตามได้ฝึกมาจากพ่อและพี่ชาย จากนั้นก็ใช้แรงที่เหลือดันตัวเองออก แล้วจ่อปืนไปยังหน้าผากของอังเดรด้วยมือที่สั่นเทา “พั้นช์ว่าคุณอาถอยไปดีกว่านะคะ” เธอออกคำสั่งขณะที่กำลังถอยห่างจากเขาทีละนิด “ไม่เอาน่า ยังไงเธอก็หนีไม่รอดหรอก ไอ้ยาที่เธอกินลงไปนั้นยังไงก็ต้องให้คนช่วย” “แต่ต้องไม่ใช่คุณอาค่ะ เชื่อพั้นช์ ถอยออกไปก่อนที่พั้นช์จะลั่นไก” “เธอไม่กล้ายิงหรอก แค่นี้มือเธอก็สั่นไปหมดแล้ว” “ลองดูไหมล่ะ” “เธอคิดว่าแค่นี้จะขู่ฉันได้เหรอ” “ฉันไม่ได้ขู่ถ้าคุณเดินมาอีกก้าวเดียวฉันยิ่งแน่” อังเดรมองหญิงสาวที่กำลังต่อสู้กับความรู้สึกของตนเอง เขาคิดว่ายังไงเธอก็คงไม่กล้ายิง เธอจะใช้ปืนเป็นหรือเปล่าเขายังไม่แน่ใจด้วยซ้ำ เขาก้าวเท้าไปหาเธออย่างไม่
กลับจากเที่ยวเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก นิโคไลก็มีเวลาจัดการกับธุระเรื่องบริษัทของตนเอง ส่วนพัณณ์ชิตาไม่ได้ตามไปที่บริษัทด้วย หญิงสาวพักผ่อนอยู่ที่บ้านตามลำพัง บ้านของนิโคไลเป็นบ้านหลังไม่ใหญ่มาก เพราะเขาอยู่คนเดียว ในทุกๆ วันจะมีแม่บ้านมาทำความสะอาดจากนั้นก็จะกลับในเวลาเย็น วันนี้พัณณ์ชิตามีนัดดินเนอร์กับเขาที่ร้านอาหารในเวลาหนึ่งทุ่ม พอใกล้ถึงเวลานัดหญิงสาวจึงอาบน้ำแต่งตัวรอให้เขามารับ ชุดที่ใส่วันนี้เป็นเกาะอกสีแดงยาวถึงข้อเท้าแต่ผ่าทางด้านข้างถึงโคนขาสวย รองเท้าที่สวมก็เป็นรองเท้าส้นสูงสี่นิ้วซึ่งทั้งหมดนี้นิโคไลเป็นคนให้ลูกน้องเอามาส่งที่บ่ายเมื่อตอนบ่าย หญิงสาวแต่งตัวเสร็จก็ลงมานั่งรอเขาที่ห้องรับแขกและระหว่างนั้นชายหนุ่มก็โทรศัพท์เข้ามาพอดี “พั้นช์ครับ ผมอาจจะไปถึงช้าหน่อยนะครับ คุณหิวหรือยัง” “ยังเลยค่ะ เมื่อตนบ่ายพั้นช์กินขนมไปแล้ว” “พั้นช์จะไม่ถามหน่อยเหรอครับว่าทำไมผมถึงไปรับช้า” “ไม่หรอกค่ะ ถ้าคุณอยากบอกก็บอกเอง” “ทำไมพั้นช์ของผมถึงน่ารักแบบนี้นะ ผมจะไปเยี่ยมมารีนาครับ เมื่อกี