การได้ใกล้ชิดกับพัณณ์ชิตามาเกือบหนึ่งเดือนทำให้มาเฟียหนุ่มอย่างนิโคไลเริ่มจะคล้อยตามความคิดของบิดาที่อยากให้เขามีภรรยาเป็นคนไทย
นอกจากหญิงสาวจะสวยแล้วยังทำงานเก่งและอึดได้อย่างน่าประหลาด เขาเห็นเธอตรวจคนไข้ทั้งวัน บางวันก็มีผ่าตัด อีกทั้งบางคืนยังถูกเรียกให้มาทำคลอดหรือผ่าคลอดกลางดึกแต่ไม่เคยได้ยินเธอบนว่าเหนื่อยเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ถ้าใครที่จะมาเป็นแฟนกับเธอคงคิดหนักเพราะเวลาพักแทบจะไม่มี และถ้าอีกฝ่ายต้องทำงานด้วยแล้วโอกาสจะได้อยู่กับแฟนก็คงริบหรี่ แต่สำหรับคนว่างงานอย่างนิโคไล กลับมองว่ามันไม่ใช่ปัญหาเลย เขามีเวลาให้เธอตลอดไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหน ขอแค่เธอโทรบอกเข้าก็พร้อมที่จะรับเธอไปส่งที่โรงพยาบาลเพราะวันไหนที่เธอต้องเข้าเวรชายหนุ่มจะมาเช่าโรงแรมที่ใกล้กับคอนโดของเธอเพื่อจะได้รับเธอไปส่งได้ทันเวลา
“วันนี้ให้ผมไปส่งที่บ้านเหมือนเดิมใช่ไหม” เขารู้ตารางของเธอเป็นอย่างดีเพราะปกติแล้วเช้าวันเสาร์เธอจะราวน์คนไข้เสร็จแล้วจากนั้นก็จะไปค้างที่บ้านกับครอบครัว นิโคไลไปส่งเธอแค่หน้าบ้านแต่ยังไม่เคยเข้าไปรู้จักกับคนในครอบครัวของเธอเลยสักครั้ง
ดูเหมือนว่าเธอจะค่อนข้างเว้นระยะห่างกับเขาพอสมควรแต่มันไม่ใช่ปัญหาเลยเพราะถ้าเขาอยากจะรู้จักเธอขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย เขารู้ที่อยู่และข้อมูลของสมาชิกในครอบครัวของพัณณ์ชิตาเป็นอย่างดี
“วันนี้ไม่ต้องค่ะ” เธอบอกขณะที่กำลังรัดเข็มขัดนิรภัย
“ทำไมล่ะ หรือกลัวว่าผมจะเข้าไปในบ้าน ผมไม่ทำอย่างนั้นหรอก ถ้าคุณไม่ชวน”
“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกค่ะ พอดีว่าวันนี้ฉันนัดทานข้าวกับเพื่อนๆ ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นผมไปด้วยนะ ไปที่ไหนร้านไหนล่ะ คุณบอกทางมาเลย” ตอนนี้นิโคไลรู้จักเส้นทางในกรุงเทพมากขึ้นเพราะบางวันเขาก็ออกมาขับรถเล่นเพื่อศึกษาเส้นทางไปในตัว
“คุณจะไปทำไม คุณไม่รู้จักเพื่อนฉันสักหน่อย แค่ไปส่งอย่างเดียวก็พอแล้วมั้ง ขากลับฉันจะให้เพื่อนมาส่ง” พัณณ์ชิตารีบปฏิเสธ
“คุณก็แนะนำให้ผมรู้จักสิ ไม่เห็นยากเลย”
“จะให้ฉันบอกเพื่อนๆ ว่ายังไง นี่ทุกคนฉันขอแนะนำให้รู้จักผู้คุมของฉันนะ อย่างนี้เหรอ ไม่เอาหรอกค่ะ มันฟังดูน่าตลก”
“ผมรับส่งคุณมาเกือบเดือนแล้ว ผมนึกว่าเราเป็นเพื่อนกันเสียอีก” เขาตัดพ้อ
“เพื่อนเหรอคะ” เธอเลิกคิ้วถามพลางมองหน้าเขา
“ครับ เราเป็นเพื่อนกัน”
“ฉันว่าที่คุณคอยตามฉันเพราะอยากหาคนรับผิดชอบเรื่องหลานคุณมากกว่า ไม่มีตรงไหนเลยที่บอกว่าเราสองคนเป็นเพื่อนกันนะคะ”
“นั่นมันแค่ตอนแรก แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าคุณทำทุกอย่างถูกต้องแล้ว ผมไม่ได้ติดใจเรื่องนั้นแล้ว”
นิโคไลเชื่อแล้วว่าการตัดสินใจของเธอนั้นถูกต้อง หลานของตนอาการดีขึ้นและเขาก็ถามหมอหลายๆ คน ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันกว่าการตัดสินใจผ่าเด็กออกมานั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุดทั้งกับน้องสาวและหลานสาวของเขา
“ถ้าคุณรู้ว่าฉันทำทุกอย่างถูกต้อง คุณก็น่าจะเลิกตามฉันได้แล้วนะคะ”
“ที่ผมตามคุณเพราะผมอยากเป็นเพื่อนคุณนะ”
“คุณอยากเพื่อนฉันเหรอคะ” เธอมองหน้าเขาอย่างไม่ค่อยเชื่อหูตัวเองเท่าไหร่
“ครับ เราเป็นเพื่อนกันได้ไหมพั้นช์”
เป็นครั้งแรกที่พัณณ์ชิตาได้ยินเขาเรียกเธอด้วยชื่อเล่น มันเลยทำให้รู้สึกว่าช่องว่างระหว่างเธอกับเขากำลังขยับเข้ามาทีละนิด จากพี่ชายผู้ป่วยมาเป็นเพื่อน แม้ที่ผ่านมาจะให้เขาตามรับส่งตลอดแต่นั้นก็เพราะคิดว่าเขาเพื่อหลาน แต่พอได้เขาบอกว่าอยากเป็นเพื่อนก็เลยอดแปลกใจไม่ได้
“ทำไมถึงอยากเป็นเพื่อนฉันล่ะคะ”
“ไม่รู้สิ แต่ผมชอบที่ได้คุยกับคุณไง ผมมีเพื่อนไม่เยอะหรอกนะ คุณคงไม่รังเกียจใช่ไหม”
“ไม่หรอกค่ะ แค่แปลกใจ”
“งั้นตกลงเราเป็นเพื่อนกันนะ แล้วเย็นนี้ผมก็ขอไปด้วย”
“คุณจะไปกับฉันก็ได้ แต่มีข้อแม้นะ คุณไปแค่คนเดียวได้ไหม ส่วนลูกน้องของคุณให้เขาตามไปส่งแล้วก็กลับ ไม่ต้องตามติดเหมือนทุกครั้ง”
“ปกติผมก็ไปไหนมาไหนคนเดียวตลอดนะ” เขารีบเถียงเพราะคิดว่าที่ผ่านมาพัณณ์ชิตาคงไม่รู้ตัว
“ฉันไม่ได้โง่นะคะ ฉันเห็นว่าเขาคอยตามคุณอยู่ห่างๆ เพียงแต่ฉันไม่พูดเพราะคิดว่ามันไม่ได้กระทบอะไรมากแต่ถ้าคุณไปกับฉันแล้วเขาไปกับคุณด้วยฉันกลัวว่าพวกเขาจะตกใจ” เธอบอกเหตุผลของเธอ ส่วนนิโคไลจะรับฟังหรือไม่มันก็เรื่องของเขา ถ้าเขายอมทำตามที่เธอขอเธอก็จะยอมให้เขาไปด้วย
“ได้สิ ไม่มีปัญหา” นิโคไลรู้สึกว่าพัณณ์ชิตาเป็นผู้หญิงที่ฉลาดและช่างสังเกตมากคนหนึ่งเพราะลูกน้องของเขาไม่ได้ตามติดขนาดนั้นแต่เธอก็ยังรู้สึกตัว
“คุณอย่าเพิ่งรีบรับปากเร็วขนาดนั้น คิดก่อนก็ได้ว่าจะมีผลเสียไหม ถ้าพวกเขาไม่ไปด้วย เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นฉันคงรับผิดชอบไหว” พัณณ์ชิตาไม่อยากบังคับเขาแต่ก็ไม่ค่อยสะดวกใจเท่าไหร่ถ้าเขาจะพาลูกน้องไปด้วย
“ไม่มีปัญหาหรอกครับ ว่าแต่คุณนัดเจอเพื่อนที่ไหน กี่โมงล่ะครับ”
“เรานัดกันที่ร้านอาหาร หกโมงเย็น เดี๋ยวคุณไปส่งฉันที่คอนโดแล้วสักห้าโมงค่อยมารับก็ได้ ฉันเตือนไว้ก่อนนะว่าเพื่อน ๆของฉันส่วนใหญ่เวลาเจอกันก็จะพูดถึงแต่เรื่องการทำงาน ถ้าคิดว่ามันน่าเบื่อจะถอนตัวตั้งแต่ตอนนี้ก็ได้นะ” เธอไม่อยากให้เขาไปนั่งเหงาอยู่คนเดียว
“ผมอยากเป็นเพื่อนคุณ ผมก็ต้องเรียนรู้ว่าสังคมของคุณเป็นแบบไหน”
“ฉันไม่บังคับคุณหรอกนะคะ ถ้ามันน่าเบื่อมาก คุณจะเดินออกมารอข้างนอกก็ได้ ฉันไม่ว่าอะไรคุณหรอก แต่อย่าชวนฉันกลับก่อนเวลาแค่นั้นคิดว่าทำได้ไหมคะ”
“ได้สิ ไม่มีปัญหาอะไรนี่ ถึงผมไม่ได้โตที่เมืองไทยแต่แม่ก็สอนผมเรื่องมารยาทนะครับ”
“ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรเลยก็แค่บอกไว้ก่อน” ที่พัณณ์ชิตาต้องพูดกับเขาเรื่องนี้ก็เพราะเธอเคยมีแฟนมาก่อนและเวลาเขาไปเจอกับเพื่อนๆ ของเธอชายหนุ่มก็มักจะนั่งทำหน้าเบื่อโลกจนเธอหมดสนุกและบางครั้งก็ชวนเธอกลับก่อนทั้งที่ยังคุยกับเพื่อนไม่ถึงไหม
“ผมไม่ทำอะไรแบบนั้นแน่นอนครับ ผมกลับก่อนนะ เดี๋ยวห้าโมงเย็นเจอกัน”
“ค่ะ แต่ถ้าเปลี่ยนใจก็โทรมาบอกได้ตลอดนะคะ”
“ไม่มีทาง” นิโคไลไม่ยอมพลาดโอกาสที่จะได้เจอเพื่อนๆ ของพัณณ์ชิตาอย่างแน่นอน เขาเชื่อว่าถ้าอยากรู้จักใครให้มากขึ้นก็ให้ดูเวลาที่เธออยู่กับเพื่อน
พัณณ์ชิตาขึ้นมาบนห้องจากนั้นก็อาบน้ำและตั้งนาฬิกาปลุกในเวลาสี่โมงเย็นก่อนจะล้มตัวลงนอนเก็บแรงเอาไว้ก่อนเพราะการเจอเพื่อนในแต่ละครั้งเธอก็มักจะคุยกันจนดึก เนื่องจากแต่ละคนก็มักจะมีเรื่องราวมาเล่าให้ฟังชนิดที่ว่าไม่มีใครยอมใคร ยิ่งครั้งนี้เป็นการเจอกันในรอบ 6 เดือนคงต้องมีเรื่องคุยกันยาวแน่ๆ
ไม่บ่อยนักที่เธอกับเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เพราะแต่ละคนก็มีงานที่ต้องรับผิดชอบ การลางานมาเจอกันของเพื่อนที่ทำงานเป็นหมออยู่ตามโรงพยาบาลในต่างจังหวัดจึงทำได้ไม่บ่อยนัก
16.30 น. ขณะที่พัณณ์ชิตากำลังจะเริ่มแต่งตัวก็มีสายเรียกเข้าจากนิโคไล หญิงสาวคิดว่าเขาโทรมาบอกว่าเปลี่ยนใจไม่ไปกับเธอแล้ว“พั้นช์”“ว่าไงคะ เปลี่ยนใจแล้วใช่ไหม”“เปล่าครับ ผมแค่จะถามว่าผมต้องแต่งตัวยังไง”“แต่งยังไงก็ได้ค่ะ ไม่ได้เป็นทางการอะไรคนที่มาก็เพื่อนกันทั้งนั้น”“ผมกลัวทำคุณขายหน้า”“ไม่หรอกค่ะ ปกติคุณก็แต่งตัวดีอยู่แล้วไม่เห็นจะต้องกังวลเลยนี่ค่ะ”“มันเป็นครั้งแรกที่ผมจะได้เจอเพื่อนคุณนี่ครับ” จากคนที่มีความมั่นใจในรูปร่างและหน้าตาของตัวเอง แต่วันนี้นิโคไลกลับรู้สึกไม่มั่นใจจนต้องโทรถาม“ให้ฉันบอกตรงๆ ไหมคะ”“ครับ บอกผมมาเลย”“คุณหล่ออยู่แล้วแต่งแบบไหนก็หล่อ”“ไม่หลอกกันนะครับ”“คุณไม่เคยส่องกระจกหรือไงคะ ถึงไม่มั่นใจแบบนี้ เอาล่ะ ฉันขอวางก่อนนะ ฉันยังแต่งตัวไม่เสร็จเลย”“ครับ ผมไม่กวนแล้วเดี๋ยวเจอกันนะ”พอวางสายแล้วพัณณ์ชิตาก็หันมาสนใจตัวเองอีกครั้ง วันนี้เธอเลือกสวมเดรสแขนกุดสีครีมยาวพอดีเข่า ดูสบายๆ ส่วนผมที่เคยรวมตึงไว้ตลอดก็ดัดปลายให้เป็นลอนดูเป็นธรรมชาติ จากนั้นแต่งเติมสีสันบนใบหน้าอีกเพียงนิดก็เรียบร้อย เธอไม่จำเป็นต้องแต่งอะไรมากเพราะวันนี้คนที่จะไปเจอก็มีแต่เพื่อนกัน
พัณณ์ชิตาแนะนำนิโคไลให้กับเพื่อนๆ จนครบทุกคนจากนั้นก็เริ่มทานอาหารจนกระทั่งทุกคนทานอิ่ม ความโกลาหลก็เกิดขึ้น เพราะแต่ละคนดูเหมือนจะไม่ได้เจอกันนานมาก ต่างฝ่ายต่างเล่าเรื่องราวที่ตัวเองเจอมาให้เพื่อนๆ ฟัง จนแยกแทบไม่ออกว่าเสียงใครเป็นเสียงใครเขาไม่เคยเห็นพัณณ์ชิตาในมุมนี้มาก่อนเลย วันนี้เธอดูร่าเริงสดใสและช่างคุยเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆ ได้เป็นอย่างดี คุยไปสักพักเธอก็หันมาถามว่าเขาเบื่อไหม พอนิโคไลส่ายหน้าหญิงสาวก็หันไปคุยกับเพื่อนต่อนิโคไลฟังที่พวกเธอคุยกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างแต่ก็ไม่ได้รู้สึกเบื่ออะไร ในทางกลับกันเข้ากลับรู้สึกเพลินด้วยซ้ำ“พั้นช์ ผมขอไปเข้าห้องน้ำนะ”“ค่ะ ถ้าเบื่อจะรอข้างนอกก็ได้นะคะ”“ไม่เป็นไรผมว่าพวกคุณคุยสนุกดี”พอบอกหญิงสาวเสร็จเขาก็เดินมาเข้าห้องน้ำและบังเอิญเจอกับคุณหมอคนหนึ่งที่กำลังเดินออกมาพอดี“คุณหมอครับ พอจะมีเวลาคุยกับผมนิดไหมครับ”“มีสิครับ ว่าแต่คุณจะไม่เข้าห้องน้ำก่อนเหรอ”“ไม่เป็นไรครับผมมีเรื่องจะถามคุณหมอนิดหน่อย”“ไปคุยกันตรงนั้นไหม” คุณหมอชี้ไปทางด้านหน้าร้านที่มีเก้าอี้หินอ่อนตั้งอยู่“ครับ” นิโคไลเดินตามมาจากนั้นทั้งสองก็นั่งลงบ
นิโคไลรีบหันหน้าเข้าหากำแพงเมื่อประตูห้องน้ำเปิดออก เพราะไม่อยากให้ผู้ชายที่คุยกันในห้องน้ำเมื่อครู่รู้ว่าตนเองแอบฟังอยู่ พอสองคนเดินไปออกไปไกลแล้ว ชายหนุ่มก็ได้แต่มองตามหลัง เพราะได้ยินแต่เสียงเลยไม่รู้ว่าคนไหนที่เคยเป็นแฟนของพัณณ์ชิตามาก่อนแต่ตอนนี้มันไม่สำคัญอีกแล้วเพราะนิโคไลตัดสินใจแล้วว่าจากนี้เขาจะจีบคุณหมอคนสวยอย่างจริงจัง เพราะตั้งแต่ได้ใกล้ชิดมาตลอดหนึ่งเดือนมันทำให้เขามั่นใจว่าพัณณ์ชิตาคือผู้หญิงที่เขาอยู่ใกล้แล้วมีความสุขโดยไม่มีเรื่องบนเตียงมาเกี่ยวข้องจะว่าไปแล้วนิโคไลก็รู้สึกแปลกใจกับตัวเองอยู่เหมือนกัน ปกติแล้วเขาไม่เคยขาดเรื่องอย่างว่าได้นานขนาดนี้มาก่อน เขาชักจะสงสัยแล้วว่าตนน่าจะกามตายด้านไปแล้วหรือไม่ก็เครียดจนไม่มีอารมณ์ทางเพศ เขารีบสลัดความคิดพวกนี้ออกจากหัวก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปจัดการธุระส่วนตัวชายหนุ่มเดินกลับมานั่งที่เดิมอีกครั้งขณะที่พัณณ์ชิตาก็กำลังนั่งฟังเพื่อนคนหนึ่งเล่าถึงการไปออกหน่อยแพทย์เคลื่อนที่ในถิ่นธุระกันดาร“หายไปนานเลยนะคะ นึกว่ากลับไปแล้ว”“พอดีมีงานให้ต้องโทรไปจัดการนิดหน่อยครับ” เขาตอบพลางขยับเข้ามาใกล้จนพัณณ์ชิตารู้สึกว่ามันใกล้จนแทบจะตั
“เฮ้อ!...” พัณณ์ชิตาถอนหายใจอย่างหนักหลังจากประตูรถปิดลง“ดูท่าเขาจะไม่ค่อยเชื่อนะว่าเราเป็นแฟนกัน”“แล้วฉันต้องทำยังไง ไม่ใช่ว่าเขาจะตามดูเราตลอดนะ”“ผมไม่รู้ว่านิสัยเขาเป็นยังไง เชื่อคนง่ายหรือเปล่า แต่อย่างมากก็คงตามถึงคอนโดนั่นแหละครับ”“ไม่ได้นะ ฉันไม่อยากให้เขารู้ว่าพักอยู่ที่ไหน” พัณณ์ชิตารู้จักนิสัยของคนรักเก่าดีว่าเป็นพวกชอบตามตื๊อ ถ้าเขารู้ว่าคอนโดเธออยู่ที่ไหนชีวิตของเธอคงจะวุ่นวายน่าดู“เขาไม่เคยไปที่นั่นเหรอครับ”“ไม่เคยค่ะ ฉันเพิ่งย้ายมาอยู่ที่คอนโดนั่นไม่นาน แต่ก่อนฉันอยู่บ้านค่ะ”“ถ้าไม่อยากให้เขาตามไปก็มีสองทางเลือกคือ ไปค้างที่บ้านผมหรือไม่เราก็ไปนั่งดื่มกันต่อ”“ถ้าเขาตามเข้าไปล่ะคะ”“เขาคงตามแน่ แต่ในนั้นคนเยอะครับ เขาคงจับตาดูเราไม่ได้ตลอดหรอก” อันที่จริงถ้าไม่อยากให้เขาตามนิโคไลก็แค่โทรบอกลูกน้องให้จัดการทุกอย่างก็เรียบร้อย แต่ที่ไม่ทำแบบนั้นเพราะอยากชวนพัณณ์ชิตาไปนั่งดื่มด้วยกันสักหน่อย เนื่องจากพรุ่งนี้เป็นวันหยุดของเธอจึงไม่ต้องรีบตื่นนอนตั้งแต่เช้า“งั้นก็ตกลงค่ะ”นิโคไลขับรถพาพัณณ์ชิตามายังผับแห่งหนึ่งที่คนค่อนข้างจะพลุกพล่านเพราะเป็นคืนวันเสาร์แต่ก่อนมาเขาใ
“อะไรนะครับ คุณจะไปภูเก็ตเหรอ ผมไม่เห็นรู้เลย คิดจะหนีผมอีกแล้วใช่ไหมพั้นช์”“พั้นช์ก็เพิ่งรู้เมื่อกี้เองค่ะ พอดีมีประชุมวิชาการที่นั่นแล้วเพื่อนของเขาพั้นช์ลงทะเบียนไว้แล้วแต่ติดธุระด่วน พอดีว่าพั้นช์มีวันลาเหลืออีกเยอะก็เลยถือโอกาสไปแทนค่ะ”“คุณจะไปกี่วัน”“ประชุม 2 วันอยู่พักผ่อนอีก 2 วันค่ะ ถามทำไมคะ อย่าบอกนะว่าจะตามไปด้วย”“ไม่ได้เหรอครับ”“พั้นช์ว่าอย่าเลยค่ะ ขอเวลาพั้นช์อยู่คนเดียวนะคะ ถ้ากลับมาแล้วจะให้คำตอบที่คุณขอ” “แล้วเขาไปด้วยไหมครับ” “ไม่ค่ะ” เพราะรู้ว่าธาวินไม่ได้เธอจึงไปแทนเพื่อน“ผมหวังว่ากลับมาผมได้ยินข่าวดีจากคุณนะ”“ไม่คิดเผื่อใจไว้หน่อยเหรอคะ”“ผมรู้ว่าระหว่างเรามันเริ่มต้นไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ที่ผ่านมาผมก็ไม่เคยทำอะไรไม่ดีกับคุณเลย ถ้าคุณไม่อคติหรือปิดกั้นตัวเองจนเกินไปผมก็ยังมีความหวัง”“ทำไมถึงคิดว่าพั้นช์ปิดกั้นตัวเองล่ะคะ”“ก็เพื่อนๆ คุณคุยกันว่านานแล้วที่คุณไม่คบใครเลย ผมไม่รู้ว่าเพราะคุณปิดกั้นตัวเองหรือเปล่า”“ไม่ใช่หรอกค่ะ ที่พั้นช์ที่พั้นช์ยังไม่คบกับใครทั้งที่อายุเยอะแล้วก็เพราะยังไม่เจอคนที่ยอมรับและเข้าใจการทำงานของพั้นช์ อีกอย่าง
พัณณ์ชิตาเข้าประชุมกับเพื่อนร่วมอาชีพที่ได้ทั้งความรู้และได้เพื่อนใหม่อีกหลายคน หลังจากประชุมเสร็จในบ่ายวันศุกร์ก็มีการจัดงานเลี้ยงเล็กๆ ขึ้นที่ห้องจัดเลี้ยงของทางโรงแรมซึ่งงานจะเริ่มในเวลาหนึ่งทุ่ม แต่หญิงสาวไม่ค่อยอยากจะไปร่วมงานสักเท่าไหร่ “ผมอยากเห็นจังว่าเย็นนี้คุณจะสวมชุดไหน” นิโคไลถามเพราะเขากลัวว่าเธอจะแต่งตัวเช็กซี่จนหมอหนุ่มๆ ตามจีบ “ก็แค่เดรสธรรมดาเองค่ะ มันเป็นงานเลี้ยงเล็กๆ ไม่ได้หรูหราอะไรหรอกค่ะ พั้นช์ไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่เลยค่ะ” “เหนื่อยเหรอครับ นี่เพิ่งห้าโมงเย็นเองนะ พั้นช์นอนพักก่อนก็ได้ งานเริ่มหนึ่งทุ่มไม่ใช่เหรอครับ” “ไม่เหนื่อยหรอกค่ะ คุณก็รู้ว่าพั้นช์อึดแค่ไหน แค่นั่งประชุมอย่างเดียวไม่เหนื่อยเลย” “แล้วทำถึงไม่อยากไปล่ะครับ” “มีบางคนที่พั้นช์ไม่ค่อยอยากเจอค่ะ” “ไหนพั้นช์บอกว่าเขาไม่ไป” นิโคไลถามอย่างร้อนรน “ค่ะ เขาไม่ได้เข้าประชุม แต่หมออีกคนที่เป็นเพื่อนสนิทของเขามาประชุม เขาเลยมาหาเพื่อนเขาเมื่อตอนบ่ายนี้ค่ะ แล้วก็คงจะมางานเลี้ยงเย็นนี้ด้วย ถ้าพั้นช์รู้มาก่อนก็คงไม่นัดเพื่อนหมอคนอ
“นิค” พัณณ์ชิตาไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เพราะเมื่อตอนเย็นที่คุยกันเขายังอยู่ที่กรุงเทพ“คุยธุระเสร็จแล้วใช่ไหมครับ” นิโคไลเดินเข้ามาหาพร้อมทั้งดึงเธอเข้าไปกอด“ค่ะ คุณมาได้ยังไง” พัณณ์ชิตาไม่ขัดขืนที่เขากอด แถมเธอยังกอดเขากลับอีกต่างหาก“คิดถึงครับก็เลยรีบมาหา” นิโคไลพูดพลางกดจูบไปบนหน้าผากของหญิงสาวอย่างแสดงความเป็นเจ้าของ“วิน พั้นช์ขอตัวก่อนนะ” หญิงสาวหันมาบอกขณะที่มือของเธอยังกอดเอวของนิโคไลเอาไว้“แต่เรายังไม่ได้บอกเรื่องสำคัญของเราเลยนะ” ธาวินมองอดีตคนรักด้วยสายตาตัดพ้อ“เรื่องสำคัญของวิน แต่มันไม่สำคัญสำหรับพั้นช์นี่ค่ะ ไปกันเธอคะนิค พั้นช์นัดเพื่อนไว้ที่ผับ เราไปฟังเพลงกันต่อนะคะ” หญิงสาวหันมาส่งยิ้มหวานให้กับนิโคไลราวกับจะประกาศให้อีกคนรู้ว่าตอนนี้เธอไม่ได้สนใจเขาเลยสักนิด“ผมขอตัวก่อนนะครับ” นิโคไลหันมากล่าวอย่างสุภาพก่อนจะเดินจับมือกับพัณณ์ชิตาออกมาจากชายหาดหน้าโรงแรมเขายังคงจับมือเธอไม่ปล่อยแม้จะพ้นจากสายตาของธาวินแล้วก็ตาม ทุกอย่างที่เขาปฏิบัติกับพัณณ์ชิตาวันนี้ไม่ใช่การแสดงแต่มันเป็นความรู้สึกที่เขาอยากแสดงออกกับเธอจริงๆพัณณ์ชิตาไม่ได้ว่าอะไรที่เขาจะจับมือเธอเดินไปแบบ
พัณณ์ชิตาพานิโคไลตามมาสมทบกับเพื่อนหมอที่ผับ เธอแนะนำให้ชายหนุ่มรู้จักกับทุกในสถานะแฟน นิโคไลให้คนรักได้พูดคุยกับเพื่อนๆ ในขณะที่เขาก็นั่งดื่มอยู่เงียบๆในอดีตเขาไม่เคยต้องนั่งรอใครแบบนี้มาก่อน ทุกคนต้องตามเอาใจเขา การรอคอยมันเป็นอะไรที่น่าเบื่อ แต่พัณณ์ชิตาก็ทำให้เขาทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ แต่ก่อนเขาไม่เคยเข้าใจบิดาของตนเลยว่าทำไมท่านถึงไปรอมารดาทำผมและทำเล็บที่ร้านได้ครั้งละหลายๆ ชั่วโมง แต่ตอนนี้เขาคิดว่าเข้าใจความรู้สึกของท่านแล้วเขารอจนกระทั่งเพื่อนของเธอกลับไปกันไปหมดแล้ว จึงเดินตามมานั่งด้วย“เบื่อไหมคะ”“ไม่เลยครับ ผมชอบนะที่เห็นคุณผ่อนคลายและสนุกกับเพื่อนๆ แบบนี้”“เรากลับกันเลยไหมคะ” พัณณ์ชิตารู้สึกว่าตอนเองเริ่มจะมึนนิดๆ เพราะเมื่อครู่ดื่มไปหลายแก้ว“พั้นช์เดินไหวไหม เมาหรือเปล่า”“ไม่ค่ะ แค่มึนเอง”นิโคไลเดินมาส่งหญิงสาวที่ห้องพักของเธอก่อนที่ตัวเองจะกลับไปห้องของตัวเอง หลังจากอาบน้ำและเตรียมเข้านอนก็มีสายเรียกเข้าจากพัณณ์ชิตา“นิคคะ เมื่อกี้คุณมาเคาะห้องพันช์หรือเปล่าคะ พอดีพั้นช์อยู่ในห้องน้ำเลยไม่ทันเปิด”“เปล่านะครับ เพื่อนคุณหรือเปล่า แต่ดึกขนาดนี้เขาจะมาเคาะทำไมนะ ผมว่า
“หมอพั้นช์ลางานตั้งหลายวันครั้งนี้จะไปเที่ยวไหนคะ” พยาบาลหน้าห้องตรวจถามคุณหมอสาวที่มักจะใช้วันหยุดไปกับการท่องเที่ยวและมีของฝากติดไม้ติดมือมาเป็นประจำ“ครั้งนี้คิดว่าจะพักผ่อนอยู่บ้านจริงๆ ค่ะ เจอกันวันจันทร์หน้านะคะ” พัณณ์ชิตาอยากให้เวลากับนิโคไลบ้างเพราะที่ผ่านมาเธอทำแต่งานหนักมาโดยตลอดพัณณ์ชิตาบอกพยาบาลที่หน้าห้องตรวจก่อนจะรีบมาขึ้นรถซึ่งนิโคไลมารออยู่ก่อนแล้ว“เหนื่อยไหมครับ” ชายหนุ่มส่งน้ำเย็นให้เธอ เขาทำแบบนี้ทุกครั้งที่มารับคนรัก“ไม่ค่ะ ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวรับน้ำมาดื่มจากนั้นทั้งสองคนก็ไปทานอาหารเย็นด้วยกันที่ร้านประจำซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากเพนท์เฮาส์“ผมขอทำงานต่ออีกนิดนะครับ” นิโคไลบอกคนรักเมื่อมาถึงบนห้อง“ได้ค่ะ”พัณณ์ชิตากลับมายังห้องนอนยังไม่ทันได้เข้าห้องน้ำก็มีข้อความจากหมอปิญชาน์แจ้งผลการตรวจเลือดและนั่นก็ทำให้เธอยิ้มออก ไม่ใช่แค่ผลจากหมอปิญชาน์ แต่เธอยังไม่ตรวจที่อื่นมาแล้วเมื่อตอนบ่าย หญิงสาวยิ้มด้วยความดีใจที่ทุกอย่างมันผ่านไปได้ เธออาบน้ำอย่างสบายใจจนลืมไปว่านิโคไลก็รอฟังผลเลือดอยู่เหมือนกันเมื่อนึกได้ว่ายังไม่ได้บอกข่าวดีกับเขาก็รีบอาบน้ำและแต่งตัวอย่างรวดเร็ว แต
วันนี้พัณณ์ชิตามาเจาะเลือดที่คลินิกของหมอปิญชาน์หลังจากที่ทานยาครบ 28 วันแล้ว ไม่ว่าผลการตรวจเลือดจะออกมายังไงนิโคไลก็ยังยืนเหมือนเดิมว่าเขาจะแต่งงานกับเธอซึ่งเหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งเดือนแล้ว “เดี๋ยวพี่จะเอาเลือดไปส่งเอง พั้นช์ไปรอฟังผลที่บ้านก็ได้นะ” “นานไหมครับหมอ” นิโคไลถาม “ไม่เกิน 2 ชั่วโมงครับ” “ถ้าผลเป็นลบก็หยุดยาแล้วมาตรวจซ้ำอีกครั้งหลังจากวันนี้อีกสองเดือน” “แล้วถ้าผลเป็นบวกล่ะครับ” “ถ้าผลเป็นบกต้องตรวจเพิ่มว่าระดับเชื้อมีมากน้อยแค่ไหนจากนั้นก็จะเริ่มทานต้านเชื้อครับ แต่ผมว่าดูแล้วโอกาสที่จะติดเชื้อแทบไม่มีเลย พั้นช์ก็อาการปกติดี” “ขอบคุณครับหมอชาน์” “พั้นช์ออกไปรอข้างนอกก่อนได้ไหม พี่ขอปรึกษาอะไรคุณนิคสักหน่อย” ปิญชาน์บอกคุณหมอรุ่นน้อง “ขอพั้นช์ฟังด้วยไม่ได้เหรอคะ” “มันเป็นเรื่องของผู้ชายพั้นช์อย่าฟังเลย” “ก็ได้ค่ะ” พัณณ์ชิตาเดินออกไปแล้วปิญชาน์ก็ให้คำแนะนำเพิ่มเติมกับนิโคไลเพราะรู้ว่าผู้ชายทุกคนนั้นมีความต้องการในเรื่องอย่างว่า “ขอบคุณค
“เป็นอะไรหรือเปล่าพั้นช์” นิโคไลถามคนรักทันทีที่เธอขึ้นมานั่งบนรถ “มีเรื่องเครียดนิดหน่อยค่ะ” “ผมช่วยอะไรได้ไหมครับ” “ใครก็ช่วยไม่ได้หรอกค่ะ” “ผมไม่รู้ว่าปัญหามันคืออะไร ถึงผมช่วยไม่ได้แต่ให้กำลังใจพั้นช์ได้ใช่ไหมครับ” เขาจับมือเล็กๆ ขึ้นมาแล้วจูบไปบนหลังมือเบาๆ “ขอบคุณค่ะนิค เรารีบกลับเถอะค่ะพั้นช์เหนื่อยมากอยากนอนพักแล้ว” “พั้นช์หลับเลยก็ได้นะครับ” พัณณ์ชิตาหลับตาลงช้าๆ เธอไม่ได้เหนื่อยอย่างที่พูดเลยสักนิดแต่เธอกำลังเครียดกับปัญหาที่ตนเองกำลังเผชิญอยู่และก็ไม่รู้เลยว่าจะเริ่มพูดกับเขายังไง “ที่รักถึงแล้วถ้าไม่ไหวให้ผมอุ้มไปนะ” “ไม่เป็นค่ะนิค พั้นช์ไหว” พอมาถึงบนห้องก็รีบอาบน้ำและเข้านอนซึ่งนิโคไลก็เข้าใจว่าคนรักเหนื่อยจากการทำงานจริงๆ เพราะเมื่อเช้าเธอบอกเขาว่าวันนี้มีผ่าตัดถึงสามเคสด้วยกัน ชายหนุ่มนั่งทำงานต่ออีกพักใหญ่ก่อนจะอาบน้ำและเข้านอนตามเธอไป พัณณ์ชิตายังนอนไม่หลับเพราะเอาแต่คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ระหว่างรอผลเลือดหนึ่งเดือนนี้เธอต้องหาทางอยู่ห่างจากเขาให้ม
อีกไม่ถึงสองเดือนก็จะถึงงานแต่งงานแล้ว การเตรียมงานเป็นไปตามแผนที่คิดไว้ ทั้งสองคนเลือกไปถ่ายพรีเวดดิ้งที่ภูเก็ตเพราะที่นั่นเป็นจุดที่ทั้งสองตกลงใช่ชีวิตร่วมกัน ตอนนี้ทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้หมดแล้วเหลือแค่รอเวลาเพียงเท่านั้น พัณณ์ชิตายังคงทำงานอย่างเดิมแต่ก็วางแผนไว้แล้วว่าหลังแต่งงานเธอจะรับขึ้นเวรให้น้อยลงเพราะอย่างแบ่งเวลาให้กับครอบครัว ซึ่งเรื่องนี้นิโคไลก็ให้เธอเป็นคนตัดสินใจเอง ส่วนเขาก็ยังคงทำงานที่บริษัทของตนเองและบิดาที่ย้ายออฟฟิศมาไว้ที่ตึกฝั่งตรงข้ามกับโรงพยาบาล “หมอพั้นช์ไหวไหมคะ” พยาบาลประจำห้องผ่าตัดถามเธอขึ้นเพราะวันนี้พัณณ์ชิตาผ่าตัดไปถึงสามเคสและเคสสุดท้ายเป็นที่ค่อนข้างหนักเพราะคนไข้มีเชื้อ HIV แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี” “ไหวค่ะพี่ไก่” “หมอพั้นช์อึดมากๆ เลยนะคะ” “พี่ไก่เหมือนกันนะคะ ถ้าไม่ได้พี่พั้นช์ก็คงแย่” เพราะพี่ไก่หรือปัทมานั้นเป็นพยาบาลที่คอยส่งเครื่องมือให้เธอในห้องผ่าตัด ทั้งสองทำงานเข้าขากันดี บางครั้งเธอแทบไม่ต้องบอกพี่พยาบาลก็หยิบเครื่องมือมารออยู่แล้ว “พี่ดูตารางผ่าตัดแล้ว เดือนนี้หมอพั
กลับมาถึงเมืองไทยชีวิตของพัณณ์ชิตาก็ดำเนินต่อไปตามปกติ ในทุกๆ วันนิโคไลจะคอยตามรับส่งจนใครๆ ต่างก็พากันอิจฉา แม้ว่าต้องทำงานบริษัทของตนเองและบิดาแต่นิโคไลก็บริหารเวลาได้ดี “พั้นช์ครับ ผมแต่งตัวโอเคไหม” “หล่อแล้วค่ะ” พัณณ์ชิตามองคนรักที่วันนี้เขาเลือกสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวต่างจากวันปกติที่มักจะสวมแต่สีโทนมืด “มันดูเข้ากับคุณไหม” “เข้าสิคะ นิคคะคุณไม่จำเป็นต้องแต่งตัวให้เข้ากับพั้นช์หรอกนะคะ แต่แบบเดิมก็ดีอยู่แล้ว” “ผมอยากเปลี่ยนตัวเองบ้าง เบื่อแล้วสีมืดๆ ดูไม่สดชื่นเลย แล้วผมก็อยากดูดีในสายตาของเพื่อนคุณ”วันนี้พัณณ์ชิตานัดทานอาหารกับเพื่อนซึ่งบังเอิญว่าเข้ามาประชุมวิชาการกันที่กรุงเทพหญิงสาวจึงนัดทานอาหารเย็นกับทุกคนและเธอก็ตั้งใจจะบอกข่าวดีให้เพื่อนๆ ได้ทราบ“เราต้องเตรียมการ์ดไปให้เพื่อนๆ ไหมครับ”“พั้นช์เอาใส่กระเป๋าไว้แล้ว ไปกันเถอะค่ะ”“เดี๋ยวสิ ลืมอะไรหรือเปล่า”“ไม่นะคะ หญิงสาวเปิดกระเป๋าถือของตนเองเช็กแล้วว่าด้านในมีการ์ดแต่งงาน โทรศัพท์รวมทั้งกระเป๋าเงินอยู่ครบแล้ว“ผมไม่ได้หมายถึงของในกระเป๋า”“แล้วหมายถึงอะไรล่ะคะ” หญิ
สายของวันใหม่พัณณ์ชิตาถึงรู้สึกตัวตื่น เมื่อคืนทั้งเธอและคนรักต่างกระโจนเข้าหากันครั้งแล้วครั้งเล่า หญิงสาวไม่คิดมาก่อนว่าตัวเองจะมีเรี่ยวแรงตอบสนองเขาได้มากขนาดนั้น เธอไม่รู้ว่ามันมากไปหรือเปล่าเพราะไม่เคยมีประสบการณ์กับคนอื่นมาก่อน แต่ถ้าถามว่ามีความสุขไหมคุณหมอสาวก็ตอบได้อย่างไม่อายเลยว่ามันมีความสุขมาก สุขจนนึกว่าทุกอย่างเป็นความฝัน เธอนึกไม่ออกเลยว่าเมื่อวานถ้านิโคไลกลับมาไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอบ้าง ถึงแม้จะยิงอังเดรไปแล้วแต่ก็ยังมีลูกน้องของเขาที่รออยู่ทางด้านนอกอีกอย่างน้อยสองคน “โทรศัพท์” พัณณ์ชิตานึกได้ว่าเมื่อวานได้อัดเสียงสนทนาไว้ จึงรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแต่ก็ต้องทรุดลงข้างเตียงเพราะขาเธอแทบมีแรงอีกทั้งยังปวดร้าวไปทั้งตัว “โอ๊ยยย...” “พั้นช์ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” นิโคไลที่เดินขึ้นมาบนห้องนอนพอได้ยินเสียงก็รีบเข้ามาพยุงเธอขึ้นมานั่งบนเตียง “นิคคะ โทรศัพท์ของพั้นช์อยู่ที่ห้องรับแขก ช่วยไปเอาให้หน่อยได้ไหมคะ” “ผมเห็นแล้วแต่แบตมันหมดตอนนี้ชาร์ตอยู่ เดี๋ยวผมเอามาให้แบตน่าจะเต็มแล้ว” พัณณ์ชิตานั่ง
เมื่อเห็นคนรักเร่าร้อนและทำทุกอย่างไปตามอารมณ์ปรารถนานิโคไลก็ต้องปล่อยไปกายปล่อยใจไปตามอารมณ์ที่เธอส่งผ่าน หญิงสาวใบหน้าแดงก่ำขณะบดเบียดโพรงอ่อนนุ่มเข้ากับความแข็งร้อนหมุนวน สะบัดส่ายไปมาทำเอาคนมากประสบการณ์อย่างเขาครางแทบไม่เป็นภาษา“สุดยอดพั้นช์ อ้าห์...ดีมาก...ที่รัก”เขามองคนรักที่ควบอยู่บนตัวเขาราวกับเป็นจ๊อกกี้สาว เธอกำลังพาตัวเองเข้าไปใกล้เส้นชัยทีละนิด นิโคไลเอื้อมมือไปฟอนเฟ้นเต้าอวบอย่างแรงจนเนื้อขาวนวลปลิ้นออกตามร่องนิ้ว ยิ่งเขากระตุ้นเธอก็ยิ่งควบเขาเร็วขึ้นราวกับจะบอกว่าเธอชอบกับการกระทำของเขามากแค่ไหน“นิคจ๋า จูบพั้นช์ได้ไหม”นิโคไลโน้มตัวคนรักลงมาบดเบียดริมฝีปากเข้าหาอย่างดูดดื่มและเร่าร้อนไปพายุตัณหาที่กำลังโหมกระหน่ำปลายลิ้นเกี่ยวกันอย่างไม่ลดละ เขากอดเธอจนหน้าอกนุ่มแนบกับแผงอกแกร่งรู้สึกถึงความร้อนจากร่างกายของเธอที่ยังไม่ลดลงเลยสักนิด“ที่รักคุณจะถึงแล้ว...”เขารู้ด้วยสัญชาตญาณเพราะตอนนี้ผนังอ่อนนุ่มในกายของเธอกำลังตอดรัดแรงและถี่รัวจนท่อนเอ็นของเขาปวดร้าว ชายหนุ่มสวนสะโพกเข้าหาโพรงอ่อนนุ่มอย่างบ้าคลั่ง“นิคขา...อื้อ...อ้าส์...”พัณณ์ชิตากรีดร้องอย
พัณณ์ชิตาปัดป่ายมือไปทั่วขณะที่อังเดรกำลังซุกไซร้ไปตามซอกคอนั่นยิ่งทำให้สติของเธอลงน้อยลงจนเกือบจะเป็นศูนย์ เธอโอบรอบลำตัวของอังเครมือไปทางด้านหลัง มือเล็กไปชนกับวัตถุแข็งเย็น หญิงสาวกัดฟันข่มความรู้สึกจากการปลุกเร้าก่อนจะดึงปืนที่เหน็บอยู่ทางด้านหลังออกมาปลดเซฟตี้ตามได้ฝึกมาจากพ่อและพี่ชาย จากนั้นก็ใช้แรงที่เหลือดันตัวเองออก แล้วจ่อปืนไปยังหน้าผากของอังเดรด้วยมือที่สั่นเทา “พั้นช์ว่าคุณอาถอยไปดีกว่านะคะ” เธอออกคำสั่งขณะที่กำลังถอยห่างจากเขาทีละนิด “ไม่เอาน่า ยังไงเธอก็หนีไม่รอดหรอก ไอ้ยาที่เธอกินลงไปนั้นยังไงก็ต้องให้คนช่วย” “แต่ต้องไม่ใช่คุณอาค่ะ เชื่อพั้นช์ ถอยออกไปก่อนที่พั้นช์จะลั่นไก” “เธอไม่กล้ายิงหรอก แค่นี้มือเธอก็สั่นไปหมดแล้ว” “ลองดูไหมล่ะ” “เธอคิดว่าแค่นี้จะขู่ฉันได้เหรอ” “ฉันไม่ได้ขู่ถ้าคุณเดินมาอีกก้าวเดียวฉันยิ่งแน่” อังเดรมองหญิงสาวที่กำลังต่อสู้กับความรู้สึกของตนเอง เขาคิดว่ายังไงเธอก็คงไม่กล้ายิง เธอจะใช้ปืนเป็นหรือเปล่าเขายังไม่แน่ใจด้วยซ้ำ เขาก้าวเท้าไปหาเธออย่างไม่
กลับจากเที่ยวเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก นิโคไลก็มีเวลาจัดการกับธุระเรื่องบริษัทของตนเอง ส่วนพัณณ์ชิตาไม่ได้ตามไปที่บริษัทด้วย หญิงสาวพักผ่อนอยู่ที่บ้านตามลำพัง บ้านของนิโคไลเป็นบ้านหลังไม่ใหญ่มาก เพราะเขาอยู่คนเดียว ในทุกๆ วันจะมีแม่บ้านมาทำความสะอาดจากนั้นก็จะกลับในเวลาเย็น วันนี้พัณณ์ชิตามีนัดดินเนอร์กับเขาที่ร้านอาหารในเวลาหนึ่งทุ่ม พอใกล้ถึงเวลานัดหญิงสาวจึงอาบน้ำแต่งตัวรอให้เขามารับ ชุดที่ใส่วันนี้เป็นเกาะอกสีแดงยาวถึงข้อเท้าแต่ผ่าทางด้านข้างถึงโคนขาสวย รองเท้าที่สวมก็เป็นรองเท้าส้นสูงสี่นิ้วซึ่งทั้งหมดนี้นิโคไลเป็นคนให้ลูกน้องเอามาส่งที่บ่ายเมื่อตอนบ่าย หญิงสาวแต่งตัวเสร็จก็ลงมานั่งรอเขาที่ห้องรับแขกและระหว่างนั้นชายหนุ่มก็โทรศัพท์เข้ามาพอดี “พั้นช์ครับ ผมอาจจะไปถึงช้าหน่อยนะครับ คุณหิวหรือยัง” “ยังเลยค่ะ เมื่อตนบ่ายพั้นช์กินขนมไปแล้ว” “พั้นช์จะไม่ถามหน่อยเหรอครับว่าทำไมผมถึงไปรับช้า” “ไม่หรอกค่ะ ถ้าคุณอยากบอกก็บอกเอง” “ทำไมพั้นช์ของผมถึงน่ารักแบบนี้นะ ผมจะไปเยี่ยมมารีนาครับ เมื่อกี