จิ่นฉิน สะกดรอยตามจิ่นเกอออกไปนอกวังด้วยคุ้นชินกับลักษณะท่าทางของผู้ที่ให้ความช่วยเหลือองค์หญิงสิบสี่ ใบหน้าถูกปิดบังด้วยหมวกใบใหญ่จนไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นผู้ใด ชักกระบี่จ่อที่ลำคอก่อนที่จิ่นเกอจะพ้นกำแพงยาวทอดสู่บ้านเรือนหนาทึบ“ท่านเป็นใครเผยตัวตนของท่านออกมา” จิ่นเกอหายอมไม่ ซัดฝ่ามือเข้าที่ข้อแขนทำเอากระบี่ในมือของจิ่นฉินร่วงหล่นลงพื้นการประมือจึงเริ่มขึ้น“โปรดยั้งมือด้วยองค์ชายใหญ่จิ่นเกอ” จิ่นฉินจำกระบวนท่าของจิ่นเกอได้ไม่ลืม จิ่นเกอส่งกระบี่เข้าไปในฝัก ใช้มือดันหมวกขึ้นเพื่อเผยให้เห็นใบหน้า“เป็นเจ้าที่ไม่อาจจำข้าได้” จิ่นฉินประสานมือคารวะ“จิ่นฉินมีตาหามีแวว” จิ่นเกอตบบ่าเบาๆ“น้องสาวข้าจิวซินนางเป็นเช่นไร”“องค์หญิงนางหายไปพร้อมกับองค์รัชทายาทในคราวที่ออกไปนอกวังเป็นข้าจิ่นฉินที่ละเลยคิดไม่ถึงว่านางจะมีภัย”“อย่ากล่าวโทษตัวเองเลยจิวซินใช่ว่าจะไร้ฝีมือเสียทีเดียวหากแต่วรยุทธ์ของนางก็ไม่เป็นรองผู้ใดคงเอาตัวรอดได้ไม่ยากว่าผู้ใดกันที่คิดปองร้ายนาง”“ในวังหลวงแห่งนี้ชั่วดีไม่อาจแบ่งแยก ข้าจิ่นฉินหวั่นใจไม่น้อย”“ข้าวางใจให้เจ้าดูแลปกป้องนางก็เพียงเพราะรู้ว่าเจ้าต้องดูแลนางแทนข้าไ
จิวซินมองตามท่วงท่าคุ้นชินที่จากไปด้วยความแคลงใจจิ่นฉินพยุงจิวซินที่ร่างหายอ่อนแอพาแยกไปยังตำหนักบูรพา“ข้าเชิญหมอหลวงที่ตำหนักบูรพาให้ดูอาการเจ้า องค์ชายใหญ่” องค์ชายห้าพูดด้วยน้ำเสียงห่วงใยเหลือกำลัง“เหอตงหยวนมียาสมานแผลชั้นเลิศไม่รบกวนท่านแล้วเราสมานแผลในแบบของเหอตงหยวน”“เหอจิ่นเกอ เจ้ากลัวว่ายาที่ให้จะไม่ปลอดภัย หรือว่าไม่ไว้ใจเรา” องค์ชายสิบสองมองผ่านในการที่จิ่นฉินประคองจิวซินรู้สึกไม่ชอบใจนัก“องค์ชายสิบสองกล่าวเกินไปแล้วข้าเพียงแต่ไม่อยากรบกวนพวกท่าน”“เช่นนั้นก็สุดแล้วแต่ท่านเรื่องบางเรื่องไม่อาจฝืนใจ ไห่ตงหยวนถือว่าไม่ไร้น้ำใจแล้ว”ต่างแยกย้ายกันไปชงไฉ่ยังคงถือเอาอาภรณ์ของจิวซินติดตัวไปด้วยองค์ชายห้ามองจิ่นฉินที่โอบรอบเอวของจิวซินด้วยสายตาขุ่นมัว“องค์หญิงพวกที่ลอบทำร้ายท่านท่านรู้ที่มาที่ไปหรือไม่” จิ่นฉินถาม“ข้าไม่อาจรู้ได้ฝีมือพวกมันร้ายกาจและมีการวางแผนมาก่อนหน้านั้นอย่างแน่นอน” จิ่นฉินครุ่นคิดหาสาเหตุของการลอบทำร้าย“ตอนนี้เราไม่อาจรู้ได้ว่าผู้ใดเป็นมิตรและศัตรูที่แท้จริง”“เจ้าหมายความว่า”“องค์ชายสิบสององค์รัชทายาทเองไม่ชอบท่านตั้งแต่ท่านเข้าวัง ส่วนองค์ชายห้าแน่น
กอดจากด้านหลังซบใบหน้ากับแผ่นหลังทุกทีไม้นี้ใช้ได้ผลหากเป็นตอนนี้กลับไม่มีผลใดๆ“องค์ชายใหญ่ปฏิเสธหมอหลวงในการรักษาข้าเห็นสมควรว่าต้องนำยาสมานแผลไปแสดงน้ำใจ”“หากฮ่องเต้ไม่มีราชโองการให้ท่านเสกสมรสกับองค์หญิงรองของเหอตงหยวนท่านยังคงจะเป็นแบบนี้ไหม”“เจ้าเลอะเลือนแล้วเยว่ฉีข้าเพียงแต่...แสดงน้ำใจในฐานะสหาย” ใจไหววูบ“ท่านใส่ใจองค์ชายใหญ่จิ่นเกอเกินไปทั้งยังพาตัวเองไปพบกับอันตรายเยว่ฉีว่าท่านควรห่างๆองคืชายใหญ่ไว้จึงดี”“เจ้าแล้งน้ำใจเยี่ยงนี้ข้าไม่ชมชอบหญิงงามแต่เพียงภายนอกแต่ภายในกลับหาความจริงใจไม่พบพาน” สะบัดตัวออกเดินจากไป เยว่ฉียืนสะอื้นไห้อยู่ตรงนั้น“เรื่องเร่งด่วนข้ามอบให้เจ้าจัดการ” ไห่หยวนฮ่องเต้มีบัญชาขันทีเฒ่าคุกเข่าเบื้องหน้า “ฝ่าบาทองค์ชายสิบสองรูปงามสมกับบุรุษ ฝ่าบาทอย่าทรงกังวลพระทัย” ไห่หยวนฮ่องเต้ถอนหายใจยาว“รูปงามหากแต่ไม่ใส่ใจบ้านเมืองไม่ขยันศึกษาเล่าเรียนวันๆ ห้อมล้อมด้วยหญิงงามไม่ใฝ่หาวิชาใส่ตัวผิดกับองค์ชายห้าที่รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบาพูดน้อยสำรวมจึงขึ้นชื่อว่าบุรุษรูปงามทั้งภายในและภายนอก”“อาจเป็นที่องค์ชายสิบสองยังทรงพระเยาว์หากวันใดขึ้นนั่งบัลลังก์พระองค์จะท
มืออุ่นเชยคางมนขึ้นมาเพื่อจะได้พิศใบหน้าให้ชัดเจน ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีกับบอกชงไฉ่ว่าเขาคือองค์ชายใหญ่แห่งเหอตงหยวน"เฮ้อ"จิวซินหญิงงามผู้ซึ่งไร้รัก โหยหาความรักจากบิดาและมองบุรุษแค่สิ่งมากรักที่มักจะอ้างรักเพื่อความชอบะรรมในการได้เชนชมร่างกายของหญิงงามหาได้สมัครรักใคร่เช่นรักแท้ไม่ แค่เพียงลมพัดผ่านแต่กระนั้นเมื่อมาพบกับชงไฉ่จิวซินนางกลับรู้สึกว่าตัวนางเองไม่อาจบังคับหรือห้ามตัวเองให้ชื่นชอบให้ชงไฉ่ได้จะด้วยอะไรก็แพ้ใจตัวเองถึงจะพยายามสร้างกำแพงความเกลียดชังขึ้นมา แต่ก็ถูกพังลงด้วยคำว่ารักแท้ของชงไฉ่"พ่อบุญธรรมสืบข่าวเรื่ององค์หญิงจิวซินที่นอนป่วยไร้เรี่ยวแรงที่ไห่ตงหยวนให้ข้าด้วย”“องค์ชายใหญ่จิ่นเกอใบหน้าหมดจด นางเองคงมีรูปโฉมไม่ต่างไป ข้าได้ข่าวว่าอ๋องห้าฮุ่ยโม๋รับอาสาสืบเรื่องของนางเจ้ามิต้องกังวลไปองค์ชาย12นิยมสาวงามก็จริงแต่ไม่นานก็เบื่อหน่ายไม่มีนางในคนใดเป็นที่ตรึงใจได้นานเช่นเจ้าเยว่ฉีหากองค์หญิงจิวซินใบหน้ามิต่างจากองค์ชายใหญ่จริงองค์ชายสิบสองก็คงแค่เพียงอยากได้มาครอบครองเหมือนเช่นทุกครั้งปล่อยให้มันผ่านไปแต่การเอาใจใส่และเป็นหนึ่งในตำหนักนี้ก็มีเพียงเจ้าอยู่แล้วเยว่ฉี
"เชิญท่านทั้งสาม ด้านใน” จิ่นฉินโค้งคำนับก่อนไปเพียงอึดใจเดียวก็กลับออกมา“องค์ชายใหญ่กำลังจิบชายามบ่ายพอดี ให้ข้าน้อยมาเชิญท่านทั้งสามร่วมจิบชา”ด้านหลังประตูใหญ่ภายในสวนร่มรื่นถูกตกแต่งด้วยกระถางบอนไซอายุหลายสิบปีสวยงามเด่นเก้าอี้และโต๊ะที่ทำจากหินอ่อนถูกวางไว้ด้านซ้าย จิวซินยืดหลังตรงใบหน้าสะอาดหมดจดแต่ซีดขาว มองอย่างถี่ถ้วนใบหน้ากลับแฝงไว้ด้วยความอ่อนล้า หมิงหลินเติมเชื้อไฟต้มน้ำชงชาอยู่ข้างๆ จิวซินลุกขึ้นผายมือเชื้อเชิญและส่งสัญญาณให้หมิงหลินออกไปจิ่ฉิน ยืนสังเกตการณ์อยู่หน้าประตูทางเข้ายกกระบวยขึ้นตักน้ำร้อนขึ้นมาถ้วยชาใบเล็กที่ถูกลวกเรียบร้อยวางอยู่เบื้องล่างด้วยความชำนาญ อาการพลิกตัวร่ายรำเหมือนกระบวยในมือเป็นกระบี่คมกริบก่อนจะรินลงสู่ถ้วยชาใบเล็กอย่างแม่นยำและรวดเร็วทั้งสามถ้วย กลิ่นหอมละมุนชวนเคลิ้มฝัน ชงไฉ่กลับไม่ได้มองเห็นจิวซินในอาภรณ์ของบุรุษกลับเห็นเป็นอาภรณ์หญิงงามพลิ้วไหวร่ายรำเหมือนหงส์เริงระบำงดงามเหมือนฝันล่องลอยฮุ่ยเจิน ปรบมือสนั่นฉุดให้สติชงไฉ่กลับคืนสู่ความเป็นจริงองค์หญิงสิบสี่มองพี่ชายทั้งสองสีหน้าครุ่นคิด“ยอดเยี่ยม” องค์ชายสิบสามกล่าวชม“เชิญ” จิวซินยกมือข
“ใครกันที่งดงามพลิ้วไหว” องค์ชายห้าเข้ามาสมทบ ดวงหน้าเรียบเฉยหากดวงตาเคลือบแคลงสงสัย“พี่ห้า”“ใครกันเป็นตั่วเจ้ พี่สาวใหญ่ของหอคณิกา” น้ำเสียงสรรพยอกแต่แววตาจริงจังองค์ชายสิบสามและชงไฉ่หันมามองผู้มาใหม่“น้องสิบสี่ เปรียบองค์ชายใหญ่เป็นดังหญิงงามผาดโผนในหอคณิกา” จิวซินกลั่นหัวเราะแทบตาย“หากไม่มีจิตอกุศลเคลือบแฝง ก็นับว่าสายตาเจ้าเฉียบคมเจ้าสิบสี่แล้วเจ้าทั้งสองเล่าเจ้าสิบสามกับน้องสิบสอง” หันไปถามทั้งสอง จิวซินไม่ยี่หระยกถ้วยน้ำชาตรงหน้าฮุ่ยโม๋“พี่ห้าคิดเห็นเช่นใด ในที่นี้มีใครบ้างไม่รู้ ว่าองค์ชายใหญ่จิ่นเกอใบหน้าคมคาย...งดงามเยี่ยงอิสตรี” ชงไฉ่พูดตามที่คิด“หากแต่ก็มิใช่อิสตรี” ฮุ่ยโม๋พูดแทรกขึ้น จิวซินเหลือบตามองเพียงแวบเดียว“คงไม่มีการเคลือบแคลงสงสัยอันใดในเมื่อข้าฮุ่ยเจินเคยได้ยินมาว่าพี่จิ่นเกอรูปงามหาบุรุษใดเทียบเคียง”“คนผู้หนึ่งหากเชื่อถือยึดมั่นในเรื่องใดแล้ว หากเมื่อพบว่าหลงเข้าใจผิดถูกหลอกลวงตลอดมาจะรู้สึกเช่นใด” จิวซินหลบตาต่ำ“พี่ห้าหมายความว่า”“ข้าเพียงแต่คิดว่าคนเราอยู่ได้ด้วยความเคลือบแคลงดีกว่าอยู่กับความจริงที่โหดร้าย ไม่เช่นนั้นคงจะยากที่จะรับมือ”“เราเสวนากัน
บุรุษเช่นเจ้าหากข้าไม่รู้ที่มาที่ไปคงคิดว่ามีจิตวิปริต มีความเป็นชายครึ่งหญิง พูดไปก็เหมือนกับว่าตัวเองชงไฉ่เองก็แอบสงสัยตัวเขาเองไม่น้อย ลุกขึ้นทันทีออกแรงฉุดให้จิวซินลุกขึ้น คราวนี้เองที่จิ่นฉินตามมาพอดี“องค์ชายเกิดอะไรขึ้น”“องค์ชายใหญ่นายของเจ้ารู้สึกว่าจะได้รับบาดเจ็บที่ขา” จิ่นฉินถลาเข้ามาดูด้วยความตกใจ“องค์ชาย” จิวซินทำหน้าเหยเก“ไม่เป็นอะไรมากเพียงแค่รู้สึกปวดที่ขา”“ให้ข้าพยุงท่านกลับตำหนักเถิด” จิ่นฉินนึกอะไรขึ้นมาได้“องค์ชายท่านรออยู่ที่นี่ข้าตามหมิงหลินให้ท่านไม่อยากแตะต้องตัวจิวซินด้วยกลัวว่าจะทำให้ใจสั่นไหวและทำให้จิวซินเสื่อมเสีย จิวซินพยักหน้าจิ่นฉินรีบรุดกลับไปยังตำหนักบูรพา ชงไฉ่มองจิ่นฉินอย่างไม่เข้าใจนัก“องครักษ์ขององค์ชายใหญ่ไฉนปล่อยท่านทิ้งไว้จะว่าไม่ห่วงก็แสนห่วงแต่บางครั้งการกระทำเหมือนมีอะไรภายใน” ตั้งข้อสังเกต“เขาเพียงแค่ หาคนมาช่วย”“หมิงหลินร่างบางอ้อนแอ้นจะพยุงท่านอย่างไรไหว ไม่สู้ให้ข้าพยุงกลับไปดีกว่า”จิวซินพยักหน้า เจ็บจนกัดฟัน ชงไฉ่มองใบหน้าซีดเผือดด้วยความสงสารพยุงจิวซินลุกขึ้นสอดมือรวบเอวกิ่วจากทางด้านหลังความรู้สึกบางอย่างแล่นเข้าสู่หัวใจจิวซ
จิวซินนอนบิดขี้เกียจอยู่บนเตียงข้อเท้าที่บวมทำให้รู้สึกเจ็บ แต่ยังคงนั่งนิ่งอยู่บนนั้น หลายวันมานี้เจ็บตัวตลอด แต่ก็แต่ไหนแต่ไรมาแล้วจิวซินมักจะโลดโผนเพื่อให้เหมือนจิ่นเกอทำให้ได้เท่าจิ่นเกอพี่ใหญ่ด้วยความเป้นหญิงจึงเจ็บตัวเพราะไม่ได้แข็งแกร่งเช่นบุรุษทั่วไปนั่นเอง“หมิงหลิน” เรียกหาหมิงหลินเสียงลั่น“ไหลหล่า ไหลหล่า” (มาแล้วๆ) หมิงหลินขานมาแต่ไกล“จิ่นฉิน อยู่ไหน” จิวซินถามหาอีกคน“ท่านองครักษ์อยู่ด้านนอก คอยอารักขานายหญิงมีสิ่งใดจะบอกกล่าว” หมิงหลินเลิกคิ้วสูง“ข้าเพียงแต่ พักนี้ไม่เห็นเขาคอยมาวุ่นวายตักเตือนว่ากล่าวข้าเหมือนเช่นเคย”“ข้าน้อยก็เห็นว่าเดี๋ยวนี้ท่านองครักษ์ มักออกไปนอกวังบ่อยครั้ง หรือว่า แอบไปเที่ยวหอคณิกา” หมิงหลินออกความเห็น จิวซินอดขำไม่ได้“ในโลกนี้มีกี่ผู้คนที่รู้จักเสพสุขเยี่ยงนี้ จิ่นฉินหาใช้บุรุษเช่นนั้นไม่” หมิงหลินพยักหน้าเห็นด้วยจิวซินคิดว่าต้องมีเหตุอันใดเป็นแน่ที่ทำให้จิ่นฉินออกไปนอกวังสักวันคงต้องสะกดรอยตามไปจวนอ๋องห้า“กงกง เหตุอันใดนำท่านมาถึงจวนอ๋อง” ฮุ่ยโม๋กล่าวทักทาย ขันทีเฒ่า“ท่านอ๋อง ข้าเพียงแต่แวะเวียนมา คารวะท่าน” ฮุ่ยโม๋เพียงแต่ยิ้มบางๆ“เห็
หันมองชิงซาที่พยักหน้าสนับสนุนคำพูดของฮุยโม๋“ข้ากลัวเหลือเกิน ว่าจะลืมเลือนใครบางคน” ชิงซายิ้มอ่อนโยน“ฝ่าบาทเชื่อใจพี่ห้าของพระองค์เถิด ครั้งนี้ทุกอย่างจะต้องจบลงโดยดี”“ทุกอย่างที่ทำเพราะพี่ห้าหวังดีฝ่าบาทโปรดวางพระทัยและเชื่อใจในพี่ห้าคนเดิมของฝ่าบาทด้วย”ชงไฉ่กรอกยาลงไปในลำคออย่างรวดเร็วเหมือนกลัวตัวเองจะเปลี่ยนใจ ต่อจากนั้นบังเกิดความปั่นป่วนจนแทบทนไม่ไหว สมองเหมือนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ใช้มือกุมศีรษะจนล้มลงทั้งยืนความทรงจำเก่าใหม่วิ่งแล่นอยู่ในหัว ฮุยโม๋สกัดจุดให้ชงไฉ่คลายความเจ็บปวดทรมาน ชิงซาช่วยพยุงตัวชงไฉ่ยังแท่นบรรทม“ตามหมอหลวงชิงซา ปกปิดการกลับมาของข้าเสียด้วย ต่อแต่นี้ให้เจ้าเรียกข้าว่าฟู่โม๋จนกว่าทุกอย่างจะคลี่คลาย บอกกล่าวแก่ทุกคนแค่เพียงฝ่าบาทร่างกายอ่อนเพลียต้องการพักผ่อนและยาบำรุง” ชิงซารับคำโดยดี รีบรุดออกไปตามหมอหลวง“พระชายาฝ่าบาททรงพระประชวร”“ดีอย่างน้อยตอนนี้เราก็ยังมีเวลาจัดการกับนางงูพิษ หยู่เยียน ก่อนที่ฝ่าบาทจะแต่งตั้งให้นางเป็นสนม”“พระชายา ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องทรงไป ดูแลฝ่าบาท” หยู่เยียน เดินนวยนาดใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตาเข้ามาคุกเข่าเบื้องหน้า
“แต่เราสองคนก็สมควรจะกลับได้แล้ว” ชงไฉ่ทำหน้าเสียดาย“เวลาความสุขมักผ่านไปเร็วเหลือเกิน” เขานึกถึงเยว่ฉีและกงกงหากรู้ว่าเขาปรารถนาเลี่ยงเฟิ่งมาเคียงข้างคนทั้งสองจะจัดการเลี่ยงเฟิ่ง อย่างที่เขาต้องไม่ให้อภัยแน่นอน ตอนนี้ทำอย่างไรถึงจะปกป้องเลี่ยงเฟิ่งรอให้เขาจัดการทุกอย่างตามที่เขาสงสัยเกี่ยวกับอำนาจในมือของกงกงเฒ่า ให้ผ่านไปเสียก่อนเมื่อนั้นจะต้องชดเชยให้เลี่ยงเฟิ่งตอนนี้เขาไปอาจให้นาง เป็นเนื้อหน้าเขียงรอให้ทุกอย่างจบลง เมื่อนั้นเขาจะทำได้อย่างที่ใจต้องการผุดลุกขึ้นอุ้มร่างบางส่งขึ้นบนหลังม้า กระโดดขึ้นไปนั่งคร่อมด้านหลังใช้คางเกยไหล่สวยควบม้าทะยานกลับไปทางเดิมที่ผ่านมา สองข้างทางช่างน่ารื่นรมย์เมื่อคนที่เคียงข้างเป็นคนที่รักหมดหัวใจชิงซา วิ่งถลาเข้ามาทันทีเมื่อเห็นม้าที่ทั้งสองเยาะย่างมาที่คอกม้า“ฝ่าบาท พระองค์ต้องไม่เชื่อ แน่ๆ” ชงไฉ่ยิ้มไม่ได้ตื่นเต้นกับเรื่องที่ชิงซาพูดเนื่องจากเขากำลังอารมณ์ดี ส่งมือให้เลี่ยงเฟิ่งก่อนจะดึงตัวนางลงจากหลังม้าสู่อ้อมกอด“มีอะไรว่ามาชิงซา”“องค์ชายห้า ฮุยโม๋กลับมาแล้ว” ชงไฉ่ชะงัก“พี่ห้า เขายไปแล้ว”“ฝ่าบาทองค์ชายห้ารอฝ่าบาทที่ ตำหนักของพระองค์”
ชงไฉ่เผลอไผลเรียกชื่อที่เขาลืมไปแสนนาน ความทรงจำบางอย่างหวนคืนมาร่างบางในอ้อมแขนใบหน้าสวยหวานในอาภรณ์บุรุษ เลี่ยงเฟิ่งไม่มีอาการว่าจะสะดุ้งตกใจอาการบอกว่ารักและใคร่ล้วนมาจากใจของบุรุษที่ใช้ร่างกายของเขาส่งผ่านความรู้สึกหลากหลายไม่ว่าจะเป็นรักหรือปรารถนาร่างแข็งแรงยังกอดประคองอยู่อย่างนั้นไม่ปล่อยร่างบางให้เป็นอิสระง่ายๆ เลี่ยงเฟิ่งซุกใบหน้านวลลงบนแผ่นอกเปล่าเปลือยทว่าเต็มไปด้วยมัดกล้าม“น้ำตามากมายไหลเรื่อย เป็นความตื้นตันใจหรือความรู้สึกเป็นสุข ชงไฉ่ยกมือเรียวเช็ดน้ำตาที่แก้มของเลี่ยงเฟิ่ง“เจ้า ถึงกับมีน้ำตาเสียใจหรืออย่างไร ที่ร่างกายของเจ้าเป็นของข้า” เลี่ยงเฟิ่งยังคงนิ่ง ชงไฉ่บรรจงจุมพิตที่หน้าผากเนียน“เลี่ยงเฟิ่ง ข้า...รักเจ้าอย่างที่ไม่อาจรักใครได้ไม่รู้ด้วยเหตุใด หากเจ้ามีคำตอบช่วยบอกข้าที” ดึงผ้าบางเบาที่ถูกดึงทึ้งยามที่อารมณ์ปรารถนา ครุกรุ่นให้เข้าที่เข้าทางปกปิดร่างอรชรที่ยังอยู่ในอ้อมแขน“ฝ่าบาท ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหตุใด ฝ่าบาทถึงรักเลี่ยงเฟิ่งหรืออาจเป็นเพียงคำพูดเมื่อเลี่ยงเฟิ่งอยู่ในอ้อมแขนเหมือนที่พระชายาเคยได้ยินคำกล่าวนี้มาแล้ว”“เจ้าไม่เชื่อข้า ทำเช่นไรเลี่ยงเฟิ่ง
เลี่ยงเฟิ่ง ไปยังคอกม้า กระโดดขึ้นหลังม้ากระตุกบังเหียนให้ทะยานออกสู่ประตูเมืองป้ายหยกถูกยื่นส่งให้ทหารยามดู ก่อนจะมุ่งไปยังทุ่งกว้างเมื่อมาถึงจุดหมาย เลี่ยงเฟิ่งปล่อยม้าเยาะย่างเลาะเล็มหญ้าส่วนตัวนางใช้ความคิดกับบางเรื่องภาพความทรงจำเก่าๆ ไหลเรื่อยออกมาจากหัวเมื่อม้าหนุ่มตัวหนึ่งพุ่งตรงเข้าใส่จิวซินชงไฉ่คว้าร่างบางมากอดไว้ริมฝีปากอุ่นประทับลงบนริมฝีปากของจิวซินเลี่ยงเฟิ่งยกมือขึ้นลูบไล้ริมฝีปากตัวเอง ด้านหลังเสียงมาวิ่งเข้ามาใกล้เลี่ยงเฟิ่งหันกลับไปมอง ชงไฉ่ทวงทีสง่างามบนหลังม้าจ้องมองมายังเลี่ยงเฟิ่ง“ไหนเจ้าบอกว่าเจ้าแต่เดิมไม่นิยมขี่ม้า” เป็นคำพูดของชงไฉ่ที่เคยพูดไว้กับจิวซิน (ตอนสติสัมปชัญญะถูกความรักบดบัง) ชงไฉ่นึกประหลาดใจว่าเขาเคยพูดคุยเรื่องม้ากับเลี่ยงเฟิ่งหรือไม่“ฟู่โม๋เป็นคนสอน” ชงไฉ่ขมวดคิ้วใบหน้าหล่อเหลา งุนงง“ใครกัน”“ฟู่โม๋ เขาเป็นเพียงบุรุษพเนจรไร้ที่พักพิง อาศัยความเป็นสหายกับฮุยเจินจึงสามารถอาศัยอยู่ที่เหอตงหยวนได้นานหน่อยจึงตอบแทนฮุยเจินหลายเรื่องรวมทั้งสอนข้าขี่ม้า”“เจ้าชื่นชมเขาเหลือเกิน” รู้สึกอิจฉาฟู่โม๋คนนั้น“ฟู่โม๋ไม่เคยขัดใจไม่เคยทำให้ต้องเสียใจ” ชงไฉ่ห
“หม่อมฉันไม่รู้สึกคุ้นเคยใดใด” เลี่ยงเฟิ่งตอบทั้งที่ใจคอก็รู้สึกหวั่นไหวเช่นกัน“ช่างเถอะปล่อยให้ข้าเป็นไปแค่ฝ่ายเดียวอย่างนี้ก็ดีแล้วเจ้าจะได้ไม่ต้องกังวล อย่างไรเสียข้าก็ไม่อาจฝืนใจเจ้าอยู่ดี” บ้างอย่างเหมือนเคยรู้สึกมาก่อนแล้ว หยู่เยียนยืนแอบฟังอยู่ด้านหลังประตูเงียบๆ จดจำทุกคำพูด“เราจะเคยคุ้นเคยกันได้อย่างไรเล่าฝ่าบาทในเมื่อเลี่ยงเฟิ่ง....เพิ่งจะเคยมาที่นี่”“ไม่สิเลี่ยงเฟิ่ง บางครั้งการได้พบก็เหมือนกับการไม่ได้พบ”“เลี่ยงเฟิ่งไม่เข้าใจ” เลี่ยงเฟิ่งแสร้งทำเป็นไม่สนใจสิ่งที่ชงไฉ่พูด“จิตใจ ของข้าตอนนี้...ไม่บอกเจ้าคงทำให้ร้อนรุ่มเลี่ยงเฟิ่งข้า...ข้าจะบอกเจ้าอย่างไรดี” ผุดลุกขึ้นเดินเข้าไปหาเลี่ยงเฟิ่งด้วยใจปรารถนา“ฝ่าบาท พระชายา หมดสติ” เสียงของนางกำนัลข้างกายของเยว่ฉี ชงไฉ่ชะงัก“เลี่ยงเฟิ่ง ข้าไว้คราวหน้าหวังว่าเจ้าจะฟังข้า” ออกจากห้องไปทันทีเลี่ยงเฟิ่งทรุดกายลงบนเก้าอี้เขี่ย เห็ดหอมไปมายิ้มหยันให้กับตัวเอง ทันใดนั้นเองน้ำตาที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนกับไหลโดยไม่รู้ตัว เลี่ยงเฟิ่งรับรู้ถึงความรู้สึกนั้นว่าเหมือนกับถูกแย่งชิงสิ่งของที่รักไป และไม่อาจทวงคืนกลับมาได้ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมร
“หากเจ้าอยากจะเป็นใหญ่จิตใจต้องเด็ดเดี่ยวกล้าตัดสินใจในเรื่องที่เป็นเสี้ยนหนาม ตัดรากถอนโคนให้สิ้นไปในคราวเดียว” คำพูดที่เหมือนจะตรอกย้ำความคิดภายในใจของเยว่ฉี“เยว่ฉีลาพ่อบุญธรรมไว้คราวหน้าเยว่ฉี จะมาคารวะพ่อบุญธรรมอีกที” กงกงยิ้มหันหลังให้เยว่ฉีเพราะรู้ดีว่าอย่างไรเสียนางก็ไม่ต่างจากเขานักเรื่องจิตใจที่เด็ดเดี่ยว“พระชายา” สาวใช้ที่รออยู่ข้างหน้ารีบมาขว้างไว้เพราะรู้อารมณ์ของเยว่ฉีดีว่าจะทำให้เสียเรื่อง“นำข้าไปห้องเครื่องเดี๋ยวนี้”“พระชายาหากทำเช่นนั้น ฝ่าบาทอาจไม่พอใจพระชายา เชื่อหม่อมฉันเรามีอีกหลายวิธีที่กำจัดนางให้พ้นทาง” เยว่ฉีชะงักใคร่ครวญก่อนจะหันหน้าเดินไปยังตำหนักใหญ่รอชงไฉ่อยู่ที่นั่นด้วยความอดทนและคิดแผนการที่จะกำจัดห้องเครื่องนาม เลี่ยงเฟิ่ง“เจ้าลองไปสืบดูว่านางน่าตานิสัยใจคอเป็นเช่นไร”“น้อมรับคำสั่งพระชายาแต่ ข้าน้อยกลัวว่า จะมีคนรู้สู้เราส่งคนของเรา คอยส่งข่าว”“นางอยู่เพียงลำพังไม่มีสาวใช้”“อย่างนั้นถือว่าเป็นโอกาสทองของเรา” เยว่ฉียิ้มเสียงโวยวายด่าทอพร้อมกับเสียงสะอื้นของสาวน้อยหน้าตาหมดจดที่ดังเล็ดลอดเข้าไปภายในห้องที่เลี่ยงเฟิ่งกำลังเตรียมวัตถุดิบสำหรับเช้าอี
เมื่ออยู่สองต่อสองเลี่ยงเฟิ่งแกล้งเฉไฉมองไปทางอื่นขณะที่ฝ่าบาทจ้องคนสวยตาไม่กระพริบมือกุมถ้วยชาแต่ใจอยู่กับคนชงชา“ฮุยเจินบอกข้าเรื่องจุดประสงค์” เลี่ยงเฟิ่งเบิกตากลมโตหันมาสนใจคนพูด“เรื่องไหนเพคะฝ่าบาท”“เรื่องที่เจ้าควบคุมดูแลเกี่ยวกับการค้าขายและการส่งสินค้าไปยังต่างแคว้น เพื่อแบ่งเบาฮุยเจิน เหอตงหยวนนับว่ามีทรัพยากรมากมาย ทั้งของกินของใช้ใน ฮุยเจินบอกข้าว่าเมื่อเจ้าดูแลด้านการจัดส่งสินค้าจึงอยากที่จะส่งสินค้าเกี่ยวกับอาหารของเหอตงหยวนมายังไห่ตงหยวน”“เลี่ยงเฟิ่งเพียงแค่อยากให้ผู้คนรู้จักอาหารเลิศรสของเหอตงหยวนที่มีมากมายเหลือเกิน ของบางอย่างมีเพียงแค่เดินทางไปยังเหอตงหยวนเท่านั้นที่จะสามารถลิ้มรส มันได้”“หากเจ้าตั้งใจจริง เช่นนั้นข้าส่งเสริมเจ้า”“เลี่ยงเฟิ่งต้องการ เปิดร้านค้าส่งวัตถุดิบหายากของเหอตงหยวนที่นี่ เพราะเหอตงหยวนและไห่ตงหยวนไปมาหาสู่ราษฎรของเหอตงหยวนย้ายถิ่นฐานมาที่นี่ก็เยอะ บางครั้งคิดถึงบ้านเพียงแค่ได้ลิ้มรสอาหารที่หากินได้ต่ในเหอตงหยวน ย่อมทำให้คลายความคิดถึงลงได้”“เจ้าช่าง นึกถึงผู้อื่นได้ถึงเพียงนี้ เจ้ามีสิ่งใดให้ช่วยวานบอกมา” ความรู้สึกดีๆ ได้ก่อตัวขึ้นในหัว
“นาง มาจากตระกูลใด หรือเป็นลูกของขุนนางของเหอตงหยวนคนใด” เยว่ฉีอดใจไว้ไม่ได้ฮุยเจินนิ่วหน้าคิดไม่ถึงว่าเยว่ฉีจะกล้าสอบหาที่มาที่ไป“เลี่ยงเฟิ่งนาง ที่มาที่ไปไม่ชัดเจนข้าพบนางนอนสลบไสลอยู่ตอนออกไปล่าสัตว์ เมื่อคราวฤดูกาลล่าสัตว์ของเหอตงหยวน” ชงไฉ่ทำท่าทางครุ่นคิด“ข้าอยากพบนางสักครั้ง”“อย่าเลยพระชายา นางไม่ค่อยสมประกอบอีกทั้งวาจาป่าเถื่อนหยาบกระด้าง ตามประสาคนนอกด่านอบรมสั่งสอนก็เคยจะเชื่อฟัง ไม่เชื่อท่านลองถาม เสด็จพี่ฮ่องเต้ดูก็ได้ เมื่อวานเขาเพิ่งถูกนางใช้วาจาเชือดเฉือน หากพบนาง เกรงว่าจะทำให้พระชายาขุ่นเคืองใจกับกิริยาของนางเสียเปล่า” ชงไฉ่สะดุ้งที่โดนโยนเผือกร้อนเข้าใส่“เอาไว้คราวหน้าหากเจ้าอยากพบนาง ข้าจะอนุญาต แต่หากพบนางแล้วเจ้าคงไม่อาจถือสานาง เจ้าอยู่สูงกว่าหญิงทั้งปวงอย่าได้ลดตัวเข้าไปเสวนากับคนป่าเถื่อนเช่นห้องเครื่องธรรมดาคนหนึ่งเลย” คำพูดโอ้โลมของชงไฉ่ได้ผลทำเอาเยว่ฉียิ้มจนแก้มแทบฉีก ฮุยเจินยิ้มมีชัยคิดไม่ผิดว่าชงไฉ่ต้องรู้สึกอยากปกป้องเลี่ยงเฟิ่ง“หากฝ่าบาทเห็นสมควรว่าเยว่ฉีไม่พบนางเยว่ฉีก็ไม่ฝืนบัญชาฝ่าบาทเพค่ะ” ชงไฉ่เอื้อมมือตบมือเยว่ฉีเบาๆ“เยว่ฉีเจ้าช่างวางตัวได้เ
“คืนนี้ อากาศค่อนข้างหนาวเลี่ยงเฟิ่งจะจัดถวายเป็นเครื่องเสวยยาม เฉิน (07.00-08.59) หรือยามซวี (19.00-20.59) เพื่อให้ได้ผลดี” ชงไฉ่พยักหน้าทำท่าทางเชื่อถือ“ดี เช่นนั้นข้าจะรอ ..เจ้าไปนอนเถิด” เหลือบตามองนกยวนยาง บนพื้นน้ำเดียวดายเลี่ยงเฟิ่งย่อตัว“สิ่งนี้ นำพาข้ามาที่นี่” ยกผอบที่มีกลิ่นหอมรัญจวนใจจากไปทันที เลี่ยงเฟิ่งยกชามใส่ไก่และเป็ดหมักไปเก็บ เดินมาทิ้งตัวลงนอน บนแท่นนอน ภาพชวนระทึกใจเมื่ออกนุ่มเบียดอยู่กับอกกว้างกลิ่นเครื่องหอมรัญจวนใจ กับบรรยากาศแบบนั้นเลี่ยงเฟิ่งข่มตานอน ชงไฉ่เองทิ้งตัวลงนอนหลังจากที่วางผอบไว้บนแท่นกำยานบนหัวเตียงหลับตาเป็นสุขใจความรู้สึกเหมือนมีอะไรสว่างสดใสรออยู่เบื้องหน้าในฝันนั้นลูกดอกจากคันธนูของใครบางคน พุ่งเข้าสู่จุดหมายเล็กๆ บนเป้าที่อยู่ไกลออกไปอย่างแม่นยำทว่ากลับมองไม่เห็นใบหน้า คนเบื้องหลังคันธนูคนนั้นภาพเดียวกันนี้ถูกซ้อนทับด้วยเลี่ยงเฟิ่งในอาภรณ์บุรุษงดงามกับคันธนูที่โค้งงอ ชงไฉ่มองอยู่ตรงนั้นภาพนี้เขาเคยเห็นมันมาแล้วอย่างแน่นอน สะดุ้งสุดตัวตื่นขึ้นเมื่อแขนข้างที่กอดอยู่กับเป็นแขนบอบบางของเยว่ฉี ชงไฉ่เผลอยกแขนของเยว่ฉีออกจากอกของตัวเอง“ฝ่าบาท”